บทที่ 330 ตีประตูป้อม
บทที่ 330 ตีประตูป้อม
ขณะที่สวิฟเดธกำลังสั่งการให้ทหารสร้างแนวป้องกันอยู่บนกำแพงป้อมปราการ จู่ ๆ มันก็ได้มีผู้เล่นคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า
“พวกบลัดบราเธอร์บุกมาแล้ว!”
สวิฟเดธสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบมองสำรวจไปเพื่อหาศัตรูในทันที
ในเวลาเดียวกันบริเวณผืนป่าที่ห่างจากป้อมปราการไปประมาณ 1 กิโลเมตรก็มีผู้เล่นจำนวนนับไม่ถ้วนเดินออกมาจากป่าอย่างต่อเนื่องก่อให้เกิดเป็นกลุ่มก้อนสีดำที่มองเห็นได้จากระยะไกล
“นักธนูยิงพลุส่องสว่างในพื้นที่ 30 เมตรรอบกำแพง พวกนักเวทสร้างกำแพงไฟเอาไว้ ทุกคนเตรียมพร้อมสำหรับการรบ” สวิฟเดธตะโกนสั่ง
นักเวททั้ง 20 คนที่ได้เรียนรู้สกิลไฟร์วอลล์เริ่มทำการสร้างกำแพงไฟโดยรอบป้อมปราการ แต่น่าเสียดายที่พวกเขามีจำนวนอยู่น้อยเกินไป กำแพงไฟจึงไม่ค่อยเชื่อมต่อกันอย่างที่ควรจะเป็น
“คิดว่าของแค่นี้จะหยุดพวกเราได้งั้นเหรอ กองกำลังชุดแรกบุกเข้าไปได้เลย” ไป๋ฉือสั่งการพร้อมกับเผยรอยยิ้มขึ้นมาอย่างเยือกเย็น
“ฆ่ามัน!” ไป๋หูนำกองกำลัง 5,000 คนบุกโจมตีด้วยตัวเอง ซึ่งภายในกองกำลังนั้นประกอบไปด้วยนักธนู 1,000 คน, นักเวท 1,000 คน, นักรบ 1,000 คน, นักบวช 1,000 คนและพาลาดิน 1,000 คน
ตามกฎของเกมวิธีเดียวที่จะบุกเข้าไปภายในป้อมปราการได้คือการทำลายประตูเมือง กองทัพนักรบของไป๋หูจึงวิ่งเข้าไปยังประตูเมืองเป็นอันดับแรก
“โจมตีสุดกำลัง! อย่าให้พวกมันเข้าใกล้ประตูเมืองเป็นอันขาด” สวิฟเดธตะโกนสั่ง
บริเวณประตูมีสมาชิกของเดธโซลประมาณ 20,000 คน แต่ภายในนั้นมีนักเวทและนักธนูรวมกันอยู่เพียงแค่ 8,000 คนเท่านั้น และส่วนใหญ่พวกเขาก็เพิ่งจะผ่านเลเวล 20 กันมาได้เพียงแค่ไม่นาน
ผู้เล่นเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นหน้าใหม่ที่ไม่เคยผ่านสงครามขนาดใหญ่แบบนี้มาก่อน เมื่อพวกเขาได้เห็นนักรบทั้ง 1,000 คนบุกเข้ามา พวกเขาก็ทำการใช้สกิลทุกอย่างออกไปอย่างบ้าคลั่งราวกับว่าพวกเขาจะไม่ยอมหยุดมือจนกว่าจะสังหารนักรบเหล่านี้ได้จนหมด
การโจมตีอย่างมากมายพุ่งลงไปทางด้านล่างอย่างต่อเนื่อง สวิฟเดธจึงมองดูการโจมตีเหล่านี้ด้วยความพึงพอใจ แต่หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปนานกว่า 10 วินาที เขาก็ได้พบกับปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่งคือมันไม่มีศัตรูเสียชีวิตจากการโจมตีของพวกเขาเลยสักคน
นักรบทั้ง 1,000 คนบุกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดพวกเขาก็ได้เริ่มทำการโจมตีเข้าใส่ประตูเมือง
“ทุกคนโจมตีกันแรง ๆ หน่อยสิวะ! พวกแกไม่ได้ใส่อุปกรณ์มาด้วยหรือยังไง” สวิฟเดธตะโกนด้วยความโกรธ
“หัวหน้าพวกเราพยายามเต็มที่แล้วครับ”
“แปลกมาก! ทำไมความเสียหายที่ผมทำได้มันถึงลดลงมาเหลือแค่ 1 ใน 4 ผมว่าเกราะของนักรบพวกนั้นมันไม่น่าจะใช่เกราะปกติ”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
