ตอนที่ 842 ผู้พิทักษ์และกบฏ
ตอนที่ 842 ผู้พิทักษ์และกบฏ
เซี่ยเฟยไม่เคยคิดเลยว่าผลกระทบจากการต่อสู้ระหว่างเขากับหวู่หยูหมิงจะไม่เพียงแต่ดึงดูดเทพขาวกับเทพดำเข้ามาเท่านั้น แต่มันยังดึงดูดนักรบเกราะทองซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ประตูจักรวาลเข้ามาด้วย
ที่แย่ไปกว่านั้นคือชายหนุ่มกำลังถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพวกเดียวกันกับเทพทั้งสองคนนี้
แม้ว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์กันจริง ๆ แต่มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ได้มีความใกล้ชิด หากเขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพวกเดียวกันกับสองพี่น้องขาวดำ เขาก็อาจจะถูกไล่ล่าเหมือนกับเทพขาวและเทพดำก็ได้
ความผันผวนในสภาวะจิตใจส่งผลให้พลังงานภายในร่างเริ่มเกิดความผันผวนขึ้นมาเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มจึงจำเป็นจะต้องสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว และพยายามไม่ใส่ใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ภายนอก
“เขาพยายามเลื่อนระดับอยู่ไม่ใช่เหรอ? ถ้าพวกแกไม่ได้เกี่ยวกับเขาแล้วพวกแกจะอยู่เฝ้าเขาไปทำไม?” นักรบเกราะทองกล่าวถามอย่างตรงประเด็นจนทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
“เราจะช่วยใครมันก็เรื่องของเรา อย่าคิดว่าพวกเราจะกลัวพวกแกเพียงเพราะชุดเกราะที่พวกแกกำลังสวมอยู่” เทพขาวกล่าวอย่างเย็นชา
คำตอบนี้ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้นกว่าเดิม พร้อม ๆ กับจิตสังหารอันรุนแรงที่ถูกปลดปล่อยออกมาครอบคลุมทั้งดวงดาว
สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้เซี่ยเฟยยิ่งควบคุมพลังงานได้ยากเข้าไปใหญ่ แต่สิ่งที่เขารู้สึกกลัวมากที่สุดในเวลานี้ไม่ใช่พลังงานภายใต้สมองของเขา แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างเทพเจ้าทั้งสองกับผู้พิทักษ์ทั้งสามคน เพราะถ้าหากว่ากลุ่มคนเหล่านี้เกิดการปะทะกันขึ้นมาจริง ๆ ในเวลานั้นสถานการณ์มันก็จะเลวร้ายขึ้นมามากขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ปฏิกิริยาของเทพขาวยังทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกใจมาก เพราะเขาคิดมาโดยตลอดว่าชายผู้ชอบสวมใส่ชุดสีขาวคนนี้เป็นคนที่ทำอะไรอย่างสมเหตุสมผลมาโดยตลอด เขาจึงไม่คิดว่าเทพขาวจะเป็นคนที่ระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นคนแรก
ในระหว่างที่สถานการณ์กำลังจะบานปลายไปมากกว่านี้ จู่ ๆ ผู้ที่มีความอาวุโสมากที่สุดในบรรดานักรบเกราะทองทั้งสามคนก็ยื่นมือออกมาเพื่อหยุดคนของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปมากกว่าเดิม
นักรบเกราะทองทั้งสามต่างก็ล้วนแล้วแต่ใส่หน้ากากเหมือนกันหมด มันจึงไม่มีใครสามารถระบุอายุของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามนักรบเกราะทองที่ยื่นมือออกมาก็มีเคราสีขาวอยู่เพียงคนเดียว และเมื่อพิจารณาจากท่าทางที่นักรบทั้งสองปฏิบัติตัวต่อนักรบคนนี้อย่างเคารพ มันก็สามารถตัดสินได้ว่าผู้พิทักษ์ชราผู้นี้คือผู้นำของนักรบเกราะทองทั้งสามคน
“ใจเย็น ๆ ถึงแม้ผู้พิทักษ์กับกบฏจะไม่ค่อยลงรอยกัน แต่มันก็ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องทำสงคราม วันนี้พวกเราแค่พบกันโดยบังเอิญเท่านั้น ขอให้เรื่องราวทุกอย่างมันยุติลงเพียงเท่านี้เถอะ” นักรบหนวดขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง
ทันทีที่ผู้พิทักษ์ชราพูดจบลง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ผ่อนคลายท่าทีลงด้วยเช่นเดียวกัน แต่คำพูดของเขาเหมือนกับทำให้ความวุ่นวายภายในใจของเซี่ยเฟยเพิ่มมากขึ้น
ที่แท้เทพขาวกับเทพดำก็เป็นคนของกลุ่มกบฏงั้นเหรอ!!
