ตอนที่ 954 ความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง

-A A +A

ตอนที่ 954 ความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 954 ความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง

“ออกไป? ทำไมผมจะต้องออกไปด้วย?” เซี่ยเฟยถามอย่างสับสน

“นายรู้ไหมว่าจริง ๆ แล้วนายไม่ใช่คนเดียวในตระกูลที่เป็นดีม่อนวิงของตระกูล” เซี่ยกู่เฉิงกล่าวพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างกุมไหล่เซี่ยเฟยเอาไว้

“ผมรู้ว่าบรรพบุรุษก็เป็นดีม่อนวิงเหมือนกันครับ” เซี่ยเฟยกล่าว

“ฉันไม่ได้หมายถึงตัวเอง แต่หมายถึงเด็กรุ่นใหม่คนอื่น ๆ ต่างหาก ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาพวกเราผลิตอัจฉริยะที่มีศักยภาพจะกลายเป็นดีม่อนวิงอยู่หลายคน แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องคนที่สามารถเรียกดีม่อนวิงออกมาได้ เรื่องนั้นมันก็มีเพียงแค่นายคนเดียวนอกเหนือจากฉัน” เซี่ยกู่เฉิงกล่าว

“แล้วทำไมมันไม่มีใครบอกผมเรื่องนี้เลย?” เซี่ยเฟยถามหลังจากชะงักไปเล็กน้อย

“นั่นก็เพราะว่าดีม่อนวิงทั้งหมดในตระกูลต่างก็หายตัวไปจนหมดน่ะสิ” เซี่ยกู่เฉิงกล่าว

“หายไป!?”

“ใช่! หายไป! ฉันพยายามหาคำตอบของเรื่องนี้มันนานมากแล้วว่าทำไมอัจฉริยะรุ่นใหม่ถึงต้องหายตัวไปอย่างปริศนา ถ้าฉันรู้ว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ขึ้นมาฉันขอบอกเลยว่าแม้แต่พระเจ้าก็ไม่มีทางหลุดรอดไปจากเงื้อมมือของฉันได้” เซี่ยกู่เฉิงกล่าวพร้อมกับกำหมัดแน่นและภายในแววตามันก็เต็มไปด้วยความดุร้ายอยู่เต็มเปี่ยม

“มีคนมุ่งร้ายมาที่ตระกูลเรางั้นเหรอครับ? แล้วพวกเขาจะจัดการเฉพาะกับอัจฉริยะของเราไปทำไม?” เซี่ยเฟยถามอย่างสับสน

“อาจจะเป็นเพราะพวกมันกลัวสกายวิงแข็งแกร่งมากเกินไป พวกมันจึงแอบจัดการกับอัจฉริยะของเราอย่างลับ ๆ ท้ายที่สุดกฎแห่งความเร็วก็เป็นพลังที่น่าเหลือเชื่อมาก และถ้าหากพูดถึงตระกูลที่เชี่ยวชาญกฎแห่งความเร็ว ทุกคนย่อมนึกถึงตระกูลของเราเป็นอันดับแรก”

“นายอยากรู้เรื่องอีวิลวิงกับดีม่อนวิงสินะ อีวิลวิงคือตัวแทนของผู้ที่สามารถเร่งความเร็วได้เกินกว่าความเร็วแสง 2 เท่า ขณะที่ดีม่อนวิงคือตัวแทนของยมทูตที่สามารถสังหารศัตรูได้อย่างไร้ที่สิ้นสุดด้วยความเร็วเกินกว่าความเร็วแสง 2 เท่า”

‘ใช้ร่างกายของตัวเองวิ่งได้ไวเกินกว่าความเร็วแสง 2 เท่าเนี่ยนะ?!’ เซี่ยเฟยคิดภายในใจอย่างตกตะลึง

หากปราศจากการสนับสนุนของปีกบนหลัง แม้ว่าพวกเขาจะเริ่มต้นฝึกฝนกฎแห่งความเร็วด้วยพลังพิเศษความเร็วขั้นสูงสุด แต่อย่างมากที่สุดพวกเขาก็สามารถเร่งความเร็วได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของความเร็วแสงเท่านั้น

อย่างไรก็ตามปีกหนึ่งข้างก็จะช่วยให้พวกเขาสามารถเร่งความเร็วได้เกินกว่าปกติ 1 ขั้น หรือมันก็หมายความว่าการมีปีก 2 ปีกมันก็จะช่วยให้พวกเขาสามารถเร่งความเร็วได้เกินกว่าระดับปกติถึง 2 ขั้นนั่นเอง

