ตอนที่ 818 กฎแห่งความโกลาหลขั้นที่ 4
ตอนที่ 818 กฎแห่งความโกลาหลขั้นที่ 4
เซี่ยเฟยกำลังรู้สึกว่าร่างกายของเขาใกล้ที่จะระเบิด เพราะเปลวไฟแห่งความแค้นภายในอกยังคงปะทุอย่างต่อเนื่อง แต่เขาไม่สามารถที่จะระบายความอัดอั้นเหล่านั้นออกมาได้
ไม่มีใครเคยกล้าคิดว่าสกายวิงจะต้องตกเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบแบบนี้ กองกำลังผสมระหว่างคนของลัทธิเทพโบราณกับตระกูลมูนวอร์ดบุกเข้าโจมตีเมืองสายลมอย่างต่อเนื่อง และข่าวเกี่ยวกับสงครามก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งกลุ่มดาวม้าขาวแล้ว
ข่าวลือในครั้งนี้มีเรื่องเสีย ๆ หาย ๆ เกี่ยวกับสกายวิงอย่างมากมาย แล้วมันก็มีแม้กระทั่งข่าวลือเรื่องที่ว่าเผ่าเทพตัดสินใจทอดทิ้งสกายวิง
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกอึดอัดเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะนักรบสกายวิงทุกคนต่างก็รู้สึกอัดอั้นอยากจะระบายความโกรธแค้นของพวกเขาออกมาเต็มที
นักรบสกายวิงต้องมาคอยตั้งรับงั้นเหรอ!?
นิสัยอย่างพวกเขายอมที่จะยืนหยัดเสียชีวิตในสนามรบมากกว่าคุกเข่าให้ศัตรู!
ใครที่กล้ามาหยามหน้าสกายวิง พวกมันจะต้องถูกชดใช้กลับไปเป็นร้อยเท่าพันเท่า!!
น่าเสียดายที่จักรพรรดิกฎทั้งสองคนของตระกูลไม่ได้สนใจความอัดอั้นของนักรบภายในตระกูลของตัวเองเลย เซี่ยบูหยุนยังคงสั่งการให้นักรบทุกคนคอยปกป้องเมืองสายลมเอาไว้อย่างเต็มที่ จนทำให้ฝูงหมาป่าผู้หิวกระหายรู้สึกโกรธแค้นจนแทบจะเป็นบ้า
เมื่อเซี่ยเฟยถูกสั่งให้รอคอยอยู่นิ่ง ๆ เขาก็เลือกที่จะระบายความอัดอั้นทั้งหมดโดยการฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง เพื่อให้ความเหนื่อยล้าระบายความอัดอั้นตันใจของเขาออกไป
สถานการณ์ในปัจจุบันของเซี่ยเฟยค่อนข้างแปลกมาก เพราะถึงแม้ความรู้สึกอัดอั้นภายในใจจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่มันกลับช่วยทำให้ความเร็วในการฝึกฝนของเขาพุ่งสูงขึ้น
ช่วงสองวันที่ผ่านมานี้เซี่ยเฟยสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากฎแห่งความเร็วและกฎแห่งความโกลาหลของเขาใกล้ที่จะพัฒนาสู่ระดับถัดไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อคืนนี้ชายหนุ่มสามารถทำความเร็วได้ถึง 280,000 เมตรต่อวินาที แต่น่าเสียดายที่มันเหมือนยังมีกำแพงบาง ๆ กีดขวางเขาเอาไว้ แล้วมันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจมากขึ้นกว่าเดิม
เซี่ยจงไห่มักที่จะเดินทางกลับมายังสวนสายลมวันละประมาณ 2-3 ชั่วโมงเพื่อสอนกฎแห่งความเร็วให้กับเซี่ยเฟย และทำการอัปเดตข่าวสารที่เกิดขึ้นภายในเมืองสายลม
“เฮ้อ!” ทันทีที่เซี่ยจงไห่เดินเข้ามาในห้องฝึกภายในสวนสายลม เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก เพราะสกายวิงต้องคอยตื่นตัวตั้งรับอยู่ที่เมืองสายลมมาเป็นเวลา 5 วัน 5 คืนติดต่อกันแล้ว ซึ่งในช่วงเวลานั้นพวกเขาจะต้องเตรียมตัวป้องกันการลอบโจมตีของศัตรูตลอดเวลา มันจึงทำให้นักรบทุกคนต่างก็ตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดเป็นอย่างมาก
เซี่ยเฟยสังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบหน้าของเซี่ยจงไห่หมองคล้ำลงมากกว่าเดิม ริ้วรอยบนใบหน้าเริ่มเผยออกมาใกล้เคียงกับอายุที่แท้จริงของอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น
