สวยร้ายสายลับ 3

สวยร้ายสายลับ

-A A +A

สวยร้ายสายลับ 3

น่าแปลก...คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเมษายน์  ทำให้ผ่องพรรณคิด...ไตร่ตรอง...แต่ก็ยังไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร 

มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผ่องพรรณกังวลตั้งแต่วันเดินทางออกจากบ้านเดิดแล้ว  เรื่องหลวงพ่อคำเกลี้ยงถูกตัดเศียร  แม้ตัวเองไม่ใช่ต้นเหตุ  แต่จากคำปรักปรำของไอ้เขียดกับกลุ่มชาวบ้าน  ตอกย้ำให้เธอต้องเก็บมาคิด  เธอจะทำอย่างไรดี?  หนทางข้างหน้ามีแต่ความมืดมนจริงๆ

คืนนี้  สาวบ้านเดิดฝันร้าย!  สะดุ้งตื่นอีกครั้งตอนได้เสียงเคาะประตูเรียก

“ปึก  ตื่นได้แล้ว”  

เสียงของคุณประไพพรรณ

ผ่องพรรณพับร่างลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว  ไม่อิดออด  เพราะมองเห็นแสงสว่างยามเช้าสาดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องแล้ว

เมื่อหญิงสาวเปิดประตูก้าวออกจากห้อง  พบนายผู้หญิงของเธอยืนยิ้มอยู่

“ฉันเกรงว่าเธอจะตื่นสาย  ก็เลยมาปลุก” คุณประไพพรรณบอก “อาบน้ำซะ  เดี๋ยวฉันจะสอนให้เธอชงกาแฟและทำกับข้าว”

“ค่ะ  คุณผู้หญิง” ผ่องพรรณรับคำ หากยังยืนนิ่งอยู่ “คุณผู้หญิงคะ   พี่เมล่ะคะ?”

“ลูกเมออกไปแต่เช้ามืดแน่ะ”

ผ่องพรรณรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เจอเมษายน์  เธอมีอีกหลายเรื่องอยากถามให้กระจ่าง 

////////////////////////////////////

พ.ต.ต. หญิงเมษายน์  พงศ์โสภาสิริ ในชุดสูท ผูกเนกไท  ดูน่าเกรงขามแต่ก็ซุกซ่อนความละมุนละไมอยู่ในท่าทีดังกล่าวด้วย  หญิงสาวมาพบกับผู้บังคับบัญชา พ.ต.อ.พิสิฐ  รองผู้บังคับการหน่วยวิหคเวหา  

ภายหลังทักทายพูดคุยตามอัธยาศัย  พล.ต.ต. สถิตยุทธ  ผู้บังคับการหน่วยวิหคเวหา ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดทำงานก็เข้ามาในห้องเพื่อร่วมพูดคุย 

ผู้บังคับการทักทายผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเป็นกันเอง  หลังจากนั้นจึงเข้าเรื่องซึ่งเป็นภารกิจที่พ.ต.ต.หญิง  เมษายน์จะต้องรับผิดชอบ  ผู้การแห่งวิหคเวหาเลื่อนซองน้ำตาล  บรรจุข้อมูลให้ผู้กองเมษายน์  เธอดึงออกมาดู  เห็นภาพของชายหนุ่มผิวสี  แต่งกายด้วยชุดสูต   ดูมีสไตล์

“คนคนนี้ชื่อ  ไมค์  โจ๊กเกอร์  เป็นอเมริกันเชื้อสายไทย  อาชีพหลักของเขาคือนายหน้าค้าโบราณวัตถุหน้าใหม่   เขาใช้เวลาสร้างชื่อเสียงและทำเงินทองให้กับตัวเองเพียงกี่ปี   ทั้งเป็นที่น่าสนใจในหมู่นายหน้าค้าโบราณวัตถุที่มีเป็นเครือข่ายทั่วโลก  และตำรวจทั้งของประเทศไทยและอีกหลายประเทศในแถบอาเซียนกำลังจับตาดูเขาอยู่…นั่นคือเบื้องหลัง...

ผู้การเว้นจังหวะแล้วกล่าวต่อ

“แต่เบื้องหน้าของเขาคือ  โค้ชมวยไทยสมัครเล่นกัมพูชา  ที่ได้รับเทียบเชิญจากสมาคมมวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย  เพื่อมาร่วมสังเกตการณ์ชกชิงแชมป์มวยไทยหญิงชิงถ้วยจากพณฯท่าน ร.ม.ต. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประจำปี”

ผู้กองสาวเงยหน้าจากใบหน้าของชายหนุ่มผิวสีในรูป

“หน้าที่ของดิฉันคืออะไรคะท่าน?”

