วิถีธาตุออนไลน์ : บทที่ 9 คู่หู

วิถีธาตุออนไลน์ ศึกพลังธาตุ...สะท้านแผ่นดิน (online)

-A A +A

วิถีธาตุออนไลน์ : บทที่ 9 คู่หู

บทที่ 9 คู่หู

เสียงนกนานาพันธุ์ร้องจนแสบแก้วหู ประกอบกับแสงอาทิตย์แยงตา ทำให้กรกชจำใจต้องยกมือขยี้ตาแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย

“ตั้งแต่เข้าเกมนี้มา ไอ้กชยังไม่ได้นอนดีๆ กับเค้าสักทีเลยโว้ย จะนอนทีไรก็ต้องนอนบนต้นไม้ทุกครั้งจนจะเหมือนลิงเข้าไปทุกทีละ” กรกชบ่น ขณะใช้มือไล่แก้เถาวัลย์ที่เขานำมามัดตัวเองติดกับกิ่งไม้เอาไว้ เพื่อกันตกลงไปข้างล่างในยามหลับ

ชายหนุ่มยืดตัวแก้อาการเมื่อยขบตามร่างกาย ก่อนจะปีนลงจากต้นไม้ที่ใช้เป็นที่พักผ่อนเมื่อคืนอย่างกระฉับกระเฉง

กรกชปลดดาบที่เขาใช้เถาวัลย์ห้อยติดกับต้นไม้ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนลงมาถือเอาไว้ด้วยความเคยชิน แล้วหันมองซ้ายขวาด้วยสีหน้าลังเล

“เมื่อคืนก็ไม่ได้สังเกตด้วยสิว่าเราวิ่งมาทางไหน หรือว่าจะหลงป่าอีกแล้ว...ซวยจริงไอ้กชเอ๊ย” กรกชพึมพำกับตัวเอง

‘...คิดไปก็เหนื่อยเปล่า เดินไปเรื่อยเหมือนครั้งที่แล้วก็ได้ฟะ’ ชายหนุ่มคิด แล้วเลือกเดินสุ่มมั่วไปในทันที

ระหว่างทาง กรกชก็ได้เจอทั้งทับทิมป่า มะม่วงป่า และผลไม้อีกหลายชนิด ซึ่งมีหรือที่คนอย่างเขาจะพลาด ดังนั้นขณะเดินท่องไปในไพรกว้าง เขาจึงไม่ได้ขาดอาหารการกินแต่ประการใด

“หือ...นั่นเสียงอะไรหว่า ใครมันมาสู้กันแถวนี้ฟะเนี่ย” กรกชรำพึงเบาๆ พลางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

เสียงการระเบิดดังแว่วมาตามสายลมเป็นพักๆ แสดงว่าต้นตอของเสียงที่ได้ยินจะต้องดังอยู่ห่างออกไปหลายกิโล ชายหนุ่มหยุดฟังเสียงเป็นบางคราว เมื่อฟังจนแน่ใจ ร่างสันทัดก็สาวท้าวสืบเสาะไล่ตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ ด้วยความกระตือรือร้น เพราะหากเจอคนอื่น เขาก็จะได้ถามหาทางออกจากป่า แล้วรีบตามไปสมทบกับพักพวกที่รออยู่ที่เมือง

เสียงที่ได้ยินเริ่มชัดเจนขึ้นตามระยะทางที่เริ่มใกล้เข้า จากที่ดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นบางครั้งในยามนี้กลับเริ่มแยกแยะรายละเอียดของเสียงได้ดีขึ้น ทีแรกเขารับรู้ได้เพียงเสียงระเบิดของพลัง ทว่ายามนี้กลับมีเสียงเห่ากรรโชกของสุนักปนมาอีกด้วย

“หรือว่านี่คือทางกลับไปที่ลานลมโชยหว่า แต่พวกนั้นก็สุดยอดแฮะ จนถึงตอนนี้ยังสู้กันอยู่อีก ไม่เหนื่อยกันบ้างเร่อ...แต่จะว่าไปก็ไม่น่าเป็นไปได้?” เขาพูดกับตัวเองอย่างสงสัยและไม่แน่ใจ

หากนับเวลาตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งตอนนี้ นี่มันก็ผ่านมาหลายชั่วโมงเต็มทน แล้วมันจะมีคนสู้อยู่ได้ยังไง ที่สำคัญเพียงไอ้หมายักษ์นั่นตัวเดียวก็คงทะหล่มผู้เล่นราบคาบไปนานแล้ว ไม่เหลือมาถึงตอนนี้หรอก

ไม่ว่าความคิดของกรกชจะสับสนสักแค่ไหน หากความเร็วของเขาไม่เคยลดลงเลยแม้เพียงนิด ชายหนุ่มยังคงตั้งหน้าตั้งตามุ่งตามเสียงดังกล่าวไปอย่างไม่ลดละ

‘อย่างน้อยถ้าเจอคน เราก็แค่ถามทางออกจากป่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาเอง’ ชายหนุ่มคิดเช่นนั้น

กรกชเดินตัดป่ามาราวสองชั่วโมง ก่อนที่เขาจะมาแอบหลบอยู่หลังต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง เบื้องหน้าของเขาถัดออกไปราวๆ ห้าสิบเมตรคือเมืองร้างขนาดใหญ่เมืองหนึ่ง

ซากโบราณสถานที่ปรักหักพังตั้งกระจายทั่วทั้งบริเวณ หลายซากมีสภาพคล้ายกับวิหาร หลายซากมีลักษณะเป็นกำแพงเก่าแก่นับร้อยปี บางซากก็เป็นเพียงก้อนอิฐขนาดใหญ่ซึ่งเรียงรายทับซ้อนกัน ยากที่จะดูออกว่า ซากปรักเหล่านี้เคยเป็นอะไรมาก่อนกันแน่

รอบๆ เมืองโบราณมีซากศพที่ไม่สมบูรณ์ของหมาป่านอนกระจายกลาดเกลื่อนเต็มไปหมด ท่ามกลางซากไร้ชีวิตเหล่านั้น มีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรียืนอยู่ ด้วยคนทั้งสองสวมใส่ชุดดำตั้งแต่หัวจรดท้าว จึงทำให้มิอาจมองผ่านผ้าครุมไปเห็นถึงหน้าตาที่แท้จริงของคนลึกลับทั้งคู่ได้

ร่างอันใหญ่โตของเฟนริลบัดนี้นอนหายใจโรยรินอย่างอ่อนแรงอยู่ที่ใต้ซากหินขนาดใหญ่ ดวงตา จมูก และปากของมัน มีเลือดแดงข้นไหลทะลักออกมาเต็มไปหมด จนทำให้รอบร่างของหมาป่ายักษ์เกิดเป็นแอ่งโลหิตย่อมๆ แสดงให้เห็นถึงอาการสาหัสของมันได้เป็นอย่างดี

เสียงอึกทึกครึกโครมที่เกิดจากการปะทะกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูรในเวลานี้ไม่มีอีกแล้ว ทว่ากลับมีกระแสความเงียบสงัดก่อตัวขึ้นในบรรยากาศเข้าแทนที่

“ได้เวลาปิดฉากแล้วหัตถ์ยมทูต” เสียงเย็นยะเยือกของผู้หญิงดังแว่วมาให้กรกชที่แอบอยู่ได้ยิน

บุรุษชุดดำทำเพียงพยักหน้า แล้วเดินเข้าหาร่างของเฟนริล เขายืนห่างจากมันประมาณสามสี่ก้าว ตามด้วยยกท้าวหวดใส่ตัวของบิดาหมาป่าดังสนั่น

เสียงเปรี้ยงได้ยินชัดเจนไปทั่วเมืองร้างและบริเวณใกล้เคียง ผลกระทบจากแรงเตะอันมหาศาล ทำให้เฟนริลกระตุกเฮือกกระอักเลือดออกมาอีกกองใหญ่

