เป็นฝันใดที่กำลังหลอกหลอนเจ้า

ดอกนาซิสซัสกับความฝันที่ฆ่าฉัน

-A A +A

เป็นฝันใดที่กำลังหลอกหลอนเจ้า

          หลังการประชุมมีแต่ที่นั่งอันว่างเปล่า   จะเหลือก็แต่มาร์เวทผู้ยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์   ใบหน้าไม่สู้ดี   ยิ่งเมื่อต้องแสงอาทิตย์   “ฝ่าบาท   กระผมรู้ว่ามันทรมาน   แต่ว่ายังไงพระองค์ก็ต้องนอนนะขอรับฝ่าบาท”   เอเฟเฟียกล่าวอย่างเป็นห่วง   แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยแผลบนใบหน้าที่ลากออกเป็นทางยาว   แม้จะเพียงเฉือนผิวไปบางๆ   แต่ก็ทำให้รู้สึกแสบขึ้นมา   เขาก้มหน้าลง   สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือร่างของมาร์เวทผู้ยืนอยู่ในท่าที่มือข้างหนึ่งยื่นออกไปข้างหน้า   “ถึงเจ้าจะหลบ   ข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ   เอเฟเฟีย”   มาร์เวทเดินลงจากบัลลังก์อย่างช้าๆ   ผ่านหน้าของเอเฟเฟียไปเก็บดาบเล่มนั้นและเสียบมันกลับเข้าฝัก    “ข้าชอบเจ้า   แต่มิได้หมายความว่าคนโปรดจะมิมีวันตาย...เจ้าเข้าใจใช่รึไม่?”   ปีกสีดำงอกออกจากแผ่นหลัง   พาร่างนั้นบินหายไปบนท้องฟ้า   ไม่แม้แต่รอฟังการตอบคำถามของอีกฝ่าย   เอเฟเฟียได้แต่มองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายผ่านเงาที่ลับหายไปจากพื้น   “กระผมเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ...ฝ่าบาท”   เขากล่าว

 

          ภายในป่าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากหุบเขาสูง   หญิงสองคน   หนึ่งในนั้นยืนอย่างเงียบสงบ   “จากนี้ไปข้าไม่มีสิ่งใดจะสอนเจ้าอีกแล้ว”   เซเลียกล่าวพลางจ้องมาราอานที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ข้างริมแม่น้ำ   มองเงาสะท้อนของตัวเองเงียบๆ   “หากสิ่งที่เจ้าต้องการเป็นความจริง   เจ้าจะสามารถใช้วิชาของข้าได้   เพียงแต่ว่า   ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดไปจนถึงมาร์เวท”   เธอกล่าว   “แต่ถึงอย่างไร   สัญญาก็คือสัญญานะ   ตอนนี้บอกข้ามาได้แล้วล่ะว่าเจ้าคือตัวอะไรกัน   แล้วไปร่วมมือกับนังทรยศนั่นได้ยังไง?”   ดวงตาเรียบนิ่งของเซเลียอยู่ๆก็เบิกกว้างขึ้นเรื่อยอย่างรวดเร็ว   ใช้เวลาสักพักดวงตาคู่นั้นจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง   “อย่างงี้นี่เอง   เจ้าเองก็เป็นเหมือนเขา   ชีวิตที่สองยังงั้นหรือ?   พลังสีดำที่เจ้ามี….ไม่ใช่พลังของโลกใบนี้   โลกสีดำยังงั้นหรือ?   คงหมายถึงเฮลล่ะสิ”   เธอกล่าวลอยๆ   แต่จะใช่แน่รึ   เพราะพลังของเฮล   แม้จะมีสีดำเป็นสีหลักแต่ไม่ใช่สีเดียวเท่านั้น   เธอกล่าวในใจ        

 

