ตอนที่ 841 ผู้คุ้มกันจำเป็น
ตอนที่ 841 ผู้คุ้มกันจำเป็น
การปรากฏตัวของขนอุยทำให้หวู่หยูหมิงสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกตะลึง เพราะในระหว่างที่เขาตั้งใจจะล่าถอยออกไป เซี่ยเฟยกลับเผยไพ่ออกมาอีกใบจนทำให้เขาไม่สามารถล่าถอยได้ตามที่ตัวเองต้องการ
ถุย ๆ ๆ ๆ
ขนอุยเริ่มพ่นลูกบอลพลังงานออกมาอย่างต่อเนื่อง เพราะคำสั่งที่มันได้รับมาจากเซี่ยเฟยคือการพยายามทำยังไงก็ได้ห้ามปล่อยให้ศัตรูหลบหนีออกไปได้อย่างเด็ดขาด
ในเวลาเดียวกันเซี่ยเฟยก็รีบมุ่งหน้าเข้าหาศัตรูพร้อมกับบลัดบิวเทียสที่อยู่ภายในมือ แม้ว่าเขาจะวางแผนการทุกอย่างเอาไว้เป็นอย่างดี แต่แผนการนี้มันจะเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อเขาสามารถสังหารหวู่หยูหมิงลงได้เท่านั้น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีต่อเนื่องของขนอุย มันก็ทำให้ทั่วทั้งร่างของหวู่หยูหมิงถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน และถึงแม้ว่าเขาจะพยายามสร้างกำแพงมิติขึ้นมาขวางกั้นการโจมตีเอาไว้ แต่ขนอุยก็สามารถพุ่งเข้าทำลายกำแพงมิตินั้นลงได้อย่างง่ายดาย
“ตายไปซะ!” เซี่ยเฟยส่งเสียงร้องคำรามพร้อมกับมุ่งหน้าเข้าหาศัตรูด้วยความเร็วมากกว่า 400,000 เมตรต่อวินาที
การเคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวอันเรียบง่ายและไม่ได้มีความซับซ้อนใด ๆ โดยเขามุ่งหน้าไปทางด้านหลังของศัตรู ก่อนที่จะใช้บลัดบิวเทียสแทงตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“ฉันไม่เถียงว่าแกคืออัจฉริยะ แต่สำหรับฉันแล้วแกก็ค่อนข้างจะโง่อยู่นิดหน่อย” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเหยียดหยาม
พลังชีวิตภายในร่างของหวู่หยูหมิงถูกสูบออกไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้วิสัยทัศน์ของชายเลือดผสมค่อย ๆ ดับลงอย่างช้า ๆ ในที่สุดร่างของเขาก็กลายเป็นเพียงแค่ซากศพอันแห้งเหี่ยว แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าจักรพรรดิกฎผู้นี้เสียชีวิตลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
—
ชุดเกราะดาร์กยูนิคอร์นพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อทำให้อุณหภูมิภายในร่างของเซี่ยเฟยลดน้อยลง เนื่องมาจากว่าชายหนุ่มต้องต่อสู้ท่ามกลางทะเลเพลิง มันจึงทำให้อุณหภูมิภายในชุดเกราะจัดอยู่ในระดับที่เรียกว่าร้อนระอุ
แต่ถึงแม้ว่าบนร่างกายของชายหนุ่มจะมีบาดแผลไฟไหม้ปรากฏขึ้นมาอยู่เยอะมาก เซี่ยเฟยก็ไม่ค่อยให้ความสนใจบาดแผลพวกนั้นเลย เพราะเขามีความสามารถในการปรุงยาและบาดแผลพวกนี้มันก็สามารถที่จะรักษาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างง่ายดาย
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งพักบนพื้นอย่างเหนื่อยล้า ก่อนที่จะมองขึ้นไปบนฟ้าเผยให้เห็นอาวุธมายาธาตุไฟทั้งสองชิ้นที่กำลังพุ่งกลับไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว
อาวุธมายาธาตุไฟต่างก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีพื้นผิวสัมผัสให้เขาหยิบจับได้ ดังนั้นถึงแม้เซี่ยเฟยต้องการเก็บพวกมันไว้ แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะเหนี่ยวรั้งพวกมันเอาไว้ได้เลย
