บทที่ 4 เปิดใจ

มนตราสะท้านโลกา

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่ 4 เปิดใจ

อาชาขาวงามสง่าควบลัดเลาะไปตามเส้นทางอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามันไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย หญิงสาวผมฟ้านั่งกอดน้องสาวผมสีทองของตนเองไว้อย่างแนบแน่น โดยที่ไม่คิดจะเหลียวหลังมาสนใจเด็กชายผมสีดำแม้เพียงนิด 

นี่เป็นวันที่สองที่พวกเขาเดินทางออกจากหมู่บ้าน ตอนแรกไบรท์คิดว่าพี่สาวของตน จะมียานพาหนะไว้สำหรับ 3 คน แต่เขาก็ต้องผิดหวังเมื่อพี่สาวบอกว่ามียานพาหนะไว้สำหรับตนเองและน้องสาวเท่านั้น ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ว่าอาชาตัวนั้นกลับไม่ได้วิ่งรวดเร็วสักเท่าใด เนื่องด้วยสัมภาระอันมากมายทำให้ความเร็วเพียงเท่านั้นไม่เหลือบากกว่าแรงของไบรท์ 

ถึงแม้เด็กน้อยจะมีเหงื่อทั่วตัว แต่มันกลับไม่ได้เห็นเหนือบ่ากว่าแรง สำหรับเขาการวิ่งตามอาชาตัวนี้ก็เหมือนกับการฝึกร่างกายชนิดหนึ่ง แล้วอีกอย่างต่อให้เขาไม่อยากจะวิ่ง แต่ไบรท์ก็คงไม่สามารถให้น้องสาวของตนเองมาวิ่งแทนเขาได้ 

แสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าไปนานเท่าไหร่ไม่สามารถทราบได้ แต่ตอนนี้ดวงอาทิตย์ได้ขึ้นตรงหัวของเด็กน้อย ทำให้ไบรท์ตะโกนบอกพี่สาวของตนเอง “นี่พี่ ได้เวลากินข้าวแล้ว หยุดม้าก่อนดีกว่า”

ไอชำเลืองมองน้องของตนเองอย่างเหยียด ๆ “ถึงเวลากินข้าวแล้ว หรือว่าเหนื่อยจะไม่มีแรงจะวิ่งตามพวกฉันแล้ว”

“วิ่งตามอย่างนั้นหรอ อย่าพูดตลกๆนะ นี่มันเรียกว่าวิ่งตามคนที่ขี่ม้าต่างหาก ถ้าพี่มาวิ่งแข่งกับผมผมว่าพี่ก็คงวิ่งไม่ได้เท่าไหร่หรอก พี่อย่าลืมสิยังไงพวกเราก็เป็นนักเวทย์นะไม่ใช่นักสู้”

ไอส่ายหน้าเอื้อมระอากับความคิดของน้องชาย “นักเวทส่วนใหญ่จะเป็นยังไงพี่ไม่รู้หรอก แต่ว่ามาตรฐานขั้นต่ำสำหรับพี่ นักเวทย์จำเป็นต้องมีร่างกายที่แข็งแรง อย่างน้อยต้องเท่ากับนักสู้ระดับแชมเปี้ยน หรืออย่างมากต้องเข้ากับผู้ฝึกวิทยายุทธหรือกำลังภายในชั้นสูง ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้แกก็ยังไม่ผ่านมาตรฐานของพี่”

ไบรท์หอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า ถ้าเขาจำไม่ผิด ตอนนี้เขาได้ใช้เวลากับการวิ่งตามม้าบ้านั่นมาเป็นเวลา 4 5 ชั่วโมงแล้ว ม้าสีขาวนั่นก็ไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด ‘บ้าที่สุด ถ้าเราสามารถใช้เวทลมได้ก็คงดี ยังไงพี่บ้านั่นก็ใช้เวทมนต์ลมได้’

