ตอนที่ 768 โจมตีด้วยความเร็ว 800,000 ต่อวินาที

-A A +A

ตอนที่ 768 โจมตีด้วยความเร็ว 800,000 ต่อวินาที

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 768 โจมตีด้วยความเร็ว 800,000 ต่อวินาที

บางทีอาจจะเป็นเพราะหญิงสาวทั้งสามต่างก็รับรู้ถึงอันตรายของสนามรบเช่นนี้เป็นอย่างดี พวกเธอจึงรู้สึกไว้วางใจซึ่งกันและกันอย่างอธิบายไม่ถูก แม้แต่จักจั่นขาวที่เย็นชามาโดยตลอดก็ยังพยักหน้าไปทางเยว่เกอเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทาย

ซานจิ่งกับซานตูต่างก็มองสาวงามพร้อมกับน้ำลายไหลที่มุมปาก ท้ายที่สุดไม่ว่าใครในสามคนนี้ต่างก็มีคุณสมบัติที่จะถูกเรียกว่าเป็นสาวงามล่มเมืองได้อย่างแน่นอน พวกเขาจึงเริ่มนึกถึงคืนวันดี ๆ ที่พวกเขาทั้งห้าได้อยู่ร่วมกัน

“พวกนายอยากเป็นศัตรูกับตระกูลสโนว์ดริฟท์ใช่ไหม?” เซียวรั่วหยูกล่าวพร้อมกับมองท่าทางหื่นกระหายของชายหนุ่มทั้งสองอย่างหงุดหงิด

แม้ท่าทางของเซียวรั่วหยูจะไม่น่ากลัว แต่คำพูดของเธอกลับทำให้ใบหน้าของสองพี่น้องเปลี่ยนไปอย่างน่าเกลียด แม้แต่เยว่เกอก็กำลังขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

ตระกูลสโนว์ดริฟท์เป็นตระกูลที่มีสมาชิกเป็นหญิงสาวทั้งหมด และแน่นอนว่าหญิงสาวเหล่านี้ย่อมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด เพราะสมาชิกส่วนใหญ่เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกรับเลี้ยงมาจากทั่วทุกมุมโลกของจักรวาล แน่นอนว่ามันย่อมมีสมาชิกที่ถูกบังคับมาอย่างเซียวรั่วหยูด้วยเหมือนกัน เพียงแต่เรื่องนี้ไม่เคยหลุดรอดออกไปให้ได้ยินในโลกภายนอก

“ตระกูลสโนว์ดริฟท์!” ชายหนุ่มสองพี่น้องตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน พร้อมกับร่างกายของทั้งคู่ที่ถอยหลังกลับไปหลายสิบเมตรโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นพวกเขาก็หันหน้ามาสบตากันก่อนที่ทั้งคู่จะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าตระกูลดราก้อนฟายจะมีฐานอำนาจที่ดี แต่ตระกูลของพวกเขาก็ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับตระกูลชั้นยอดภายในกลุ่มดาวม้าขาวได้ เมื่อพวกเขาได้ยินคำว่าตระกูลสโนว์ดริฟท์ พวกเขาจึงรีบถอยหนีกลับไปด้วยความรวดเร็ว

ท้ายที่สุดข้อพิพาทระหว่างตระกูลสกายวิงกับตระกูลมูนวอร์ดก็เพิ่งจะจบลงไปได้ไม่นาน มันจึงทำให้เหล่าบรรดาตระกูลขนาดเล็กกลัวว่ามันจะมีเรื่องลักษณะคล้าย ๆ กันเกิดขึ้นกับตระกูลของพวกเขาเอง

เมื่อชายหนุ่มทั้งคู่บินจากไป เยว่เกอก็รีบหันมาขอบคุณเซียวรั่วหยูกับจักจั่นขาวซ้ำ ๆ และทันใดนั้นเธอก็ได้พบว่าชุดเกราะของหญิงสาวทั้งสองสกปรกอยู่เล็กน้อย คล้ายกับว่าทั้งคู่ได้ต่อสู้กับใครบางคนมาก่อนที่จะได้พบกับเธอ

“พวกคุณมาจากทางใต้ใช่ไหม? สถานการณ์ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง?” เยว่เกอถามอย่างสงสัย

“สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันมีการปะทะกันเกิดขึ้นทั่วทุกที่เลย ว่าแต่สถานการณ์จากทางฝั่งเหนือเป็นยังไงบ้าง?” เซียวรั่วหยูกล่าวถามกลับ

“ทางเหนือก็วุ่นวายไม่ต่างไปจากทางใต้เลย นักรบบางคนเริ่มรวมกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อจู่โจมเข้าใส่นักรบที่อยู่คนเดียว คล้ายกับว่าจุดประสงค์ของพวกเขาไม่ใช่การหาสมบัติแต่เป็นการปล้นชิงสินทรัพย์จากนักรบที่เดินทางมาด้วยกัน” 

“บางคนโจมตีไม่เลือกฝั่งด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นนักรบจากทางฝั่งเทพหรือทั้งฝั่งมาร พวกเขาก็พยายามปล้นสินทรัพย์มาเป็นของตัวเองให้ได้มากที่สุด” เยว่เกอกล่าวพร้อมกับส่ายหัว

หลังจากที่หญิงสาวทั้งสามได้พูดคุยกัน พวกเธอก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย เพราะตอนแรกพวกเธอคิดฝันถึงการผจญภัยออกหาสมบัติ แต่ในความเป็นจริงมันกลับกลายเป็นสนามรบที่ทุกคนพยายามปล้นชิงทุกสิ่งอย่างไม่เลือกหน้า

จู่ ๆ จักจั่นขาวก็มองไปยังทางทิศตะวันตกด้วยท่าทางอันครุ่นคิด แต่เนื่องจากสนามรบแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก ทิศทางที่เธอมองไปนั้นจึงไม่มีสิ่งใดอยู่ในระยะสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว

“คุณหนูกำลังมองอะไรอยู่เหรอคะ?” เซียวรั่วหยูถามอย่างสงสัย

“มีคนแข็งแกร่งมาก ๆ อยู่ทางทิศตะวันตก ฉันมีพลังเทียบชั้นกับเขาไม่ได้” จักจั่นขาวกล่าวตอบอย่างเฉยเมย

เซียวรั่วหยูสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะหากอีกฝ่ายทำให้จักจั่นขาวพูดขึ้นมาแบบนี้ มันก็หมายความว่าศัตรูจะต้องมีระดับราชากฎขั้นสูงสุดหรืออาจจะถึงขั้นจักรพรรดิกฎเลยก็ได้ เพราะท้ายที่สุดเธอกับจักจั่นขาวก็ร่วมมือกันต่อสู้เป็นคู่หูกันมานานหลายปี โดยฝ่ายหนึ่งเน้นไปที่การรุก ขณะอีกฝ่ายหนึ่งเน้นไปที่การรับ มันจึงทำให้พลังของพวกเธอส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์แบบ

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปทางทิศตะวันออกกันเถอะ อย่างน้อยทางฝั่งนั้นก็ยังอยู่ห่างจากศัตรูที่แข็งแกร่ง” เซียวรั่วหยูกล่าวแนะนำ

จักจั่นขาวพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร เพราะถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเจ้านาย แต่เซียวรั่วหยูมักจะเป็นคนที่ตัดสินใจเกือบตลอดเวลา

“ว่าแต่คุณอยากจะไปกับพวกเราไหม?” เซียวรั่วหยูกล่าวถามเยว่เกอ

“อืม ฉันไปด้วย ฉันชื่อเยว่เกอ ว่าแต่พวกเธอล่ะชื่ออะไร?” เยว่เกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ฉันชื่อเซียวรั่วหยู ส่วนคุณหนูชื่อจักจั่นขาว”

“เซียวรั่วหยู? ทำไมฉันถึงคุ้นชื่อนี้นักนะ” เยว่เกอบ่นพึมพำขึ้นมาเบา ๆ

หลังจากนั้นหญิงสาวทั้งสามก็ค่อย ๆ ออกเดินทางไปทางทิศตะวันออกอย่างระมัดระวัง โดยเยว่เกอได้ใช้กฎแห่งภาพลวงตาเพื่อปกปิดร่องรอยของพวกเธอเอาไว้ ขณะที่เซียวรั่วหยูใช้อเมทิสต์การ์ดคอยป้องกันจากทั่วทิศทาง มีเพียงจักจั่นขาวที่ไม่ได้ทำอะไรเพียงแต่เธอมักจะหันมองกลับไปยังทิศตะวันตกด้วยความกังวล

