ตอนที่ 863 รายชื่อนักรบสวรรค์
ตอนที่ 863 รายชื่อนักรบสวรรค์
“ปกตินักรบจะใช้วิธีการสะท้อนกลับของพลังเพื่อสำรวจพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของคนอื่น ส่วนใครจะสามารถประเมินพลังของศัตรูได้แม่นยำแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแต่ละบุคคล แต่ตอนนี้สมองของนายกลับถูกปิดกั้นโดยสมบูรณ์ คนอื่นจึงมองเห็นนายไม่ต่างไปจากคนทั่วไปมากนัก” โอโร่กล่าวระหว่างที่พวกเขากำลังเดินไปยังกลุ่มมังกรฟ้า
เมื่อโอโร่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เซี่ยเฟยก็ได้ตระหนักว่ากลิ่นอายของเขาเจือจางลงมากกว่าเดิมจริง ๆ คล้ายกับว่าหยดน้ำจากชิ้นส่วนอาร์คจะทำให้เขาปกปิดตัวตนได้ลึกลับมากยิ่งขึ้น
“มันก็ดีแล้วนี่ครับ ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดก็คือศัตรูที่ถูกมองข้ามไม่ใช่เหรอ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยักไหล่
หลังจากเดินไปสักพักพวกเขาก็ได้พบกับบันไดทอดยาวหลายพันเมตร โดยมีมังกรทองขนาดยักษ์ทั้งสองตัวขนาบซ้ายขวาทำหน้าที่เป็นราวบันได
“นี่คือทางเข้าหลักของกลุ่มมังกรฟ้า เป็นยังไง? มันดูดีเลยใช่ไหมล่ะ?” เฝิงซินเหนียนอธิบายอย่างภาคภูมิใจ
“มังกรทั้งสองตัวนี้ถูกแกะสลักขึ้นมาอย่างชาญฉลาดมากจริง ๆ ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่ได้ถูกแกะสลักขึ้นมาอย่างชัดเจนมากนัก แต่มันก็มีการจงใจเน้นย้ำถึงความมีอำนาจของมังกร ผู้คนที่เข้ามายังกลุ่มมังกรฟ้าก็ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันก่อนเป็นอันดับแรก”
“ฉันเดาว่ากลุ่มมังกรฟ้าทำทางเข้าขึ้นมาแบบนี้เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่าโลกด้านนอกประตูกับโลกด้านในประตูคือคนละโลกกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ใครก้าวข้ามผ่านประตูนี้ไป พวกเขาก็จะต้องเตรียมใจแบกรับแรงกดดันอันมหาศาล” เซี่ยเฟยกล่าว
“ใช่ จุดประสงค์ของมังกรทั้งสองตัวนี้คือการเน้นย้ำถึงแรงกดดันอันมหาศาลอย่างที่นายอธิบายเอาไว้จริง ๆ” เฝิงซินเหนียนกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย
“แต่ฉันรู้สึกว่าประตูนี้มันดูก้าวร้าวเกินไปหน่อย เมื่อใครก้าวข้ามผ่านประตูนี้ไป มันก็จะก่อให้เกิดความตึงเครียดและรู้สึกว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรู” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฝิงซินเหนียนขมวดคิ้วขึ้นมาราวกับว่าเขาไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย ซึ่งในเวลานั้นหลางซุนเย่ผู้ซึ่งไร้เดียงสามาโดยตลอดก็ส่งเสียงหัวเราะและกล่าวออกไปว่า
“ฉันก็คิดเหมือนกันว่ามังกรพวกนี้มันน่ากลัวมาก ตอนที่ฉันมาที่นี่ครั้งแรกพวกมันก็ทำให้ฉันเกือบจะเป็นลมล้มไปเลย”
“ตระกูลสกายวิงของนายเป็นพวกรักอิสระและไม่ถูกผูกมัดมาโดยตลอด มันเลยเป็นเรื่องปกติที่นายจะไม่ชอบอะไรที่ดูก้าวร้าวแบบนี้ ฉันเลยอยากจะเกิดเป็นคนในตระกูลของนายจริง ๆ ที่อยากทำอะไรก็ทำ ตอนฉันอยู่ในตระกูลฉันต้องถูกกดดันให้ฝึกฝนอย่างหนัก เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันขี้เกียจฉันก็จะถูกลงโทษจนหลังลาย”