ระหว่างที่พวกเขากำลังเถียงกันอยู่ เสียงของมายก็ดังขึ้น เด็กน้อยผมสีทองหันมองพี่ชายของตนเองที่ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ หน้าตาที่แดงเนื่องจากความเหนื่อยล้า ประกอบกับลมหายใจที่กระชั้น ทำให้เด็กน้อยพูดด้วยความเดียงสา 

“พี่ไอ ให้พี่ไบรท์หยุดพักก่อนดีไหม หนูสงสารพี่อ่ะ ดูสิเหงื่อเต็มตัวไปหมดเลย ถ้าให้พี่เขายังวิ่งต่อไปพี่อาจจะเหนื่อยตายก็ได้”

ไอก้มหน้ามองน้องสาวของตนเองอย่างรักใคร่ หญิงสาวยิ้มก่อนที่จะกล่าวอย่างขบขัน “ฮึ แล้วหนูจะไปวิ่งแทนที่เขาหรือไง ถ้าหนูยอมไปวิ่งแทน พี่ไบรท์พี่จะหยุดแล้วให้พี่ไบรท์ขึ้นมาขี่ม้าแทนเอาไหม”

มายเงยมองพี่สาวจของเธอด้วยสีหน้าสดใส เด็กสาวสูดอากาศเข้าไปอย่างเต็มปอดก่อนที่จะกล่าว “ดีเหมือนกัน หนูจะได้ออกกำลังกายไง”

ไอยิ้ม ก่อนที่จะส่ายหน้าปฏิเสธ “ท่าออกกำลังกาย เดี๋ยวไปถึงบ้านของพวกเราก่อนแล้วพี่จะพาออกนะ”

ไอนำมือลูบศีรษะน้องสาวของตนเองอย่างรัก ก่อนที่จะหันมาทำสีหน้าท่าทางล้อเลียนน้องชายสุดรัก “

แต่ตอนนี้ให้พี่ไบรท์พิสูจน์ฝีมือก่อนว่าเจ๋งจริงหรือเปล่า ถ้าพี่เขาสามารถวิ่งตามพวกเราได้ตลอดการเดินทางแสดงว่าเจ๋งจริง”

เธอหยุดไปสักพัก ก่อนที่จะกล่าวต่อ “แต่ว่าถ้าหากว่าไม่  นั่นก็แสดงว่ากากเกรียนกะโหลกกะลากิ๊กก๊อก”

สิ้นคำกล่าวของพี่สาว ไบรท์ก็อยากจะกระโดดตีลังกาหมุนตัวแล้วไปเตะก้านคอหล่อน แต่เรื่องที่เขาคิดก็คงทำได้แค่ในจินตนาการ เพราะถ้าหากเขาทำจริงไม่ใช่พี่สาวที่จะโดนเขายำ แต่เป็นเด็กน้อยที่จะโดนพี่สาวของตนเองเตะจนปลิ้นมากกว่า 

ระหว่างที่เขากำลังวิ่งตามอาชาสีขาว ไบรท์ก็นึกถึงเมื่อวานที่เขาขอท้าวนพี่สาวของตนเองอีกครั้ง เขาขอให้พี่สาวของตนเองแสดงฝีมือที่มีทั้งหมด 

ผลปรากฏ 

ร่างกายของเขาก็ถูกน้ำแข็งมหึมาแช่ ไม่ทันที่จะได้ขยับตัว ฝีมือที่ห่างชั้นกันราวกับฟ้าและดินทำให้เด็กน้อยจำเป็นต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้

เมื่อวานนี้ 

ยามบ่ายท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงตะวัน อันร้อนแรง พื้นแผ่นดินแห้งผาก เนื่องจากฝนไม่ได้ตกลงมาเป็นเวลานาน แต่ในตอนนี้กลับมีสายน้ำจำนวนมาก กำลังเข้าไปล้อมร่างกายของเด็กน้อย

เวทวารีค่อยๆกลายเป็นคุกยักษ์ขนาดไม่ใหญ่มากนัก เพียงไม่นานมันก็กลายเป็นก้อนน้ำแข็งโดยที่ข้างในนั้นมีร่างกายของเด็กน้อยอายุ 13 ถูกกักขังไว้ 

