ตอนที่ 953 เซี่ยกู่เฉิง
ตอนที่ 953 เซี่ยกู่เฉิง
คริสตัลใสที่เคยเป็นคริสตัลต้นกำเนิดระดับ 8 จำนวน 2 ก้อนถูกสลัดออกมาจากปืนใหญ่อย่างฉับพลัน ซึ่งการจู่โจมในครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก แต่ผลลัพธ์ที่มันสร้างขึ้นมาก็ก่อให้เกิดภาพที่น่าอัศจรรย์ด้วยเช่นกัน
เซี่ยเฟยมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง เพราะเขาไม่เคยคิดเลยว่าการรวมปีศาจทะลายดาวกับปีศาจทะลวงดาวเข้าด้วยกันจะส่งผลให้พวกมันสร้างความเสียหายได้ร้ายแรงถึงขนาดนี้ ซึ่งในความเป็นจริงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมันก็ดีเกินกว่าความคาดหมายของเซี่ยเฟยมาก
หลังการจู่โจมสิ้นสุดลงทุกคนต่างก็มองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกภายในกองทัพดาร์คไนท์, เหล่าบรรดาผู้พิทักษ์หรือแม้กระทั่งฝูงหมาป่าของสกายวิง
นักรบจากกลุ่มต่าง ๆ ที่อยู่บริเวณวงนอกอ้าปากค้างจนคางแทบที่จะหล่นไปกระแทกพื้น เพราะมังกรและพยัคฆ์ที่ปกคลุมทั่วทั้งผืนดินและผืนฟ้ากำลังกวาดล้างศัตรูอย่างโหดเหี้ยม
เมื่อนักรบดาร์คไนท์เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี พวกเขาจึงพยายามสังหารพยัคฆ์และมังกรอย่างต่อเนื่อง แต่สัตว์ประหลาดที่ถูกปลดปล่อยออกมาเหล่านี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่จริง ๆ พวกมันเป็นเพียงแค่กลุ่มก้อนพลังงานที่มีหน้าที่ในการกำจัดศัตรูที่ขวางหน้าเท่านั้น
แม้ว่าเหล่าบรรดานักรบระดับต่ำจะพยายามเผชิญหน้ากับศัตรูโดยไม่คิดชีวิต แต่กลุ่มนักรบระดับสูงต่างก็มีความหวาดกลัวไม่ต่างไปจากสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาโดยทั่วไป กลุ่มแม่ทัพดาร์คไนท์จึงพยายามหลบหนีสุดกำลัง
ฝูงสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ถาโถมเข้าใส่นักรบดาร์คไนท์อย่างโหดเหี้ยม กลุ่มแม่ทัพจึงพยายามเปิดช่องว่างมิติเพื่อหนีไป แต่พวกเขาก็ถูกกลุ่มสัตว์ร้ายกลืนกินในเวลาเพียงแค่ไม่นาน
ภาพที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือช่องว่างมิติถูกปิดตัวลงไป และถึงแม้ว่ากลุ่มแม่ทัพจะไม่ตายแต่พวกเขาย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับไปอย่างแน่นอน
เมื่อกลุ่มผู้นำหนีออกไปจากสนามรบ เหล่าบรรดานักรบระดับต่ำก็สูญเสียความกล้าหาญไปด้วยเช่นเดียวกัน กองทัพดาร์คไนท์จึงเริ่มเคลื่อนไหวอย่างสับสนอลหม่านเปิดช่องว่างให้ฝูงหมาป่าเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อสังหารศัตรูอีกครั้ง
“ปล่อยพวกมันไป! พวกเราบรรลุเป้าหมายของเราแล้ว ส่วนที่เหลือมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา!!” เซี่ยเฟยร้องตะโกนเพื่อเรียกฝูงหมาป่าสกายวิงกลับมา