ขณะเดียวกันดีม่อนวิงก็เป็นปีกชนิดพิเศษที่สามารถนำมาใช้ในการสังหารศัตรูได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด เมื่อเปรียบเทียบกับเซี่ยเค่อและเซี่ยเหลียนหนิงที่ครอบครองเพียงแค่อีวิลวิงแล้ว ศักยภาพในการสังหารของเซี่ยเฟยมันก็เหนือเกินกว่าสองผู้อาวุโสของตระกูลอย่างไม่อาจจะนำมาเปรียบเทียบกันได้

ดีม่อนวิงจึงกลายเป็นจุดสูงสุดของสกายวิง และพวกเขาก็คือผู้ที่สามารถสังหารศัตรูได้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนโดยอาศัยเพียงแค่ร่างกายของตัวเอง

“หลังจากที่ฉันสืบสวนเรื่องนี้มานานหลายปี ในที่สุดฉันก็เริ่มค้นพบเบาะแส ตอนนี้ฉันสามารถยืนยันได้แล้วว่ามันมีคนกลัวศักยภาพในการเติบโตของพวกเรา พวกมันจึงพยายามควบคุมพลังของเราไม่ให้อยู่เหนือระดับกว่าที่พวกมันได้กำหนดเอาไว้” เซี่ยกู่เฉิงกล่าวหลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“มันเป็นฝีมือของใครครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ตอนนี้ฉันยังบอกไม่ได้ว่ามันเป็นฝีมือของใคร แต่ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะจับตัวการของเรื่องนี้ได้แน่ ๆ”

“การปรากฏตัวของนายย่อมดึงดูดศัตรูของเราได้อย่างแน่นอน และพวกมันก็คงจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดนายออกไป ท้ายที่สุดศักยภาพของนายก็ไม่ต่างจากฉัน เมื่อไหร่ก็ตามที่นายสามารถเร่งความเร็วได้จนถึงจุดสูงสุด เมื่อนั้นมันก็จะไม่มีใครสามารถจัดการกับนายได้อีกแล้ว”

“ด้วยเหตุนี้ฉันจึงบอกว่าให้นายรีบออกไปในทันที สิ่งที่นายจำเป็นจะต้องทำคือภารกิจขั้นสูงสุดของตระกูล” เซี่ยกู่เฉิงกล่าว

“ภารกิจขั้นสูงสุดของตระกูล?” เซี่ยเฟยอุทานอย่างตกตะลึง

“ใช่! ฉันได้ตรวจสอบเรื่องอาวุธมายามาพักใหญ่แล้ว และสามารถยืนยันได้ว่าพวกดาร์คไนท์กำลังพยายามรวบรวมอาวุธมายาเอาไว้ ตอนนี้ทั้งนอกและในดินแดนกฎไม่มีข่าวเกี่ยวกับอาวุธมายาธาตุพืชอีกต่อไป พวกมันอาจจะตกอยู่ในมือของพวกดาร์คไนท์ก็ได้และนายจะต้องไปแย่งอาวุธพวกนั้นกลับมา” เซี่ยกู่เฉิงกล่าวอย่างจริงจัง

“บรรพบุรุษของนายบ้าไปแล้วหรือไง?! นี่เขากำลังบอกให้นายเข้าไปในดินแดนของศัตรูเพียงลำพังเนี่ยนะ” ลินนิจอุทานอย่างประหลาดใจ

เซี่ยเฟยยังคงนิ่งเงียบรอฟังคำอธิบายต่อไป เพราะเขารู้ดีว่าบรรพบุรุษคนนี้ไม่เคยเคลื่อนไหวโดยไร้เหตุผล

“อาวุธมายาสำคัญกับพวกเราขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถาม

“ใช่! มันสำคัญกับเรามาก จากข้อมูลที่ฉันมีด้านหลังประตูจักรวาลมีสิ่งมีชีวิตอย่างน้อยชนิดหนึ่งที่ถูกเรียกว่ารีเวิร์ส อสูรร้ายพวกนี้มีความแข็งแกร่งสูงมาก ถ้าหากว่าพวกมันหลุดลอดออกมาจากประตูจักรวาล คราวนั้นมันคงจะกลายเป็นฝันร้ายของทั่วทั้งจักรวาลอย่างแน่นอน”

“ยิ่งไปกว่านั้นนอกประตูจักรวาลคงจะไม่ได้มีเพียงแค่รีเวิร์สเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังอยู่อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นจะต้องหาวิธีการป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด”

