ตอนที่ 817 ถูกกดดันให้จนมุม
ตอนที่ 817 ถูกกดดันให้จนมุม
“คราวนี้ศัตรูของสกายวิงมีทั้งตระกูลมูนวอร์ดและคนของลัทธิเทพโบราณ เมื่อรวมกันแล้วพวกมันก็มีจักรพรรดิกฎอยู่ถึง 5 คน ฉันว่าคราวนี้สกายวิงคงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแล้วล่ะ” โอโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
“เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่จริง ๆ ความจริงแล้วพวกเราควรจะกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก พวกมันจะได้ไม่มาเป็นหอกข้างแคร่ของพวกเราแบบนี้” เซี่ยเฟยกล่าว
“นายจะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ถูกหรอก ถ้าหากศัตรูเป็นตระกูลอื่นการตัดรากถอนโคนพวกมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากมากนัก แต่อีกฝ่ายคืออดีตหนึ่งในตระกูลชั้นยอดของเผ่าเทพ ถึงสกายวิงต้องการแต่การพยายามจัดการคนพวกนั้นให้สิ้นซากมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ” โอโร่กล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ท้ายที่สุดเผ่าเทพก็ลงมาแทรกแซงเรื่องนี้โดยตรง จนทำให้ผู้แพ้ถูกเนรเทศออกไปจากกลุ่มดาวม้าขาวเท่านั้น หากในเวลานั้นสกายวิงต้องการที่จะกำจัดตระกูลมูนวอร์ดจริง ๆ มันก็เกรงว่าพวกเขาก็คงจะต้องแตกหักกับเผ่าเทพไปด้วย
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันเงียบ ๆ อยู่นั้น เซี่ยบูหยุนก็เดินออกมาจากห้องประชุม
เหล่าบรรดานักรบสกายวิงต่างก็ลุกขึ้นยืนทีละคนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
เซี่ยบูหยุนยังคงนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่โบกมือเรียกให้เซี่ยเฟยเข้าไปในห้องประชุมพร้อมกับเขา
แต่ในทันใดนั่นเองราชากฎร่างใหญ่เซี่ยจื่อหยวนและราชากฎผิวเหลืองเซี่ยหลานซานก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความแค้น
“มีคนลอบโจมตีเมืองสายลม ยังดีที่ฉันอยู่ที่นั่นพอดีฉันเลยจัดการพวกมันได้ก่อนที่จะมีปัญหาอะไร” เซี่ยจื่อหยวนพูดด้วยความโกรธ
“หา!”
เมืองสายลมถือได้ว่าเป็นสถานที่อยู่หลักของสมาชิกตระกูลสกายวิง ซึ่งตามกฎของดินแดนกฎแล้วการต่อสู้ระหว่างตระกูลจะเป็นการต่อสู้ระหว่างนักรบชั้นสูงของตระกูลเท่านั้น ห้ามให้มีการบุกเข้าไปโจมตีสมาชิกระดับล่างของตระกูล
แต่ในคราวนี้ตระกูลมูนวอร์ดไม่สนใจกฎเกณฑ์พวกนั้นอีกต่อไป เพราะพวกเขาเลือกที่จะแอบลักลอบเข้าไปในเมืองสายลมเพื่อโจมตีแม้กระทั่งคนธรรมดา
“มันเป็นฝีมือของใคร?”
“พวกมันกล้าดียังไงถึงมาโจมตีเมืองสายลมแบบนี้”
“ถ้าพวกเรากำจัดพวกมันไม่ได้ พวกเราก็ไม่ควรที่จะต้องใช้ชื่อสกายวิงแล้ว”
ทุกคนต่างก็ส่งเสียงร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธ พร้อมกับจิตอสูรที่ถูกปลดปล่อยออกมาโดยอัตโนมัติ จนทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยแรงกดดันอันหนักหน่วง
“ตอนนี้มีใครอยู่ในเมืองสายลมบ้าง?” เซี่ยบูหยุนถาม
“เซี่ยอวี๋กับเซี่ยเสี่ยวโป้คอยดูให้อยู่ พวกเรารีบมาที่นี่เพื่อรายงานเรื่องนี้ก่อน”
“พวกเราควรจะปกป้องฐานที่มั่นให้มั่นคงซะก่อน เซี่ยจื่อหยวนนายรีบนำกองกำลังไปปกป้องเมืองสายลมเอาไว้ อย่าให้ใครมาแตะต้องคนของเราได้เป็นอันขาด” เซี่ยบูหยุนกล่าว
หลังจากพูดคุยกันสักพักในที่สุดนักรบสกายวิงกว่า 20 คนก็เดินทางผ่านประตูมิติเพื่อกลับไปประจำการยังเมืองสายลม
“เข้ามาก่อน ฉันมีเรื่องที่จะต้องถาม” เซี่ยบูหยุนหันมากล่าวกับเซี่ยเฟยหลังจากเฝ้าดูนักรบครึ่งหนึ่งของตระกูลเดินเข้าไปในประตูมิติ
—