นอกจากนี้ตำแหน่งในปัจจุบันของเขายังอยู่ห่างไกลจากพวกมันมากพอสมควร แม้ว่าเขาจะรีบวิ่งกลับไปหาเปลวไฟทั้งสอง แต่เขาก็อาจจะไม่เหลือกำลังมากพอที่จะหยุดยั้งพวกมันเหมือนกับในกรณีศิลาหางฟินิกซ์ได้
โดยรวมการต่อสู้ครั้งนี้ดูเหมือนจะจบลงอย่างสวยงาม แต่ในความเป็นจริงชายหนุ่มต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอย่างมากมาย
แผนการทุกขั้นตอนต่างก็ล้วนแต่ผิดพลาดไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว และถ้าหากว่าเขาไม่ได้ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ การจัดการกับศัตรูในระดับนี้มันก็คงจะยากลำบากขึ้นจากเดิมอีกหลายเท่า
“นายคิดแผนการแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไง?” โอโร่ถามหลังจากตกตะลึงอยู่นาน เพราะแผนการอันซับซ้อนของเซี่ยเฟยมันเป็นเรื่องที่อยู่เหนือเกินกว่าจินตนาการของเขาไปไกลจริง ๆ
เขาไม่เข้าใจเลยว่าในระหว่างที่ต้องต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนั้น เซี่ยเฟยสามารถวางแผนการที่ซับซ้อนแบบนี้ออกมาได้ยังไง หากเป็นไปได้เขาก็อยากจะผ่าหัวสมองของชายหนุ่มออกมาเพื่อตรวจสอบว่ามันมีอะไรอยู่ภายในนั้นบ้าง
“ผมแค่คิดว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากันตรง ๆ เขาย่อมไม่มีทางรับมือการโจมตีของผมได้ แผนการที่ผมวางเอาไว้คือการทำยังไงก็ได้ให้เขาเปิดเผยตำแหน่งของตัวเองออกมา” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยักไหล่ จากนั้นเขาก็เหยียบศพที่เหี่ยวแห้งของหวู่หยูหมิงให้กลายเป็นผุยผง
“เขาถือว่าเป็นอัจฉริยะจริง ๆ ที่สามารถใช้ได้ทั้งกฎของทั้งฝั่งเทพและฝั่งมาร รวมถึงสามารถหลอมรวมอาวุธมายาทั้งสองชิ้นได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่เขายังขาดปัญญาไปสักหน่อย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเคาะนิ้วชี้ไปที่ศีรษะของตัวเอง
ปฎิเสธไม่ได้ว่าศัตรูคนนี้คือศัตรูที่ทำให้เซี่ยเฟยรับมือได้ยากมากจริง ๆ ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือเซี่ยเฟยสามารถใช้ความรู้ประยุกต์ในการต่อสู้ได้มากกว่า ผลลัพธ์สุดท้ายจึงออกมากลายเป็นหายนะของชายเลือดผสม
แผนการอันซับซ้อนของเซี่ยเฟยถือว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง แต่การเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อก็เป็นสิ่งที่บ้าคลั่งมากด้วยเหมือนกัน ดังนั้นถึงแม้มันจะมีคนสามารถคิดแผนการอันซับซ้อนเช่นนี้ขึ้นมาได้ แต่มันก็คงจะมีคนเพียงไม่กี่คนที่กล้าเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายอย่างเซี่ยเฟย
เม็ดพลังงานภายในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของชายหนุ่มเริ่มเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง บางทีมันอาจจะเป็นเพราะคราวนี้เขาดูดซับพลังไปจากลูกผสมของเผ่าเทพและเผ่ามาร มันจึงทำให้พลังงานมีความไม่เสถียรมากขึ้นกว่าเดิม
“ฉันต้องรีบหาที่ย่อยพลังงานเดี๋ยวนี้เลย” เซี่ยเฟยพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่เขาจะรีบเข้าสำรวจแหวนมิติของหวู่หยูหมิงเพื่อหาเข็มทิศมิติออกไปจากดาวดวงนี้
อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ได้พบแสงสว่าง 2 สีพาดผ่านบนฟากฟ้า โดยแสงสีหนึ่งเป็นสีดำ ขณะที่แสงอีกสีหนึ่งเป็นสีขาว