“ความจริงแล้วตระกูลฉันก็ไม่ได้สบายอย่างที่นายคิดหรอก ยิ่งพวกเรามีความสามารถมากเท่าไหร่พวกเราก็ยิ่งจะต้องแบกรับความรับผิดชอบเอาไว้มากขึ้นเท่านั้น”
“ตราบใดก็ตามที่นายมีพลังเกินระดับราชากฎ นายก็จะต้องเข้าสู่สวนสายลมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจของตระกูล ถึงแม้ในวันธรรมดาพวกเราจะได้รับอิสระทำอะไรก็ได้ แต่ในวันที่มีภัยพวกเราก็ต้องแบกรับอันตรายไปพร้อมกับสมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลด้วยเหมือนกัน” เซี่ยเฟยตบไหล่หลางซุนเย่ด้วยรอยยิ้ม
“ในสกายวิงมันไม่มีคนธรรมดาอยู่เลยหรือไง? ทำไมแม้แต่นายก็เป็นคนบ้าเหมือนกับพวกเขาไปด้วย” หลางซุนเย่กระซิบออกมาเบา ๆ
หลังจากนั้นทั้งสามก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน ซึ่งเซี่ยเฟยก็ไม่ได้สนใจเลยที่เขาจะถูกเรียกว่าคนบ้า เพราะสำหรับเขาแล้วคำ ๆ นี้มันถือว่าเป็นคำชม แน่นอนว่าทุกคนในสกายวิงก็มีความคิดไม่ต่างไปจากเขาด้วยเช่นกัน
เมื่อเดินลึกเข้าไปบนบันไดพวกเขาก็ได้พบกับอาคารต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างจะถูกสร้างขึ้นมาในสไตล์โบราณ คล้ายกับว่าทุกอย่างในดินแดนค่อนข้างที่จะยึดติดกับวัฒนธรรมในสมัยโบราณจริง ๆ
อย่างไรก็ตามลักษณะภายนอกของอาคารโบราณเหล่านี้ก็ไม่ได้หมายความว่าอุปกรณ์ภายในตัวอาคารจะเป็นสิ่งที่ล้าสมัย กลุ่มมังกรฟ้าถือว่าเป็นกลุ่มนักสู้ชั้นยอดของฝั่งเทพ อุปกรณ์ภายในอาคารจึงล้วนแล้วแต่เป็นอุปกรณ์ระดับสูงเท่าที่พวกเขาจะสามารถจัดสรรมาให้กับคนของตัวเองได้
ท้ายที่สุดสมาชิกของกลุ่มมังกรฟ้าก็คือรากฐานของเผ่าเทพ การสนับสนุนที่ถูกจัดสรรลงมาจึงเป็นเงินปริมาณมหาศาลยากที่ใครจะจินตนาการถึง
เฝิงซินเหนียนนำเซี่ยเฟยตรงไปยังอนุสาวรีย์ทองคำขนาดใหญ่ ซึ่งอนุสาวรีย์นี้เป็นอนุสาวรีย์สี่เหลี่ยมจตุรัสที่มีความกว้างด้านละ 100 เมตร และบนอนุสาวรีย์มีตัวเลขและชื่อถูกสลักไว้เป็นจำนวนมาก
“นี่คือกระดานจัดอันดับนักรบสวรรค์ 100 รายชื่อที่ถูกสลักอยู่ในอนุสาวรีย์นี้คือนักรบ 100 อันดับแรกที่แข็งแกร่งที่สุดภายในกลุ่มของเรา ทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นจักรพรรดิด้วยกันทั้งหมดไม่มีข้อยกเว้น” เฝิงซินเหนียนกล่าวแนะนำอย่างตื่นเต้น
“จักรพรรดิหมดเลย!? การสอนของกลุ่มมังกรฟ้ามีประสิทธิภาพมากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามด้วยความประหลาดใจ
“ปกตินักรบแต่ละคนจะมีพื้นฐานการฝึกฝนที่ดีจากตระกูลของตัวเองมาอยู่แล้ว สิ่งที่พวกเราทำมีเพียงแค่การชี้แนะเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น คนส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนกับนายที่มาลงทะเบียนกับกลุ่มมังกรฟ้าเพื่อคอยหาคู่ต่อสู้ประลองเพื่อวัดฝีมือเท่านั้น และจะกลับไปฝึกฝนในพื้นที่ตระกูลของตัวเอง” เฝิงซินเหนียนกล่าวอธิบาย
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าในดินแดนกฎจะมีจักรพรรดิอยู่เยอะขนาดนี้ แต่ทำไมฉันถึงไม่เห็นชื่อของผู้อาวุโสเซี่ยบูหยุนกับผู้อาวุโสเซี่ยเทียนเลย หรือว่าพลังของพวกเขาไม่มากพอจะติดลำดับรายชื่อนักรบสวรรค์?” เซี่ยเฟยถาม
