ตอนที่ 1 .. “ ภาพหลอนของจิตใจ ”

พยัคฆ์ร้าย..สายลับ

-A A +A

ตอนที่ 1 .. “ ภาพหลอนของจิตใจ ”

ฟังเพลงเพราะๆ ประกอบ นิยาย พยัคฆ์ร้าย..สายลับ

โชคดีที่พบเธอ - ฝน ธนสุนทร (เพลงประกอบ นิยาย พยัคฆ์ร้าย..สายลับ) พัชฌา

โชคดีที่พบเธอ - ฝน ธนสุนทร (เพลงประกอบ นิยาย พยัคฆ์ร้าย..สายลับ) พัชฌา

sds

นิยาย แนว อาชญากรรม และนักสืบ (Detective and Crime Novel) / สืบสวนสอบสวน (Suspense) / Action

เรื่องย่อ ….. (เกริ่นนำ)

     เด็กสาว 8 คน ที่มีที่มาที่แตกต่างกัน..2 คน เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน..1 คน เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยงพร้อมกันโดย นักฆ่านิรนามคนหนึ่ง ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่จากการรับจ้างฆ่าอย่างลับๆ เป็นองค์กรลึกลับที่ทางการยังไม่สามารถปราบปรามได้..1 คน เป็นลูกสาวของนายตำรวจใหญ่ ที่หลงรักอาตัวเอง..1 คน เป็นเด็กสาวที่ยากจนรับจ้างทำงานเป็นสายสืบให้กับตำรวจด้วยความจำเป็นเช่นกัน เพราะ พ่อและแม่ของเธอ เสียชีวิตด้วยยาเสพติด..1 คน ที่มีฐานะค่อนข้างจะดี เรียนจบมาทางกฎหมาย นิสัยคล้ายๆ ผู้ชาย แต่ก็ยังชอบผู้ชาย ออกจะแก่นแก้วไม่กลัวใคร ชอบการต่อสู้ป้องกันตัว/สืบสวนสอบสวน ทะเล้น อารมณ์ดี แต่ไม่ชอบเป็นตำรวจ จึงร่วมหุ้นกับเพื่อนรุ่นพี่เธอเปิดบริษัทนักสืบ และ ร้านออกกำลังกายเล็กๆ บังหน้า เพื่อที่จะทำงานลับๆ ได้อย่างสบายใจ โดยไม่มีใครสงสัย..1 คน เป็นเพื่อนสนิทปูน พ่อแม่รวย มีมรดกมากมาย แต่ไม่ชอบชีวิตคุณหนู ชอบออกกำลังกาย ยุ่งเรื่องชาวบ้าน เลยมาทำงานกับปูน และ..1 คน สุดท้าย ลูกเลี้ยงมาเฟียใหญ่ แฝงตัวมาเพื่อสืบข่าวจากกรมตำรวจ

คนที่ 1 โบว์ น้องสาวแท้ๆ ของเบ็นซ์ ฉายา นางแมวป่า พี่น้องท้องเดียวกัน

คนที่ 2 เบนซ์ พี่สาวแท้ๆ ของโบว์ ฉายา นางเสือดาว พี่น้องท้องเดียวกัน

คนที่ 3 แป๋ว เพื่อนของ เบียร์ ฉายา นางสิงห์ดำ เด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง

คนที่ 4 เพ็ญ คนที่จ่าหมูรัก ปัญหาคือ เพ็ญรักอาตัวเอง ลูกสาวนายตำรวจใหญ่

คนที่ 5 ขิง แฝงตัวมาเพื่อสืบข่าวภายใน จากกรมตำรวจ ลูกเลี้ยงมาเฟียใหญ่

คนที่ 6 ปูน ชอบทางสืบสวน ฉายา วิหคขาว นักสืบสาว พราวเสน่ห์

คนที่ 7 ทับทิม เพื่อนปูน น้องแตงโม ฉายา พิราบเทา ครูสาว สอนเทควนโด

คนที่ 8 เบียร์ เพื่อนของเพ็ญ ฐานะยากจน รับจ้างเป็นสายสืบนอกเครื่องแบบให้กับตำรวจ

>>>>> ----- <<<<<

sds

     เผด็จ ตำรวจหนุ่มใหญ่ วัย 55 ปี ภรรยาตายเพราะความตรงฉินของเขา เขาทำใจไม่ได้ จึงทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจ หมดกำลังใจ เพราะทำดีแล้วไม่ได้ดี ต้องมาสูญเสียคนที่ตนรักไปต่อหน้าต่อตา วันๆ ได้แต่ทานเหล้าแล้วก็โทษตัวเอง และก็ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น คล้ายจิตหลุด และสุดท้ายก็ตัดสินใจลาออกจากราชการก่อนเกษียณ ทิ้งลูกชายและลูกสาวทั้ง 2 คนให้คุณย่าดูแล แล้วตัวเองก็หนีหน้าไปจากสังคมที่เกาะแห่งหนึ่งระยะหนึ่ง

     แต่การภารกิจที่ค้างคาใจของเขาอยู่นั้น มิอาจจะทำให้เขาสงบสุขได้ ถ้าเขาไม่ทำให้มันหมดไปจากใจ ... องค์กร นักฆ่าลึกลับ ที่กำลังเป็นข่าวใหญ่อยู่ทุกวันนี้ ที่ตำรวจยังไม่สามารถกวาดล้างได้ จึงเป็นเหตุที่ทำให้กรมตำรวจต้องมาขอความช่วยเหลือจากเขาผู้นี้ ความรักและศรัทธาต่ออุดมการณ์ที่มีอยู่เหนือเหตุผลใดๆ จะทำให้เขาหลุดพันจากพันธนาการชีวิตของเขาได้ไหม ไม่มีใครตอบได้ นอกจากสติและจิตใจของเขาเองนั่นเอง

     ไม่ใช่เฉพาะเขาที่มีเรื่องเดือดร้อน แต่เพื่อนสนิทของเขาก็ “งานเข้า” แล้วตอนนี้ เพราะเรื่องราวยุ่งๆ ต่างได้วนเวียนเข้ามาหากับคนรอบข้างเขาเข้าแล้ว .. การขอความช่วยเหลือ จากเขาผู้นี้จะเป็นไปได้แค่ไหน พวกเหล่าร้าย ต้องการอะไร เพราะเรื่องราวทั้งหมดนี้ ได้ถูกทิ้งปมปริศนาไว้มากมาย ที่คอยให้เผด็จ กลับมาสะสางและจัดการคนเดียวกระนั้นหรือ คงไม่มีใครตอบได้ หากพวกเราทุกคนไม่ช่วยกัน ไม่ให้ความร่วมมือ มองผ่านมันไปเหมือนไม่ใช่เรื่องของเรา

     องค์กรลึกลับนั้น ต้องการอะไรจากสังคม มาดีหรือมาร้าย ตำรวจยังมีคนดีที่ไม่ท้อแท้และมุ่งมั่นทำความดีเหลืออยู่ไหม สังคมที่เห็นเงินตราเป็นพระเจ้า ความดีที่ถูกมองข้าม คนชั่วเต็มเมือง ความเห็นแก่ตัวครอบงำ เลยทำให้คนหลายคนต้องทำตัว “ตัวใครตัวมัน” ในเมื่อเป็นเช่นนี้อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าไม่มีใครคิดช่วยหรือทำอะไรเลย

     สังคมจะเป็นอย่างไร ดีขึ้นเลวลง ชีวิตของพวกเราทั้งหมดจะอยู่ยังไง อยู่กับความกลัวไปเรื่อยๆ รึ สังคมจะรอคอยความช่วยเหลือจากคนเพียงคนเดียวงั้นเหรอ คงไม่ใช่ ถ้าพวกเรากล้าเผชิญกับความจริง เข้าใจและรับรู้ในสิ่งที่กระทำลงไป ไม่มองข้ามความดีเล็กๆ น้อยๆ ก็คงจะดีนะ เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร ติดตามต่อได้ ณ บัดนี้..