เซี่ยเฟยอดที่จะถอนหายใจออกมาให้กับสถานการณ์อันซับซ้อนนี้ขึ้นมาไม่ได้ เพราะจักรวาลนี้ไม่เพียงแต่จะมีสองเผ่าพันธุ์สูงสุดเท่านั้น กลุ่มผู้พิทักษ์กับกลุ่มกบฏก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมองข้ามด้วยเช่นกัน และมันก็ยังไม่รวมถึงกองกำลังจากแดนเนรเทศ มันจึงทำให้ความซับซ้อนในจักรวาลนี้อยู่เหนือเกินความคาดหมายของชายหนุ่มมาก
แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะมีความซับซ้อนมากแค่ไหน ข้อพิพาทเหล่านี้มันก็ยังไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเขา สิ่งที่ชายหนุ่มจำเป็นจะต้องทำในปัจจุบันคือการดูดกลืนพลังงานของหวู่หยูหมิงให้สำเร็จ เพราะถึงแม้เขาจะลืมตาตื่นขึ้นมาแต่มันก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขสถานการณ์ในปัจจุบันได้อยู่ดี
หลังจากตัดสินใจได้เรียบร้อยแล้วเซี่ยเฟยก็ใช้วิชาพรางจิตเพื่อพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมให้ได้มากที่สุด และแสร้งทำเป็นว่าเขามองไม่เห็นหรือไม่ได้ยินเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าของเขาเลย
“ถ้าไม่อยากเริ่มสงคราม แล้วพวกแกจะติดตามพวกเราสองพี่น้องมาทำไม?” เทพขาวกล่าวอย่างเย็นชา
“พวกเราไม่ได้แอบติดตามพวกคุณทั้งสองคน เพียงแต่พวกเราสัมผัสได้ถึงพลังอันแปลกประหลาด พวกเราเลยลองมาดูว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น ถ้าหากฉันเดาไม่ผิดพวกคุณน่าจะเพิ่งสังหารนักรบที่ครอบครองอาวุธมายาใช่ไหม? เพราะฉันเห็นอาวุธมายาสองชิ้นบินหนีไปคล้ายกับว่าเจ้านายของพวกมันเสียชีวิตไปแล้ว” ผู้พิทักษ์ชรากล่าว
“มีคนตายจริง ๆ แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ฝีมือของเรา” เทพดำกล่าว
“แล้วมันเป็นฝีมือของใคร?”
เทพดำเม้มริมฝีปากก่อนที่เขาจะชี้นิ้วไปทางเซี่ยเฟย
“เขาเนี่ยนะ?! เขายังมีพลังไม่ถึงระดับจักรพรรดิด้วยซ้ำ แล้วเขาจะสังหารผู้ที่ครอบครองอาวุธมายาถึง 2 ชิ้นได้ยังไง” นักรบเกราะทองทั้งสามต่างก็อุทานออกมาอย่างตกตะลึง
บทสนทนาระหว่างทั้งสองฝ่ายทำให้เซี่ยเฟยอยากจะหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพราะจู่ ๆ บทสนทนามันก็ถูกชี้มาที่ตัวเขา ทั้ง ๆ ที่เขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายเลย
“คนอื่นอาจจะทำไม่ได้ แต่สหายตัวน้อยของฉันคนนี้ทำได้แน่นอน” เทพดำกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“ดูเหมือนแกจะมั่นใจในตัวมันมากเลยนะ หรือว่ามันจะเป็นหนึ่งในพวกกบฏเหมือนกับแก?” นักรบหนุ่มกล่าวถามด้วยน้ำเสียงอันเหยียดหยาม
“หากตระกูลสกายวิงยินดีที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏ พวกเราก็ยินดีต้อนรับ แต่น่าเสียดายที่พวกเขารักอิสระมากเกินไป และมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมาเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏของพวกเรา” เทพดำตอบกลับไปอย่างใจเย็น
“สกายวิง!?”
“เขาเป็นคนของสกายวินงั้นเหรอ?”
