บทที่ 412: ของพวกนั้นดีมาก แต่คราวหน้าอย่าส่งมาอีก
อีกด้านหนึ่ง มู่ไป๋ไป่ดึงจวงอี้หรานฝ่าฝูงชน ก่อนจะปล่อยมือจากเสื้อสีฟ้าของคนด้านข้างหลังจากยืนยันแล้วว่ามู่จวินเซิ่งกับหลัวเซียวเซียวไม่ได้ตามมา
“แม่นางไป๋ เจ้ากำลังพยายามจับคู่พี่รองของเจ้ากับแม่นางหลัวใช่หรือไม่?” เซียวถังอี้เหลือบมองนิ้วมือขาวเรียวของอีกฝ่ายเพียงเสี้ยวอึดใจ จากนั้นก็ถามขึ้นมา
“ใช่แล้ว” หญิงสาวตอบอย่างไม่ใส่ใจขณะกวาดตามองหาของที่น่าสนใจตามแผงขายของ
ชายหนุ่มที่เห็นภาพนั้นก็ยกมุมปากขึ้น “แม่นางไป๋เป็นคนที่ใจดีจริง ๆ”
เจ้าตัวเล็กนี่ยังคงมีนิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน นางยินดีที่จะช่วยเหลือคนแปลกหน้าแม้กระทั่งสัตว์ที่คนไม่เห็นค่า
เมื่อเซียวถังอี้คิดถึงสิ่งที่มู่ไป๋ไป่ทำตอนที่นางยังเป็นเด็ก สายตาของเขาก็อ่อนลง
“ข้าจะเทียบกับจอมยุทธ์จวงได้อย่างไรกัน?” จู่ ๆ หญิงสาวก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “พิษในร่างกายของท่านยังไม่หายดี ท่านก็หาเรื่องเพิ่มแล้ว”
“สำหรับของพวกนั้น ข้าขอบคุณจอมยุทธ์จวงที่มีน้ำใจมอบให้แก่ข้า ของทุกอย่างข้าชอบมาก แต่คราวหน้าท่านอย่าส่งมาอีกเลย”
เซียวถังอี้ชะงักนิ่งไปชั่วครู่ แล้วเขาก็ตัดสินใจแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “แม่นางไป๋กำลังพูดถึงเรื่องอะไรหรือ?”
แม้ว่ามู่ไป๋ไป่จะรู้คำตอบของเขาอยู่แล้ว แต่เธอก็ยังแสร้งทำหน้าประหลาดใจแล้วหันกลับไปพูดกับอีกฝ่ายว่า “อ้าว ท่านไม่ได้ส่งของพวกนั้นมาให้ข้าหรือ?”
“ไม่” ชายหนุ่มส่ายหัวยิ้ม ๆ “หรือว่าแม่นางไป๋กำลังจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง? ข้ารู้สึกขอบคุณแม่นางไป๋มากที่ช่วยชีวิตข้าไว้ แต่ตัวข้าไม่มีอะไรเลยจริง ๆ”
เซียวถังอี้ตอบหญิงสาวด้วยใบหน้าเย็นชา “ข้าไม่มีสิ่งใดจะให้แม่นางไป๋”
“ฮ่า ๆๆ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว” มู่ไป๋ไป่หัวเราะพลางยกยิ้มจอมปลอม “ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงก็ช่างมันเถอะ ข้าแค่ถามไปอย่างนั้น ท่านอย่าได้คิดมาก”
เสแสร้ง!
เธอจะคอยดูว่าผู้ชายคนนี้จะเสแสร้งเช่นนี้ไปได้นานแค่ไหน
คนที่รู้ตำแหน่งห้องของเธอและสามารถหลบเลี่ยงทุกคนได้อย่างชาญฉลาดจะต้องเป็นคนในกลุ่มพวกเธอ
นอกเหนือจากพวกเซียวถังถังแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่พี่รองของเธอจะส่งของมาโดยไม่แจ้งให้เธอทราบ
ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็สามารถตัดอวี้เซิ่งออกไปได้โดยตรง
เพียงเท่านี้แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนส่งของมา
อีกทั้งจวงอี้หรานยังเป็นคนที่มักจะทำอะไรลึกลับมาตลอด ดังนั้นถ้าเขาจะปฏิเสธ เธอก็ไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด
ทว่าสิ่งเดียวที่เธอสงสัยก็คือ ชายหนุ่มรู้ความชอบของเธอได้อย่างไร?