          เป็นอีกค่ำคืนที่ความหวาดกลัวเข้าทำลายจิตใจอันบอบช้ำของมาร์เวท   เสียงกรีดร้อง   ตะโกนขอความช่วยเหลือ   และอีกสารพัดมากมายดังลอดจากบานประตูที่ปิดสนิท   เอเฟเฟียรับฟังทุกเสียงจากอีกฟากของบานประตูด้วยจิตใจที่แสนทุกข์ทรมานจนเช้าของอีกวันมาถึง   เสียงเหล่านั้นถึงหยุดไปในที่สุด   “ขออนุญาตขอรับฝ่าบาท”   เขาเปิดประตูเข้าไป   เห็นมาร์เวทยังนอนอยู่บนเตียงนั้นแต่เป็นในสภาพตาเบิกกว้างโพลน   โทนสีดำคล้ำปรากฏที่ใต้เปลือกตา   “น่าสมเพชนัก   ตัวข้าแม้จะเป็นอมตะ   แต่ร่างกายที่ไม่ตายกลับชั่งไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป    หากไม่ได้พักผ่อนรังแต่ทำให้ข้าไร้เรี่ยวแรง   แม้ตอนนี้จะอยากลุกมากเพียงใดก็ตาม”   เอเฟเฟียอุ้มตัวมาร์เวทขึ้นอย่างช้าๆและทนุถนอม   พาไปส่งยังห้องอาบน้ำที่อยู่ค่อนข้างไกลจากห้องบรรทมของเขา   น่าแปลกที่โถงทางเดินในวันนี้กลับเงียบเป็นพิเศษ   ไม่มีองครักษ์ยืนเฝ้าเหมือนทุกครั้ง   อาจเพราะเอเฟเฟียรู้อยู่แล้วว่ามันควรต้องเป็นแบบนี้   ไม่ควรต้องมีใครได้เห็นสภาพอันน่าเวทนาของพระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่    

          “ฝ่าบาท   โปรดอย่าเป็นห่วงไปเลยขอรับฝ่าบาท   วันนี้กระผมได้รับรายงานมาว่ามีแม่มดปริศนาสองคนที่ถูกเล่าลือว่าสามารถรักษาโรคที่ไม่หายได้ขอรับฝ่าบาท   กระผมเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าพวกเธอจะรักษาอาการของพระองค์ได้อย่างแน่นอนขอรับฝ่าบาท”   แม้จะกล่าววย่างมีหวังแต่เขาก็ยังเห็นใบหน้าอ่อนล้าของมาร์เวทไม่ได้ปรากฏรอยยิ้ม   หรือแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในคำกล่าวเมื่อครู่   “วันนี้ฝ่าบาทมีแผนจะเดินทางไปที่ใดรึไม่ขอรับฝ่าบาท?”   มาร์เวทไม่ตอบอะไรจนคิดว่าคงไม่ได้ยินอะไรจากปากของเขาอีกกระทั่ง   “ภูเขาไฟดีมัลฟนี”   คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนั่น   “ตามความประสงค์ขอรับฝ่าบาท”   แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร   “กระผมจะทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดหรือใครจะได้เห็นพระองค์ที่นั่นขอรับฝ่าบาท”  

 

          ณ   ประเทศโอนาโคลฟ   หนึ่งในประเทศภายใต้อำนาจของจักรวรรดิแห่งไฟ   ผืนดินมีสีดำเลื่อม   ดูแข็งเกินจะเรียกว่าดิน   เพราะมันคือถนนลาวาที่เย็นตัว   เคลื่อนลงมาจากปากปล่องภูเขาไฟดีมัลฟนี   สัญลักษณ์ของประเทศแห่งนี้   ผืนป่าปรากฏกระจายทั่วไปเป็นหย่อมใหญ่ๆ   ส่วนมากต้นไม้ที่เห็นจะเป็นต้นสีส้มประกายแดง   เหมือนเส้นเลือดที่มีลาวาใหลเวียนอยู่ภายใน   แม้แต่สีของดอกและผลก็ไม่ได้ต่างกับลำต้นมากนัก   บรรยากาศที่บิดพริ้วก่อนปรากฏประตูมิติที่นำพาร่างปริศนาทะลุออกมา   หนึ่งยืนขามั่นและอีกหนึ่งถูกมือแข็งแกร่งช้อนไว้ที่ระดับอก   “จากตรงไปนี้   กระผมจำเป็นต้องเดินเท้าขอรับฝ่าบาท   เพื่อไม่ให้เป็นการเปิดเผยตัวตนขอรับฝ่าบาท”   ร่างที่สวมผ้าคลุมจนมิดชิดพยักหน้าภายใต้ผ้าคลุมนั้น   เอเฟเฟียเริ่มออกเดินบนขั้นบันไดที่ยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาของหุบเขาสีดำ   พยายามทำตัวเองให้ดูเหมือนชาวบ้านที่เดินผ่าน   แม้จะถูกสายตาของคนเหล่านั้นมองด้วยความสงสัยในร่างที่เขากำลังอุ้มด้วยมืออันแข็งแกร่ง  