“เจ็บใจชะมัด นี่หรอคือพลังที่ต่างกันระหว่างนักเวทฝึกหัดกับนักรบเวทย์ 

ไบรท์มองพี่สาวของตนยังไม่อยากจะเชื่อสายตา ร่างกายของเขาโดนก้อนน้ำแข็งแช่แข็ง ไม่มีส่วนใดของร่างกายที่สามารถขยับได้ ประสาทสัมผัสค่อยๆถูกทำลายไปอย่างช้าๆ ความง่วงค่อยๆเข้ามากัดกินร่างกาย 

แต่ถึงกระนั้นไบรท์ก็พยายามรวบรวมพลังไฟที่อยู่ในรากให้มากที่สุด ถ้าเขาไม่มีเวทย์ไฟที่เป็นธาตุตรงข้ามกับวัดน้ำแข็ง ไบรท์ก็เกรงว่าตอนนี้ตนเองคงจะตกอยู่ภายใต้เวทย์มนต์ของพี่สาว ประสาทสัมผัสต้องถูกทำลายหายไปสิ้น 

แถมยังพลังเวทย์ที่ค่อยๆลดลงอย่างต่อเนื่อง ไบรท์ไม่ต้องขบคิดให้เสียเวลาเขาก็รู้ได้ไม่ยาก เมื่อตอนนี้สถานการณ์ตรงหน้าเรียกว่าอะไร 

‘บ้าที่สุด ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างเราจะแพ้อย่างง่ายดายขนาดนี้ แสดงว่าที่ผ่านมายายนี่ไม่ได้ใช้พลังฝีมือที่แท้จริงสู้กับเรา’

หนังตาที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ  หัวสมองที่เริ่มคิดอะไรไม่ออก ก่อนที่พลังเวทย์จะหยุดลงเด็กน้อยก็ได้ยินเสียงของย่าแอนนา 

“หยุดการประลองได้แล้ว นะเห็นเธอก็แพ้อย่างหมดรูปแล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าสู้กันต่อจะเป็นอันตรายนะ”

ไอสบัดมือ ในพริบตาก้อนน้ำแข็งก็แตกออกในทันที ร่างอันไร้เรี่ยวแรงของไบรท์ร่วงลงมาที่พื้น เด็กน้อยสูดหายใจเข้ารับอากาศบริสุทธิ์ ก่อนที่เสียงของย่าจะดังขึ้นอีกครั้ง 

“เป็นไงบ้างล่ะ เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างนักเวทฝึกหัดกับนักรบเวทย์หรือยัง”

ไบรท์พยักหน้า “ความแตกต่างของพลัง แต่ว่าสิ่งที่ผมไม่เข้าใจก็คือทั้งที่มีพลังมากขนาดนี้แต่ทำไมต้องสู้กันครั้งแรกถึงไม่ยอมใช้พลังที่แท้จริงสู้กับผม”

ไอยิ้มขึ้น “ถ้าใช้พลังที่แท้จริงสู้กับแกตั้งแต่แรก สิ่งที่แกจะได้รับมันจะมีอะไรล่ะ แกจะไม่ได้รับอะไรจากการต่อสู้ในครั้งนั้นเลย ทั้งวิธีการประเมินคู่ต่อสู้ ทั้งประสบการณ์ ถ้าพี่ใช้พลังระดับนี้สู้กับแกสิ่งที่แกจะได้รับก็คือความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์”

ไบรท์มองหน้าพี่สาวของตนเองยังไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่คิดเลยว่าพี่สาวของตัวเองจะคิดเรื่องแบบนี้อยู่ สำหรับเด็กน้อยหากได้ต่อสู้เขาก็คงไม่คิดเรื่องสลับซับซ้อนมากขนาดนี้ พี่สาวพี่ดูไม่เอาใจใส่สิ่งใดแท้ที่จริงแล้วก็มีความอ่อนโยนอย่างประหลาด

ถึงแม้เธอจะพูดไม่เก่ง ถึงแม้สิ่งที่เธอทำจะเป็นการกระทำ เพราะต้องการสั่งสอนเขาด้วยประสบการณ์ของเธอ แต่ว่าสิ่งที่พี่สาวได้สอนเขามันก็มีคุณค่ามากกว่าคำบรรยายหลายร้อยเท่า