ผู้พิทักษ์เกราะทองทั้งสามมองไปที่เซี่ยเฟยด้วยความตกใจอีกครั้ง ราวกับว่าชื่อเสียงของตระกูลนี้มันก็ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของกลุ่มผู้พิทักษ์ด้วยเช่นกัน
เซี่ยเฟยแอบดีใจขึ้นมาเล็กน้อย เพราะดูจากปฏิกิริยาของทั้งสามแล้วชื่อเสียงของตระกูลก็น่าจะช่วยให้เขาหลีกเลี่ยงจากอันตรายได้อีกครั้ง
แต่ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังโล่งใจ จู่ ๆ ผู้พิทักษ์ชราก็จ้องมองไปยังแหวนมิติที่มีโอโร่ซ่อนตัวอยู่
เซี่ยเฟยพอจะรู้อยู่แล้วว่าในจักรวาลมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถมองทะลุผ่านการซ่อนตัวอยู่ในแหวนมิติได้ เพียงแต่เขาไม่คิดว่าชายชราเกราะทองคนนี้จะสามารถมองทะลุผ่านแหวนมิติได้ด้วยเช่นเดียวกัน เหตุการณ์ในปัจจุบันมันจึงทำให้อารมณ์ของชายหนุ่มเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วง พวกผู้พิทักษ์ไม่ได้สนใจความขัดแย้งระหว่างเทพกับมารหรอก เพราะพวกเขาเป็นกองกำลังอิสระที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของทั้งสองเผ่าพันธุ์” โอโร่กล่าว
แน่นอนว่าการอยู่ร่วมกันระหว่างเซี่ยเฟยกับโอโร่ย่อมทำให้ผู้พิทักษ์ชรารู้สึกสงสัย แต่เขาก็ไม่เลือกที่จะพูดเรื่องนี้ออกมา
“ในเมื่อเรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิด พวกเราก็ขอตัวไปก่อน หวังว่าพวกเราจะได้พบเจอกันใหม่” ผู้พิทักษ์ชรากล่าวและเตรียมพร้อมที่จะจากไป อย่างไรก็ตามจู่ ๆ ทางเทพขาวและเทพดำต่างก็เอื้อมมือไปหยุดนักรบเกราะทองเอาไว้พร้อม ๆ กัน
“พวกคุณกำลังทำอะไร?” ผู้พิทักษ์ชราถามด้วยเสียงเข้ม
“ไหน ๆ พวกเราก็เจอกันแล้วอยู่พูดคุยกันสักหน่อยสิแล้วค่อยกลับทีหลังก็ได้” เทพดำกล่าวพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
ผู้พิทักษ์ทั้งสามเริ่มที่จะมองไปยังฟากฟ้าบ้างเป็นครั้งคราว ราวกับว่ามันมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้พวกเขารู้สึกกังวล อย่างไรก็ตามมันก็เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาไม่สามารถจะเพิกเฉยต่อตัวตนของเทพขาวและเทพดำได้ พวกเขาจึงจำเป็นจะต้องหยุดอยู่ที่นี่แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจก็ตาม
“ฉันได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้มันมีความปั่นป่วนเกิดขึ้นกับประตูจักรวาลใช่ไหม? หรือว่า…”
“อย่าพูดนะ!”
“อย่าพูดชื่อนั้น!”
จู่ ๆ ผู้พิทักษ์เกราะทองก็อุทานออกมาอย่างกะทันหันเพื่อห้ามไม่ให้เทพขาวกับเทพดำพูดคำบางคำที่ทำให้พวกเขารู้สึกกลัว
“ฉันรับประกันได้ว่าเจ้าของชื่อนั้นไม่ได้ปรากฏตัวในจักรวาลนี้ แต่ถ้าหากกลุ่มกบฏกล้าใช้ชื่อนั้นสร้างปัญหาก็อย่าหาว่าพวกเรากลุ่มผู้พิทักษ์ไร้ความปรานี” ผู้พิทักษ์ชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“พวกเราแค่ถามอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง ทำไมถึงต้องร้อนตัวขนาดนั้นด้วย” เทพดำกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“พวกเราไม่จำเป็นจะต้องตอบคำถาม หน้าที่ของพวกเราคือการเฝ้าประตูจักรวาล อย่าลืมข้อตกลงของพวกเราในก่อนหน้านี้” ผู้พิทักษ์ชรากล่าวอย่างเคร่งเครียด
“ข้อตกลง? ข้อตกลงของพวกเราคือเราจะไม่ยุ่งกับประตูจักรวาลถ้าหากว่าเจ้าของชื่อนั้นไม่ปรากฏตัว แต่ถ้าหากว่าเจ้าของชื่อนั้นปรากฏตัวขึ้นมา มันก็แสดงว่าข้อตกลงของพวกเราเป็นโมฆะไม่ใช่เหรอ?” เทพขาวกล่าวอย่างเย็นชา
“ไปหาหลักฐานมาแล้วค่อยมากล่าวหากันแบบนี้ พวกเราผู้พิทักษ์ดูแลประตูจักรวาลมาเป็นอย่างดี ไม่มีทางที่เจ้าของชื่อนั้นจะปรากฏตัวขึ้นมาได้” ผู้พิทักษ์ชราเริ่มส่งเสียงตะคอก
“ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างที่คุณพูด” เทพดำกล่าว
“เจ้าของชื่อนั้นคือพวกรีเวิร์สงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยพยายามปะติดปะต่อบทสนทนาระหว่างทั้งสองฝ่าย ก่อนที่จะกล่าวถามโอโร่ขึ้นมาเบา ๆ