เมื่อสกายวิงถอนตัวกลับมามันก็มีเพียงแค่กลุ่มนักรบเกราะทองที่ยังคงไล่ล่ากองทัพที่สูญเสียขวัญกำลังใจเท่านั้น ภาพเหตุการณ์ที่พลิกกลับอย่างกะทันหันจึงทำให้เหล่าบรรดานักรบจากกลุ่มอื่น ๆ ที่เฝ้ามองการต่อสู้อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัวพวกเขาจึงพลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการต่อสู้เคียงข้างสกายวิงไป เพราะก่อนที่พวกเขาจะเริ่มเคลื่อนไหวสกายวิงก็สามารถขับไล่ศัตรูได้เรียบร้อยแล้ว
“สกายวิงทรงพลังเกินไปแล้ว!” ชายชราคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หลังจากสงครามในครั้งนี้ชื่อเสียงของสกายวิงก็โด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนกฎอีกครั้ง ส่วนความขี้ขลาดของนักรบกลุ่มต่าง ๆ ย่อมทำให้พวกเขาถูกถากถางอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนนับ 10,000 คนแต่มันก็มีเพียงแค่กลุ่มผู้พิทักษ์และสกายวิงเพียงแค่ 2 กลุ่มที่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับศัตรู ที่สำคัญไปกว่านั้นพวกเขายังไม่ทันจะเคลื่อนไหวทำอะไรเลย สกายวิงก็สามารถที่จะขับไล่ศัตรูออกไปได้เรียบร้อยแล้ว
—
คฤหาสน์อีวิลวิง
ปัจจุบันเซี่ยเฟยกำลังนั่งอยู่ภายในห้องทำงานของบรรพบุรุษหลังจากได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
เมื่อได้ยินว่าเซี่ยเฟยสามารถเรียกปีกแรกออกมาได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บรรพบุรุษจึงต้องการพบชายหนุ่มคนนี้ด้วยตัวเอง เซี่ยเฟยจึงรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย เพราะเซี่ยกู่เฉิงเป็นถึงจอมเทพระดับสูงสุดและเป็นกระดูกสันหลังของสกายวิง การได้พบกับคนระดับนี้ย่อมสร้างความกังวลให้กับทุกคนเป็นเรื่องธรรมดา
“ปีกปีศาจนั่นมันคืออะไรกันแน่ครับ? ทำไมจู่ ๆ กฎแห่งความเร็วของผมถึงก้าวหน้าขึ้นหลังจากที่มันได้ปรากฏออกมา” เซี่ยเฟยกล่าวถามอย่างสงสัยเกี่ยวกับเรื่องปีกปีศาจที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ปีกของนายเรียกว่าดีม่อนวิง ส่วนปีกของฉันเรียกว่าอีวิลวิง” เซี่ยเค่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะกางแขนซ้ายออกไปเพื่อเรียกปีกออกมาด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ภาพที่ปรากฏคือปีกบาง ๆ สีม่วงดำที่มีความยาวเพียงแค่ประมาณ 4 เมตรเท่านั้น และมันก็ไม่ได้มีความแหลมคมเหมือนกับปีกปีศาจของเซี่ยเฟยเลย
“มันคืออะไรกันแน่ครับ? ทำไมคุณถึงเรียกปีกออกมาได้อย่างอิสระ แต่ผมเรียกมันออกมาได้เฉพาะตอนที่ผมใช้ความเร็วสูงสุด” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“อย่ากังวลเรื่องนั้นเลย นายเพิ่งจะเรียกปีกออกมาได้ครั้งแรก แต่เซี่ยเค่อเรียกปีกออกมาได้เป็นร้อยปีแล้ว เขาจะคุมปีกของตัวเองได้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรหรอก” เซี่ยเหลียนหนิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“โดยปกติผู้ที่เริ่มฝึกกฎแห่งความเร็วด้วยพลังความเร็วระดับสูงสุดจะได้รับปีกแรกหลังจากพัฒนาไปเป็นราชันย์ขั้นสูงสุด แต่นายกลับกางปีกแรกได้ตั้งแต่ราชันย์ขั้นพื้นฐานเท่านั้น เรียกได้ว่าตอนนี้นายกลายเป็นตัวประหลาดอันดับ 1 ของตระกูลเราเรียบร้อยแล้ว”