“นานมาแล้วเคยมีคนบอกฉันว่าตราบใดก็ตามที่เราสามารถรวบรวมอาวุธมายาธาตุใดธาตุหนึ่งเข้าด้วยกันจนครบสมบูรณ์ได้ เมื่อนั้นพวกเราก็จะมีความสามารถในการต้านทานการรุกรานจากดาร์คไนท์ได้อย่างแน่นอน”

“ตอนนั้นฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก แต่เมื่อประตูจักรวาลเริ่มไม่เสถียรมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกดาร์คไนท์ก็เริ่มเคลื่อนไหวออกมาจากดินแดนของพวกมันแล้วด้วยเหมือนกัน มันก็เลยทำให้ฉันนึกถึงความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว”

“ฉันพยายามตรวจสอบเรื่องนี้ทุกวิถีทางและพบว่าอาวุธมายาคือวิธีเดียวที่จะทำให้เราสามารถต่อต้านพวกดาร์คไนท์ได้ ส่วนวิธีการต่อต้านพวกรีเวิร์สนอกประตูจักรวาลยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ฉันเชื่อว่าคนที่เคยบอกเรื่องนี้กับฉันย่อมไม่มีวันโกหกฉันอย่างแน่นอน”

“ดังนั้นเราจึงจำเป็นจะต้องหาอาวุธมายาธาตุพืชทั้งหมด และรวมพวกมันให้กลายเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ วิธีนี้จึงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเราอยู่รอดปลอดภัยในอนาคต”

“สกายวิงของเราไม่เคยคิดจะยอมแพ้ต่ออะไรง่าย ๆ อยู่แล้ว และถึงแม้พวกรีเวิร์สนอกประตูจักรวาลจะทรงพลังมาก แต่ตราบใดก็ตามที่พวกมันกล้ามาแตะต้องคนของเรา เมื่อนั้นพวกเราก็จะต่อสู้กลับไปจนสุดกำลัง”

เซี่ยกู่เฉิงเริ่มเล่าถึงผลการสืบค้นให้เซี่ยเฟยฟังทำให้ชายหนุ่มเริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับประตูจักรวาลและพวกรีเวิร์สเพิ่มมากขึ้น

“พวกดาร์คไนท์คืออะไรกันแน่ครับ? พวกมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับรีเวิร์สหรือเปล่าครับ ทำไมพวกมันถึงเริ่มเคลื่อนไหวในตอนที่ประตูจักรวาลเริ่มไม่เสถียร?” เซี่ยเฟยถาม

“เท่าที่ฉันเข้าใจพวกดาร์คไนท์กับพวกรีเวิร์สไม่ใช่พวกเดียวกัน เหตุผลที่พวกดาร์คไนท์เริ่มเคลื่อนไหวก็ไม่ใช่เพื่อกำจัดพวกเรา แต่พวกมันพยายามยึดอำนาจจากประตูจักรวาลต่างหาก”

“มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่พวกดาร์คไนท์คือสิ่งมีชีวิตที่มาจากด้านหลังประตูจักรวาล แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างจึงทำให้พวกมันถูกขังอยู่ในจักรวาลนี้ พวกมันจึงพยายามเดินทางกลับไปที่ประตูเพื่อย้อนกลับไปในถิ่นฐานบ้านเกิดของพวกมัน”

“อย่างไรก็ตามพวกดาร์คไนท์คงรู้ดีว่าพลังของพวกมันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถคุกคามดินแดนกฎได้ แต่ถ้าหากประตูจักรวาลเกิดความไม่มั่นคงและมีพวกรีเวิร์สออกมาเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วย สถานการณ์ย่อมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างแน่นอน”

“การเคลื่อนไหวในตอนที่ประตูจักรวาลไม่มั่นคงจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกมัน เพราะในเวลานั้นพวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจากทั้งสองฝั่งพร้อม ๆ กัน” เซี่ยกู่เฉิงกล่าวอย่างกังวล

ดาร์คไนท์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากหลังประตูจักรวาลด้วยงั้นเหรอ? 

แล้วทำไมพวกมันถึงถูกทิ้งเอาไว้ในจักรวาลแห่งนี้?