“ผมต้องการให้ผู้กองติดตามพฤติกรรมของเขาอย่างใกล้ชิด...ต่อไปนี้ผู้กองคือ ‘คุณเมษ์ สวยเสมอ’เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์จากสมาคมมวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย…ผมดูแล้ว  งานนี้ไม่มีใครเหมาะเท่ากับผู้กอง...เพราะผู้กองมีความสามารถและฉลาดรู้จักเอาตัวรอดได้  สิ่งที่ผมอยากจะเตือนเป็นพิเศษก็คือ...”

ดวงตากลมสวยของพ.ต.ต.หญิง  เมษายน์มองผู้บังคับบัญชาไม่กะพริบ

“ไอ้หมอนี่มันขี้หลี  แต่ผมคิดว่าผู้กองคงไม่มีปัญหาอะไร”

“ค่ะ  ท่าน”

“รายละเอียดต่างๆ  คุณเอาข้อมูลไปศึกษาเองนะ  อย่าให้เสียชื่อกองงานของเราได้เชียวนะ”

“รับทราบค่ะท่าน”

ตลอดเวลา  เมษายน์ไม่ได้เห็นแววตาที่เหมือนกับซุกซ่อน ‘อะไรสักอย่าง’ ของพ.ต.อ.พิสิฐ  และแม้แต่ตอนที่รองผู้บังคับการวิหคเวหาลอบถอนใจ  ผู้กองคนสวยก็ไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตแต่อย่างใด ครั้นผู้บังคับการออกจากห้องไปก่อน  ท่าทีเป็นทางการของเมษายน์ก็ผ่อนคลาย  เพราะสนิทกับรองผู้บังคับการมากกว่า “สารวัตรคะ  เมจะไม่ให้เสียชื่อมาถึงสารวัตรอย่างเด็ดขาด”

“ผมก็เชื่อมั่นในตัวสารวัตรเช่นกัน  เสร็จธุระแล้ว  เชิญ...!”

เมษายน์ตะเบะเข้มแข็ง  ก่อนหมุนร่างเพรียมสมส่วนออกจากห้อง   เมื่อเธอพ้นห้อง  มือถือของพ.ต.อ.พิสิฐก็ดังขึ้น

“ลูกน้องคุณไม่สงสัยอะไรเลยใช่มั้ย  สารวัตร?”

“ครับผู้การ”

“ดี”

“ท่านครับ...”  พ.ต.อ.พิสิฐเหมือนมีเรื่องอยากจะพูด  หากคนปลายสายผู้มีอำนาจเหนือเขารีบแทรกขึ้นว่า

“ผมรู้ว่าคุณจะพูดอะไร  แต่นี่เป็นงานใหญ่  จะให้นายตำรวจหญิงที่ได้ชื่อว่าซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่อย่างผู้กองเมษายน์มารับรู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด คุณเองก็รู้ดีว่าถ้า ‘ความลับ’ ถูกเปิดเผยไปสู่สื่อมวลชนเมื่อไหร่  จะมีนายตำรวจระดับบิ๊ก  นักการเมืองระดับรัฐมนตรีซึ่งมีอำนาจให้คุณให้โทษพวกเราจบเห่หลายคน  และคุณก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น  ด้วยเหตุนี้  คุณแค่...ทำตามที่ผมสั่งก็พอ  เข้าใจไหม?”

“ครับท่าน”

สัญญาณขาดหายไปแล้ว  รองผู้บังคับการพิสิฐเอนหลังกับพนักเก้าอี้  หลับตาลง  หากภายในเปลือกตาที่รูดปิดสนิทนั้น  ไม่ใช่เห็นแต่สีดำ  ทว่ากลับมองเห็น...ผู้หญิงคนหนึ่งที่เกิดมาเพื่อจะเป็นตำรวจอย่างแท้จริง  เธอไม่ใช่ไม้ประดับของหน่วยวิหคเวหา  แต่เป็นของจริง

ของจริงที่บัดนี้กลายเป็นส่วนเกิน...และไม่ต้องการให้มารับรู้การกระทำบางอย่างของผู้มีอำนาจ!