…
เหล่าบรรดาผู้เล่นที่อยู่บนกำแพงไม่ได้รู้ตัวเลยว่านักรบโล่ทั้ง 1,000 คนที่บุกในแนวหน้าไม่เพียงแต่จะเปิดใช้งานสกิลไอร่อนวอลล์เท่านั้น แต่พวกเขายังถูกโยงด้วยสกิลซาเครดซีลของพาลาดินด้วย
สกิลซาเครดซีลจะทำการดูดซับความเสียหาย 50% ของเป้าหมายไปยังพาลาดินที่ใช้งานสกิล ดังนั้นทุก ๆ ครั้งที่นักรบโล่ทั้ง 1,000 คนที่อยู่แนวหน้าได้รับความเสียหาย พวกเขาก็จะถ่ายโอนความเสียหายบางส่วนไปยังพาลาดินทั้ง 1,000 คนที่อยู่บริเวณกองหลัง
ด้วยเหตุนี้เองมันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักรบในแนวหน้าถึงมีความถึกมากนัก เพราะด้วยผลจากสกิลไอร่อนวอลล์และซาเครดซีลรวมกัน มันก็ทำให้พวกเขาได้รับความเสียหายเพียงแค่ 1 ใน 4 จากความเสียหายเดิม
ไป๋ฉือมองดูสถานการณ์ทางด้านหน้า ก่อนที่เขาจะหันไปพูดกับเซเว่นคิลที่อยู่ใกล้ ๆ ว่า
“ไอ้พวกนี้มันกระจอกชะมัด รู้แบบนี้ฉันน่าจะให้น้องสามมาบุกด้านหน้าพร้อมกับพวกเราไปเลย”
“ไม่น่าเชื่อว่าคนที่แบล็คบลัดทิ้งเอาไว้เฝ้าป้อมปราการจะไร้ประสิทธิภาพขนาดนี้ ผมว่าอีกไม่นานป้อมปราการก็คงจะตกเป็นของเราแล้วล่ะ” เซเว่นคิลกล่าว
ไป๋ฉือหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่เขาจะส่งข้อความไปหาไป๋หูที่อยู่ในแนวหน้า
“น้องสองบุกเข้าไปเต็มกำลังพยายามทำลายประตูหลักของป้อมปราการให้ได้ ฉันคิดว่าน้องสามน่าจะอ้อมไปเสียเที่ยวแล้วล่ะ”
“ทีมระยะไกลกดดันพวกบนกำแพงเอาไว้ ” ไป๋หูตะโกนสั่งการกองกำลังนักเวทและนักธนู
“ส่วนนักรบโจมตีกำแพงเต็มกำลัง”
นักธนู 1,000 คนและนักเวท 1,000 คนขยับเข้าไปใกล้กำแพง จากนั้นพวกเขาก็เริ่มจู่โจมเข้าใส่ศัตรูที่ป้องกันป้อมปราการ
ในพริบตาเดียวพื้นที่บริเวณบนกำแพงก็ถูกกวาดล้างเป็นวงกว้าง ซึ่งมันก็ช่วยลดแรงกดดันของเหล่าบรรดานักรบได้ในทันที
เมื่อสวิฟเดธสังเกตเห็นพรรคพวกของตัวเองเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก เขาจึงตะโกนสั่งการออกไปว่า
“ไอ้พวกตาเซ่อ! โจมตีไปที่กองหลังของพวกมันสิวะ แล้วพวกแกโจมตีตัวแทงค์อยู่ทำไม ฆ่าพวกนักเวทกับนักธนูของพวกมันก่อน”
คำสั่งที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทำให้ผู้เล่นบนกำแพงเต็มไปด้วยความสับสน และเนื่องจากพรรคพวกของตัวเองที่เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากทำให้พวกเขาไม่สนใจคำสั่งของสวิฟเดธอีกต่อไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ถึงแม้พวกเขาจะถูกโจมตีจากนักเวทและนักธนูจากด้านล่าง แต่พวกเขาก็ยังคงมุ่งหน้าโจมตีไปที่กองทัพนักรบเพราะกลัวว่านักรบเหล่านั้นจะทำลายประตูเมืองเข้ามาหาพวกเขาได้
สวิฟเดธมองลูกน้องของตัวเองที่ไม่สนใจคำสั่งด้วยความโกรธ แต่เขาก็คงจะไม่สามารถไปลงโทษทุกคนในช่วงเวลานี้ได้ เขาจึงส่งข้อความไปที่ผู้บังคับบัญชาที่ดูแลประตูทางทิศตะวันออก, ทิศตะวันตกและทิศใต้ว่า
“สถานการณ์ของพวกนายเป็นยังไงบ้าง?”