“ผู้อาวุโสทั้งสองมีพลังอยู่ในระดับไหนแล้ว รายชื่อของพวกเขาไม่จำเป็นจะต้องมาอยู่ในอนุสาวรีย์พวกนี้หรอก อีกอย่างรายชื่อที่ถูกแกะสลักต่างก็เป็นรายชื่อของนักรบรุ่นเยาว์ เจ้าของชื่อทุกชื่อต่างก็ล้วนแล้วแต่มีอายุไม่เกิน 30 ปี” หลางซุนเย่กล่าวขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ
คราวนี้มันก็ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะอายุขัยในดินแดนกฎเป็นสิ่งที่ยาวนานมาก นักรบหลาย ๆ คนมีอายุหลายร้อยหรืออาจจะหลายพันปีด้วยซ้ำ สำหรับดาวโลกผู้ที่มีอายุ 30 ปีอาจจะเรียกว่าวัยกลางคน แต่สำหรับที่นี่ผู้มีอายุ 30 ปีก็เป็นเพียงแค่นักรบรุ่นเยาว์
“ลองมาดูทางนี้สิ” เฝิงซินเหนียนโบกมือเรียกเซี่ยเฟยไปทางพื้นที่อีกด้านหนึ่งของอนุสาวรีย์ โดยพื้นที่บริเวณนี้มีรายชื่ออยู่นับพัน เพียงแต่รายชื่อแต่ละรายชื่อไม่ได้โดดเด่นมากนัก เพราะมันเป็นตัวอักษรเล็ก ๆ ที่ถูกแกะสลักติด ๆ กันจนลายตาไปหมด
“นี่คือรายชื่ออัจฉริยะทั้งหมด ในปัจจุบันอัจฉริยะทุกคนต่างก็มีอายุต่ำกว่า 30 ปีและพลังของพวกเขาทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีระดับราชากฎขึ้นไป”
“แค่ดูรายชื่อพวกนี้นายก็น่าจะรู้แล้วว่ากลุ่มมังกรฟ้าเป็นแหล่งรวมตัวของอัจฉริยะ นักรบผู้มีพรสวรรค์ทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่อยากจะมาเข้าร่วมกับกลุ่มมังกรฟ้าของพวกเราทั้งนั้น” เฝิงซินเหนียนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ และคำอธิบายของอีกฝ่ายมันก็ช่วยให้เซี่ยเฟยตระหนักถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของกลุ่มมังกรฟ้ามากยิ่งขึ้น
“1,067 คน!? ในดินแดนกฎมีราชากฎอายุน้อยกว่า 30 ปี 1,067 คนเลยงั้นเหรอ?!” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ความเป็นจริงมันก็มีอัจฉริยะชั้นนำบางคนถูกนำตัวขึ้นสู่เบื้องบนตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนผู้ที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบของตระกูลอย่างผู้อาวุโสเซี่ยบูหยุนหรือผู้อาวุโสเซี่ยเทียนก็ไม่มีรายชื่อภายในกระดานจัดอันดับนักรบสวรรค์ด้วยเหมือนกัน สิ่งที่นายเห็นอยู่จึงเป็นเพียงแค่การประมาณการคร่าว ๆ เท่านั้น”
“ในกลุ่มดาวม้าขาวมีตระกูลขนาดใหญ่อยู่หลายร้อยตระกูล และแต่ละตระกูลก็มีจักรพรรดิกฎคอยดูแลตระกูลอยู่อย่างน้อย 1 คน ยกเว้นตระกูลของนายมีจักรพรรดิกฎภายในตระกูลถึง 5 คนแล้ว แต่จำนวนที่ฉันบอกออกมานี้เป็นเพียงจำนวนนักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในแดนเทพมันก็ยังมีนักรบจากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ อีกอย่างมากมาย”
“ขนาดประชากรของมนุษย์ภายในแดนเทพจัดอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น มันยังมีเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าพวกเราอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่ามันจะมีจักรพรรดิกฎถูกนำขึ้นสู่เบื้องบนเป็นระยะ ๆ แต่จำนวนจักรพรรดิกฎที่ยังคงอยู่ในดินแดนกฎก็ไม่เคยน้อยกว่า 100,000 คนอยู่ดี”