จากจุดที่กรกชแอบดูอยู่ ทำให้เขาเห็นวัตถุชิ้นเล็กๆ ไหลปนตามเลือดออกมาด้วยชิ้นหนึ่ง เขาพยายามเพ่งดูดีๆ จึงเห็นว่า วัตถุชิ้นนั้นคือกุญแจดอกหนึ่ง จากสีเดิมของกุญแจที่คงเป็นสีทอง ทว่าเมื่อปนเปื้อนจากเลือดซึ่งออกมาจากร่างของเฟนริล ทำให้สีของกุญแจเปลี่ยนไปเป็นสีส้มหม่น

หัตถ์ยมทูตใช้ท้าวเขี่ยสิ่งที่ต้องการออกมาจากกองเลือด ก่อนจะก้มลงไปเก็บขึ้นมาจากพื้นดิน “ไปเอาของกันเถอะ ฮิเมโกะ” เขาเอ่ยชวนหญิงสาว พลางเดินนำเข้าไปตรงซากที่ดูคลับคล้ายกับวิหารโบราณ

หยิงสาวที่ชื่อฮิเมโกะเดินตามหัตถ์ยมทูตไปอย่างเงียบๆ บุรุษชุดดำนำกุญแจที่เพิ่งได้มาไปเสียบเข้ากับรอยแตกที่ปรากฏอยู่บนอิฐซึ่งมีอักขระโบราณจารึกเต็มไปหมดทั้งก้อน

น่าแปลกที่ขนาดของลูกกุญแจกับรอยแตกเข้ากันได้เป็นอย่างดี...ทันใดนั้นแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าพลันเกิดขึ้นปกคลุมอิฐทั้งก้อน ขณะเดียวกันกับมีวงเวทย์หลากสีขนาดเล็กพอที่คนสองคนจะเข้าไปยืนได้พร้อมกันโดยไม่เบียดปรากฏขึ้นบนพื้น

หัตถ์ยมทูตและฮิเมโกะเร่งก้าวเข้าไปอยู่ในอาณาเขตของวงเวทย์ ก่อนวงเวทย์จะเปร่งแสงวาบ นำพาเอาร่างทั้งคู่หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย

กรกชไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับเหตุการณ์ที่ได้พบเจอ ความคิดแรกคือรีบหนีไปจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด ทว่าอีกความคิดก็ยังมีความอยากรู้ว่า คนพวกนั้นมาที่นี่ทำไม และต้องการอะไรกันแน่

...ความไฝ่รู้อยู่เหนือทุกสิ่ง!

ร่างสันทัดค่อยๆ เคลื่อนที่ออกจากจุดเดิมอย่างระวังระไว สายตากวาดมองรอบตัวด้วยความไม่ประมาท เพราะถึงเขาจะเห็นอีกฝ่ายมากันแค่สองคน...หากแต่อาจจะมีพักพวกที่เหลือแอบซ่อนดูเหตุการณ์อยู่แถวนี้ก็เป็นได้

เมื่อกรกชเห็นว่าน่าจะปลอดภัย เขาจึงก้าวออกสู่ลานด้านหน้าของโบราณสถานในทันที ชายหนุ่มพยายามเดินหลบซากศพหมาป่าซึ่งกระจายเรี่ยราดอยู่ตามพื้นดินสีคล้ำ มุ่งหน้าไปยังก้อนอิฐที่ยามนี้ ยังเปร่งแสงจ้าอยู่มิคลาย ถึงแม้เวลาจะผ่านมาได้พักหนึ่งแล้วก็ตาม

กรกชอยู่ห่างจากก้อนอิฐและวงเวทย์หลากสีไปไม่ไกล ซึ่งก็เหลือระยะทางอีกเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ขณะที่ท้าวกำลังจะขยับเดินต่อ เสียงแหบโหยเสียงหนึ่งก็ทำให้เขาต้องหยุดยืนนิ่งอย่างตกใจ

“...เจ้าไม่ใช่พวกเดียวกันกับกลุ่มคนพวกนั้นสินะ?”