########## ---------- ##########

sds

ตอนที่ 1 .. “ภาพหลอนของจิตใจ”

Tie A Yellow Ribbon Round The Ole Oak Tree - Ray Conniff Singers (เพลงประกอบ นิยาย พยัคฆ์ร้าย..สายลับ) พัชฌา

  (ปัจจุบัน....) องค์กรนักฆ่า ได้ถูกว่าจ้างให้มาฆ่านักธุรกิจหนุ่มใหญ่พันล้านคนหนึ่ง ในวันที่เขากำลังมีความสุขกับการตกลงเซ็นต์ สัญญาใหม่กับบริษัทต่างชาติที่พัทยา .. เด็กสาว 3 คน ขององค์กรที่แฝงตัวมาในคราบนักเต้น เต้นอยู่บนเวทีสไตล์สากล คล้ายๆ กับบรอดเวย์ บนเวทีมีนักเต้นสาวสวย เกือบ 30 ชีวิตก็จริง แต่มี 3 คนที่เป็นนักฆ่า (เพลง Tie a Yellow Ribbon Round The Old Oak Tree - Ray Conniff) ..ขนาดตำรวจรู้ข่าวแล้วจากสายสืบ แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือนักธุรกิจผู้นั้นไว้ได้..นักธุรกิจผู้นั้นนั่งอยู่หน้าเวทีเป็นประธาน 3 สาวนักฆ่าเต้นมาหน้าเวทีตามปกติและได้ซัดอาวุธ คือ เข็มบินปลิดวิญญาณ เข้าตรงจุดตาย 3 เล่ม หน้าผาก ลำคอ และ หัวใจ สิ้นใจลงอย่างเงียบๆ ทันที โดยไม่มีใครสังเกต ต่อหน้าผู้คนนับพัน จนการแสดงจบ ถึงได้รู้ว่านักธุรกิจผู้นั้น ไม่มีลมหายใจเสียแล้ว .. งานนี้ตำรวจเสียหน้ามาก จับมือใครดมไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าผู้ตาย เสียชีวิตได้ยังไง และงานนี้ 3 สาวนักฆ่าก็สามารถหนีไปได้อย่างลอยนวล โดยไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้ให้ตามเลย คงทิ้งไว้ให้แต่ความมืดมน งง และความโกลาหล ของผู้ตายในครั้งนี้ โดยเฉพาะพวกตำรวจมือปราบและสันติบาล ที่มึนไปหมด

sds

  โบว์..1 ใน 3 สาวนักฆ่า ถ้าไม่มีงานที่ได้รับมอบหมาย ชีวิตปกติทั่วไป เธอแฝงกายในคราบครูสอนพิเศษเด็กนักเรียนมัธยมตามบ้าน..เบนซ์ เป็น นางแบบสาวแสนสวย รับงานเดินแบบทั่วไป และ แป๋ว เป็น เจ้าของร้านโทรศัพท์มือถือในตลาดแห่งหนึ่ง

  อัธวุฒิ ได้รับมอบหมายจากเบื้องบนแบบด่วนจี๋ เรียกว่า “งานเข้า” ก็ว่าได้ ให้ตามตัวเพื่อนรักอย่าง เผด็จ ให้กลับมาทำงานนี้ให้สำเร็จให้ได้ เท่าที่หลายฝ่ายได้ประเมินกันอย่างรอบคอบแล้ว มีความเห็นตรงกันว่า งานนี้คงไม่มีใครที่จะเหมาะสม และ สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเท่าเผด็จแน่ เหตุผลข้อเดียวที่มี และ ชี้ชัดลงไป ก็คือ “เพราะเผด็จ ตามงานนี้มาตั้งแต่แรก” แต่เขาจะมีกำลังใจที่จะปราบปรามพวกนี้ให้หมดไป ได้หรือไม่ ถ้าเขายังจมอยู่กับอดีตแบบนี้ ซึ่งเป็นที่หนักใจของอัธวุฒิ เพื่อนๆ ลูกน้องเก่าๆ รวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายด้วย

>>>>> ***** <<<<<

sds

     ณ. สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ พันตำรวจเอก อัธวุฒิ ปัญจโชติ ได้ถูกเรียกตัวให้มาพบโดยด่วนจี๋ แบบไม่ได้ตั้งตัว โดย พลตำรวจเอก เชี่ยว ชาญยุทธ (ผบ.ตร.) ผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติที่รับผิดชอบในขณะนั้น ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดี กับคดีที่ตำรวจเสียหน้ามากๆ ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ

sds

     เสียงดังปานฟ้าผ่าลงต่อหน้า พร้อมทั้งเสียงทุบโต๊ะ “โครม” อัธวุฒิ ยังใจดีสู้เสือ ยืนตรง ทำความเคารพ

   “ว่าไง ไหนอธิบายมาซิ กับเรื่องคดีที่เกิดขึ้น จับตัวคนก่อเหตุ ไม่ได้ ไม่มีร่องรอย อะไรเลย มันล่องหนหายตัวได้รึไง .. นี่เหรอ มือดีของฉัน มันเกิดอะไรขึ้น คนนึงน้อยใจหายหัว หนี หลบหน้าไป ไร้ร่องรอย ส่วนๆ ไอ้ที่อยู่นี่ ก็คว้าน้ำเหลว ไม่มีน้ำยา น่าเบื่อ น่าเบื่อมาก มากถึงมากที่สุด จริงๆ ”

     ผบ.ตร. พูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม แล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้อย่างแรง แบบไม่กลัวเก้าอี้พังเลยก็ว่าได้

    “ท่านครับ” อัธ พยายามจะอธิบาย แต่ ผบ.ตร. ไม่ค่อยจะยอมฟัง สีหน้าเคร่งเครียดเป็นที่สุด พร้อมกับโยน จดหมาย 2 ฉบับให้กับอัธวุฒิ

     “เรื่องเก่า ยังไม่จบ มีเรื่องใหม่ มาอีก เอ้า ไปอ่านดู”

     อัธ ค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบจดหมาย บนโต๊ะท่าน ผบ.ตร. มาดู ด้วยสีหน้าที่ไม่ดีเช่นกัน ฉบับแรก เป็นข้อความถึง เผด็จ ส่วนฉบับที่สองเป็นข้อความข่มขู่นักธุรกิจและวางระเบิดประชาชน หากไม่ยอมทำตามเงื่อนไขของพวกมัน ทำให้อัธวุฒิ ต้องค่อยๆ พับจดหมาย แล้ววางไว้บนโต๊ะที่เดิม

     “ผมเข้าใจนะผู้กำกับ ว่ามันกดดัน” ผบ.ตร. ลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินออกมาจากโต๊ะทำงาน เอามือไขว้หลังเดินไปยังอัธวุฒิ แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าอัธวุฒิ ที่ยืนตัวตรงนิ่ง แล้วพูดเบาๆ

     “แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง” อัธ ยังนิ่ง มือจากที่แนบลำตัวตรง เริ่มกำแน่นขึ้น เหงื่อเริ่มไหลซึมออกมา

     “ผมจะรีบดำเนินการ สะสางเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดครับ .. ท่าน” อัธพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ไม่ดังนัก

     “อัธ” ท่าน ผบ.ตร. เอามือจับไหล่ซ้าย แล้วเดินอ้อม วนไปด้านหลัง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา

     “ฉันเข้าใจนะว่า เรื่องนี้ มันใหญ่ เกินกว่าที่นายจะรับผิดชอบคนเดียว” แล้วก็ยื่นปากไปพูดที่หูขวา

     “ทำไมนายไม่หาคนช่วยหละ” ท่านพูดทิ้งท้ายไว้ แล้วก็เดินอ้อมออกไปทางขวามือ

     อัธ หันหน้าไปหาท่าน ผบ.ตร. แล้ว รำพึงออกมาเบาๆ

     “เผด็จ” แล้วก็ ถอนหายใจเบาๆ

     “ใช่” ท่าน ผบ.ตร. กล่าวเสริม

     “ฉันคิดว่า ณ เวลานี้ เราจำเป็นที่ต้องพึ่งพาเค้าแล้วหละ” แล้วก็เดินกลับมาเดินโอบไหล่อัธวุฒิ

    “เพราะเท่าที่ฉันมองดูรูปการ ในสถานการณ์แบบนี้แล้วนะ ฉันคิดว่า เค้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถจะมาช่วยคลี่คลายเรื่องราวต่างๆ พวกนี้ได้ เพราะเค้าเป็นคนตามเรื่องนี้มาตลอด” แล้วก็พา อัธ เดินมานั่งที่เก้าอี้

     “เอ้า นั่งก่อน” อัธ ก็ลากเก้าอี้มานั่ง

     “ขอบคุณครับ” แล้วก็ เงยหน้า มองไปที่ท่าน ผบ.ตร.