“วันนี้ฝึกด้วยตัวเองไปก่อนนะ ฉันไม่ค่อยมีอารมณ์ ไม่ว่ายังไงนายก็เข้าใจพื้นฐานทุกอย่างแล้ว มันเป็นเพียงแค่เรื่องของเวลาก่อนที่นายจะพัฒนาพลังขึ้นมาได้” เซี่ยจงไห่กล่าวกับเซี่ยเฟยด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
“สถานการณ์ที่เมืองสายลมเป็นยังไงบ้างครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามอย่างเข้าใจความหงุดหงิดของอีกฝ่ายเพราะเขาก็รู้สึกหงุดหงิดไม่แตกต่างกัน
“สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อย ๆ แค่เมื่อวานวันเดียวพวกเราก็ถูกลอบจู่โจม 3 ครั้งตลอดทั้งวัน จนทำให้พวกเราแทบไม่มีเวลาพักผ่อนกันเลย”
“ยังดีที่นักสู้ทั้งหมดของตระกูลกลับมาจนหมดแล้ว พูดตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เห็นนักรบระดับสูงทุกคนของตระกูลกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน เพราะรุ่นพี่บางคนฉันก็ไม่ได้เจอหน้ามานานหลายปีแล้ว”
“น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่าทุกคนจะกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตา แต่มันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรอยู่ดี ไอ้พวกนั้นมันเอาแต่ใช้การโจมตีระยะไกลจนทำให้เมืองสายลมพังเละเทะไม่มีชิ้นดี”
“สถานการณ์ในปัจจุบันคือพวกเราต้องคอยตั้งรับเป็นเวลา 5 วัน 5 คืนติดต่อกันแล้ว นักรบของเราหลายคนไม่ได้นอนต่อเนื่องมามากกว่า 120 ชั่วโมง จนทำให้หลาย ๆ คนเริ่มที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้”
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าตอนนี้ท่านผู้นำกำลังรออะไรอยู่ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่พวกเราก็ไม่ควรจะต้องรอตั้งรับอยู่แบบนี้”
เซี่ยจงไห่บ่นออกมายาวเป็นหางว่าว ซึ่งเซี่ยเฟยก็คอยรับฟังชายชราอยู่อย่างเงียบ ๆ เพราะเขารู้ดีว่าชายคนนี้กำลังรู้สึกเครียดมากแค่ไหน และมันก็จำเป็นจะต้องมีคนคอยรับฟังเรื่องที่เขาระบายออกมาบ้าง
“บางทีท่านผู้นำอาจจะมีแผนการอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้” เซี่ยเฟยพยายามพูดปลอบใจ
“ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน นายรู้ไหมว่าทางฝั่งศัตรูอาจจะมีราชากฎอยู่เป็นจำนวนมากกว่า 100 คน” เซี่ยจงไห่กล่าว
“ราชากฎ 100 คน!? พวกมันมีราชากฎมากขนาดนั้นได้ยังไง? ในสงครามครั้งล่าสุดพวกมูนวอร์ดเหลือราชากฎน้อยกว่า 40 คนไม่ใช่เหรอครับ ทางฝั่งลัทธิเทพโบราณก็มีราชากฎอยู่แค่ 34 คน แล้วพวกมันไปเอาราชากฎมาจากที่ไหนอีกมากกว่า 20 คน หรือว่ามันมีกองกำลังที่ 3 นอกเหนือจากลัทธิเทพโบราณกับพวกมูนวอร์ด” เซี่ยเฟยถามด้วยความตกใจ
หากสถานการณ์เป็นไปตามที่เซี่ยจงไห่พูดจริง ๆ คราวนี้สกายวิงก็กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากมากเกินไป ท้ายที่สุดทางฝั่งสกายวิงก็มีราชากฎอยู่เพียงแค่ 40 คน และจักรพรรดิกฎอีกสามคนเท่านั้น แต่นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลอย่างเซี่ยอู๋เย่กลับไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวเท้าออกจากสวนสายลม
หากคู่ต่อสู้สามารถรวบรวมราชากฎได้นับร้อยคน ทางฝั่งของพวกเขาจะมีจักรพรรดิกฎอยู่เป็นจำนวนกี่คนกันแน่!?
สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถยืนยันได้ในตอนนี้คือตระกูลมูนวอร์ดมีจักรพรรดิกฎอยู่ทั้งหมด 2 คน ส่วนทางฝั่งลัทธิเทพโบราณมีจักรพรรดิกฎอยู่ทั้งหมด 3 คน ทำให้โดยรวมแล้วอีกฝั่งก็จะมีจักรพรรดิกฎอยู่แน่ ๆ จำนวน 5 คน
เพียงแค่ความแข็งแกร่งที่ศัตรูเปิดเผยออกมา มันก็สูงกว่ากองกำลังสกายวิงถึงสองเท่าแล้ว เซี่ยเฟยจึงไม่รู้ว่าแท้ที่จริงศัตรูได้ซุกซ่อนจักรพรรดิกฎเอาไว้อีกกี่คนกันแน่
ด้วยความเสียเปรียบทั้งในด้านของจำนวนและคุณภาพเช่นนี้นี่เอง สกายวิงจึงตกเป็นฝ่ายที่จะต้องตั้งรับ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องการโต้กลับ แต่สถานการณ์มันคงจะไม่ง่ายเหมือนกับตอนสงครามครั้งก่อนอย่างแน่นอน
“พวกเราแค่คาดเดากันเฉย ๆ เพราะถ้าหากว่าศัตรูไม่ได้มีราชากฎมากถึงขนาดนั้น มันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะสามารถลอบจู่โจมพวกเราได้ตลอดเวลา” เซี่ยจงไห่กล่าวตอบ
แม้ว่าชายชราจะยังไม่สามารถยืนยันจำนวนที่แท้จริงของศัตรูได้ แต่สถานการณ์มันก็ยังไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อสกายวิงมากนัก ทั้งคู่จึงนั่งอยู่ภายใต้ความเงียบงันพร้อมกับแบกรับภาระอันหนักอึ้งเอาไว้บนบ่าของตัวเอง
สิ่งที่ทำให้ทุกคนสับสนมากยิ่งกว่าคือการตัดสินใจของเซี่ยบูหยุน เพราะถ้าหากว่าพวกเขายังคงตั้งรับอยู่แบบนี้ สถานการณ์มันก็จะยิ่งแย่ลงไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดจุดแข็งของสกายวิงก็คือการบุกจู่โจม ดังนั้นถ้าหากพวกเขาต้องการที่จะได้รับชัยชนะในครั้งนี้จริง ๆ พวกเขาก็ควรจะต้องแลกเป็นแลกตายกับศัตรู
เซี่ยบูหยุนย่อมรู้จักจุดแข็งของสกายวิงเป็นอย่างดี คำถามก็คือทำไมผู้นำตระกูลคนปัจจุบันคนนี้ถึงยังคงล่ามโซ่หมาป่าของตระกูลเอาไว้ภายในเมือง
—
หลังจากระบายความอัดอั้นตันใจอยู่สักพัก เซี่ยจงไห่ก็กลับไปคอยปกป้องเมืองสายลมเหมือนวันก่อน ๆ เซี่ยเฟยจึงทำได้เพียงแต่กำหมัดอย่างอึดอัดอยู่ในสวนสายลมเท่านั้น
“สถานการณ์อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้ ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าสกายวิงไม่ได้รู้จักแต่วิธีการบุกโจมตีเท่านั้น เซี่ยบูหยุนจะต้องมีแผนการอะไรบางอย่างในใจแน่ ๆ เขาถึงยังสั่งให้ทุกคนคอยตั้งรับอยู่แบบนี้ เหตุผลเดียวที่ฉันพอจะคิดได้คือผู้นำของนายจะต้องรอโอกาสตอบโต้อย่างเด็ดขาดอยู่แน่นอน” โอโร่กล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับ เพราะสิ่งที่โอโร่พูดมาฟังดูจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ไม่ว่ายังไงตอนนี้นักรบสกายวิงทุกคนก็รู้สึกอึดอัดมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่พันธนาการของพวกเขาถูกทำลาย เมื่อนั้นพวกเขาย่อมกระโจนออกไปไล่ล่าสังหารศัตรูอย่างบ้าคลั่ง