“นี่คือสิ่งที่พี่คิดอย่างนั้นหรอ”

ไอพยักหน้า “ใช่แล้ว นี่เป็นสิ่งที่พี่คิด ถ้าพี่ใช้พลังที่แท้จริงทั้งหมดตั้งแต่แรก สิ่งที่พี่พอคาดเดาได้ก็คือพลังของพี่จะทำลายความมั่นใจของแกจนสิ้นซาก ถ้าแกยังอยู่ที่นี่แกก็ไม่มีทางแข็งแกร่งขึ้น”

ไอยื่นมือมาจับมือของน้องตนเองก่อนที่จะฉุดขึ้นจากพื้น “ถ้าแกยังคิดว่าพลังเวทย์เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แกก็จำเป็นที่จะต้องตามฉันมา ในโลกข้างนอกมันยังมีผู้แข็งแกร่งที่ใช้ได้ทั้งพลังเวทย์และมีร่างกายที่สมบูรณ์ ถ้าเป้าหมายของแกคือการขึ้นเป็นจักรพรรดิเวทมนตร์ การเข้าโรงเรียนเวทย์ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น”

ไบรท์มีท่าทางไม่เข้าใจ ทำให้ไอจำเป็นต้องกล่าวต่อ

หญิงสาวผมฟ้ามีท่าทางตึกตรองอยู่เพียงคู่ ก่อนที่เธอจะตัดสินใจกับสิ่งที่เธอได้ศึกษาวิจัยมา 

“จากที่พี่ได้ศึกษาวิจัยมา พี่พบว่าแกน่าจะใช้เวทมนตร์ได้มากกว่า 2 ธาตุ ถ้าปกติคนที่ใช้เวทมนต์ได้แค่ธาตุหรือ 2 ธาตุแล้วได้ฝึกฝนมากกว่า 5 ปี พลังเวทย์ก็จะต้องรุดหน้าและพัฒนาไปจนถึงระดับ 8 หรือ 9 แต่ว่าสิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับแก”

หญิงสาวผมฟ้าเตรียมตัวจะอธิบายต่อ ทว่าร่างกายของน้องชายของเธอกลับล้มลงกล่องเป็นที่พื้น เด็กน้อยสิ้นสติในทันที 

ไอส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ยังอ่อนหัด” 

แอนนากับโยดาพยักหน้ารับกับข้อสันนิษฐานของหลานสาว  

ชายชรารำพึงกับตนเองเบาๆ แต่ทว่ามันกลับไม่รอดพ้นหูของคนทั้ง 2 “คิดไม่ผิด ตลอดเวลาที่ข้าได้ฝึกฝนให้ไบรท ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่ว่าคนที่เกิดมามีมากกว่า 2 ธาตุในโลกนี้ไม่ได้เจอกันบ่อยนัก “

“อย่างที่ปู่พูด ย่าเคยใช้เวทมนตร์ตรวจสอบเพื่อหาธาตุ ให้กับไบรท์ตั้งแต่ไบรท์อายุ 6 ขวบ แต่นอกจากธาตุไฟที่ปรากฏอย่างเด่นชัด ย่าก็ตรวจไม่พบธาตุอื่นอีกเลย ไม่แน่ว่าถ้าตื่นอาจจะยังเป็น… อยู่ในร่างกายของไบรท์”

ไอพยักหน้า “ตอนที่หนูได้รู้เรื่องนี้ หนูก็สนใจว่าในร่างกายของไบรท์คงยังมีธาตุอื่นซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน แต่ว่าถ้าเราต้องการจะรู้ว่าร่างกายของไบรท์มีธาตุอะไรอยู่ หนูอาจจะต้องพาเขาไปหาแพทย์เทวะ”