          ที่สุดแล้วพวกเขาก็ขึ้นมาถึงยังจุดจุดหนึ่ง   ไม่ใช่จุดสูงสุดแต่ก็อีกไม่ไกล   ฝั่งซ้ายมือพวกเขาเห็นเหมือนลานสุสานที่มีดอกไม้โทนสีเดียว   องครักษ์ของจักรวรรดิแห่งไฟที่เฝ้าประตูสุสานเมื่อเห็นเอเฟเฟียก็รีบหลีกทางให้แต่โดยดี   เมื่อเหยียบเข้าไปในสุสานแล้ว   กำแพงไฟสีฟ้าสว่างอยู่ๆก็ลุกโชติขึ้นตรงขอบของพื้นหิน   ปิดบังการมองเห็นทั้งหมดจากภายนอก   สร้างความแตกตื่นและสงสัยให้ชาวบ้านที่สัญจรไปมา

          “วางข้าลง”   เอเฟเฟียรีบทำตามคำสั่งโดยพลัน   เพราะขาที่ไร้เรี่ยวแรงจึงใช้มือสองข้างคลานออกไปข้างหน้า   ไปที่รูปปั้นมังกรขดตัวทั้งสาม   พวกมันแต่ละตัวทำท่าเหมือนกำลังกกบางสิ่งที่มีลักษณะไม่ต่างจากเขี้ยวยักษ์   “หลุมศพของพ่อแม่   และตัวข้า”   มาร์เวทกล่าวเสียงเรียบ   เป็นน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งพลังและอำนาจ   “ข้ามักจะฝันถึงมันตลอดเวลา”   เอเฟเฟียจ้องมองรูปปั้นฝั่งขวาสุด   ไม่มีอักขระใดจารึกบนรูปปั้นหินสีแดงพวกนี้   “ความฝันที่ทำให้ข้ามิอาจปิดตาลง   เจ้ามิอยากรู้รึ?”   เอเฟเฟียขมวดคิ้วก่อนจะก้มหน้าลง   “กระผมเข้าใจว่าพระองค์มิต้องการที่จะเล่า   กระผมจึงมิอาจถามขอรับฝ่าบาท”   มาร์เวทไม่ได้ตอบอะไร   เขายังคงจ้องรูปปั้นเหล่านั้นอย่างใจจดใจจ่อ   “ดีแล้ว   การรู้เรื่องของข้ามากเกินไปรังแต่จะทำให้เจ้าเสียขวัญเสียเปล่า”   “ขอรับฝ่าบาท”   เอเฟเฟียกล่าว   พวกเขาใช้เวลาเพียงลำพังในเขตสุสาน  

         

          ความมืดที่ครอบงำท้องฟ้าในยามแสงจันทราเลือนหาย   เอเฟเฟียเดินนำหน้าร่างปริศนาในชุดคลุมสีขาวทั้งสอง   ไปหยุดยืนที่หน้าประตูห้องแห่งหนึ่ง   “พวกเขามาถึงแล้วขอรับฝ่าบาท”   ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน   กระนั้นประตูที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออกโดยองครักษ์จากด้านใน   พวกเขาเดินออกมาพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล   มองจ้องร่างที่เดินตามหลังเอเฟเฟีย   ด้วยความฉงนใจ  