     “ใจเย็นๆ ทำตัวตามสบาย ทานอะไรหน่อยไหม” ผบ.ตร. ปลอบใจอัธ และเปลี่ยนอารมณ์เหมือนกัน

     “ฉันต้องขอโทษ นายด้วยนะ ที่เมื่อกี้ อารมณ์ร้อน และฉุนเฉียวไปหน่อย อย่าว่ากันนะ”

     “ไม่เป็นไรครับท่าน ผมเข้าใจ” อัธ เริ่มมีสีหน้าดีขึ้น เมื่อท่าน ผบ.ตร. พูดกับเขาด้วยเสียงปกติ

     “กาแฟสักถ้วยไหม จะได้สดชื่น” ท่านเชิญชวน อัธก็ยินดี เพราะไม่มีอะไรกดดันแล้ว

     “ขอบคุณอีกครั้งครับท่าน” แล้วท่าน ผบ.ตร. ก็ตบไหล่ขวาอัธ เบาๆ และก็ยกหูโทรศัพท์สั่งกาแฟ

     “จดหมายฉบับแรก เป็นของเผด็จ” ท่าน ผบ.ตร. กล่าวขึ้นมา พร้อมด้วยสีหน้างุนงง ของอัธวุฒิ

     “ผมไม่เข้าใจว่าพวกนั้น ต้องการอะไรจากเฮีย” และก็ ไปชี้จดหมายอีกฉบับ

     “และอีกฉบับ มันเกี่ยวโยงอะไรกะเฮียเด็จด้วยครับท่าน”

     “ฉันก็ไม่รู้นะ แต่ก็พอจะเดาออกได้อย่างนึงว่า พวกผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ ต้องเป็นกลุ่มเดียวกันแน่”

     “ทำไมท่าน คิดแบบนั้นหละครับ”

     “ไม่รู้ซิ แต่เซ้นต์ฉันมันบอกอย่างนั้น เพราะ การลงมือ และข้อความที่มันทำ มันเจาะจงไปที่เผด็จ”

     ท่าน ผบ.ตร.ทำท่าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จะอ้าปากพูด เสียงเคาะประตูดังขึ้น “ก๊อกๆ ” ประตูเปิด ตำรวจหญิงก็นำกาแฟเข้ามาให้ 2 ที่ ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม (ร้อยตำรวจโทหญิง เพ็ญนภา ชาญยุทธ) แล้ว ผบ. ก็ยิ้มตอบ

sds

     “มาแล้ว ทานก่อน แล้วค่อยปรึกษาหาทางออกกันนะ” เธอโค้งคำนับ แล้วเธอก็เดินออกไป

     “ฉัน..อยากให้นายไปตามตัวเค้ากลับมาให้ได้” ผบ.ตร. ยื่นหน้าไปหาอัธ อีกที แล้วกระซิบเบาๆ

     “คิดว่า สามารถไหม” แล้วก็เอามือขวาจับไหล่ซ้ายอัธวุฒิ และก็โน้มตัวเองกลับมานั่งลงที่เก้าอี้

     “เออ!! ผม” อัธ กระอักกระอ่วน เงียบและยังไม่ตอบอะไร ท่าน ผบ. ยกมือขวาขึ้นมาเหมือนห้าม

     “ฉันรู้นะ ว่านายรู้ ว่าเค้าอยู่ที่ไหน รีบไป เพราะเรามีเวลาไม่มากแล้ว” อัธได้แต่มองหน้าท่าน ผบ.ตร.

     “ครับท่าน” อัธ รับคำสั่งแล้วก็รีบลุกออกจากเก้าอี้ทันที ก่อนจะออกไปจากห้อง ผบ.ตร.ได้เรียกอัธ

     “เดี๋ยว” อัธวุฒิ หยุดและหันมา

     “ครับท่าน” ท่าน ผบ.ตร. ชี้ไปที่จดหมาย 2 ฉบับ

     “นายลืมอะไรรึป่าว อัธวุฒิ” อัธวุฒิ โค้งคำนับขอโทษ

     “ครับ” แล้วเดินไปหยิบจดหมายมาใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง แล้วก็เปิดประตูและรีบเดินออกไปทันที

     < ก๊อกๆๆๆ > เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่ห้องท่าน ผบ.ตร. แล้วประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมรอยยิ้มของตำรวจสาวผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา พร้อมกับเสียงหวานๆ ที่ทักทาย ท่าน ผบ.ตร.

     “อารมณ์ดีแล้วหรือคะ ท่าน ผบ.ตร” ท่าน ผบ.ตร. ลุกขึ้นมาแล้วก็ สวมกอดสาวน้อยผู้นั้น

   “ยัยหนู..ดีแล้วลูก” แล้วก็หันไปหยิบแก้วกาแฟขึ้นมา พร้อมกับเดินไปที่หน้าต่าง ยกกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อย พร้อมกับเปรยกับลูกสาว

     “พ่อว่า .. ก่อนเกษียณ พ่อคงจะมีความสุขนะ เพราะพ่อได้ทำอะไรๆ ให้กับสังคมไทยได้ไม่มากก็น้อย”

     “คุณพ่อขา อย่าเครียดและซีเรียส มากนักนะคะ ความดันมันจะขึ้นเอานะ” ลูกสาวพูดหวานแบบอ้อน

     “พ่อเชื่อนะลูก ว่าสิ่งที่พ่อคิด มันจะถูกต้องนะ” เพ็ญเอื้อมมือไปกอดแขนซ้ายและก็เข้าไปซบแขนพ่อ

     “ถ้าคุณพ่อหมายถึง คุณอาเผด็จหละก็ หนูว่า พ่อคิดไม่ผิดหรอกคะ เพราะคุณอาเค้าเป็นคนดี มีฝีมือ”

    “ขอให้พ่อคิดถูกก็แล้วกัน เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว พ่อกลัวเหลือเกินลูก” ผบ.ตร. เอามือขวามาลูบหัวลูกสาวเบาๆ และก็หันมองไปที่หน้าต่าง อย่างหมดกำลังใจ และก็จิบกาแฟต่อไป

***** +++++ *****

sds

     ณ.เกาะสวยงามแห่งหนึ่ง ธรรมชาติร่มรื่น ที่อยู่ห่างไกลผู้คนมาก ทางใต้ ทะเลฝั่งตะวันออก ของประเทศไทย อัธวุฒิและผู้ติดตามอีก 2 คนนั่งเรือมาตามหาเผด็จ (พลตำรวจตรี เผด็จ รุจินานนท์) ซึ่งพวกเขาต้องทำงานแข่งกับเวลาเป็นอย่างมาก ร้อนก็ร้อน เมื่อเรือถึงเกาะ ทั้ง 3 คนรีบลงจากเรือ แล้วก็รีบเดินไปตามทางที่ขรุขระลาดชัน ซึ่งทางที่ไปนั้นค่อนข้างจะลำบากมาก มีทรายบ้างดินบ้าง ดินก็มีทั้งแห้งบ้างเปียกบ้าง มุ่งหน้าขึ้นไปบนเขา ประกอบกับลมแรง แดดแรง แต่เขาพวกเขาเหล่านั้นก็ต้องผจญกันต่อไป หลังจากที่อัธวุฒิและผู้ติดตามได้พักดื่มน้ำ ล้างหน้า เป็นที่เรียบร้อย อัธวุฒิมองไปรอบๆ เมื่อเห็นเป้าหมายที่ต้องการ อัธวุฒิ จึงตัดสินใจตะโกนออกไป

    “เฮีย..” เสียงเรียกอย่างกึกก้อง ประสานกับคลื่นลมแรงของน้ำทะเล ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกับน้ำเสียงนั้น อัธ จึงเรียกอีกครั้ง เปรียบเสมือนเข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวามิปาน 

     “เฮีย .. เต๋า” เขาใจดีสู้เสือ ลองตะโกนอีกครั้ง แต่ก็เงียบ เสมือนไม่มีผู้คนอยู่แถวนั้น

     “ผู้กำกับครับ” จ่าหมง เป็นห่วงมาก จึงสะกิดอัธ

    “ไม่เป็นไร จ่า เดี๋ยวผมจัดการเอง” แล้วอัธ ก็ตัดสินใจเดินไปคนเดียวที่หน้าผา ตรงที่ เผด็จยืนอยู่ สายตาของจ่าทั้ง 2 คนที่ติดตามมาด้วยดูเหมือนจะหมดหวัง ระหว่างที่อัธเดินไป จ่ามิ่ง จึงบ่นออกมาและถอนหายใจ อย่างแรง จนคนที่อยู่ข้างๆ สะดุ้งทันที

     “เฮ้ย..หมง ข้าว่า..จะเสียเวลาป่าวๆ หวะ ถ้าเป็นแบบนี้ เอ้อ!!”

    “เบาๆ ก็ได้มั้ง เล่นซะตกใจหมดเลย .. ข้าก็ไม่รู้ ข้าว่าก็ต้องรอลุ้นหนะ ท่านผู้กำกับมาเองเลยนะ ยังไงๆ ข้าว่า ท่านรองฯ คงจะเกรงใจบ้างหละวะ สองคนนี้เขาสนิทกันมาก”

    “อืม..ข้าก็ขอให้เป็นอย่างนั้นนะ” มิ่ง กล่าวแบบวิตกกังวล และไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าใด กลัวเหนื่อยป่าว เพราะเห็นร่างที่นิ่งไม่ไหวติงของเผด็จยืนอยู่ไกลๆ ใกล้กับหน้าผา เหมือนเขาไม่รับรู้อะไรเลย

     สายลมแรงและเสียงคลื่น มิอาจทำให้ร่างของเผด็จ สะเทือนแม้แต่นิด ขนาดอัธวุฒิ มาถึงตัวเขา เขาก็ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงอะไร เหมือนเป็นคนไม่มีชีวิตจิตใจ จนทำให้อัธ ทนดูต่อไปอีกไม่ไหว ก็เลยพูดออกไปดังๆ