เมื่อเข้ามาในห้องประชุมเซี่ยเฟยก็เล่าเรื่องที่เขาเจอให้เซี่ยบูหยุนฟัง ขณะที่ผู้นำสกายวิงก็เล่าเรื่องที่เขาเจอให้เซี่ยเฟยฟังด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยก็ได้ซุกซ่อนเรื่องเกี่ยวกับกฎแห่งเวลาเอาไว้ เขาเพียงบอกว่าเขาบังเอิญได้พบกับผู้ที่ประมูลลาวาละลายลักษณ์ไป ก่อนที่เขาจะตัดสินใจสืบสวนเรื่องนี้จนไปจบที่แดนเนรเทศ
สิ่งที่เซี่ยบูหยุนพบเจอมาค่อนข้างจะคล้ายคลึงกับสิ่งที่ชายหนุ่มได้คิดเอาไว้ เพราะในวันนี้ผู้นำสกายวิงถูกหลอกให้เข้าไปภายในบ้านหลังหนึ่งที่ทรุดโทรม จากนั้นจักรพรรดิกฎของลัทธิเทพเจ้าโบราณก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับพุ่งจู่โจมโดยอ้างว่าเขาคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมในลัทธิเทพโบราณ
แม้ว่าเซี่ยบูหยุนจะอยู่คนเดียวแต่เขาก็สามารถที่จะสังหารจักรพรรดิกฎของอีกฝ่ายได้ถึงหนึ่งคน แต่เมื่ออีกฝ่ายตระหนักว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับสกายวิง พวกเขาก็ไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกหวาดกลัวเท่านั้นแต่พวกเขายังเรียกจักรพรรดิกฎคนที่ 3 มารุมจัดการเซี่ยบูหยุนอีกด้วย
ในที่สุดเซี่ยบูหยุนก็อาศัยความเร็วหนีรอดจากวงล้อมของศัตรูออกมาได้ แต่การที่จู่ ๆ มันได้มีจักรพรรดิกฎถึงสามคนบุกเข้ามาลอบจู่โจมเขาแบบนี้ มันจะต้องมีเบื้องหลังไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน เขาจึงตัดสินใจเปิดใช้งานตราอสูรครั่งเพื่อเรียกรวมนักรบทุกคนของตระกูล
“นายแน่ใจนะว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของพวกมูนวอร์ด?” เซี่ยบูหยุนกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น ก่อนที่เขาจะเริ่มเล่าข้อสันนิษฐานให้ชายชราฟัง แน่นอนว่าเขายังคงปิดบังเรื่องบางเรื่องอยู่เหมือนเดิม
“ฉันคิดอยู่แล้วว่าพวกมูนวอร์ดมันคงจะไม่ยอมรามือไปง่าย ๆ แต่คราวนี้พวกมันถึงกับกล้าโจมตีเมืองสายลม พวกมันคิดจะหยามหน้าพวกเราเกินไปแล้ว” เซี่ยบูหยุนกล่าวพร้อมกับตบมือลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ
“ฉันรู้ว่าตอนนี้ระดับพลังของนายอยู่ในอันดับที่ 13 ของตระกูล และพลังต่อสู้ที่แท้จริงของนายก็อาจจะเทียบเท่าได้กับพลังต่อสู้ของเซี่ยเทียน” เซี่ยบูหยุนกล่าวหลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
เซี่ยเฟยยังคงนั่งนิ่งไม่พูดอะไร ท้ายที่สุดเขาก็มีสิ่งต่าง ๆ ที่คอยให้ความช่วยเหลืออย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์, อาวุธมายา, กฎแห่งความโกลาหลหรือแม้กระทั่งบลัดบิวเทียส ดังนั้นถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นเพียงแค่ราชากฎระดับสูง แต่ผู้ที่สามารถคุกคามเขาได้ก็มีเพียงแต่นักรบระดับจักรพรรดิกฎขึ้นไปเท่านั้น
“ฉันมีงานสำคัญมาก ๆ ให้นายทำ และนายจะต้องทำงานนี้ให้สำเร็จด้วย” เซี่ยบูหยุนกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านผู้นำเชิญออกคำสั่งมาได้เลยครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับแสดงความเคารพ
“ตอนนี้ศัตรูอยู่ในที่มืดขณะที่เราอยู่ในที่สว่าง พวกเรายังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของศัตรูเลย ดังนั้นพวกเราจำเป็นจะต้องปกป้องฐานที่มั่นเอาไว้ให้ได้ ฉันเลยอยากจะขอนายอยู่เฝ้าสวนสายลมกับผู้อาวุโสเซี่ยอู๋เย่” เซี่ยบูหยุนกล่าว
คำสั่งนี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะเขาไม่คิดว่าคำสั่งจากผู้นำตระกูลจะให้เขาเป็นคนเฝ้าบ้าน
คราวนี้สกายวิงจะบุกจู่โจมศัตรูโดยไม่มีเขางั้นเหรอ!?