“ท่านผู้นำคิดเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือว่ามันเป็นคำสั่งจากบรรพบุรุษกันแน่?”
“ช่างมันเถอะ ไม่ว่าแผนการของท่านผู้นำจะเป็นอะไร สิ่งที่ฉันทำได้ในตอนนี้มีเพียงแค่การพยายามฝึกฝนให้ได้มากที่สุดเท่านั้น” เซี่ยเฟยพูดกับตัวเองขึ้นมาเบา ๆ
—
วันที่ 6 การตั้งรับของสกายวิงก็ยังคงดำเนินต่อไป ความบ้าคลั่งของนักรบสกายวิงค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนแทบจะควบคุมไม่ได้
ทั่วทั้งร่างกายของเซี่ยเฟยมีเหงื่อไคลไหลออกมาตลอดเวลา เพราะเขาทำการฝึกซ้อมทุกนาทีแทบที่จะไม่หยุดพัก
ตูม!
คลื่นพลังระเบิดออกมาจากร่างของชายหนุ่มเป็นสัญญาณว่าพลังของเขาเลื่อนระดับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ในคราวนี้ผลลัพธ์กลับแตกต่างไปจากสิ่งที่เซี่ยเฟยคิดเอาไว้อยู่บ้าง เพราะพลังที่เพิ่มระดับขึ้นมาไม่ใช่กฎแห่งความเร็วแต่เป็นกฎแห่งความโกลาหล
เขามีพลังของกฎแห่งความโกลาหลถึงขั้นที่ 4 แล้ว
ชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ โดยในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
นอกเหนือจากกฎหลักทั้งหกของทั้งสองเผ่าพันธุ์ กฎย่อยอื่น ๆ ต่างก็ล้วนแล้วแต่ถูกแบ่งออกเป็น 9 ขั้นด้วยกันทั้งหมด กฎขั้นที่ 1-3 ถูกเรียกว่าระดับพื้นฐาน, กฎขั้นที่ 4-6 ถูกเรียกว่าระดับกลาง, กฎขั้นที่ 7-8 ถูกเรียกว่าระดับสูงและกฎขั้นที่ 9 คือกฎระดับสูงสุด
แม้ว่ากฎแห่งความโกลาหลจะพึ่งเลื่อนระดับขึ้นมาเพียงแค่ระดับเดียวเท่านั้น แต่การเลื่อนระดับในคราวนี้มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เพราะการเลื่อนจากขั้นที่ 3 เป็นขั้นที่ 4 มันก็หมายความว่าเซี่ยเฟยมีการเลื่อนระดับพลังจากระดับพื้นฐานมาจนถึงระดับกลางแล้ว
ขนอุยมองไปที่เซี่ยเฟยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ท้ายที่สุดอสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างมันก็มีการรับรู้ที่ละเอียดอ่อนมากกว่ามนุษย์ มันจึงสามารถสัมผัสถึงขอบเขตการพัฒนาของชายหนุ่มได้อย่างชัดเจน
ขณะเดียวกันเจ้าตัวน้อยก็เป็นอสูรที่เจ้าเล่ห์มาก ทันทีที่มันสัมผัสได้ว่าเซี่ยเฟยมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมามากขึ้นกว่าเดิม สิ่งแรกที่มันทำคือการเลียเพื่อแสดงความยินดี แน่นอนว่าการทำแบบนี้นั้นก็เพราะว่ามันกำลังคาดหวังคริสตัลต้นกำเนิดจากเขา