     “จะเป็นแบบนี้อีกนานไหม” สักพัก..เผด็จมีการขยับตัว คราวนี้มีปฏิกิริยา เขาค่อยๆ หันหน้ากลับมาทางซ้ายมือของตัวเอง และสบตากับอัธ ครู่ใหญ่ แล้วหันกลับไป จากมือที่ซุกกระเป๋ากางเกง กลับมาเป็นกอดอกแทน แล้วก้มหน้าลงนิดๆ แล้วก็พูดกับอัธ อย่างช้าๆ

     “ไม่รู้ซิ” อัธ นิ่งกึ๊ก ในขณะที่ สองจ่าที่ยืนลุ้นอยู่ไกลๆ เดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่น อัธจึงตัดสินใจเดินอ้อมไปข้างหน้า โดยผ่านแขนซ้ายเผด็จไปแบบห่างๆ แล้วจ้องหน้าพี่ชายของตัวเองแบบสมเพจ และเอ่ยวาจา แบบเย้ยหยันเบาๆ ใส่หน้า

     “นี่นะเหรอ มือปราบเทวดา ฉายาจอมปลอมชัดๆ เฮีย กลายเป็นคนขี้แพ้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

     เผด็จ เงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วมองจ้องไปที่หน้าของน้องชายตัวเอง และพูดออกมาเบาๆ เช่นกัน

     “แล้วแต่จะคิด” แล้วก็ขยับตัวเบี่ยงออกไปทางขวาของตัวเอง แล้วเดินออกไปช้าๆ

     “ฉายาพวกนี้ ข้าไม่ได้เป็นคนตั้ง นักข่าว ทั้งนั้น แกก็รู้”

     “แล้วที่เฮียหนีมาอยู่ที่นี่ ตรงนี้ มันเพราะอะไร ไหนเฮียตอบ ให้ผมหายข้องใจหน่อยดิ”

     “อยากอยู่แบบสงบไง ป๋อง ชัดไหม” อัธ นิ่งอึ้งอีกครั้ง สักพักใหญ่ พอรวบรวมสติได้

     “อะไรนะ” อัธวุฒิ อุทานออกมาต่อหน้าเผด็จ แล้วเบือนหน้าหนีไปทางซ้ายมือตัวเอง แบบผิดหวังสุดๆ และหันหน้าไปสู้กับทะเล อัธวุฒิจ้องมองออกไปที่ทะเล แล้วก็เอามือซุกเข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนเผด็จ แล้วก็เอ่ยวาจาออกมาแบบสิ้นหวังเบาๆ แต่ก็ทำให้เผด็จได้ยินก็แล้วกัน

     “เฮ้อ..คงสงบหรอกนะในความรู้สึกเฮีย” แล้วอัธวุฒิ ก็หยิบจดหมายฉบับนึง ออกมาจากกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย และใช้มือซ้ายดึงเอากระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นนึง ขึ้นมาชูให้เผด็จเห็น

      “ผมว่าเฮีย ตกข่าวอะไรไปรึป่าว..เฮีย เฮียคิดว่าเอียจะอยู่อย่างสงบได้แบบที่คิดเหรอ”

     เผด็จ จ้องไปที่กระดาษแผ่นนั้น แล้วก็เดินไปหยิบจากมืออัธมาอ่าน แล้วตาของเขาก็ต้องลุกพราวเหมือนมีใครมาจุดไฟให้ลุกขึ้นมา เพราะข้อความในนั้นเกี่ยวข้องกับเขาและประเทศชาติ เขาอ่านด้วยใจที่สงบนิ่ง

     “ถ้าไม่เอาของของข้าที่แกเอาไปมาคืนภายใน 7 วัน ลูกของแกทั้ง 2 คน และ แม่อันเป็นสุดที่รักของแก จะแหลกเป็นจุลไปพร้อมระเบิด C4 หลายกิโลกรัม ถ้าฉลาด ก็กรุณาทำตามความต้องการอย่างเคร่งครัดด้วย แล้วจะติดต่อกลับมาเมื่อถึงเวลา” เผด็จขยำจดหมาย อยากจะโยนทิ้ง แต่ก็ทำไมได้

     “ไหนหละความสงบของเฮีย” อัธพูดขึ้นมาลอยๆ โดยที่ยังไม่ได้หันมา คราวนี้เผด็จเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งเอง สักพักพอตั้งสติได้

     “จดหมายฉบับนี้ ส่งมานานรึยัง”

     “4 วันแล้วเฮีย กว่าผมจะตามหาเฮียเจอเนี่ย” อัธหันมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เย้ยหยันนิดๆ

     “สงบไหมเฮีย” แล้วเอานิ้วจิ้มๆๆ ไปที่ จดหมาย “แบบนี้หนะ” แล้วก็หัวเราะเบาๆ นิดๆ

     “55555+” หันหน้ากลับไปที่ทะเล สักพักก็หันกับมาจ้องหน้าเผด็จ

   “จนบัดนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่า เฮียไปเอาของอะไรของพวกมันมา” และระหว่างที่คุยกะเผด็จ เขาก็เอามือขวาของเขาล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงข้างขวา หยิบจดหมายมาอีก 1 ฉบับ

     “ยังยังยัง” อัธ ยกมือซ้ายขึ้นมาชูนิ้วชี้ ปัดไปปัดมาที่หน้าเผด็จ

     “ยังไม่หมดแค่นี้นะเฮีย ยังมีเด็ดกว่านั้นอีก”

     “อะไร ไอ้ป๋อง” เผด็จถามอย่างใจจดจ่อ แต่สายตา กับไปอยู่ที่จดหมายที่อยู่ในมืออัธ

     “ถ้าอยากรู้ เฮียก็เอาไปอ่านเองก็แล้วกัน” อัธวุฒิ ยื่นจดหมายในมือให้ เผด็จรับไปและรีบเปิดอ่าน

     “มันคือจดหมายขู่พวกนักธุรกิจ” อัธวุฒิ รีบบอกเผด็จก่อน เพราะถ้าขืนให้เผด็จยืนอ่านจนจบ มันคงจะไม่ทันการ จึงรีบสรุปให้เองทันที เผด็จนิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วอัธวุฒิก็พูดต่อ

  “ที่ส่งให้กับบรรดานักธุรกิจทั้งหลายว่า ถ้าไม่ทำตามความต้องการของมัน มันจะเก็บที่ละคน เหมือนดังตัวอย่างที่ผ่านมาเร็วๆ นี้..ส่วนรายต่อไปจะเป็นใคร ที่ไหน ไม่บอก มันจะแจ้งล่วงหน้าให้รู้เอง และขู่วางระเบิดทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน/วัด/โรงพยาบาล/สถานที่ราชการ ตามความพอใจของมันอะไรทำนองนี้แหละ”

     ระหว่างที่เผด็จและอัธวุฒิ คุยกันอยู่นั้น ไกลออกไปไม่มากนัก บริเวณโดยรอบเกาะนั้น ก็มีกลุ่มคนติดอาวุธครบมือกลุ่มหนึ่งไม่ต่ำกว่า 10 คน กำลังคลืบคลานมาอย่างเงียบๆ แต่ก็คงไม่รอดหูทิพย์ของเผด็จไปได้ เมื่อเผด็จเอ๊ะใจก็เลยถามอัธวุฒิ เพื่อความมั่นใจในสัญชาตญาน ว่ามันยังแม่นยำอยู่ไหม จะได้เอาตัวรอดได้ทันท่วงที

     “แกมากี่คน และ มีใครรู้บ้าง” อัธแปลกใจในคำถามของรุ่นพี่ เพราะอัธ รู้ว่า เผด็จมีสัญชาตญานที่ไม่เหมือนใคร ถ้าไม่มีอะไรที่ผิดสังเกต คงไม่ยิงคำถามออกมาเช่นนี้แน่ แล้วก็หันไปมองหน้า เผด็จ และถามเบาๆ

    “มีไรเหรอเฮีย” อัธ เริ่มระแวง และค่อยๆ หันซ้ายขวาดูรอบตัว มือขวาจับปืนที่อยู่ข้างหลังประคองไว้ แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงอย่างช้าๆ ระหว่างที่ส่ายหน้าไปมา เพื่อรอดูสิ่งผิดปกติรอบตัว อัธ ก็บอกเผด็จด้วยเสียงเบาๆ

     “ผมมากับจ่ามิ่ง และจ่าหมง อีก 2 คน รวมเป็น 3” เผด็จ มั่นใจในสัญชาตญานของตัวเองทันที

   “มีแขกไม่ได้รับเชิญกลุ่มนึงอยู่แถวนี้ จำนวนไม่ต่ำกว่า 10 คงตามแกมาได้สักพักแล้วหละ ตอนนี้มันเริ่ม เคลื่อนย้ายขบวนแล้ว บอกจ่าสองคนนั้นให้ระวังตัวด้วยหาที่หลบเพื่อให้ตัวเองปลอดภัยโดยด่วน งานนี้ประมาทไม่ได้ เพราะถ้าพลาด หมายถึง หมดลมหายใจ” เผด็จ สอดส่ายสายตาเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง แล้วก็บอกอัธวุฒิ