“ใช่ พวกผู้พิทักษ์มีกฎว่าห้ามพูดถึงชื่อของรีเวิร์ส” โอโร่กล่าวออกพร้อมกับขมวดคิ้ว
คำตอบนี้ยิ่งทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึงมากขึ้นกว่าเดิม เพราะทั้งเทพขาวและเทพดำต่างก็มีข้อสงสัยว่ารีเวิร์สได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง แล้วมันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้มันจะต้องเป็นปัญหาใหญ่ในระดับจักรวาล
“ผู้พิทักษ์กับกลุ่มกบฏมีข้อตกลงกันว่าพวกเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน ตราบใดก็ตามที่รีเวิร์สไม่ปรากฏตัว อย่างไรก็ตามถ้าหากว่ากลุ่มผู้พิทักษ์ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่ประตูจักรวาลได้ และทำให้รีเวิร์สหลุดรอดเข้ามาในจักรวาลแห่งนี้ เมื่อนั้นกลุ่มกบฏก็จะเข้าไปยึดการควบคุมประตูจักรวาลไม่ว่ากลุ่มผู้พิทักษ์จะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม” โอโร่กล่าว
กลุ่มผู้พิทักษ์เป็นเหมือนกับพวกอนุรักษ์นิยมที่ต่อต้านสิ่งมีชีวิตใด ๆ ที่อยู่นอกประตูจักรวาล ขณะที่กลุ่มกบฏเป็นกลุ่มที่มีความคิดเห็นต่าง เพราะพวกเขาต้องการที่จะเปิดประตูจักรวาลเพื่อเผชิญหน้ากับดินแดนลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่หลังประตู
ด้วยเหตุนี้เองเสถียรภาพของประตูจักรวาลจึงกลายเป็นข้อตกลงกึ่งกลางระหว่างพวกเขา เพราะถ้าหากกลุ่มผู้พิทักษ์สามารถพิสูจน์ได้ว่า พวกเขามีความสามารถมากพอที่จะควบคุมสถานการณ์ของประตูจักรวาลกลุ่มกบฏก็จะไม่เข้าไปยุ่ง แต่เมื่อไหร่จะตามที่กลุ่มผู้พิทักษ์ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ของประตูจักรวาลได้ เมื่อนั้นกลุ่มกบฏก็มีสิทธิ์ที่จะเปิดประตูจักรวาลด้วยเช่นกัน
เมื่อผู้พิทักษ์ถูกถามจี้เรื่องที่พวกเขากังวล มันก็ทำให้บรรยากาศระหว่างสองฝ่ายกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง และสถานการณ์ในปัจจุบันมันก็ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกลางรู้สึกถูกทรมาน เพราะเขาไม่สามารถจะควบคุมสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ได้เลย
“พวกเราไปได้แล้ว” ผู้พิทักษ์ชรากล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
“หยุด!” ทั้งเทพขาวและเทพดำพยายามหยุดยั้งด้วยสีหน้าอันเย็นชาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามร่างของนักรบทั้งสามก็กลายเป็นแสงสีทอง ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งหายไปยังจักรวาลอันกว้างใหญ่ด้วยความรวดเร็ว
—
หลังจากเดินทางมาอย่างยาวไกล ในที่สุดนักรบเกราะทองทั้งสามก็หยุดอยู่ในพื้นที่อันว่างเปล่า
“เอายังไงดีครับหัวหน้า? ดูเหมือนพวกกบฏจะเริ่มสงสัยแล้ว” ผู้พิทักษ์อายุน้อยกล่าวถามอย่างกังวล
“เราไม่จำเป็นจะต้องกังวล ประตูจักรวาลยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเรา” ผู้พิทักษ์ชรากล่าวด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่
อย่างไรก็ตามผู้พิทักษ์หนุ่มทั้งสองก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ เท่านั้น ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกเชื่อมั่นในคำพูดของชายชราคนนี้เลย
“ไปกันเถอะ มันยังเหลือตัวสุดท้ายอยู่ พวกเราต้องรีบทำลายมันให้ได้โดยเร็วที่สุด”
ฟุบ!
ทันทีที่ผู้พิทักษ์ชรากล่าวจบ พวกเขาก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าพวกเขากำลังตามหาอะไรบางอย่าง ทั้ง ๆ ที่หน้าที่ของพวกเขาควรจะเป็นการเฝ้าระวังประตูจักรวาลเอาไว้ไม่ใช่เหรอ?
***************
รู้เรื่องขนาดนี้แล้วคงได้แต่รอเวลาที่จะได้เข้าไปยุ่งสินะ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 325
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น