///////////////////////////////////

อีกด้านหนึ่ง

ผู้กองเทพซึ่งแม้ร่างกายจะโดนสะเก็ดระเบิดหลายแห่ง  แต่ก็ไม่ใช่จุดสำคัญ   เขารายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้บังคับบัญชารับทราบ  ระหว่างนั้นมีคนเสนอให้เขาไปทำหน้าที่อื่นที่ไม่ใช่การประกบตัวไอ้หนุ่มสีผิวซึ่งจะต้องเป็นหุ่นเชิด

ผู้กองหนุ่มตงฉินปฏิเสธ  ยืนยันว่ายังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้  เมื่อยืนยันเสียงหนักแน่น  บุคคลที่เสนอให้เขาไปทำหน้าที่อื่นเป็นฝ่ายเลี่ยงไป 

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้กองเทพสะกิดใจ  คล้ายๆกับว่า  หน่วยงานของเขามีฝักมีฝ่าย  และเขาเป็นตัวขวางของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

นายตำรวจหนุ่มไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้เลย   ตลอดชีวิตการรับราชการ  เขาเป็นนายตำรวจหนุ่มที่ได้ชื่อว่า  มีประสิทธิภาพ  ทำงานตรงไปตรงมา   เป็นคนเชื่อมั่นในอุดมการณ์และศักดิ์ศรีความเป็นตำรวจ 

ร.ต.อ.เทพเชื่อมั่นอยู่อย่างว่า  เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับผู้กำกับเสวี  เจ้านายของเขาแน่  เพราะเป็นคนนำทีมติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับคดีโจรกรรมโบราณวัตถุแบบกัดไม่ปล่อยด้วยตัวเองตลอดมา

ยกเว้น  นายตำรวจในทีมงานคนอื่นๆ  โดยเฉพาะตัวรองผู้กำกับ ‘พ.ต.ท. ชายชาติ’  ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าทุกคนยอมทุ่มเทเพื่อสาวไปให้ถึงผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการซึ่งถือว่าเป็นพวกทำลายสมบัติอันมีค่าของชาติ 

แต่เรื่องต่างๆเหล่านั้น  เป็นปัญหาอันดับท้ายๆ  เพราะปัญหาที่ผู้กองเทพยังแก้ไม่ตกยังมี...

ไมค์  โจ๊กเกอร์จะถอนตัวท่าเดียว  และถือเป็นหน้าที่ของเขาต้องจัดการ  ในเมื่อเป็นคนยืนยันหนักแน่นว่าตนเองพร้อมสำหรับการทำหน้าที่เคียงข้างไอ้หนุ่มผิวดำจอมกวนโมโหคนนั้น

แม้สภาพของตัวเองเวลานี้  คงไม่เหมาะกับการดื่ม   แต่ผู้กองเทพยังอุตส่าห์เดินไปที่ร้านสะดวกซื้อ  หิ้วเบียร์และกับแกล้มจำพวกขนมขบเคี้ยวมาถุงใหญ่ 

ไอ้หนุ่มนิโกรผู้มีแม่เป็นคนยโสธร  นั่งกระดิกเท้าดูทีวีหน้าตาเฉย 

“ไมค์  ฉันซื้อมาให้นาย”

ผู้กองหนุ่มวางเบียร์และถุงขนมขบเคี้ยวลงบนโต๊ะ “ฉันรักนายแค่ไหน  ไม่งั้น  ฉันไม่บริการถึงเพียงนี้หรอกเว้ย”

“ขอบใจ  ผู้กอง” ไมค์พูดเสียงเนือยๆ “แต่อย่าหวังนะว่า  ข้าวของเล็กๆน้อยๆพวกนี้จะทำให้ผมเปลี่ยนใจได้  ผมยอมถูกเจ้าหนี้กระทืบมากกว่าจะยอมเป็นเหยื่อระเบิด  บอกตามตรง  เสียวชิบเป๋ง”

“ไมค์...” ร.ต.อ.เทพขยับเข้ามาทรุดนั่งตรงข้ามไอ้หนุ่มผิวสี “จะให้ฉันพูดยังไงนายถึงยอมเชื่อว่า  คนร้ายไม่ได้ตั้งใจฆ่านาย  เป้าหมายของคนร้ายคือฉันต่างหาก”

“ครือกันแหละ”

“มันจะเหมือนกันได้ไงวะ?  คนร้ายต้องการชีวิตฉัน  ไม่ได้เกี่ยวกับนายสักหน่อย”

“ผู้กองพูดเป็นเด็กๆไปได้  ถ้าผู้กองเป็นคนที่ต้องอยู่ใกล้ชิดผมตลอดระยะเวลาที่ผมต้องทำตัวเป็นไอ้ไมค์  โจ๊กเกอร์ที่ว่า  ก็เท่ากับว่าผมอยู่ใกล้ชิดกับวัตถุอันตรายตลอด 24 ชั่วโมง  ต่อให้ผู้กองระวังแค่ไหนก็ต้องพลาดเข้าจนได้นั่นล่ะน่า”

“ใจคอนายจะไม่ยอมช่วยเหลือประเทศชาติมั่งเลยหรือไงวะ?”