ท่ามกลางสนามรบอันวุ่นวาย เซียวรั่วหยู, เยว่เกอและจักจั่นขาวได้โคจรมาพบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ และพวกเธอก็ได้รวมตัวกันตั้งทีมเล็ก ๆ ที่พึ่งพาซึ่งกันและกันออกเดินทางไปยังฝั่งทิศตะวันออก โดยพยายามเอาชีวิตรอดจากความวุ่นวายคล้ายกับพวกเธอเป็นแพไม้ที่พยายามลอยล่องอยู่ท่ามกลางพายุในมหาสมุทร

แน่นอนว่าเซี่ยเฟยย่อมไม่รู้เรื่องที่เพื่อนสนิทของเขาได้พบกับเซียวรั่วหยูแล้ว เพราะเขากำลังยุ่งอยู่กับการพยายามหลอมรวมเบญจมาศดาวกระจายเข้ากับหงส์ครามในแขนขวาของเขา

ปัจจุบันเบญจมาศดาวกระจายได้กลายเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่หยั่งรากลึกลงในพื้นดิน บริเวณกลีบของดอกเบญจมาศอัดตัวกันอย่างหนาแน่นคล้ายกับดวงดาวเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน และสิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือกลีบดอกของพวกมันสามารถเคลื่อนไหวในอากาศได้อย่างอิสระ คล้ายกับดวงดาวที่กำลังหมุนโคจรรอบ ๆ ต้นไม้โบราณอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกันใบหญ้าขนาดใหญ่ทั้งสี่ของหงส์ครามก็พยายามโอบรัดเบญจมาศดาวกระจายจากทุกทิศทาง และเนื่องมาจากว่ามันคือพืชที่ไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้ มันจึงพยายามพิชิตอาวุธมายาตรงหน้าให้ได้ภายใต้ความพยายามเพียงแค่ครั้งเดียว

กลีบดอกเบญจมาศที่แหลมคมราวกับใบมีดหมุนวนจู่โจมเข้าใส่ใบหญ้าของหงส์ครามอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดรอยบาดแผลเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน และทำให้มีเศษใบหญ้าสีฟ้าปลิวไสวอยู่ในอากาศอย่างมากมาย 

น่าเสียดายที่ถึงแม้หงส์ครามจะพยายามฟื้นฟูใบหญ้าของมันกลับมาอย่างบ้าคลั่ง แต่อัตราการฟื้นฟูก็ยังไม่สามารถติดตามความเร็วในการทำลายของเบญจมาศดาวกระจายได้ เซี่ยเฟยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องดึงหงส์ครามกลับคืนมา และยืนมองอาวุธมายาตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้ง

“การป้องกันของมันแข็งแกร่งมาก การพยายามพิชิตเบญจมาศดาวกระจายยากกว่าตอนที่พิชิตต้นพลัมเก้าราตรีคนละระดับเลย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยความรำคาญ

“ต้นพลัมเก้าราตรีเป็นพืชในลำดับที่ 5 ขณะที่เบญจมาศดาวกระจายเป็นพืชในลำดับที่ 4 การที่พวกมันมีลำดับที่แตกต่างกันก็แสดงถึงความแตกต่างทางด้านระดับพลังของพวกมันด้วยเหมือนกัน” 

“นอกจากนี้จุดเด่นของเบญจมาศดาวกระจายคือการโจมตีด้วยพลังงาน ลองดูดี ๆ แล้วนายจะเห็นว่ากลีบดอกที่มันปล่อยออกมาต่างก็ห่อหุ้มเอาไว้ด้วยพลังงานบริสุทธิ์ มันจึงเป็นอาวุธที่มีความสมดุลย์ทั้งการโจมตีและการป้องกัน” โอโร่กล่าวอธิบาย

เซี่ยเฟยพยักหน้ารับ เพราะเขาก็สังเกตกลีบดอกเบญจมาศมาเป็นเวลานานแล้ว เขาจึงรู้ดีว่ากลีบดอกพวกนั้นถูกอัดแน่นไปด้วยพลังงานจนทำให้พวกมันมีความแหลมคมราวกับใบมีด

“ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดไหนต่างก็จะต้องมีจุดอ่อนด้วยกันทั้งนั้นแหละ ผมไม่เชื่อว่ามันจะไม่มีจุดอ่อนเพียงแค่เรายังหาจุดอ่อนของมันไม่พบเท่านั้นเอง”

“มันลองกันอีกรอบ!!” เซี่ยเฟยตะโกนปลุกขวัญกำลังใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มใช้หงส์ครามเพื่อพิชิตเบญจมาศดาวกระจายอีกครั้ง

ในห้องควบคุมหลัก

เทพขาวกับเทพดำยังคงพยายามค้นหาช่องว่างของระบบอย่างบ้าคลั่ง โดยหวังว่าพวกเขาจะสามารถส่งสัตว์เลี้ยงของตัวเองเข้าไปยังสนามรบโบราณแห่งนี้ได้

แม้ว่าความคิดของพวกเขาจะเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่การพยายามหาช่องว่างของระบบก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำได้อย่างง่าย ๆ เลย ท้ายที่สุดระบบนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณและการที่พวกมันสามารถอยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน มันก็หมายความว่ามันได้ผ่านการลองของจากคนอื่นมาแล้วเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

“ดูนั่น! นักรบดาร์กมิสท์รวมราชากฎขั้นสูงสุดได้ 4 คนแล้ว ฉันคิดว่าเขาคงจะใช้เวลาอีกไม่นานในการควบคุมราชากฎขั้นสูงสุดคนสุดท้าย และในเวลานั้นมันก็จะเป็นหายนะสำหรับนักรบเผ่าเทพ” เทพขาวกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

เมื่อเทพดำมองตามพี่ชาย เขาก็ได้พบกับนักรบอ้วนคนหนึ่งกำลังเดินนำทางนักรบมารอีกสามคนอย่างองอาจท่ามกลางสนามรบ

ฟุบ!

ชายอ้วนพลิกฝ่ามือเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มการจู่โจมที่รวดเร็วราวกับสายฟ้า นักรบของเผ่าเทพที่อยู่ในระยะไกลจึงถูกโจมตีก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตั้งตัว ก่อนที่ร่างของพวกเขาจะล้มลงโดยไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นสู้อีกต่อไป

“ฮ่า ๆ ๆ พวกเราได้เหยื่อมาอีกตัวแล้ว” ราชากฎขั้นสูงสุดทั้งสี่ที่อยู่รอบ ๆ นักรบดาร์กมิสท์รีบวิ่งเข้าไปทรมานนักรบเผ่าเทพที่ล้มลงอย่างไร้ปรานี แล้วในที่สุดพวกเขาก็ตัดคอนักรบเผ่าเทพคนนั้นจนทำให้เลือดไหลเจิ่งนองไปทั่วทั้งสนามรบ

“ดูสิ พวกเราได้แหวนมิติกับอาวุธของเขามาด้วย!” สมุนทั้งสี่รีบวิ่งกลับมาโชว์แหวนมิติกับอาวุธของเหยื่อให้นักรบดาร์กมิสท์ดูด้วยรอยยิ้ม

อย่างไรก็ตามนักรบร่างอ้วนกลับไม่สนใจสินสงครามพวกนี้เลยด้วยซ้ำ ก่อนที่เขาจะเดินหน้าต่อไปอย่างหยิ่งทะนง มันจึงทำให้สมุนทั้งสี่รู้สึกเสียหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แต่มันก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไรออกไปเลยแม้แต่คำเดียว

ท้ายที่สุดคนที่พวกเขาติดตามอยู่ก็คือนักรบจากตระกูลดาร์กมิสท์ที่โด่งดัง ยิ่งไปกว่านั้นชายอ้วนคนนี้ยังได้เลื่อนระดับจนกลายเป็นจักรพรรดิกฎแล้ว เขาจึงกลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดภายในสนามรบโบราณแห่งนี้

“เร็วมาก! การโจมตีเมื่อกี้มันเร็วกว่า 500,000 เมตรต่อวินาทีด้วยซ้ำ ทั้งสนามรบโบราณจะมีนักรบเทพสักกี่คนที่หลบการโจมตีของเขาได้” เทพขาวกล่าวขึ้นมาอย่างกังวล