“การที่มันมีอัจฉริยะเป็นจักรพรรดิกฎตั้งแต่อายุยังน้อยเพียงแค่ 1% จากจักรพรรดิกฎทั้งหมด มันก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอะไร”
หลังจากฟังคำอธิบายของเฝิงซินเหนียน เซี่ยเฟยก็ได้เปิดความรู้ของเขาให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ไม่ว่ายังไงดินแดนกฎก็มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอย่างที่เฝิงซินเหนียนว่าที่จะมีจักรพรรดิอายุน้อยอยู่ในเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 คน
“ในรายชื่อนี้มีอัจฉริยะจากเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่กี่คนงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถาม
“มีคนเดียว” หลางซุนเย่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“น้อยขนาดนั้นเลยเหรอ?” เซี่ยเฟยอุทานอย่างประหลาดใจ
“เผ่ามนุษย์ของพวกเรามีระยะเวลาในการเติบโตค่อนข้างช้า แค่การพัฒนากระดูกให้สมบูรณ์เพียงอย่างเดียวมันก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปีแล้ว ขณะที่เผ่าพันธุ์อื่น ๆ สามารถโตเต็มที่ในระยะเวลาเพียงแค่ 10 กว่าปีเท่านั้น มันเลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่จำนวนอัจฉริยะของเราจะมีจำนวนน้อยขนาดนี้” หลางซุนเย่กล่าวขึ้นมาเบา ๆ
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็นึกถึงเผ่าพันธุ์ไลอ้อนฮาร์ท เพราะแม้แต่เด็ก ๆ ในตระกูลนี้ก็มีร่างกายสูงใหญ่มากกว่าผู้ใหญ่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก แสดงให้เห็นว่าสภาพร่างกายส่งผลกระทบต่อการฝึกฝนด้วยเช่นกัน แล้วมันก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเผ่าพันธุ์มนุษย์ถึงเป็นเผ่าพันธุ์กลาง ๆ นั่นก็เพราะว่าพวกเขาต้องใช้เวลาในการเติบโตยาวนานเกือบ 20 ปี
“เหตุผลหลักที่พวกเราอยากจะให้นายเข้าร่วมกับกลุ่มมังกรฟ้า นั่นก็เพราะว่าการพัฒนาของนายเป็นไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงแค่ไม่นานนายก็พัฒนาจนกลายเป็นราชากฎแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่นายกลายเป็นจักรพรรดิกฎและเข้าสู่รายชื่อนักรบสวรรค์ เมื่อนั้นมันก็จะช่วยยกระดับเผ่าพันธุ์ของพวกเราให้สูงกว่าเดิม” หลางซุนเย่กล่าวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
เซี่ยเฟยเลือกที่จะนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไรว่าในตอนนี้เขาได้มีพลังถึงระดับจักรพรรดิกฎแล้ว เพียงแต่ว่าสหายทั้งสองไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดไปในก่อนหน้านี้เท่านั้นเอง
ในระหว่างที่ทั้งสามเดินลึกเข้าไปในทางเดิน โอโร่ที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดก็เริ่มพูดขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วย
“จุดเด่นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ได้อยู่ในช่วงเริ่มต้นแต่อยู่ในช่วงหลังต่างหาก ดังนั้นถึงแม้ว่าสมาชิกรุ่นใหม่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่โดดเด่น แต่สมาชิกรุ่นเก่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์กลับมีพลังสูงมาก”