“ส่วนดีม่อนวิง…” เซี่ยเค่อกำลังจะอธิบายต่อ แต่จู่ ๆ มันก็มีเสียงอันแหบห้าวดังขึ้นมาจากสนามหญ้า
“ดีม่อนวิงเคยเป็นปีกของฉันเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้นายทำลายปีกลิมิเต็ดของฉันไปเรียบร้อยแล้ว ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”
หลังจากสิ้นเสียงลงเซี่ยกู่เฉิงผู้ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของสกายวิงก็ก้าวเท้าเดินเข้ามาภายในห้อง
“บรรพบุรุษ!” เซี่ยเค่อกับเซี่ยเหลียนหนิงอุทานขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“บรรพบุรุษ คุณสัญญาว่าจะซื้อชุดเกราะระดับจอมเทพมาให้ผมไม่ใช่เหรอ? ผมยังไม่ลืมคำสัญญาของคุณหรอกนะ” เซี่ยกวงไห่กล่าวพร้อมกับชกหน้าอกบรรพบุรุษเบา ๆ
“ฉันเคยผิดคำพูดของตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าอยากได้ก็ไปเอาในโกดังของตระกูลนู่น” เซี่ยกู่เฉิงกล่าวพร้อมกับตบหัวเซี่ยกวงไห่เบา ๆ
หลังจากนั้นทุกคนในคฤหาสน์ก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพูดคุยกับบรรพบุรุษอย่างสนิทสนม ภาพเหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นภาพที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างที่เซี่ยเฟยไม่เคยคิดฝันมาก่อน เพราะบรรพบุรุษที่อยู่ตรงหน้าแตกต่างจากบรรพบุรุษในจินตนาการของเขาโดยสิ้นเชิง
ทุกคนไม่ได้มีอาการเกร็งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษเลยแม้แต่นิดเดียว แม้แต่เด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ก็ยังเดินเข้ามาดึงหนวดของบรรพบุรุษอย่างสนุกสนาน
เซี่ยเฟยเฝ้าดูเหตุการณ์ทุกอย่างจากด้านข้างอย่างเงียบ ๆ เพราะไม่ว่ายังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสพบกับบรรพบุรุษด้วยตัวเอง
“สมแล้วที่เขาเป็นกระดูกสันหลังของสกายวิง ถึงแม้บรรพบุรุษของนายจะเป็นจอมเทพระดับสูงสุด แต่สมาชิกทุกคนกลับสนิทสนมกับเขาเป็นอย่างดี ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพี่น้องในตระกูลของนายถึงสามัคคีกลมเกลียวกันได้ขนาดนี้ ทุกอย่างมันคงจะเริ่มขึ้นจากบรรพบุรุษของตระกูลสินะ”
“เซี่ยกู่เฉิงเป็นผู้นำตระกูลที่แปลกประหลาดที่สุดภายในดินแดนกฎเท่าที่ฉันเคยเห็นมา เพราะโดยปกติเมื่อใครคนใดคนหนึ่งถูกแต่งตั้งเป็นผู้นำตระกูล สมาชิกในตระกูลจะไม่กล้าทำตัวสนิทสนมแบบนี้อีกต่อไป แต่บรรพบุรุษของนายดูเหมือนเป็นเพียงแค่คนแก่ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง” ลินนิจกล่าวอย่างอิจฉาเมื่อได้เห็นบรรยากาศอันอบอุ่นของสกายวิง
“เอาล่ะ ๆ ฉันยังมีธุระที่ต้องจัดการ ทุกคนช่วยออกกันไปก่อน” เซี่ยกู่เฉิงกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ จากนั้นเขาก็หันไปบอกให้เซี่ยเฟยอยู่คุยกับเขาก่อน
ฟุบ!