ชายหนุ่มลูบหัวเจ้าตัวน้อยอย่างอ่อนโยน ก่อนที่เขาจะโยนคริสตัลต้นกำเนิดระดับ 5 ให้กับขนอุย เพื่อให้มันนอนกินคริสตัลสีเขียวในอ้อมแขนของเขาอย่างไร้เดียงสา
“การเพิ่มพลังมาจนถึงขั้นที่ 4 มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากจริง ๆ” เซี่ยเฟยพึมพำพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก
อย่างไรก็ตามความรู้สึกพวกนั้นมันก็หายไปอย่างรวดเร็ว เพราะสถานการณ์ของสกายวิงยังไม่ดีขึ้น ดังนั้นถึงแม้ชายหนุ่มจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแต่โดยรวมแล้วเขายังคงรู้สึกหดหู่ใจมากอยู่ดี
ทันใดนั้นเซี่ยอู๋เย่ก็เปิดประตูห้องฝึกและค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามาอย่างช้า ๆ ซึ่งสถานการณ์ในคราวนี้ค่อนข้างแปลกมาก เพราะโดยปกติพ่อบ้านชราจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการฝึกฝนของเซี่ยเฟยเลย แต่ในคราวนี้อีกฝ่ายเดินเข้ามาโดยไม่แจ้งให้เขาทราบล่วงหน้าด้วยซ้ำ
“ท่านผู้นำมีคำสั่งให้คุณไปที่เมืองสายลมทันที” เซี่ยอู๋เย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
“ไปที่เมืองสายลม? พวกเรากำลังจะเริ่มโต้ตอบแล้วใช่ไหมครับ?” เซี่ยเฟยรีบถามขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เมื่อคุณไปที่นั่นเดี๋ยวคุณก็รู้เอง” เซี่ยอู๋เย่กล่าวพร้อมกับส่ายหัว
เซี่ยเฟยลุกยืนขึ้นพุ่งตัวออกไปจากห้องฝึกอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็รีบใช้งานประตูมิติเพื่อเดินทางไปยังเมืองสายลมในพริบตา
ภาพที่ปรากฏคือเมืองที่เคยเงียบสงบถูกทำลายจนกลายเป็นเพียงแค่ซากปรักหักพัง โดยมีควันลอยขึ้นไปบนฟ้าเกือบทั่วทุกหนทุกแห่ง
เซี่ยเฟยกำหมัดแน่นก่อนที่จะรีบมุ่งหน้าตรงไปยังใจกลางเมือง เขาจึงได้พบว่านักรบในตระกูลทุกคนได้มารวมตัวกันจนหมดแล้ว เมื่อทุกคนได้สังเกตเห็นเซี่ยเฟย พวกเขาก็พยักหน้าเป็นการทักทายเล็กน้อยแต่มันก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
บรรยากาศในตอนนี้ค่อนข้างแปลกมาก แต่เซี่ยเฟยสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพื้นที่โดยรอบมันเต็มไปด้วยจิตสังหาร
เซี่ยบูหยุนยังคงคอยตรวจสอบเข็มทิศมิติอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าเขากำลังรอสัญญาณอะไรบางอย่างจากเข็มทิศมิตินั้น
***************
ได้เวลาตอบโต้แล้วสินะ? แผนของท่านผู้นำคืออะไรกันแน่ใครคิดได้บ้าง?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 612
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น