“ไม่ใช่ 500,000 แต่เป็น 800,000 ต่างหาก” เทพดำกล่าวพร้อมกับส่ายหัว

เทพขาวรีบหันกลับไปดูหน้าจออีกครั้ง และถึงแม้ว่าพวกเขามักที่จะชอบทะเลาะกัน แต่เทพเขาก็ต้องยอมรับว่าสายตาของน้องชายมีความเฉียบคมมากกว่าเขาจริง ๆ การที่อีกฝ่ายบอกว่าความเร็วในการโจมตีของนักรบดาร์กมิสท์คือ 800,000 เมตรต่อวินาที มันก็ไม่ใช่ข้อมูลที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการโจมตีนี้ยังเร็วกว่าความเร็วในการเคลื่อนที่สูงสุดของเซี่ยเฟยอยู่ถึงเกือบ 7 เท่า

“อย่าพึ่งตกใจ รีบไปทำงานก่อนเร็วเข้า ไม่อย่างนั้นลูกหลานของเราก็คงจะถูกฆ่ามากกว่านี้” เทพดำกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมอง

เทพขาวรู้ดีว่าน้องชายของเขาเป็นคนที่ดื้อรั้นมากแค่ไหน ถ้าหากอีกฝ่ายพูดว่าพวกเขาจะพยายามเจาะช่องว่างเข้าไปยังสนามรบโบราณให้ได้ เทพดำก็ไม่มีทางหยุดจนกว่าพวกเขาจะสามารถส่งแบล็คกี้กับไวท์ตี้เข้าไปยังสนามรบโบราณได้อย่างแน่นอน เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องส่ายหัวแล้วเดินกลับไปเพื่อพยายามหาช่องว่างของระบบอีกครั้ง

4 วันต่อมาผมหางม้าของเซียวรั่วหยูก็ยุ่งเหยิงกระจัดกระจาย ขณะที่เธอพยายามเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก แต่มันกลับทำให้บนหน้าของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสีดำที่สกปรก

จักจั่นขาวรีบใช้ผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้าผากให้กับเซียวรั่วหยูอย่างรวดเร็ว โดยสีหน้าของเธอยังคงเต็มไปด้วยความเฉยเมย

ขณะเดียวกันทั่วทั้งร่างของเยว่เกอก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลลงมาราวกับสายน้ำ พร้อม ๆ กับลมหายใจที่หอบออกไปอย่างหนัก

“มันเป็นความผิดของฉันเอง ตอนนี้พวกเราถูกเจอตัวแล้ว” เยว่เกอมองไปที่ศพบนพื้นด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด

“ถ้าไม่ใช่เพราะกฎแห่งภาพลวงตาของพี่สาว พวกเราก็คงจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมากกว่านี้ ครั้งนี้ในทีมของศัตรูมีคนที่สามารถมองทะลุผ่านภาพลวงตาได้ แล้วพวกเราจะโทษเรื่องนี้ว่าเป็นความผิดของพี่สาวได้ยังไง” เซียวรั่วหยูกล่าวพร้อมกับส่ายหัว

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายวัน เยว่เกอก็รู้สึกเอ็นดูเซียวรั่วหยูมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ค่อยชอบจักจั่นขาวมากนัก เพราะแม้แต่ในช่วงเวลาวิกฤตจักจั่นขาวก็ยังคงยืนมองดูเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยความเย็นชา ไม่เคยคิดที่จะลงมือช่วยเหลืออะไรพวกเธอในระหว่างการเดินทางเลย

ในที่สุดเยว่เกอก็ตัดสินใจว่าเธอจะต้องพูดอะไรสักอย่าง เธอจึงหยิบแตงกวาที่ถูกกัดขาดครึ่งออกมาพร้อมกับชี้มันไปทางด้านของจักจั่นขาว

อย่างไรก็ตามในขณะที่เธอกำลังจะสอนบทเรียนให้กับจักจั่นขาวอยู่นั่นเอง จู่ ๆ ใบหน้าที่เฉยเมยมาโดยตลอดก็แสดงความกังวลออกมาอย่างไม่สามารถจะปิดบังได้

***************

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.