“ทุกอย่างปกติดี ไม่มีปัญหาอะไร” ผู้บัญชาการจากทั้ง 3 ประตูส่งคำตอบกลับมาพร้อม ๆ กัน
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้สวิฟเดธถถอดหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็ได้พิจารณากองกำลังของไป๋ฉืออีกครั้งและได้พบว่ากองกำลังนี้มีสมาชิกเพียงแค่หมื่นกว่าคน ซึ่งมันก็น่าจะเป็นกองกำลังของสามพี่น้องตระกูลไป๋ที่เอาชนะกำลังเสริมของสกายซอร์ทมาได้
“กองกำลังของพวกมันพึ่งปะทะกับกองกำลัง 40,000 คนของพวกเราไป กองกำลังที่เหลือของพวกมันคงไม่น่าจะแข็งแกร่งเท่าไหร่ ดูท่าพวกมันไม่น่าจะมีกำลังเหลือมากพอที่จะแบ่งทัพออกไปได้แล้ว” สวิฟเดธพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“นายช่วยนำกองกำลัง 10,000 คนมาช่วยประตูทางเหนือหน่อย” สวิฟเดธส่งข้อความไปหาผู้บัญชาการประตูทิศใต้
“ได้ครับ” ออไนท์ ผู้ซึ่งเป็นผู้บัญชาการประตูทางทิศใต้ตอบรับคำสั่ง ก่อนที่เขาจะนำกองกำลังไปยังประตูทิศเหนือ
ขณะเดียวกันไป๋เหลิงที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ก็สังเกตเห็นเหล่าบรรดาทหารรักษาการณ์บนกำแพงที่เริ่มเคลื่อนที่จากไป เขาจึงเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเย็นชาพร้อมกับพึมพำขึ้นมาเบา ๆ ว่า
“ช่างเป็นกองทัพที่ไร้ระเบียบจริง ๆ”
“ทหารทางประตูทิศใต้เคลื่อนกำลังไปช่วยประตูทางทิศเหนือแล้ว” ไป๋เหลิงส่งข้อความไปถึงไป๋ฉือและไป๋หู
“เฮ้น้องสาม! นายต้องเร่งมือหน่อยนะ ตอนนี้ฉันกำลังจะทำลายประตูเมืองทางทิศเหนือได้แล้ว” ไป๋หูตอบกลับมาอย่างสบาย ๆ
“พวกมันกระจอกขนาดนั้นเลยเหรอ?” ไป๋เหลิงตอบกลับอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“กองทัพของพี่ใหญ่ยังไม่ได้เคลื่อนไหวเลย ฉันอาศัยกองกำลังแค่ 5,000 คนก็กดดันพวกมันจนต้องเรียกกองกำลังเสริมได้แล้ว แต่ประตูเมืองแข็งแกร่งมาก ฉันเลยยังบุกเข้าไปภายในป้อมปราการไม่ได้” ไป๋หูกล่าว
“โอเค อีก 2 นาทีเดี๋ยวฉันจะรีบบุกเข้าไป” ไป๋เหลิงตอบ
หลังจากปิดหน้าต่างสนทนาแล้ว ไป๋เหลิงก็หันไปสั่งหัวหน้าทีมทั้ง 5 คนที่อยู่ใกล้ ๆ ว่า
“ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม อีก 2 นาทีพวกเราจะเริ่มบุก”
“ครับ!”
เวลา 2 นาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไป๋เหลิงจึงส่งเสียงตะโกนพร้อมกับชูดาบขึ้นไปบนฟ้า
“ทุกคนบุก!!”
“ฆ่ามัน”
นักรบและพาลาดิน 5,000 คนพร้อมใจกันลุกขึ้นจากพุ่มไม้ จากนั้นพวกเขาก็ชูอาวุธขึ้นไปบนท้องฟ้าและพุ่งตัวออกไปจากแนวป่า
ตอนแรกทหารที่รักษาการณ์ 500 คนอยู่บนกำแพงคิดว่าตัวเองคงไม่มีอะไรให้ต้องทำ แต่ในขณะที่พวกเขากำลังสงสัยว่าสถานการณ์ทางทิศเหนือจะเป็นยังไง มันก็มีเสียงตะโกนของศัตรูดังขึ้นมาห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลมากนัก
“ชิบหายแล้ว!” ผู้เล่นที่นำทีมรักษาการณ์บนกำแพงป้อมปราการอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อได้เห็นกองกำลังของไป๋เหลิงที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นมาจากแนวป่า
แตกแน่ ๆ


แสดงความคิดเห็น