สมาชิกสกายวิงทุกคนต่างก็ล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความเร็ว เมื่อเซี่ยกู่เฉิงออกคำสั่งภายในห้องจึงเหลือเพียงแค่เซี่ยเฟยกับบรรพบุรุษเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น
“รินน้ำชาให้ฉันสักถ้วยหนึ่งสิ” เซี่ยกู่เฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยพยักหน้าก่อนที่จะหยิบชาปี้หลัวชุนออกมาจากแหวนมิติ และรินน้ำชาจากดาวโลกชนิดนี้ให้กับบรรพบุรุษด้วยตัวเอง
“ชาดี! นายโตขึ้นมาบนดาวโลกตั้งแต่เด็กสินะ ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง?” เซี่ยกู่เฉิงถาม
“ดาวโลกมีขนาดเล็กมาก มันตั้งอยู่บริเวณชายขอบของพันธมิตรมนุษย์ แต่บรรยากาศภายในดาวก็ค่อนข้างดีนะครับ” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณมากที่พยายามเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดี” เซี่ยกู่เฉิงกล่าวพร้อมกับพยักหน้าให้ชายหนุ่ม
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดอะไร เพราะถ้าหากว่าเขายังคงชวนคุยต่อไป คำถามมันก็คงจะถูกมุ่งเน้นไปที่สายเลือดภายในร่างของเขา
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากได้คำตอบของคำถามนี้ แต่เขาไม่อยากให้สายเลือดภายในร่างกลายเป็นโซ่ตรวนที่พันธนาการจิตใจของเขาเอาไว้ ไม่ว่ายังไงดาวโลกก็ยังคงเป็นบ้านเกิดของเขาเสมอ ส่วนสายเลือดเป็นเรื่องที่เขาควบคุมไม่ได้ สิ่งที่เขาพอจะทำได้คือการพยายามเป็นตัวของตัวเอง
เซี่ยกู่เฉิงจ้องมองไปที่เซี่ยเฟยเป็นเวลานาน ขณะที่ชายหนุ่มก็จ้องมองไปที่บรรพบุรุษของตัวเองเป็นเวลานานด้วยเช่นกัน
ทุกอย่างของเซี่ยกู่เฉิงแตกต่างจากบรรพบุรุษที่เขาเคยจินตนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิง เพราะชายชราคนนี้ดูเป็นเพียงแค่ชายชราใจดีทั่ว ๆ ไปเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ในอดีตเขาเคยจินตนาการว่าบรรพบุรุษเป็นปีศาจตัวใหญ่ เพราะชายชราคนนี้เพียงคนเดียวสามารถที่จะทำให้ผู้คนทั่วทั้งแดนเทพรู้สึกหวาดกลัว
แน่นอนว่าเซี่ยกู่เฉิงย่อมไม่แสดงด้านดุร้ายภายในบ้านของตัวเอง แต่ถ้าหากว่าเซี่ยเฟยได้เห็นด้านที่โกรธเกรี้ยวของชายชรา เขาจะเข้าใจในทันทีว่าคำว่าปีศาจตัวใหญ่ไม่เพียงพอที่จะอธิบายความดุร้ายของชายชราคนนี้ได้
“นายอยากรู้จริง ๆ เหรอว่าดีม่อนวิงคืออะไร?” เซี่ยกู่เฉิงเริ่มกล่าวขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเงียบไปเป็นเวลานาน
“ใช่ครับ หลังจากที่ปีกปรากฏขึ้นมาผมก็รู้สึกว่าพลังของผมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“ดีม่อนวิงคือพรสวรรค์ของคนในตระกูลของเรา ตอนนี้คนที่สามารถเรียกดีม่อนวิงขึ้นมาได้มีเพียงแค่นายกับฉัน 2 คนเท่านั้น ไหนนายลองเรียกปีกออกมาให้ฉันดูหน่อยซิ” เซี่ยกู่เฉิงกล่าวอย่างจริงจังไม่ได้แสดงท่าทีขี้เล่นเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
เซี่ยเฟยชะงักค้างไปเล็กน้อย เพราะเขาตระหนักได้ถึงดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของบรรพบุรุษ ซึ่งมันหมายความว่าดีม่อนวิงไม่ใช่เรื่องที่ดีของตระกูลเพียงอย่างเดียว
เนื่องมาจากการเรียกปีกออกมาเซี่ยเฟยจำเป็นจะต้องใช้ความเร็วสูงสุด พวกเขาจึงจำเป็นจะต้องเข้าไปในห้องฝึกเพื่อให้เขาออกวิ่งด้วยความเร็ว 4 ล้านเมตรต่อวินาที
หลังจากออกวิ่งไปสักพักในที่สุดปีกปีศาจจาง ๆ ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาทางด้านขวา ซึ่งมันเป็นปีกที่ขาดรุ่งริ่งแต่ก็เต็มไปด้วยขอบมุมที่แหลมคม ทำให้ทุกคนรู้สึกทั้งเวทนาและหวาดกลัวตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็น
เซี่ยกู่เฉิงมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นเต้นจนทำให้ใบหน้าของชายชราเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
“ดีม่อนวิง! ดีม่อนวิงยาว 9 เมตร! ในที่สุดสกายวิงของเราก็มีดีม่อนวิงปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง” เซี่ยกู่เฉิงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ อย่างไรก็ตามเขาก็รีบตะโกนขึ้นมาด้วยแววตาสีแดงก่ำ
“นายต้องรีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
***************
ห๊ะ!! อะไรนะ?!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 293
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น