เธอจำได้ว่าตอนที่พวกเขาเพิ่งพบกัน มีหลายครั้งมากที่จวงอี้หรานคาดเดาความชอบส่วนตัวของเธอได้
มู่ไป๋ไป่ครุ่นคิดในใจ แต่เธอไม่แสดงออกทางสีหน้าและยังคงพูดคุยกับอีกฝ่ายต่อไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้วเธอก็คอยสอดแทรกถามเกี่ยวกับอดีตของชายหนุ่มเป็นระยะ ๆ เพื่อพยายามค้นหาตัวตนของเขาจากคำตอบที่ได้รับ
ทางด้านเซียวถังอี้ก็ตอบทุกคำถาม แต่คำตอบของเขาคลุมเครือมาก มันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ตอบอะไรเลยจนทำให้เขาดูน่าสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีก
พอเดินเล่นจนพอใจแล้วทั้งคู่ก็มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารโดยมีคนผู้หนึ่งคอยสอดส่องไปทั่ว ส่วนอีกคนคอยคุ้มกันอยู่ไม่ห่าง
…
ทางฝั่งของหลัวเซียวเซียวและมู่จวินเซิ่ง
ความจริงหญิงสาวเคยไปถามมาแล้วว่าในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้มีสินค้าอะไรที่พิเศษบ้าง นางรู้ว่ามีช่างทำเครื่องประดับชื่อดังอาศัยอยู่ในเมืองนี้จึงอยากจะสั่งทำปิ่นปักผมแบบพิเศษให้กับท่านแม่
เดิมทีนางอยากจะออกไปหาเขาในวันหยุด แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่องค์ชายรองพูด นางก็ตัดสินใจว่าควรไปตอนนี้
ร้านของช่างฝีมือคนนั้นอยู่ตรงกลางตลาดซึ่งค้นหาได้ง่ายมาก
“อยู่ตรงนั้นเพคะ” หลัวเซียวเซียวเห็นร้านตั้งอยู่ไม่ไกลจึงยิ้มกว้างออกมาโดยไม่รู้ตัว
นางไม่ได้พบแม่ของตนเองมาเป็นเวลา 12 ปีแล้ว
พอหญิงสาวคิดว่าจะได้กลับไปยังเมืองหลวงเร็ว ๆ นี้ และนึกถึงว่าท่านแม่จะทำหน้าอย่างไรเมื่อเห็นนางเอาของขวัญที่เตรียมไว้ไปให้ มันก็ทำให้เมฆดำมืดครึ้มที่เคยกดทับอยู่ในใจของนางตลอด 2-3 วันที่ผ่านมาสลายหายไป
“องค์ชายรอง การสั่งทำปิ่นปักผมอาจจะต้องใช้เวลานานสักหน่อย หากพระองค์อยากจะไปซื้อของอย่างอื่น พระองค์ก็ไปก่อนได้…” หลัวเซียวเซียวไม่อยากให้มู่จวินเซิ่งมาเสียเวลากับนาง ดังนั้นนางจึงพูดแบบนั้นออกไป
แต่ก่อนที่นางจะทันได้พูดจบ นางก็สบตากับแม่ทัพหนุ่มที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเสียก่อน
“ไม่เป็นไร” มู่จวินเซิ่งเหลือบมองไปที่ร้านปิ่นปักผมตรงหน้าและโกหกออกมาคำโต “พอดีว่าข้าเองก็ต้องเตรียมของขวัญวันเกิดให้ไทเฮาเช่นกัน เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกันเถอะ”
หลัวเซียวเซียวรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ใจจริงนางอยากจะถามออกไปว่า การที่เขาจะมอบของขวัญเช่นนี้ให้กับไทเฮามันไม่ถือว่าธรรมดาเกินไปหรือ?
แต่เมื่อนางคิดว่าแม่ทัพหนุ่มประจำการอยู่ที่ชายแดนมานานหลายปี เขาไม่ใช่คนที่จะสนใจกฎระเบียบในรั้ววังมากนัก นางจึงกลืนคำพูดของตัวเองลงไป
จากนั้นคนทั้ง 2 ก็เดินเข้าไปในร้านค้า แต่ทันทีที่พวกเขาไปถึงประตู ทั้งคู่ก็ถูกคนรับใช้ 2 คนที่สวมชุดพ่อบ้านขวางเอาไว้
“ช้าก่อน วันนี้อาจารย์ฉินไม่รับแขก”
บนชุดของคนรับใช้ทั้ง 2 มีตัวอักษรคำว่า ‘เฉิน’ ตัวใหญ่ปักเอาไว้ ในขณะที่พวกเขาดูจะภูมิใจกับมันมากจนไม่สนใครหน้าไหน
“ไม่รับแขกหรือ?” หลัวเซียวเซียวเกือบมองอีกฝ่ายและรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงยิ้มถามว่า “ท่านทั้ง 2 เป็นคนรับใช้ของอาจารย์ฉินเช่นนั้นหรือ?”