“เพื่อชาติ  ผมช่วยได้  แต่ขอเป็นประเภทไปเล่นตลกให้ตำรวจดูแทนนะ  ไม่ใช่ต้องให้มาเป็นตัวล่อลูกปืนแบบนี้”

“หมายความว่านายจะแก้ปัญหาเรื่องเจ้าหนี้ทั้งหลายของนายด้วยตัวเอง”

“แหงอยู่แล้ว”

“ฉันไม่ช่วยนะ”

“ผมแก้ได้ละกัน”

คนเป็นตำรวจถอนใจยาว “ถ้างั้น  ฉันก็จนใจ  บางที...พรุ่งนี้เราคงต้องแยกกัน”

“ไม่ใช่บางที...” คนหนุ่มผิวดำหันมามองนายตำรวจหนุ่ม  “พรุ่งนี้เราคงต้องจากกัน  ความจริงผมเห็นใจผู้กองนะ  อย่าคิดว่าไม่เห็นใจ  แต่ผมก็ต้องเลือกเอาความปลอดภัยของตัวเองมาเป็นอันดับหนึ่ง”

“ช่างมันเถอะว่ะ  ไมค์   แล้วนายจะทำยังไงกับชีวิตวะ?”  คนเป็นตำรวจไม่วายเป็นห่วง “เพราะคณะของนายก็ถูกยึด  ผู้หญิงก็ถูกหิ้ว”

คนดำยักไหล่

“ไม่เสียใจเลย  คณะตลกนั่นน่ะจะยุบตั้งหลายครั้งแล้ว  เพราะรายได้ไม่พอกิน  ส่วนผู้หญิง...เธอไปพ้นชีวิตของผมได้ก็น่าจะเป็นผลดีกับตัวเธอเอง”

“นายแน่ใจนะว่านายจะอยู่ได้โดยไม่มีฉัน?”

ผู้กองเทพถาม  สายตาจับวางอยู่ที่ใบหน้าของไอ้หนุ่มนิโกรยโสธร

คนชื่อบุญเลิศ  แหล่ทั่วคิงหัวเราะได้น่าเตะก่อนพูด

 “ผู้กอง  อย่าลืมสิ  ผู้กองเพิ่ง...เอ่อ...เสือกเข้ามาในชีวิตของผมแค่สิบ...สิบเอ็ดวันเท่านั้นนะ  ก่อนหน้านั้นผมก็อยู่ของผมได้โดยไม่มีใครมาร่วมเดือดร้อนด้วย”

“สรุปว่าอยู่ได้?”

“เอ้อ...เอ๊ย...ครับ”

เมื่อไอ้หนุ่มผิวสีรับคำหนักแน่น  คนเป็นตำรวจจึงลุกขึ้น  หากยังไม่ทันได้ขยับก้าว

“ผู้กองจะไปหรือครับ?  ผมไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำถึงขนาดนั้นหรอก...” ไมค์ยกข้อมือมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา “มันดึกมากแล้ว  นอนเสียที่นี่คืนหนึ่ง  พรุ่งนี้ค่อยไป”

“ขอบใจ” ผู้กองเทพทำงอน “แต่เก็บความหวังดีของนายเอาไว้เถอะ”

“ถามจริง...ผู้กองกำลังงอนผมอยูใช่ปะ?” ไมค์ถาม

“ไม่  แต่เห็นนายเหม็นขี้หน้าฉันนี่หว่า”

“ผมทนได้  รอให้ถึงพรุ่งนี้ค่อยไป”

ไมค์ไม่พูดเปล่า  หากลุกขึ้นฉุดมือของผู้กองหนุ่มให้นั่งลงเหมือนเดิม

คนเป็นตำรวจซ่อนยิ้มพลางแกะมือของไอ้หนุ่มผิวสีออก  “บังเอิญฉันก็เกิดเหม็นขี้หน้านายเหมือนกัน  และสุดจะทนด้วย”

ไมค์ชะงัก  สีหน้าบึ้งตึง

“โห  ไม่บอกแต่แรกว่าเหม็นขี้หน้าผม  ผมจะได้ไม่มัวมาเสียเวลากับผู้กอง”

ร.ต.อ. เทพมองไอ้หนุ่มมืด  แววตาขุ่นเคือง “ไหนๆก็ไหนๆแล้วนะ  ขอพูดให้หมดๆเลย  ไม่เฉพาะเหม็นขี้หน้านายเท่านั้น  แต่ฉันหมั่นไส้ในท่าทีกวนโอ๊ยของนายจนสุดทนอยู่แล้ว”

“ผู้กอง!”  ไมค์หน้าเขียวด้วยความโกรธ “หุบปากเน่าๆของผู้กองเดี๋ยวนี้  เดี๊ยะผมเลือดขึ้นหน้าละก็...”