“งานนี้เป็นงานที่ยากมาก นายจะต้องแกล้งทำเป็นฝึกซ้อมอยู่ที่บ้านตามปกติ เมื่อศัตรูเห็นว่าสวนสายลมเหลือพวกเราอยู่เพียงแค่ 2 คน ในเวลานั้นพวกมันย่อมบุกจู่โจมฐานที่มั่นของพวกเราอย่างแน่นอน” เซี่ยบูหยุนกล่าวพร้อมกับตบไหล่ชายหนุ่มเบา ๆ เมื่อได้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของอีกฝ่าย
เซี่ยเฟยสามารถทำความเข้าใจแผนการของเซี่ยบูหยุนได้ในทันที ซึ่งในคราวนี้มันก็ดูเหมือนกับว่าเขาจะต้องทำตัวเป็นเหยื่อล่อ ท้ายที่สุดตระกูลมูนวอร์ดก็รู้สึกเกลียดชังเขามากที่สุด เมื่อคนพวกนั้นพบว่าเซี่ยเฟยอยู่ที่บ้านกับเซี่ยอู๋เย่เพียงแค่สองคน ในเวลานั้นพวกมันคงจะไม่ปล่อยโอกาสลอบสังหารชายหนุ่มไปอย่างแน่นอน
นอกจากนี้มันยังมีคนไม่มากที่รู้ว่าเซี่ยเฟยได้เลื่อนระดับพลังจนกลายเป็นราชากฎขั้นสูงแล้ว เพราะในตอนที่เซี่ยเฟยพบกับราชากฎทั้งสองคนจากตระกูลมูนวอร์ด คนพวกนั้นก็ยังคิดว่าเขาเป็นนักรบที่อ่อนแอที่สุดของสกายวิงอยู่เลย ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าศัตรูยังไม่ได้รู้เรื่องความแข็งแกร่งของเขาที่พัฒนาขึ้นมาในช่วงหลาย ๆ เดือนมานี้
ยิ่งไปกว่านั้นพลังการต่อสู้ของชายหนุ่มยังเทียบได้กับจักรพรรดิกฎคนที่ 4 ของสกายวิง และแม้แต่เซี่ยเทียนก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซี่ยเฟยด้วยซ้ำ
หากศัตรูเลือกที่จะจู่โจมสวนสายลมจริง ๆ ในเวลานั้นพวกเขาย่อมถูกพลังของเซี่ยเฟยเซอร์ไพรส์อย่างแน่นอน และมันย่อมก่อให้เกิดความเสียหายกับอีกฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ได้ครับ ผมเข้าใจแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
—
ณ กลุ่มมังกรฟ้า กลุ่มนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนกฎ
เฝิงคูชานขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างกังวลอีกครั้ง ซึ่งนอกเหนือจากเพื่อนสนิทของเขาอย่างบรูซแล้ว ซาเลม, คูรัน, แครี่และจักรพรรดิกฎจากเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ก็ยังคงนิ่งเฉยเหมือนกับตอนที่สกายวิงทำสงครามกับมูนวอร์ดเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นสิ่งที่เฝิงคูชานไม่เคยคาดคิดมาก่อน เพราะตระกูลดาบคลั่งผู้ซึ่งคอยบุกเข้าใส่ศัตรูอยู่เสมอกำลังตกเป็นฝ่ายที่ต้องตั้งรับ
“วันนี้เป็นวันที่ 3 แล้วที่สกายวิงต้องตั้งรับ ถึงแม้เซี่ยบูหยุนกับเซี่ยเทียนจะคอยปกป้องเมืองสายลมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป สกายวิงจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่ ๆ ไม่ว่านักรบคนนั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ร่างกายของทุกคนก็ยังมีขีดจำกัด ศัตรูบุกจู่โจมชนิดที่ว่าไม่ให้สกายวิงมีโอกาสได้พักฟื้นเลย ดูท่าว่าคราวนี้สกายวิงคงจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้” แครี่เริ่มวิเคราะห์สถานการณ์
“สถานการณ์ในคราวนี้แตกต่างจากครั้งก่อนมาก เพราะทางฝ่ายมูนวอร์ดมีราชากฎอย่างน้อย 70 คน จำนวนของจักรพรรดิกฎของมูนวอร์ดก็มีมากถึง 5 คนด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของคุณภาพหรือปริมาณ ทางฝั่งสกายวิงก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างชัดเจน”
“นอกจากนี้กลยุทธ์ที่พวกเขาใช้ยังร้ายกาจมาก เพราะพวกเขาพยายามลากการต่อสู้ให้ยืดเยื้ออย่างเห็นได้ชัด เมื่อไหร่ก็ตามที่นักรบสกายวิงเริ่มเหนื่อยล้า ในเวลานั้นพวกเขาจะต้องเริ่มกวาดล้างสกายวิงอย่างแน่นอน”