ฝ่ายคนรับใช้ไม่คาดคิดว่าหญิงสาวจะกล้าถามคำถามกับพวกตนมากมายขนาดนี้ เขาจึงตอบออกไปอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าไม่มีตาหรืออย่างไร เจ้าไม่เห็นอักษรที่ปักบนเสื้อผ้าของพวกเราหรือ พวกเราเป็นคนรับใช้ของตระกูลเฉิน วันนี้คุณหนูเป็นแขกคนสำคัญของที่นี่ พวกเจ้าควรออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”
“นี่เจ้ากำลังไล่ใคร?” ในตอนแรกมู่จวินเซิ่งไม่ได้อยากพูดอะไร แต่พอได้เห็นท่าทางเย่อหยิ่งของคนทั้ง 2 คิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากันแน่น
เนื่องจากสถานะที่สูงส่งของชาติกำเนิดทำให้ท่าทางของชายหนุ่มดูสง่างามทันทีที่เปิดปาก จนทำให้คนรับใช้ทั้ง 2 ตกใจ
ทันใดนั้นท่าทีกับคนรับใช้ก็ไม่ได้ดูเข้มงวดเหมือนที่พูดกับหลัวเซียวเซียว “ข้าน้อยหมายความว่าวันนี้ท่านอาจารย์ฉินจะไม่รับแขกคนอื่น ถึงแม้พวกท่านจะเข้าไปมันก็ไม่มีประโยชน์…”
เมื่อหลัวเซียวเซียวได้ยินดังนี้ นางก็หลุบตาลงด้วยความเสียใจ
วันนี้พวกนางคงจะเข้าไปด้านในไม่ได้ หากพวกนางไม่สามารถสั่งทำปิ่นปักผมในวันนี้ได้สำเร็จ มันอาจจะไม่มีโอกาสในวันข้างหน้าอีก
“องค์ชายรอง เราไปกันเถิดเพคะ” หลัวเซียวเซียวพยายามปกปิดความผิดหวังบนใบหน้าของตัวเองแล้วกระซิบพูดกับมู่จวินเซิ่งเบา ๆ “เราไปดูร้านอื่นกันก็ได้เพคะ”
หญิงสาวเป็นคนที่ระมัดระวังตัวและไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นมาตลอด
ดังนั้นแม้ว่าคนรับใช้ 2 คนตรงหน้าจะพูดไม่ดีกับตน แต่นางก็ไม่คิดที่จะโต้เถียงกับพวกเขา
เหตุผลเป็นเพราะนางไม่อยากสร้างปัญหาให้กับมู่ไป๋ไป่
หลัวเซียวเซียวคิดว่ามู่จวินเซิ่งจะเดินตามนางออกไป แต่นางไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มที่ปกติอบอุ่นใจดีจะถามขึ้นมาว่า “เจ้าจะไปไหน?”
หญิงสาวนิ่งไปชั่วครู่แล้วส่ายหัวตอบโดยไม่รู้ตัว “หม่อมฉันไม่รู้… แต่ในตลาดมีร้านค้าตั้งมากมาย หม่อมฉันคงจะสามารถหาร้านขายเครื่องประดับร้านอื่นได้เพคะ”
บางทีฝีมือของร้านนั้นอาจจะไม่ดีเท่ากับฝีมือของอาจารย์ฉิน แต่นี่เป็นของขวัญที่นางซื้อไปฝากผู้เป็นแม่ อีกฝ่ายคงจะดีใจมากที่เห็นความตั้งใจดังกล่าว
“เจ้ารออยู่ที่นี่สักครู่” มู่จวินเซิ่งไม่ถามอะไรอีก แล้วเขาก็พูดคลุมเครือกับหญิงสาว จากนั้นก็ก้าวเข้าไปหาคนรับใช้ตระกูลเฉิน
ทางด้านคนรับใช้ทั้ง 2 คิดว่าชายหญิง 2 คนนั้นได้ออกไปแล้วจึงรู้สึกโล่งใจ แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเดินกลับมา ความกังวลก็ปรากฏขึ้นทันที
“หลีกทาง!”
คนรับใช้ 2 คนรู้สึกว่าขาของตัวเองเริ่มสั่นยามที่ชายผู้นี้จ้องมองมาที่ตน แต่พวกเขาก็ยังคงกัดฟันก้าวเข้าไปขวางอีกฝ่ายเอาไว้ “คุณชาย ท่านเข้าไปไม่ได้”
“อาจารย์ฉินจะยอมรับแขกหรือไม่นั่นก็ให้อาจารย์ฉินเป็นคนตัดสินใจ” มู่จวินเซิ่งจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา “คงไม่ต้องรบกวนให้พวกเจ้ามาขวางข้าอยู่ตรงนี้”
‘ตระกูลเฉิน’ เขาเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีพ่อค้าที่ร่ำรวยคนหนึ่งอาศัยอยู่ เนื่องจากร้านค้าส่วนใหญ่ในเมืองเป็นของพ่อค้าแซ่เฉิน ผู้คนในเมืองจึงให้ความเคารพยำเกรงเขามาก


แสดงความคิดเห็น