สิ้นคำพูดของหลานสาว โยดาก็กล่าวเสริม “อย่างนี้นี่เองถ้าเป็นตำแหน่งของเจ้าตอนนี้ แพทเทวะก็คงยินดีที่จะพบเจ้า ถ้าอย่างนั้นเราก็สามารถรู้ได้ไม่ยากว่าธาตุในร่างกายของไบรท์มีกี่ธาตุกันแน่ และจะสามารถพัฒนาเวทย์มนต์ได้”

ทว่าแอนนากลับเอ่ยแย้งหญิงสาวมีสีหน้าท่าทางที่โกรธแค้นและไม่พอใจ หล่อนกำหมัดแน่นพร้อมกับกัดฟัน

“จากที่เคยได้ยินมา แพทเทวะไม่ยินยอมที่จะพบปะกับผู้คนง่าย ๆ ถ้าหากไม่ใช่เป็นคนสนิทจริงๆ หมอนั่นก็จะไม่ยอมรักษา เมื่อก่อนย่าก็เคยจะเชิญเขามาตรวจร่างกายให้กับมายและไบรท์ แต่ว่าหมอนั่นกลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ทั้งๆที่พวกเราก็เป็นลูกศิษย์สถาบันเดียวกันแท้ๆ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เมื่อ 10 ปีก่อน แพทเทวะได้ตัดสินใจรับลูกศิษย์คนหนึ่ง แล้วตอนนี้ลูกศิษย์คนนั้นก็อยู่ที่โรงเรียนเดียวกับหนู แถมยังเป็นหนึ่งในนักเรียนของหนูด้วย “

แอนนาส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย สำหรับเธอคิดว่าเด็กที่มีอายุไม่เยอะ คงไม่สามารถให้รักษาหลานของเธอได้ “ย่าไม่เห็นด้วย ถ้าคลอดไม่ผิดเด็กคนที่เจ้าพูดถึงก็คงมีอายุเต็มที่ประมาณ 15-16 ถ้าจะให้เด็กคนนั้นมารักษาไบรท์มันคงเสี่ยงเกินไป”

ไอส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่หรอก หนูหมายความว่าลูกศิษย์ของเขาถูกหนูสอนก็จริงอยู่ แต่ว่าหนูได้ทำการวิจัยร่วมกับเขา แล้วตอนนี้เขาก็มีความสนใจเกี่ยวกับร่างกายของไบรท์ และนักเรียนคนอื่นๆ ทำให้ตอนนี้เขาได้สมัครมาเป็นอาจารย์โรงเรียนเวทมนต์บาบิโลเนีย ดังนั้นถ้าไบรท์สามารถสอบเข้าในโรงเรียนนี้ได้ก็จะได้รับการช่วยเหลือทางด้านต่างๆ”

         สิ้นคำ ของไอ หนึ่งหญิงหนึ่งชายชราก็พยักหน้าเห็นด้วย “เพราะอย่างนี้เองสินะเจ้าถึงต้องการรับทั้งไบรท์และมายไปเลี้ยงดู ถ้าเด็กทั้งสองสามารถเข้าไปเรียนโรงเรียนเวทมนต์บาบิโลเนีย ก็จะมีทั้งวิทยาการเวทมนต์ วิทยาศาสตร์ที่เป็นสาขาใหม่ และยังมีสาขาที่น่าสนใจอย่างอื่นอีกมากมายที่เหนือกว่าเวทย์มนตร์”

ไอพยักหน้ารับ “อย่างที่รู้กันว่าเวทย์มนต์มีหลายสาขา ทั้งเวทมนตร์ทางด้านกายภาพ เวทมนตร์มนทางด้านจิต เวทมนต์มายา นักวิทยาศาสตร์เวทย์มนต์ หนูคิดว่าถ้าพวกเราสามารถให้เด็กทั้งสองคนนี้ไปเรียนโรงเรียนที่หนูทำงานอยู่ พวกเขาก็จะได้รับการรักษาที่ทันสมัย โดยเฉพาะมาย”

โยดากับแอนนามองหลานสาวของตนเองอย่างชื่นชม ต่อให้จะมีความอัจฉริยะสักแค่ไหน แต่หากไม่มีความรักในครอบครัวก็คงไม่สามารถคิดเรื่องแบบนี้ออกมาได้ 