    “พอข้าให้สัญญาน แกกับข้าแยกกัน แกไปทางโน้น ข้าจะไปทางนี้..แล้วค่อยคุยกันใหม่ ตามนี้ โชคดีนะเว้ย ไอ้น้องรัก .. เคร” เผด็จ ยกนิ้ว Ok เป็นหลักฐาน อัธ หยิบเครื่องสื่อสารระยะสั้น (วอร์) พูดกับ จ่ามิ่ง

     “จ่าเรามีแขกไม่ได้รับเชิญ จำนวนนึง ไม่ต่ำกว่า10 บอกจ่าหมงให้ระวังตัวด้วย หาที่หลบก่อน แค่นี้นะ”

     พอวอร์เสร็จไม่ทันขาดคำ เผด็จก็ให้สัญญานว่า “ไป” ระเบิดควันก็หล่นตูมลงเฉียดหลังอัธพอดี ต่างคนต่างหลบกันพัลวัน ชุลมุนไปหมดมองไม่เห็นอะไรเลย กลุ่มคนนับสิบในชุดทหารรับจ้างมาจากไหนไม่รู้ใส่หน้ากากป้องกันควันมาพร้อมกรูออกมาทั้งเผด็จ/อัธ และจ่า ทั้ง 2 คน ยิงสู้กันยิบตา ด้วยความชำนาญและมีไหวพริบของเผด็จ..เผด็จจัดการพวกนั้นได้อย่างง่ายดายมาก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ เกาะนี้เผด็จอยู่มาก่อน จึงรู้ทางหนีทีไล่ดี จึงไม่แปลกที่เผด็จจะได้เปรียบ ซึ่งเขาสามารถที่จะหายตัวไปไหนมาไหนได้อย่างว่องไว ไร้ร่องรอย และรู้ทางหนีทีไล่ได้ดีกว่าพวกนั้น ผู้ซึ่งถูกว่าจ้างมานั่นเอง

     เผด็จ เล็งธนูไปที่เจ้าตัวที่คิดว่าเป็นหัวหน้า เสร็จไปอีก 1 ส่วนทางด้านอัธ ก็ไม่เบาถึงแม้จะขาพิการก็ยังพอเอาตัวรอดได้เก็บได้อีก 3 ทางจ่าทั้ง 2 ก็เก็บได้ อีกคนละคนสองคน พอควันเริ่มจางลงพอมองเห็นอะไรชัดขึ้น เผด็จส่งสัญญานให้อัธ รู้ว่า เอ็งเก็บ 2 คนทางซ้าย ส่วนข้าจะเก็บ 3 คน ทางขวา เผด็จใช้มีดสั้นปาดคอดับไป 1 และปามีดสั้นไปดับอีก 1 และประชัดตัว หักคอไปอีก 1 ทางอัธ ก็ใช้ปืนยิงดับไป 1 และประชิดตัวเอาก้อนหินทุบหัวดับไปอีก 1 ถึงควันจะจางลงไปเยอะแล้วก็จริง แต่ก็ยังคงไม่ปลอดภัยนัก ตราบใดที่ยังมีเสียงปืนดังอยู่ตลอด เผด็จส่งสัญญานให้อัธวุฒิ อ้อมไปอีกทางเพื่อดักผู้บุกรุกกลุ่มนี้ และเขาก็ขึ้นบนต้นไม้เพื่อดูการเคลื่อนไหวรอบๆ

     เหล่าร้าย ยังคงกรูกันเข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งลั่นไก และถล่มด้วยระเบิดมือ ดีที่เผด็จรอบคอบ ได้คิดจัดทำกับดักเตรียมเอาไว้รับมือกับเหตุการณ์ที่คิดว่าอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และก็ได้ใช้จริงๆ

     จ่าทั้งสองคนได้จังหวะที่ฝุ่นควันเริ่มจางลง วิ่งตามพวกทหารรับจ้าง 2-3 คนมาติดๆ โดยแยกกันคนละทาง อัธวุฒิและเผด็จ ก็ได้แยกกันซุ้มดูความชุลมุนว่าเป็นเช่นไรอยู่พักนึง พอเสียงปืนสงบลง และคิดว่าปลอดภัยแน่ ก็ออกมาและพบว่า มีคนหนีไปได้กลุ่มนึง..จากนั้นทั้ง 4 คนก็เดินตรวจบริวณนั้นโดยรอบอีกครั้ง เพื่อความมั่นใจ และระหว่างเดินตรวจอยู่นั้น จ่าหมง เห็นทหารรับจ้างคนนึง กำลังวิ่งหลบหนีไป หมงจะวิ่งตาม แต่มีเสียงห้ามไว้

     “ไม่ต้องตาม จ่า” อัธวุฒิ บอกหมง

     “แต่” จ่าหมง มองตามด้วยความเสียดาย

     “เอาน่า หมง ผู้กำกับบอกไม่ ก็คือไม่” จ่ามิ่งเพื่อนสนิท ดึงแขนเอาไว้ และยังมีคนที่ไม่ตาย บาดเจ็บอยู่ 3 คน จ่าทั้ง 2 คน วิ่งมาสมทบกับอัธ อัธมองไปที่เผด็จ ส่งสัญญานว่า “Ok” ให้กันและกัน และเดินผ่านกอง ผู้สิ้นชีวิตทั้งหลายมาพบกับอัธและจ่าทั้ง 2 พร้อมกับธนูคู่กาย ทั้ง2 จ่าทักทาย

    “สวัสดีครับท่านรองฯ” พร้อมกับยกมือสวัสดี ทั้งๆ ที่ยังเหนื่อยกันอยู่ อัธก็ยังระวังภัยอยู่ให้ด้านหลัง หันมาจับมือกับเพื่อนรุ่นพี่อย่างเหนื่อยๆ พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้

     “สุดยอดเลยเฮีย แบบนี้ซิถึงจะเรียกว่า มือปราบเทวดาโดยแท้ ไอ้ที่ผมพูดเมื่อตะกี้ ผมขอยกเลิกนะ โอ๊ย..เหนื่อย” นั่งหอบ เผด็จก็หันมายิ้มและยกนิ้วให้เหมือนกัน

     “แกก็สุดยอดเหมือนกัน ขาเดี้ยงแบบนี้ ก็ยังเอาตัวรอดได้” แล้วก็เอามือแตะไหล่เพื่อน

    “เก่งๆๆๆ มาก” แล้วก็กวาดสายตาดูรอบๆ เห็นคนยังไม่ตายอีก3 นอนพะงาบๆ อยู่ เลยบอกจ่าทั้ง 2 คนเข้าไปดูซิว่าเป็นใคร ไปเปิดหน้ากากดูซิว่าพวกไหน

     “ครับ ท่านรองฯ” จ่าทั้ง 2 คนรับคำสั่งแล้วเดินไปดู

     “ไป ไอ้ป๋องน้องรัก” เผด็จส่งมือไปดึงมืออัธแล้วดึงขึ้นมากอด เอามือแตะหลังเบาๆ แล้วเดินไปด้วยกัน

     “ไปดูผลงานกัน”

     “ครับเฮีย” แล้วก็พยุง กอดคอกันไป ยังจุดที่ต้องการ

     สองจ่ารายงาน เผด็จและอัธวุฒิ เมื่อทั้ง 2 คนเดินมาถึงตรงจุดที่ 3 คนนั้นนอนปางตายอยู่

     “ผมถอดหน้ากากออกหมดแล้ว ดูแล้วไม่น่าใช่คนไทยครับท่านรองฯ” จ่าหมงรายงาน

     “ไอ้ที่หนีไป ปล่อยมัน มาดูไอ้พวกที่อยู่ตรงนี้ดีกว่า ไม่เหนื่อยด้วยเพื่อน” จ่ามิ่ง พูดกระทบเสียดสีเพื่อน

     จ่าหมงทำท่าไม่ค่อยพอใจ กับคำพูดที่ จ่ามิ่ง พูดเสียดสีแบบนั้น

     “ถามดูซิว่า พวกมันเป็นใครมาจากไหน ใครว่าจ้างมา และที่สำคัญ ทำไปเพื่ออะไร” อัธวุฒิ สั่งจ่าทั้ง 2

     “ครับ ผู้กำกับ” จ่าหมง รับคำสั่ง ก็เดินไปตรวจสอบอีกครั้ง ค่อยๆ ประกองผู้บาดเจ็บคนนึงขึ้นมา

   “ไหวไหมเนี่ย” จ่าหมง พูดต่อหน้าคนเจ็บ จ่าหมงสังเกตเห็นรอยสักที่ ข้อมือข้างซ้ายของคนเจ็บว่ามีสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง เหมือนรอยสักรูป จันทร์ครึ่งเสี้ยว สักพักคนนั้นก็หมดลมหายใจ สิ้นใจ

     “ไม่ทันแล้วครับ ผู้กำกับ” จ่าหมง หันไปบอกกับอัธวุฒิ ทางจ่ามิ่ง ก็ตะโกนออกมาอีกด้านนึง