วินาทีถัดมาแสงนี้ก็พุ่งลงมาบนพื้นห่างจากชายหนุ่มไปไม่ไกล เผยให้เห็นใบหน้าของคนคุ้นเคยทั้งสองคน
แน่นอนว่าชายทั้งสองคนนี้ย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเทพขาวและเทพดำ ผู้ซึ่งเป็นอาชญากรหลบหนีของเผ่าเทพ
การปรากฏตัวของชายทั้งสองทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกประหลาดใจมาก ซึ่งครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้พบกันนั่นก็คือตอนที่เขาได้เดินทางไปยังสนามรบโบราณ
“เมื่อกี้เป็นฝีมือของนายเหรอ?” เทพดำกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เทพขาวมองไปยังชายหนุ่มด้วยแววตาแปลก ๆ
“พวกคุณมาพอดีเลย ผมขอฝากดูแลความปลอดภัยให้ผมด้วย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับนั่งลงกับพื้นและปลดปล่อยพลังงานทั้งหมดออกมาในทันที เพราะพลังงานภายใต้สมองของเขากำลังทวีความปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทุกอย่างให้พี่น้องคู่นี้ฟัง
“จู่ ๆ ก็นั่งลงไปฝึกแล้วให้พวกเราเฝ้าระวังให้เนี่ยนะ?” เทพดำพึมพำขึ้นมาเบา ๆ ขณะจ้องมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
—
การคาดการณ์ของเซี่ยเฟยไม่ต่างไปจากความจริงมากนัก เพราะพลังงานที่เขาดูดซับมาจากหวู่หยูหมิงเป็นพลังงานที่ควบคุมได้ยากมาก ถ้าหากเขาเคลื่อนไหวช้ากว่านี้อีกเพียงแค่ 1 นาที พลังงานปริมาณมหาศาลก็อาจจะสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาได้เลย
อย่าลืมว่าชายคนนี้คือเลือดผสมที่หาได้ยากมากในจักรวาล พลังงานภายในร่างของเขาก็เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันตั้งแต่แรกแล้วด้วยเช่นเดียวกัน การดูดซับพลังงานจากหวู่หยูหมิงจึงเป็นเรื่องที่อันตราย
แต่โชคดีที่เซี่ยเฟยมีความสามารถในการควบคุมพลังงานอย่างยอดเยี่ยม ไม่อย่างนั้นการดูดกลืนพลังงานในครั้งนี้มันคงจะสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง
การดูดซับพลังงานของคนอื่นเพื่อนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพให้กับตัวเองอาจจะฟังดูเป็นเรื่องที่ดี แต่ในความเป็นจริงผู้ดูดซับพลังงานก็จำเป็นจะต้องแบกรับความเสี่ยงเอาไว้อย่างมากมาย โดยเฉพาะการดูดกลืนพลังงานจากนักรบเลือดผสมแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้อันตรายทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิม
เซี่ยเฟยพยายามควบคุมพลังงานอย่างช้า ๆ เพื่อดูดซึมพลังงานของศัตรูเข้าไปภายในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของตัวเอง อย่างไรก็ตามพลังงานจากทางฝั่งของเผ่าเทพและเผ่ามารยังคงตบตีกันอยู่เรื่อย ๆ คล้ายกับว่าพลังงานพวกนี้ไม่สามารถที่จะหลอมรวมกันได้เลย
‘อย่าคิดว่าฉันจะยอมแพ้ง่าย ๆ’ เซี่ยเฟยกัดฟันคิดขึ้นมาภายในใจ
—
การต่อสู้ระหว่างเซี่ยเฟยกับหวู่หยูหมิงก่อให้เกิดความปั่นป่วนออกไปในวงกว้าง เทพขาวกับเทพดำที่อยู่ใกล้ ๆ จึงมุ่งหน้าตรงมายังดาวดวงนี้เพื่อดูว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ แต่ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นมาพวกเขากลับถูกเซี่ยเฟยใช้เป็นผู้คุ้มกันให้อีกฝ่ายทำการฝึกฝน หลังจากการต่อสู้เพิ่งจบลงไปเพียงแค่ไม่นาน
เปรี้ยง!