“เมื่อไหร่ก็ตามที่นายได้เข้าไปในเผ่าเทพ นายจะเข้าใจเองว่านักรบชั้นยอดของฝั่งเทพส่วนใหญ่ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นนักรบที่มาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด โดยเฉพาะนักรบจากตระกูลสกายวิงของนายที่จะมีความโดดเด่นมากกว่านักรบตระกูลอื่นมากเป็นพิเศษ”
“เรื่องการจัดอันดับอะไรนั่นนายไม่ต้องไปสนใจอะไรมันหรอก นายเพิ่งจะเดินทางเข้ามาในดินแดนกฎได้กี่วัน แต่นายก็กลายเป็นจักรพรรดิกฎได้แล้ว ในวันนี้ฉันกล้าบอกกับนายตรงนี้ได้เลยว่าฉันไม่เคยเห็นใครพัฒนาได้เร็วเท่ากับนายแล้ว”
จากนั้นเฝิงซินเหนียนก็พาเซี่ยเฟยเข้าไปในสำนักทะเบียนเพื่อลงทะเบียน ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้รับป้ายเงินที่มีตราสัญลักษณ์ของกลุ่มมังกรฟ้ามาเป็นป้ายประจำตัวของตัวเอง
“ภายในกลุ่มจะมีป้ายทองแดง, ป้ายเงินและป้ายทอง ตราบใดก็ตามที่นายพัฒนาจนกลายเป็นจักรพรรดิกฎแล้ว ป้ายของนายก็จะถูกเปลี่ยนเป็นสีทองทันที” เฝิงซินเหนียนอธิบาย
เซี่ยเฟยเก็บป้ายมังกรฟ้าเอาไว้ในแหวนมิติอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเขาต้องการที่จะมาลงทะเบียนที่นี่เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาฝึกซ้อมจริง ๆ จัง ๆ ที่กลุ่มมังกรฟ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เฝิงซินเหนียนรู้มานานแล้วว่าเซี่ยเฟยไม่ได้ให้ความสนใจกลุ่มมังกรฟ้ามากขนาดนั้น ซึ่งหลังจากที่ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้พาสหายตรงไปยังอาคารสี่เหลี่ยมสีทองขนาดใหญ่ที่มีป้ายแขวนไว้ด้วยชื่อว่าอาคารวินด์, เรน, สตอร์มและธันเดอร์
เมื่อเดินเข้ามาในอาคารธันเดอร์ เซี่ยเฟยก็ได้พบกับจักรพรรดิกฎผู้มีตราสีทองกำลังฝึกซ้อมการต่อสู้แบบตัวต่อตัว
“นี่คือจุดที่นักรบของเราใช้ในการประลองฝีมือกัน ถ้าหากว่านายต้องการจะหาคู่ซ้อม นายก็เข้ามาหาคู่ซ้อมที่นี่ได้เลย แต่ระหว่างการต่อสู้นายห้ามประมาทอย่างเด็ดขาด เพราะไม่ว่ายังไงมันก็เป็นการต่อสู้ที่เสี่ยงอันตรายจริง ๆ” เฝิงซินเหนียนอธิบายขึ้นมาเบา ๆ
แม้ว่าเขาจะเป็นนายน้อยของกลุ่มมังกรฟ้า แต่ภายในอาคารก็มีจักรพรรดิกฎอยู่อย่างมากมาย แล้วมันก็มีนักรบหลาย ๆ คนที่ไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจสถานะของเขา
อาคารแห่งนี้มีขนาดใหญ่มากจนสามารถมองเห็นนักรบที่กำลังประลองกันจนสุดลูกหูลูกตา นอกจากนี้มันก็ยังมีการใช้พลังกฎในรูปแบบต่าง ๆ อย่างมากมาย และมันก็เริ่มกระตุ้นความอยากให้เซี่ยเฟยลองไปประลองกับคนอื่นดู
ทันใดนั้นมันก็มีร่าง ๆ หนึ่งกระเด็นลงมาจากด้านบนร่วงหล่นลงมาตรงหน้าของเซี่ยเฟยพอดิบพอดี ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้เห็นว่าเธอคนนี้เป็นหญิงสาวคุ้นหน้าที่กำลังได้รับบาดเจ็บ
เมื่อหญิงสาวปรากฏตัวขึ้นมามันก็ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงในทันที ก่อนที่ดวงตาของเซี่ยเฟยมันจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดอย่างฉับพลัน
***************
สาวคนนั้นทุกคนคิดว่าใคร? แอวริล, เซียวรั่วหยู, เยว่เกอหรือมู่ฟู่ผิง? อิอิ


แสดงความคิดเห็น