          เอเฟเฟียหยุดยืนที่กลางห้อง    ปล่อยให้ทั้งสองเดินตรงไปที่เตียงนอนของมาร์เวท   หนึ่งในร่างปริศนาหยุดยืนที่ขอบเตียงฝั่งขวา   จ้องหน้าเจ้าของเตียงที่มีหลังเหยียดตรงกับหัวเตียง   คอเอียงลงอย่างไร้เรี่ยวแรง   ส่วนอีกคนยืนที่ฝั่งตรงข้าม   “ฝ่าบาท   จากที่ข้าได้ยินจากองครักษ์ของพระองค์   ดูเหมือนจะไม่ใช่โรคอย่างที่ข้าเข้าใจไปเอง   อย่างไรก็ตาม   ดิฉันอยากขอลองอะไรกับพระองค์สักสองสามอย่าง   เพื่อให้แน่ใจว่าทรงเป็นอาการอะไรกันแน่เพคะฝ่าบาท”   หญิงปริศนาที่มุมขวาพยักหน้าเป็นสัญญาณ   ร่างปริศนาฝั่งซ้ายยื่นมือไปสัมผัสที่มือของมาร์เวท   เสมือนลมเย็นที่พัดผ่านร่างไปเพียงชั่วขณะ   “พอจะรักษาอาการของฝ่าบาทได้รึไม่?”   เอเฟเฟียเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง   “จะได้รึไม่   แต่ที่แน่แท้แล้วคือการรักษาได้เริ่มขึ้นในวินาทีที่ลูกศิษย์ข้าสัมผัสมือของฝ่าบาทแล้ว”   หญิงฝั่งขวากล่าว   ดูจากสีหน้าของลูกศิษย์ที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของเสื้อคลุมพอให้ชื่นใจได้บ้าง   ตัวของผู้ถูกรักษาเองก็เริ่มมีสีหน้าดูดีขึ้นตามลำดับ   “จากไปไปคือของจริงเพคะฝ่าบาท   โปรดนอนลงด้วยเพคะฝ่าบาท”   หญิงคนเดิมกล่าว   เป็นเธอเพียงคนเดียวที่ใช้เสียงในขณะที่อีกคนกลับเป็นผู้ปฏิบัติที่เงียบงัน   มาร์เวททำตามแต่โดยดี   แต่พอถึงเวลาที่จะต้องปิดเปลือกตา   เขากลับปฏิเสธด้วยเสียงอันเงียบงัน   “หากพวกเจ้ามีพลังที่จะรักษาข้าได้จริง   เช่นนั้นข้าจะลืมตาอยู่เช่นนี้เพื่อทดสอบพวกเจ้า”   หญิงฝั่งขวาอึ้งเล็กน้อยกับการตัดสินใจของอีกฝ่าย   ก่อนจะกลับมามีใบหน้าปกติอีกครั้ง   “ตามความประสงค์ของพระองค์เพคะฝ่าบาท”   เธอส่งยิ้มให้มาร์เวทและดูเหมือนเขาคนนั้นจะไม่ทันมองเห็นแววตาที่คุ้นเคยคู่นั้น   ก่อนที่มันจะถูกซ่อนไว้จากสายตาที่กำลังพิเคราะห์เธออยู่ไม่ไกล  

          มาร์เวทแหงนหน้าขึ้นมองเพดานสีดำเบื้องบน   มันก็ยังคงดำอยู่ตามปกติ   ไม่ได้มีสิ่งใดเปลี่ยนไป   กระทั่งครู่หนึ่ง   เพียงครู่หนึ่งเท่านั้นที่มองเห็นสีขาวสว่างวาบจากด้านบน   สว่างจนต้องหลับตาลง   กลิ่นอายของผืนหญ้าและดอกไม้   มันคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ   รู้ตัวอีกทีก็เหมือนว่าจะเห็นสีดำนั้นกลายเป็นสีฟ้าคราม   มีก้อนเมฆสีขาวลอยผ่านไปอย่างช้าๆ   หัวเอนลงอย่างไม่อาจบังคับให้   เริ่มสัมผัสถึงความนุ่มและมากมาย   บัดนี้ไม่ใช่เตียงหินแข็งทื่อแต่เป็นเตียงหญ้าเขียวขจี   เมื่อลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง   ด้านหน้าที่ใบหน้าหันออกไปคือสวนดอกไม้มากมายหลายชนิด   ส่วนใหญ่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน   จะรู้จักก็เพียงดอกลิลีขาว  

          สายลมที่พัดผ่านใบหน้าช่วยให้รู้สึกเย็นสบาย   นี่คงจะเป็นฝัน   เป็นฝันอีกแบบที่ไม่เคยได้เห็นหรือสัมผัสมาก่อน   เงียบสงบ   หอมหวนและเย็นสบาย   ชั่งแตกต่างจากกลิ่นภายในพระราชวังนัก   ขณะกำลังหลงใหลในบรรยากาศดั่งอยู่บนสรวงสรรค์   เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่ำอยู่ภายในสวน   แต่ไม่อาจมองเห็นเจ้าของเสียงจึงลองลุกขึ้นและเดินตามเสียงนั้นไป   คงจะเป็นครั้งแรกที่สมองสั่งให้เขาตามไป   ตามเสียงนั้นไป   ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกสนใจ   แต่ก็ต้องตามไปจนเท้าเหยียบเข้ามาในอาณาเขตดอกไม้จึงได้มองเห็นเจ้าของเสียงฝีเท้า   หญิงสาวผู้ใบหน้าดำสนิทเหมือนถูกแต้มด้วยน้ำหมึกดำ   กระนั้นเขากลับไม่รู้สึกหวั่นวิตก   อีกทั้งยังคุ้นเคยจนเหมือนกับเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน   คงเพราะทรงผมนั่นรึเปล่าที่ทำให้เขานึกถึงวันนั้น   วันที่เขาเกือบตาย   วันที่ฝนพรำ……

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.