    “ทางนี้ครับ ทางนี้ มีคนรอด” ทั้ง 3 คนก็รีบเดินไปดู พอมาถึงก็สังเกตได้ว่า 2 คนนี้บาดเจ็บไม่มากอีกคงพอมีทางรักษา และคงจะเป็นประโยชน์ต่อทางราชการบ้างไม่มากก็น้อย คนหนึ่งแค่ขาหักที่ข้างซ้าย ส่วนอีกคนแค่โดนยิง บาดเจ็บที่แขนขวา จ่ามิ่งก็เลยไปประคองคนที่ใกล้ตัวที่สุดขึ้นมาพิงกับก้อนหินใกล้ๆ

     “ชื่อไรหนะเรา” จ่ามิ่งถามคนบาดเจ็บ คนบาดเจ็บก็ตอบแบบช้าๆ เพราะเจ็บแผลที่ขา

     “ลีซอ” เขามองหน้าจ่ามิ่ง แล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

     “ผมต้องทำ ถ้าไม่ทำ ครอบครัวผมและพวก จะเดือดร้อน”

     “ใครจ้างพวกแกมา และจ้างมาเพื่ออะไร” จ่ามิ่งยิงคำถามรัว เพราะกลัว ลีซอสิ้นใจ

     “ผมไม่รู้ มีคนจ้างพวกเราต่ออีกที ที่มาครั้งนี้ มี 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นพวกข้า เผ่าม้ง และอีกพวกเป็นคนในที่ราบ มันจะมีรอยสักรูปจันทร์ครึ่งเสี้ยวอยู่ที่ข้อมือซ้ายทุกคน หัวหน้าพวกมันบอกกับข้าว่า ถ้าข้าทำงานชิ้นนี้สำเร็จ หมู่บ้านข้าจะปลอดภัยและไม่ถูกทำลาย ข้าก็เลยต้องยอมรับงานนี้ ด้วยความสัตย์จริง”

     “รูปจันทร์ครึ่งเสี้ยว” จ่าหมงอุทาน

     “มีไรเหรอจ่า” เผด็จถาม จ่าหมงนึกขึ้นมาได้ก็เลยรายงานเผด็จ

     “คือไอ้คนเมื่อกี้ที่สิ้นใจไป ที่ข้อมือซ้ายมันมีรูปจันทร์ครึ่งเสี้ยวแบบเดียวกะที่เจ้านี่มันบอกครับท่าน”

     “เหรอ ไหนลองไปดูอีกคนซิ ว่าเป็นไงบ้าง ตรวจสอบดูซิว่าที่ร่างกายมีอะไรแปลกปลอมบ้างไหม”

     จบคำเผด็จ จ่าหมงก็ไปดูอีกคนที่อยู่ด้านล่างโขดหินกับอัธวุฒิ .. จ่าหมงประคองคนเจ็บขึ้นมา

     “ไหนดูซิว่า มีไหม” แล้วจ่าหมงก็ต้องอ้าปากค้าง อัธวุฒิเห็นผิดปกติก็เลยถาม

     “มีไรจ่า” จ่าหมงหันมาบอกอัธวุฒิ

    “ชัดเลยครับ ผู้กำกับ ไอ้หมอนี่ ก็มีสัญลักษณ์รอยสักจันทร์ครึ่งเสี้ยวเหมือนกัน กับไอ้คนโน้น” จ่าหมงเลยเอามือตบแก้มซ้ายเบาๆ คนเจ็บได้สติ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาดู และหายใจแบบรวยระริน .. จ่าหมงถามเบาๆ

     “ชื่อไร” คนเจ็บมองหน้า แต่ไม่พูดอะไร อัธวุฒิก็เลยเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วถามอีกครั้ง

     “แกปลอดภัยแล้ว พวกเราไม่ทำอะไรแกหรอก บอกฉันมาเถอะ ว่าแกเป็นใครมาจากไหน ใครจ้างมา”

     “จ่า เอาน้ำให้เขาทานซะ จะได้มีแรง แล้วพยุงขึ้นไปข้างบนซะด้วยกันเลย”

     “ครับ” จ่าหมงค่อยเอาน้ำให้คนเจ็บจิบ แล้วก็พยุงร่างที่บาดเจ็บขึ้นมา ประคองเดินขึ้นไปด้านบน

    “มาแล้วเฮีย คนนี้มีรอยสักรูปจันทร์เสี้ยว ก็คงจะเป็นพยานและก็สืบหาที่มาของการถล่มพวกเราครั้งนี้ได้ ไม่มากก็น้อย” สักพักอัธ ดีดนิ้วดังเปาะ “แต่เท่าที่รู้นะเฮีย ผมว่า ตอนนี้เรารีบเผ่นกันก่อนเถอะ”

     “นั่นซิ ก็ดีเหมือนกัน” เผด็จเห็นดีด้วย “ก่อนที่พวกมันจะวกกลับมาถล่มเราอีกรอบ”

     “จ่าหมง จ่ามิ่ง ช่วยกัน เราคงต้องนำคนเจ็บสองคนนี้กลับไปรักษาเพื่อจะได้รู้เบาะแสอะไรบ้าง”

     “ครับ ท่านรองฯ” ทั้งสองจ่ารับคำอย่างเคร่งครัด แล้วช่วยกันประคองคนเจ็บ แบบทุลักทุเล

     “ว่าแต่เราจะกลับกันยังไงหละครับผู้กำกับ” จ่าหมงสงสัยก็เลยถาม

     “เสียงดังสนั่นหวั่นไหวขนาดนี้ ผมว่าไอ้เรือที่เราจ้างมา มันคงไม่อยู่รอรับเรากลับหรอกครับ”

     จ่ามิ่ง พูดออกมาเหมือนไม่มั่นใจว่าจะได้กลับบ้าน อัธวุฒิ หันมายิ้มแล้วก็พูดออกไปต่อหน้าจ่ามิ่ง

   “ได้กลับซิจ่า” แล้วอัธวุฒิ ก็ยิงปืนพุสีแดงเหลืองขึ้นฟ้า สักพัก ก็มีเสียงดังคล้ายฟ้าร้อง แต่ที่จริงแล้ว มันคือเสียงของเฮลิคอปเตอร์ที่ อัธวุฒิเตรียมไว้นั่นเอง จ่าทั้งสองคนเงยหน้าขึ้น แล้วเอามือป้องหน้าผาก จ้องดูสิ่งที่กำลังจะปรากฏต่อหน้าของเขา เมื่อเขาเห็นเฮลิคอปเตอร์ กำลังมุ่งมาทางเขา และร่อนลงเพื่อมารับเขาก็ยิ้มออก

     ระหว่างที่กำลังเคลื่อนตัวเพื่อออกไปขึ้นฮอร์ คนร้ายกลุ่มเดิมที่เล็ดรอดไปได้ก็แอบมาซุ้มยิงคนบาดเจ็บให้ตายเพื่อปิดปาก จะได้ไม่เปิดโปงเรื่องในวันนี้ได้ “เปี้ยง” เสียงปืนดังขึ้น 1 นัด โดนหลังคนที่บาดเจ็บแขนขวา แต่ไม่โดนจุดสำคัญ เผด็จและอัธวุฒิ หันไปยิงกลับเพื่อป้องกันพยานที่เหลืออยู่ให้ได้ ฮอร์ก็กำลังร่อนลงมาอย่างช้าๆ

     “รีบไป เร็ว ไม่ต้องห่วงข้า พยานสำคัญกว่า” เผด็จรีบผลักอัธวุฒิและคนที่เหลือ แล้วตะโกนเสียงดัง

     “ไป” เผด็จรัวปืนกลที่ติดมาด้วยไม่นับ กราดไปทั่วบริเวณนั้น เสียงระเบิด < ตูม > เผด็จกระโดดหลบ

     “เฮีย” อัธวุฒิตะโกนเรียกเผด็จสุดเสียง แล้วเอื้อมมือส่งให้จับ ออร์กำลังดึงตัวขึ้น ไม่งั้นตกแน่

     “ไม่ต้องห่วงข้า แล้วเจอกัน ข้าให้สัญญา” เผด็จ ส่งสัญลักษณ์ Ok ให้อัธวุฒิ ก่อนที่ฮอร์จะบินลับตาไป แล้วเขาก็พยายามหาทางหลบออกจากที่นั่น ระเบิดลงอีกหลายลูก เผด็จก็หลบเท่าที่จะหลบได้ เหล่าร้ายก็ได้ตามเผด็จไป อัธวุฒิได้แต่จ้องมองดูเผด็จบนฮอร์อย่างเดียว < ตูมๆๆ > เสียงดังสนั่นไม่หยุด เห็นเผด็จวิ่งหลบไปมาอยู่ข้างล่าง จนลับสายตาไป