         1 ชาย 1 หญิงชราต่างก็คิดตรงกันโดยที่ไม่ได้นัดหมายว่า หลานสาวของตนเองโตเกินกว่าที่ตนเองคาดคิดไว้มากนัก 

โยดามองหลานของตน ก่อนที่จะเปลี่ยนสายตาไปมองหลานชายที่นอนกองหมดสภาพอยู่บนพื้น

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าคิดว่าจะให้ไบรท์เรียนชั้นอะไร ฝีมือระดับนี้พอที่จะเข้าชั้นเรียนระดับต้นระดับกลาง”

แอนนากล่าวเสริม “โรงเรียนเวทมนต์จะมีระดับการเข้าเรียนอยู่ 3 ระดับใช่ไหม ระดับต้นมี 6 ชั้นก็คือ grade 1 ถึง grade 6 ส่วนระดับกลางก็จะมี grade 7 ถึง grade 12 ส่วนระดับสูงคงไม่ต้องพูดถึง เพราะฝีมือระดับแค่นี้คงไม่สามารถเรียนได้”

           ไอยิ้ม “ทักษะเวทย์มนต์ของไบรท์น่าจะอยู่ระดับกลางได้ไม่ยาก แต่ว่าในการสอบโรงเรียนของเราปัจจุบันนี้ไม่ได้สอบแค่ระดับพลังเวทมนตร์เท่านั้น ต้องมีเทคนิคและอื่นๆอีกมากมาย ถ้าหนูคิดไม่ผิดแบบนี้น่าจะอยู่ grade 7 แต่ว่าระหว่างการเดินทางหนูคิดว่าน่าจะผลักดันให้เขาไปอยู่ระดับ grade 8 ได้ไม่ยาก”

 

คำกล่าวของไอ ทำให้โยดากับแอนนาอดสงสารหลานชายของตนเองไม่ได้ 

            “แล้วถ้าเป็นมายล่ะ” แอนนาถามอย่างเป็นห่วง อย่างไรก็ตามหลานสาวคนเล็กก็เป็นเด็กที่เคยเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กๆ ร่างกายที่อ่อนแอทำให้หญิงชราอดเป็นห่วงหลานคนนี้ไม่ได้ 

             “หนูจะให้แก เข้าเรียนในระดับพื้นฐาน grade 1 ยังไงเด็กก็ต้องได้รับการพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอน แล้วอีกอย่างถ้าฝีมือของน้องไม่ถึงจริงๆ การที่ผลักดันให้น้องไปเรียนระดับที่สูงเกินตัวมันก็จะสร้างความเดือดร้อนให้น้อง ยังไงก็ตามหนูก็รักน้องสาวคนเล็กมากที่สุด”

คำหลังไอไม่ได้เอ่ยออกมา 

  เธอเปลี่ยนสายตาไปมองน้องชายที่หมดสภาพ ก่อนที่จะคำนึงอยู่ในใจ “ถ้ามีฝีมือแค่นี้ฉันไม่เอาแกไว้แน่ ยังไงแกก็ต้องช่วยฉันทำภารกิจให้สำเร็จ แกเตรียมตัวถูกฝึกอย่างหนักได้เลย‘

ไอหันไปมองย่าของตนเอง “ว่าแต่มายอยู่ไหนหรอคะ ใช่ไหมหนูจะได้ไปทำความรู้จัก ไม่สิอยากจะเข้าไปฟัดให้หายคิดถึงจริงๆ”

พอหญิงชราพยักหน้า ไอก็เคลื่อนกายหายไปในพริบตา ทิ้งร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงของน้องชายเพียงคนเดียวอยู่เพียงลำพัง 

การกระทำของเด็กสาวผมฟ้าทำให้หนึ่งหญิงชราหนึ่งชายชราส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ผู้เฒ่าทั้งสองต่างคิดตรงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

‘คนที่เราควรเป็นห่วงไม่ใช่มายหรอก แต่เป็นไบรท์ที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้นที่ต่างหาก ขอให้โชคดีนะหลานรัก’

 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.