แม้จะฟังการวิเคราะห์จากแครี่จนจบแต่เฝิงคูชานก็ยังคงนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไร สถานการณ์อันแปลกประหลาดในคราวนี้ไม่เพียงแต่สกายวิงจะเป็นฝ่ายที่คอยตั้งรับเท่านั้น เพราะมันยังมีคำสั่งจากเบื้องบนไม่ให้พวกเขาเข้าไปแทรกแซงสงครามในครั้งนี้อีกด้วย เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องยากที่เฝิงคูชานจะเข้าใจว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้เผ่าเทพปล่อยให้สกายวิงถูกปิดล้อมเอาไว้แบบนี้
“ดูเหมือนเซี่ยเฟยกับเซี่ยอู๋เย่จะยังคงอยู่ที่สวนสายลม ว่ากันว่าเซี่ยเฟยคือนักรบที่มีศักยภาพมากพอจะเติบโตขึ้นไปเป็นอีวิลวิงในอนาคต เซี่ยบูหยุนเลยเลือกเก็บเขาเอาไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัย แม้ว่าสกายวิงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบแค่ไหนก็ตาม”
“สถานการณ์ของทางฝั่งสกายวิงตอนนี้ไม่ค่อยดีเลย ผมคิดว่าพวกสมาคมผู้คุมกฎควรจะออกไปยุติความขัดแย้งนี้โดยเร็วที่สุด” บรูซกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เป็นไปไม่ได้หรอก ทางสมาคมผู้คุมกฎก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนเหมือนกันกับพวกเรา ตอนนี้มันไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปยุ่งกับสงครามระหว่างพวกเขาทั้งนั้นแหละ” เฝิงคูชานกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
เมื่อได้ยินว่าเรื่องนี้เป็นคำสั่งจากเบื้องบนสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ท้ายที่สุดถึงแม้ตระกูลสกายวิงจะแข็งแกร่งมาก แต่ศัตรูที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าในคราวนี้กลับมีความแข็งแกร่งมากกว่าอย่างชัดเจน
หรือว่าเผ่าเทพตั้งใจที่จะปล่อยให้สกายวิงถูกทำลาย!?
หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเผ่าเทพก็คงจะโหดเหี้ยมมากจนเกินไปแล้ว เพราะในอดีตสกายวิงเคยสร้างวีรกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายเทพเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ในคราวที่พวกเขากำลังมีปัญหาทางเผ่าเทพกลับเลือกที่จะอยู่นิ่งเฉย
“ในเมื่อเบื้องบนไม่ให้เราเข้าไปยุ่ง พวกเราก็ไม่ควรจะต้องไปกังวลกับเรื่องนี้ พวกเรายังไม่มีหลักฐานด้วยซ้ำว่าตระกูลมูนวอร์ดมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า สิ่งเดียวที่เรายืนยันได้คือการบุกจู่โจมสกายวิงเกิดจากพวกลัทธิเทพโบราณ”
“ลัทธิเทพโบราณเป็นลัทธิที่เผ่าเมอร์แมนให้ความนับถือ ความขัดแย้งในครั้งนี้มันไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลอีกต่อไป แต่มันกำลังจะกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองเผ่าพันธุ์”
“ผมได้ยินมาว่าที่เบื้องบนก็กำลังแบ่งความคิดเห็นออกเป็น 3 ฝ่ายด้วยเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนสกายวิง, ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนมูนวอร์ด ขณะที่อีกฝ่ายเลือกที่จะยืนดูเหตุการณ์ครั้งนี้อยู่เฉย ๆ ดังนั้นพวกเราก็ควรเลือกที่จะต้องยืนอยู่ฝ่ายที่ 3 ด้วยเหมือนกัน เพราะทางเบื้องบนได้มีคำสั่งลงมาถึงพวกเราแล้ว” ซาเลมกล่าวหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน
บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความหดหู่มากยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดสิ่งที่ซาเลมกล่าวก็ไม่ต่างไปจากความจริงเลยแม้แต่น้อย เหตุการณ์ในครั้งนี้มันบานปลายมากจนเกินไปจากความขัดแย้งระหว่างตระกูลกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 359
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น