     กลุ่มคนร้ายนับ 10 คน ได้วิ่งไล่เผด็จมาถึงหน้าผาสูงชัน มีโอกาสรายล้อมเผด็จไว้ได้ คิดว่าเผด็จคงจนมุมพวกมันแน่ ก็เลยไม่ได้ระวังตัวกัน มองลงไปก็น้ำทะเล โดดลงไปก็ตายแน่นอนพวกมันคิดอย่างนั้น เผด็จรวบรวมแรงได้ก็โยนปืนที่หมดกระสุนทิ้งไป แล้วเอามือซ้ายล้วงเข้าไปในเสื้อโค๊ททางด้านขวาที่เขาใส่อยู่ หยิบอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋า มันคือ รีโมทเรียกโดรนที่เขาเตรียมไว้นั่นเอง

     เขากดปุ่มเรียกโดรนมา กลุ่มคนร้ายยังไม่รู้เลยว่า เผด็จทำอะไร โดรน 6 ตัวลอยมาอยู่เหนือศรีษะพวกนั้นแล้ว สักพัก เผด็จยกมือโบกอำลาพวกนั้นแล้วส่งยิ้มให้ด้วย พวกนั้น “งง” ว่าเผด็จโบกมือให้พวกมันทำไม แล้วเผด็จก็กดปุ่มอีกครั้ง เสียงปืนกลดังขึ้นรัวหลายสิบนัด จากโดรนทุกตัว ที่ลอยอยู่ด้านบนของกลุ่มคนร้าย แล้วเผด็จก็วิ่งกระโดดหนีลงทะเลไป หายตัวไปอย่างลึกลับ พร้อมกับความชุลมุนวุ่นวายในครั้งนี้

     กลุ่มคนร้ายเหลือรอดตายเพียง 3 คน หัวหน้ากลุ่มนักฆ่า ถอดหน้ากากออกแล้วปาทิ้ง โมโหมากที่เผด็จหนีไปได้ วิ่งไปมองดูที่หน้าผา ก็มองไม่เห็นอะไรแล้ว และไม่นึกว่าเผด็จจะกล้ากระโดลงไป เขาจึงหันกลับมามองดูสภาพรอบตัวเอง แล้วก็ยิ่งทำให้อารมณ์เสียหนักเข้าไปอีก เงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้าสู้กับแสงแดดที่ส่องลงมา สักพักก็หันกลับมาเอามือปาดเหงื่อที่หน้าตัวเอง แล้วก็เดินทางกลับพร้อมพวกที่เหลือ แบบอารมณ์เสีย เพราะทำงานไม่สำเร็จ ทั้งๆ ที่คนมากกว่า เดินกัดฟัดกรอดๆ ไปตลอดทาง

<<<<< ===== >>>>>

     ณ.โรงพยาบาลตำรวจ อัธวุฒิ จ่ามิ่ง และ จ่าหมง ได้ยืนเฝ้าห้องฉุกเฉินรอผลการผ่าตัดของพยานทั้ง 2 คนที่นำกลับมาด้วยความเป็นห่วงว่าจะรอดไหม เพราะสะบักสะบอมทั้งคู่ บางคนนั่ง บางคนยืน สภาพอิดโรยไม่แพ้กัน สักพัก ผบ.ตร. พร้อมด้วยลูกสาว เดินเข้ามา ด้วยความเป็นห่วงและใจร้อน อยากรู้ว่าเป็นไงบ้าง เพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้ว ที่ระเบิดลูกแรกจะถูกจุดตามที่พวกมันขู่ไว้ ถ้าไม่ทำตามความต้องการของพวกมัน และถ้าไม่รีบทำอะไรหรือดำเนินการอะไรสักอย่าง หาทางหยุดยั้งเสียก่อน แน่นอนความเสียหายที่เกิดขึ้นต้องมากมายแน่นอน

     “ผู้กำกับ” ผบ.ตร. เรียกอัธวุฒิ ทันทีเมื่อเห็นตัว อัธวุฒิ เงยหน้าขึ้นมาดูตามเสียง ด้วยใบหน้าที่อิดโรย

     แล้วก็ก้มหน้าลง เตรียมตัวจะลุกขึ้นทำความเคารพ ผบ.ตร.ห้ามไว้

     “ไม่ต้องเป็นทางการหรอก ผู้กำกับ” ผบ.ตร. ยกมือขวา แตะไหล่ซ้ายอัธวุฒิ แล้วตบเบา อัธวุฒินั่งลง

    “ที่ฉันมาในวันนี้ ก็แค่อยากจะรู้ว่า เป็นยังไงบ้างกับภารกิจในครั้งนี้” ผบ.ตร. ถามด้วยความอยากรู้มากกว่าเป็นห่วงเสียมากกว่า อัธวุฒิ ก็เอามือทั้งสองข้างปาดหน้าแล้วเสยผมขึ้นไปพร้อมเงยหน้าขึ้นมอง ผบ.ตร.

    “เฮียเด็จ ผมเจอแล้ว แต่ไม่ได้กลับมาด้วยกัน เพราะเรามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญ มาแทรกแทรงแบบไม่ได้ตั้งตัว ต่อสู้กันพักใหญ่ และเราก็ได้พยานปากสำคัญกลับมาสองคน โน่น ตอนนี้กำลังรักษาอยู่ในห้องโน้น เป็นตายเท่ากัน” อัธวุฒิ เอามือขวาชี้ไปที่ห้องฉุกเฉิน ผบ.ตร. ก็มองตามมือ อัธวุฒิไป และก็ถอนหายใจอย่างแรง

     “คุณพ่อขา หนูว่าใจเย็นๆ ก่อนนะคะ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว หนูว่าไม่น่าจะเป็นห่วงอะไรนะ”

     เพ็ญ เป็นห่วงพ่อ ก็เลยปลอบโยน .. อัธวุฒิ นึกแปลกใจว่าเสียงหญิงสาวที่ไหน ก็เลยหันไปดูตามเสียงนั้น

     “สวัสดีค่ะท่านผู้กำกับ อัธวุฒิ” อัธวุฒิ จำได้ว่าสาวน้อยหน้าใสผู้นี้เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เลยทำหน้า งง

     “อย่าทำหน้าอย่างนั้นซิคะคุณอา” ด้วยประโยคนี้ยิ่งทำให้เขาทำหน้าไม่ถูกเลย งง หนักเข้าไปอีก

   ระหว่างนั้นสองจ่า ก็เดินเข้ามาพอดี ทำความเคารพท่าน ผบ.ตร. ที่มาในชุดลำลองสบายๆ ไม่เป็นทางการ พร้อมกับแนะนำลูกสาวสุดที่รักของตัวเองให้กับคนทั้งสามได้รู้จักจะได้หาย งง กันสักที

     “เอ้ามามา มากันครบแล้วนี่ ฉันจะได้แนะนำให้รู้จักเสียที” ผบ.ตร. ยืนอมยิ้มสักพักแล้วก็แนะนำลูกสาว

     “นี่เพ็ญ หรือ ร้อยตำรวจโทหญิง เพ็ญนภา ชาญยุทธ (หมวดเพ็ญ) ลูกสาวคนเดียวของผม”

     “ขอสวัสดี อย่างเป็นทางการอีกครั้งนะค่ะทุก ๆ คน” แล้วก็เอามือแนบตัวโค้งคำนับทั้ง 3 คน

     ทั้งสามคนยิ้มรับการคำนับด้วยสีหน้าแบบตกใจ โดยเฉพาะอัธวุฒิ พูดอะไรไม่ออก เหมือนเขินไปเลย

     “มิน่าหละ ผมถึงว่าหน้าตาคุณหนูคล้ายใคร มันคุ้นๆ นึกตั้งนาน ที่แท้ก็ท่าน ผบ.ตร. นี่เอง”

     จ่าหมง กล่าวทิ้งไว้ก่อนเดินจากไปหาที่นั่ง และก็ดึงมือ จ่ามิ่งไปด้วยแก้เขินเช่นกัน

     “คุณพ่อนั่งก่อนนะคะ ตรงนี้แหละ แล้วใจเย็นๆ ทำใจให้สบาย คุณอาคงมีทางออกให้ จริงไหมคะ”

     แล้วก็โผล่หน้าเล็กน้อยไปถามอัธวุฒิ อัธวุฒิก็หันมา

     “ครับๆ ” ตอบแบบ ยังไม่รู้อนาคตเลย ว่าจะทำไงต่อไป

     ระหว่างนั่งพักกันอยู่นั้น คุณหมอก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าปกติ ไม่มีท่าทีวิตกกังวลใดๆ จ่าทั้งสองคนก็เลยรีบเดินมารวมกันตรงนั้นเพราะอยากรู้ว่าคนเจ็บเป็นเช่นไรบ้าง..อัธวุฒิ ลุกขึ้นถามหมออย่างไว

     “เป็นไงบ้างครับคุณหมดทั้งสองคน” หมอตอบแบบไม่ให้กังวลกัน

    “ปลอดภัยทั้งสองคนนะครับ ผู้กำกับ กระสุนที่โดนทั้งแขนและลำตัวด้านหลัง ไม่โดนจุดสำคัญ ส่วนอีกคนก็แค่ขาซ้ายหัก ไม่ถึงกับพิการ ต้องรักษากันอีกสักระยะหนึ่ง สบายใจได้ครับ”