สายฟ้าฟาดลงมาจากท้องฟ้า โดยในคราวนี้มันมีตำแหน่งอยู่ตรงบริเวณร่างของเซี่ยเฟย
เทพดำสะบัดมือออกไปอย่างเกียจคร้านเพื่อทำลายสายฟ้าฟาดออกไปอย่างง่ายดาย
นี่คือพลังของผู้ที่เคยอยู่ในแดนเทพ สายฟ้าพวกนี้จึงไม่ได้มีอันตรายสำหรับพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“นี่เราจะต้องอยู่เฝ้าเขาจริง ๆ งั้นเหรอ?” เทพขาวกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจ
“แล้วพวกเราจะทิ้งเขาเอาไว้แบบนี้จริง ๆ เหรอ? อย่าลืมว่าดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ในพื้นที่ใจกลางพายุแม่เหล็กไฟฟ้า ช่วงเลื่อนระดับก็เป็นช่วงที่อันตรายมาก ช่วงเวลาแบบนี้มันไม่สมควรที่จะถูกรบกวนจากสภาพแวดล้อมภายนอกเลยแม้แต่นิดเดียว” เทพดำกล่าวพร้อมกับกางแขนออกทั้งสองข้างอย่างช่วยไม่ได้
“อีกอย่างการที่เราได้มาพบกับเซี่ยเฟยอีกครั้ง มันก็หมายถึงโชคชะตาที่ผูกพันพวกเราเอาไว้ บางทีเด็กคนนี้…”
ระหว่างที่เทพดำกำลังพูดอยู่นั้น เทพขาวก็ยกมือขึ้นมาเพื่อขัดจังหวะเอาไว้ก่อน
“ฉันเข้าใจว่านายกำลังจะพูดเรื่องอะไร แต่ใครจะรู้ว่าเซี่ยเฟยต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะพัฒนาไปจนถึงจุดนั้นได้สำเร็จ” เทพขาวกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ในสถานการณ์ปกติมันจำเป็นจะต้องใช้เวลานานมากในการพัฒนาพลังไปแต่ละระดับ ยิ่งไปกว่านั้นพลังของเซี่ยเฟยในปัจจุบันก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงมาก การพัฒนาหลังจากนี้มันก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นจากเดิมไปเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน
“ฉันว่าดาวดวงนี้มันก็ลึกลับดี อีกอย่างมันก็มีพายุแม่เหล็กไฟฟ้าคอยอำพรางอยู่ด้านนอก พวกเราอยู่ที่ดาวดวงนี้สักพักกันดีไหม? ฉันว่าพวกผู้เฒ่าไม่มีทางตามร่องรอยเรามาจนถึงที่นี่ได้หรอก” เทพดำกล่าวพร้อมกับนั่งลงกับพื้น
ทันใดนั้นมันก็มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก่อนที่ทั้งเทพดำและเทพขาวจะขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะจู่ ๆ มันก็มีแสงสีทองขนาดใหญ่ 3 ดวงพุ่งทะลุผ่านเมฆหมอกสีดำบนท้องฟ้าลงมายังพื้นผิวของดวงดาวอย่างรวดเร็ว
การปรากฏตัวของผู้มาใหม่ทำให้แรงกดดันในพื้นที่บริเวณนั้นเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างบ้าคลั่ง และมันก็ทำให้เซี่ยเฟยที่พยายามควบคุมพลังงานอันผันผวนขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างสบายใจ
“ทำไมจู่ ๆ ผู้พิทักษ์ถึงมาที่นี่ได้?!” โอโร่อุทานขึ้นมาอย่างตกใจ
แม้ว่าเซี่ยเฟยจะยังไม่ลืมตาแต่ระบบวิดีโอยังคงทำงานอยู่ ภาพของสภาพแวดล้อมภายนอกจึงยังคงถูกส่งผ่านเข้าสู่ระบบประสาทของชายหนุ่มโดยตรง เขาจึงยังคงรับรู้ว่าด้านนอกมันกำลังมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
‘พวกผู้พิทักษ์มีหน้าที่เฝ้าประตูจักรวาลไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมพวกเขาถึงมาที่นี่?’ เซี่ยเฟยคิดอย่างสงสัย
“พวกแกเองงั้นเหรอ?” นักรบเกราะทองเริ่มถามด้วยเสียงเข้ม
“ถ้าเป็นพวกเราแล้วมันจะทำไม?” เทพดำกล่าวตอบ
“แล้วเขาเป็นใคร?” นักรบเกราะทองคนหนึ่งถามพร้อมกับชี้นิ้วไปทางเซี่ยเฟย
“เขาเป็นใครมันก็เรื่องของเขา แต่เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา” เทพดำตอบพร้อมกับยักไหล่
คำตอบนี้ทำให้เซี่ยเฟยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะทั้งเทพขาวและเทพดำต่างก็กำลังถูกคนของแดนเทพไล่ล่ามาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นถ้าหากมีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา มันก็จะทำให้ชายหนุ่มตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างไปจากอาชญากร
“เขาพยายามเลื่อนระดับอยู่ไม่ใช่เหรอ? ถ้าพวกแกไม่ได้เกี่ยวกับเขาแล้วพวกแกจะอยู่เฝ้าเขาไปทำไม?” นักรบเกราะทองกล่าวถามอย่างตรงประเด็นจนทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
***************
จู่ ๆ ก็เนื้อหอมในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนะพี่เฟย! ว่าแต่เรื่องตระกูลมูนวอร์ดนี่จบรึยังนะ?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 514
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น