“นั่นใคร...?” เมื่อเรียกสติกลับมาได้ กรกชจึงฝืนทำเสียงเรียบนิ่งถามออกไป

อะไรกัน นอกจากเขา ยังมีคนอื่นอยู่ตรงนี้อีกหรือนี่ กรกชพยายามหันมองไปทั่วบริเวณ...ทว่าก็หาเจอผู้เป็นเจ้าของเสียงไม่ เขากระชับดาบในมืออย่างเตรียมพร้อม ถึงแม้อาจจะสู้ไม่ได้เลยก็ตาม

เสียงลึกลับยังไม่ตอบคำถามของกรกชในทันที มีเพียงเสียงหัวเราะลงลำคอแหบแห้งดังมาให้เขาเสียวสันหลังเล่นก็เท่านั้น กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ๆ เสียงนั้นจึงเปิดปากพูดกับชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง

“เจ้าอยากรู้สินะว่าข้าคือใคร” น้ำเสียงแหบถามขึ้น ทว่าเหมือนไม่ต้องการคำตอบ เพราะเสียงดังกล่าวเอ่ยต่อไปว่า “ข้าคือเฟนริล หมาป่าที่โดนซากเมืองเก่าทับอยู่นี่ยังไงล่ะ...นับว่าโชคดีเป็นของข้า ที่อย่างน้อยก่อนที่ข้าจะตาย ข้ากลับได้พบเจ้าซะก่อน”

กรกชหันขวับไปมองยังจุดที่ร่างของหมาป่าเฟนริลนอนหายใจรวยรินอยู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ

“เฮ้ย...อะไรนะ? แกเนี่ยนะที่พูดได้ จะเป็นไปได้ยังไง?”

“เจ้าไม่ต้องสงสัยหรอก ข้าพูดจริงๆ”

มันย้ำมาอีกที ทำให้เขาเริ่มเดินเข้าไปหาตัวมันใกล้ขึ้นอีกนิด

“แล้วทำไมแกถึงพูดได้วะ แล้วแบบนี้สัตว์อสูรพูดได้ทุกตัวเลยหรือเปล่า?” กรกชลองถาม ขณะเงี่ยหูฟังไปด้วย เขาต้องการฟังให้แน่ใจว่าเสียงออกมาจากตัวมันจริงหรือเปล่า

“ไม่ทุกตัว...แต่หากเป็นสัตว์อสูรที่มีความสามารถสูงส่ง จะสามารถพูดได้แทบจะทุกตัว”

กรกชฟังมาถึงตรงนี้...ทำไมเขารู้สึกว่าไอ้หมายักษ์นี่มันยกยอตัวเองหว่า? หรือว่าเขาจะคิดไปเอง?

“แล้วแกเรียกฉันทำไม?” กรกชถามเข้าประเด็น เพราะหากชักช้า แล้วพวกนั้นกลับออกมาพบเขาอยู่ที่นี่ อาจมีปัญหาได้

“ข้ายังไม่อยากตายตอนนี้ ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าที”

มันเอ่ยขอร้อง ทว่ากรกชยังลังเลไม่ตัดสินใจ เพราะหากเขาช่วยมันไป แล้วพวกชุดดำนั่นรู้ เขาจะไม่ซวยไปด้วยหรือไร?

“แล้วถ้าฉันช่วย ฉันจะได้อะไร?” กรกชถามตรงๆ ได้ไม่ได้ยังไงก็ต้องถามเผื่อเอาไว้ก่อน

“เจ้าต้องช่วยข้าก่อน ข้าถึงจะบอก” มันเอ่ยต่อรอง

กรกชยิ้ม “ไม่เอา แกต้องบอกมาก่อนสิโว้ย อย่าลืมนะ สิทธิ์ขาดว่าฉันจะช่วยหรือไม่ช่วย มันอยู่ที่ฉัน” กรกชตอบ ถึงคราวที่เขาจะเอาคืนทั้งทีจะพลาดได้ยังไง เรื่องเมื่อคืนที่ไอ้เจ้านี่มันยกพวกมาโจมตีเขา เขายังไม่ลืมหรอกนะ