     “แล้วผมจะขอสอบปากคำได้เมื่อไหร่ครับ เพราะมีปัญหาที่ต้องรีบแก้ เราต้องได้คำตอบบางอย่างจากพวกเขาทั้งสองคน เวลาเรามีน้อยมาก”

    “พรุ่งนี้ครับ ถ้าเขาฟื้นขึ้นมา พวกคุณก็สามารถคุยกับเขาได้ ผมขอตัวก่อนนะครับ” แล้วหมอก็ขอตัว สักพักพยาบาลก็เข็นรถคนเจ็บทั้งสองคนออกมาไปไว้ที่ห้อง ICU อัธวุฒิ ตามไปดูอย่างใกล้ชิด

     “จ่าหมง จ่ามิ่ง” อัธวุฒิสั่งทั้งสองจ่า

     “คืนนี้จัดเวรให้แน่นหนา อารักขาพยานของเราให้ปลอดภัยที่สุด เข้าใจไหม”

     “ครับท่าน” จ่าทั้งสองรับคำสั่งแล้วรีบไปดำเนินการจัดเวรทันที

     แล้วก็เดินกลับมาหาท่าน ผบ.ตร. มารายงานผล และขอตัวปรึกษางานต่อ

   “ผมได้สั่งให้จัดเวรดูพยานสองคนของเราอย่างเข้มงวดแล้วครับ เผื่อพวกนั้นมันแอบกลับมาเก็บพยาน มันจะเสียรูปคดีและแผนที่เราได้วางเอาไว้ครับ” ผบ.ตร. พยักหน้าให้อัธวุฒิ และถามต่อด้วยความอยากรู้

     “แล้วนายจะทำไงต่อไปหละ อัธวุฒิ” ผบ.ตร. ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย แต่กระนั้น รอยยิ้มหวานๆ ที่อยู่เบื้องหลัง ผบ.ตร. ก็ทำให้อัธวุฒิ มีกำลังใจมากขึ้นไม่มากก็น้อย..อัธวุฒิ ได้แต่ยืนยิ้มเจื่อนๆ แต่ไม่ตอบอะไร

      “สู้ๆ นะคะคุณอา หนูเอาใจช่วย” เพ็ญให้กำลังใจ

     “ครับ คุณหนู สู้สู้” อัธวุฒิ ยิ้มอายๆ แล้วก็ยกมือขวาชู 2 นิ้ว ให้กับเพ็ญ

     “เอางี้ ฉันว่า เราไปหาที่นั่งคุย ถือว่าเป็นการพักผ่อนแบบสบายๆ ที่อื่นกันดีกว่า” ผบ.ตร.ตัดบท

     “ดีครับท่าน ว่าแต่..ที่ไหนหละครับ” อัธวุฒิถาม

   “จะบ้านใครหละ ก็บ้านฉันแล้วกัน สบายดี ไปๆ ” แล้วก็เดินนำหน้าอัธวุฒิไปเลย เพ็ญก็ประคองคุณพ่อเดินตามกันไป อัธวุฒิ ก็ขวยเขินไม่กล้าเดินตาม เพ็ญหันไปดู แล้วทำท่าทาง เชิญให้ตามมา ด้วยรอยยิ้มที่สดใส

***** >>>>><<<<< *****

     ที่บ้านของ ผบ.ตร. เมื่อมาถึง ท่านก็บอกให้ทำตัวตามสบาย บอกให้เพ็ญดูแลความสะดวกอัธวุฒิเต็มที่ แม่นมของเพ็ญ เดินยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และนำอาหารว่างออกมารับแขก โดยไม่มีข้อบกพร่องเลย

     “จะนอนพักที่นี่สักงีบก็ได้นะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนี่” ผบ.ตร. เชื้อเชิญ แต่อัธวุฒิยังคง ไม่สะดวกใจ

     “ขอบใจครับท่าน แค่นี้ก็ถือว่ากันเองมากแล้ว” อัธวุฒิออกตัว เพ็ญก็เลยพูดช่วยแก้เขิน

     “คุณพ่อท่านไม่ถือตัวหรอกคะคุณอา ทำใจให้สบายได้เลย” เพ็ญพูดไปยิ้มไป รู้ว่าอัธวุฒิกำลังเกร็ง

     “ว่าแต่คุณอาเถอะ จะทำยังไงต่อไปหละคะ” ถามอัธวุฒิ ต่อหน้า ผบ.ตร.

     “นั่นซิ ตอนนี้เผด็จอยู่ไหน เราก็ไม่รู้” ผบ.ตร.กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงห่วงใย

     “อีก 2 วัน ถ้าเราไม่ทำตามความต้องการของมัน มันบอกว่าจะวางระเบิดโรงเรียน แล้วที่ไหนหละ”

     ผบ.ตร. ยิ่งเครียดเข้าไปอีก อัธวุฒิ ก็ไม่มีคำตอบ ก็เลยนั่งนิ่งเงียบกันไปหมดเลย..เพ็ญก็เลยพูดเปลี่ยนเรื่องอื่น

     “ทานอาหารกันก่อนดีไหมคะ หนูหิวแล้ว” เพ็ญเชิญชวน ทุกคนก็เห็นดีด้วย

     ทั้งหมดเดินมาที่โต๊ะทานอาหาร กับข้าววางเต็มโต๊ะ ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ สวยงาม

     “เอ้าทานๆๆ กองทัพต้องเดินด้วยท้องจริงไหมครับท่านผู้ชม” ยังคงทำทะเล้น เพื่อให้คลายความเครียด

   ถึงจะแก่นแก้วยังไง เพ็ญก็ยังคงสังเกตอยู่ดีว่า ทำไมบนโต๊ะถึงมีชุดจานวางอยู่ 4 ชุดทั้งๆ ที่มีคนแค่ 3 คน จึงหันไปหาแม่นม หมายจะถามเพื่อเอาคำตอบให้ ด้วยความสงสัยเป็นที่สุด เพ็ญจ้องตาแม่นม แต่แม่นมไม่พูดอะไรแล้วก็เดินหายเข้าครัวไปเลย ปล่อยให้เพ็ญนั่งสงสัยต่อไป..สักพักก็มีเสียงดังเล็ดลอดออกมาจากบันไดด้านบน

     “จะทานอาหารทั้งที ไม่ชวนอาเลยเหรอ นางฟ้าตัวน้อย” คำว่านางฟ้าตัวน้อย ไม่มีใครเรียก นอกจาก

     “อาเต๋า” เพ็ญ อุทานออกมาด้วยเสียงที่ดังมากๆ แล้วหันไปดูตามเสียงที่แว่วมา เป็นใครไปไม่ได้

     เผด็จ ยืนอยู่ตรงบันไดขั้นบน เชี่ยว และ อัธวุฒิ ก็หันไปดูเช่นกัน ซึ่งเป็นที่แปลกใจและเซอร์ไพส์ร์เป็นที่สุด เพ็ญวิ่งไปกอดเผด็จ สวมกอดด้วยความดีใจจนน้ำตาไหล เผด็จก็เอามือมาลูบหัวนางฟ้าตัวน้อยของเขาและจูบเบาๆ ลงไปที่เส้นผม แล้วก็พาเดินมาหาเชี่ยว อัธวุฒิและเชี่ยวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เผด็จทรุดตัวลงบรรจงกราบไปที่เท้าของเชี่ยวนิ่งไปสัก แล้วก็ลุกขึ้นมา พร้อมกับใบหน้าที่เคร่งขรึม และพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ

     “ผมพร้อมแล้วครับพี่ ที่ผ่านมาผมขอโทษ ตอนนี้ผมมีสติแล้ว ผมจะกลับมาจัดการ และสะสางสิ่งที่มันหลอกหลอนและค้างคาใจผมให้จบเสียที ผมสัญญา”

     “ขอบใจมากน้องรัก ฉันขอบใจจริงๆ ไม่เสียแรง ไม่เสียแรงที่ฉันได้ฝากความหวังไว้ที่นาย ฉันคิดไม่ผิดจริงๆ เอ้าเอา อะไรที่ผ่านมาก็ปล่อยให้มันผ่านไป เอาเรื่องปัจจุบันดีกว่า ว่าเราจะทำยังไงกันต่อไป”

     “มันไม่กล้าทำอะไรในตอนนี้หรอกครับพี่” เชี่ยว อัธวุฒิ และเพ็ญ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เผด็จพูด

     “เพราะมันยังไม่ได้ในสิ่งที่มันต้องการ” เผด็จทิ้งปมไว้เล็กน้อย “เพราะผมจะเอาสิ่งนี้ ต่อรองกับมัน”

>>>>>>>>>> ********** <<<<<<<<<<

โปรดติดตามตอนต่อไปใน ตอนที่ 2 .. “เบาะแส หรือ กับดัก”

sds

ตอนที่ 1 .. “ภาพหลอนของจิตใจ”

นิยาย แนว อาชญากรรม และนักสืบ (Detective and Crime Novel) / สืบสวนสอบสวน (Suspense) / Action

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.