เซี่ยเฟยไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อนเลย ข้อมูลที่เพิ่งได้รับจากบรรพบุรุษจึงทำให้เขาพยายามคิดทบทวนเรื่องต่าง ๆ ใหม่อีกครั้ง

“ลินนิจ พวกดาร์คไนท์มาจากนอกประตูจักรวาลจริง ๆ เหรอ?” เซี่ยเฟยถามเผื่อว่าลินนิจจะพอมีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง

“ฉันขอโทษด้วย ความทรงจำของฉันยังกลับมาไม่สมบูรณ์และฉันก็ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพวกดาร์คไนท์เลย” ลินนิจกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

คำอธิบายจากบรรพบุรุษในครั้งนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกว่าด้านหลังประตูจักรวาลเป็นสถานที่ที่น่าดึงดูดใจมากจริง ๆ เพราะไม่เพียงแต่มันจะเป็นเจ้าของเทคโนโลยีการสร้างวิญญาณอมตะเพื่อควบคุมยานรบเท่านั้น เทคโนโลยีในการผลิตอาร์คก็เป็นยานรบที่น่าเหลือเชื่อ 

ตอนนี้แม้แต่พวกดาร์คไนท์ก็ยังพยายามต่อสู้เพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการควบคุมประตูจักรวาล มันจึงยิ่งทำให้พื้นที่ด้านหลังประตูกลายเป็นพื้นที่ที่ลึกลับมากยิ่งขึ้น

“ผมเข้าใจแล้วครับ หลังจากนี้ผมจะเดินทางเข้าไปในดินแดนของดาร์คไนท์และจะพยายามกลับมาก่อนที่ประตูจักรวาลจะถูกเปิดออก ไม่อย่างนั้นถ้าประตูบานนี้ถูกเปิดออกจริง ๆ มันคงจะกลายเป็นหายนะสำหรับทุกคน” เซี่ยเฟยกล่าว

“ไม่! ฉันไม่คิดว่าการที่ประตูจักรวาลถูกเปิดออกมันจะกลายเป็นหายนะหรอกนะ แต่ฉันคิดว่ามันเป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญมากกว่า” เซี่ยกู่เฉิงกล่าวพร้อมกับส่ายหัว

“การปฏิวัติ? ปฏิวัติไปในแนวทางไหนครับ?” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย

“จักรวาลนี้ถูกปกครองโดยดินแดนกฎมาเป็นเวลานานมากแล้ว และถึงแม้ว่าพวกดาร์คไนท์กำลังรุกคืบเข้ามา แต่เผ่าพันธุ์สูงสุดทั้งสองก็ยังจ้องจะทำสงครามซึ่งกันและกัน”

“พวกเราไม่ต้องการจักรวาลที่ยุ่งเหยิงแบบนี้อีกต่อไป ถ้าหากว่ามันเกิดวิกฤติล้มล้างทุกอย่างไปหมด จักรวาลก็จะค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับมาใหม่ แต่ไม่ว่าจักรวาลจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงสกายวิงจะต้องยืนหยัดอยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์”

“ยิ่งพวกเรามีความสามารถมากเท่าไหร่ความรับผิดชอบที่เราแบกรับเอาไว้มันก็ยิ่งหนักหน่วงมากเท่านั้น เนื่องมาจากว่านายคือดีม่อนวิงของตระกูล ภารกิจของนายคือการพยายามรวบรวมอาวุธมายาธาตุพืชให้สมบูรณ์โดยเร็วที่สุด”

“จำเอาไว้ว่าจักรวาลจะไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ตราบใดก็ตามที่มันไม่ถูกทำลาย แต่สกายวิงจะต้องยืนหยัดอยู่ได้แม้ว่าจักรวาลจะถูกทำลายลงไปก็ตาม” เซี่ยกู่เฉิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม

ใบหน้าของเซี่ยเฟยเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘จักรวาลจะไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ตราบใดก็ตามที่มันไม่ถูกทำลาย’ เพราะหลักการนี้คล้ายกับหลักการ ‘ไม่ทำลายไม่ก่อกำเนิด’ เหมือนกับที่ลินนิจเคยสั่งสอนเขาในอดีต

อย่างไรก็ตามในระหว่างที่เซี่ยเฟยกำลังสงสัย ลินนิจที่นิ่งเงียบมาตลอดก็กำลังรู้สึกประหลาดใจมากกว่าชายหนุ่มเสียอีก

“นายรู้ไหมว่าฉันเรียนรู้คำพูดพวกนั้นมาจากไหน?” ลินนิจถาม

เซี่ยเฟยส่ายหัวเป็นคำตอบ

“ฉันเอามันมาจากริเวอร์”

***************

เดี๋ยวก่อนนะ?! หมายความว่าบรรพบุรุษก็เคยเจอริเวอร์เหรอ?

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.