“หึ!” เจ้าเฟนริลแค่นเสียงใส่ “ก็ได้ รอบนี้เป็นทีเจ้า” มันพูดขึ้น ก่อนจะกระอักเอาผลึกทรงกลมออกมาจากปาก

กรกชก้าวเข้าไปดูอย่างสนใจ เมื่อเห็นมันไม่ว่าอะไร เขาจึงก้มลงหยิบขึ้นมาพินิจใกล้ๆ คราบเลือดที่ติดออกมาด้วย ทำให้เขาเห็นรายละเอียดไม่ค่อยชัด ชายหนุ่มเลยใช้เสื้อเช็ดอย่างไม่นึกรังเกียจ

ผลึกมีขนาดก้อนเล็กพอๆ กันกับลูกแก้วทั่วไป ทว่าหากมองเข้าไปข้างในผลึกก็จะเห็นประกายสายฟ้าวาบขึ้นอยู่เป็นระยะๆ กรกชไม่ต้องรอนาน เสียงของระบบก็ไขความกระจ่างให้เขาในบัดดล

‘ผู้เล่นกรกชได้รับผลึกธาตุสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ การพัฒนาและใช้งานต่อไปขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้ของผู้เล่นเอง’

“เอาล่ะ เมื่อเจ้าได้ของไปแล้วก็ช่วยข้าได้สักที” เฟนริลเอ่ยเร่ง เพราะตัวมันยามนี้เริ่มอ่อนแรงลงไปทุกทีแล้ว

“ได้ๆ แล้วฉันต้องทำยังไงบ้าง?” กรกชถาม พลางเก็บผลึกธาตุศักดิ์สิทธิ์ลงกระเป๋ากางเกง

‘...ถ้ารู้ว่าจะได้ของดีแบบนี้ คงขอยืมกระเป๋ามิติของเพื่อนคนใดคนหนึ่งติดตัวมาด้วยแล้ว’ ชายหนุ่มคิด

“ก็ไม่ยาก แค่เจ้าทำพันธสัญญากับข้าก็พอแล้ว” เฟนริลตอบ

“แล้วฉันต้องทำยังไงบ้าง?” กรกชถาม เขาอยากรีบทำให้เสร็จๆ ไป จะได้เผ่นออกจากตรงนี้ได้สักที

“เจ้าต้องเอาเลือดของเจ้ามาสัมผัสบริเวณหน้าผากหรือหัวใจข้า แล้วพูดว่า ‘ด้วยความสัทธาแห่งมิตร ข้าขอจารึกผูกพันธสัญญาร่วมกัน’ ถ้าทั้งสองฝ่ายยินยอม พันธสัญญาก็จะสำเร็จ” เฟนริลอธิบายด้วยเสียงอ่อนแรง

กรกชรู้ว่าเวลาของมันเหลือน้อยลงไปทุกที เขาจึงใช้นิ้วรูดตรงคมดาบจนเกิดแผล ชายหนุ่มยื่นมือเปื้อนเลือดไปสัมผัสบริเวณหน้าผากของเฟนริล แล้วเอ่ยคำตามที่มันบอกเมื่อครู่ ร่างของทั้งสองวาบแสงขึ้นพร้อมกัน โดยมีแสงส่วนหนึ่งพุ่งออกจากร่างกายเข้าไปในตัวของอีกฝ่าย ทันทีนั้นเสียงระบบจึงแจ้งเตือนขึ้นเป็นการยืนยำว่าพันธสัญญาสำเร็จด้วยดี

‘ผู้เล่นกรกชได้ทำพันธสัญญากับศัตว์ศักดิ์สิทธิ์หมาป่าเฟนริล เนื่องด้วยมีระดับพลังต่างกันเกินไป เฟนริลจึงถูกลดระดับพลังลงมาเท่ากันกับผู้เล่นที่เป็นคู่หู...ทั้งนี้ เฟนริลสามารถกลับสู่ระดับพลังเดิมได้ด้วยการฝึกฝนเท่านั้น’

 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.