“ดำ!  คนอื่นเลือดขึ้นหน้าแดง  แต่ของนาย...ดำ  เพราะนายมันไอ้ดำ!”

“หยุดนะ!”

“ไอ้ดำ!”

“จ๊ากก”

ไมค์   โจ๊กเกอร์โกรธจนตัวสั่นถึงกับถลันข้ามโต๊ะมาจับคอเสื้อของนายตำรวจหนุ่มยกขึ้น  ทว่าความโกรธดังกล่าวกลับสลายตัวลงอย่างรวดเร็ว   ใบหน้าถมึงทึง  เขียวคล้ำเพราะเลือดโทสะสูบฉีดเมื่อสักครู่เปลี่ยนเป็นซีด...เผือด...

ที่เป็นอย่างนั้นเพราะปลายกระบอกปืนพกในมือของร.ต.อ.เทพ   นราดุล  จ่ออยู่ที่พุงของบุญเลิศ  แหล่ทั่วคิง คนอะไรไม่รู้  ชักปืนไวยังกะเล่นกล...ไมค์นึกในใจอย่างแหยง

ขณะที่คนเป็นตำรวจยิ้ม   แววตาเย้ยหยัน 

“กลับไปนั่งที่ของนายเดี๋ยวนี้   ไอ้ดำ ไอ้ตูดหมึก”

“แหะแหะ” 

ไอ้หนุ่มผิวสีข้ามกลับไปนั่งบนโซฟาเหมือนเดิม   ส่วนคนเป็นตำรวจก็เปลี่ยนท่าทีจาก...รีบร้อนเพื่อจะไปจากบ้านหลังนี้  เป็นขยับไปเอนร่างลงบนโซฟาตัวยาวซึ่งมีรอยฉีกขาดอีกตัว

“ฉันอยากนอนที่นี่สักพัก  นายมีปัญหาไหมวะ  ไอ้ดำ?”

“แหะแหะ  ไม่มี”   ไมค์สั่นหน้า  แต่ขุ่นเคืองยิ่งอยู่ในใจ “ผมอยากให้ผู้กองพักเสียทั้งคืน  เช้าค่อยไป”

...แต่ผู้กองจะพักสักครู่หรืออยู่ทั้งคืนก็เรื่องของมึงเหอะ  อย่ายิงกูเป็นใช้ได้…ไมค์บดกรามกรอด  เทพไม่ได้สนใจเจ้าของบ้านนักว่ากำลังมีท่าทีเช่นไร  เขาทำท่าจะหลับ  แต่กลับกะพริบตาเป็นระยะๆ

“ไอ้ดำ!”

“กรุณาเรียกผมว่าบุญเลิศ  หรือไมค์  ไม่ใช่ไอ้ดำ!” 

“บังเอิญฉันกำลังเหม็นขี้หน้านายวะ  ฉันจึงเรียกแบบที่ฉันพอใจ” 

ไมค์กัดฟันกรอด  ทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาดังโครมโดยไม่สนใจอีกฝ่ายเลย    ผู้กองเทพซ่อนยิ้ม  และไม่คิดจะยั่วโมโหไอ้หนุ่มผิวสีอีก  มันดึกมากแล้วและเขากำลังจะหลับ  

บุญเลิศ  แหล่ทั่วคิงเองรู้สึกไม่ต่างจากคนเป็นตำรวจ  นับตั้งแต่ลืมตาตื่นในช่วงบ่ายมีแต่เรื่องปวดหัว  ยุ่งยาก

เขาเองก็อยากพักผ่อนเหมือนกัน  ในที่สุดก็ผล็อยหลับไปทั้งสองคน

เช้าวันใหม่...

อดีตหัวหน้าคณะโจ๊กเกอร์มีอันต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงฝีเท้าโครมครามของใครต่อใครหลายคน  เขาดีดตัวลุกนั่งบนโซฟา  ยังอยู่ในอาการมึนงง  เจ้าของฝีเท้าเหล่านั้นก็ก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่น 

ไมค์  โจ๊กเกอร์หน้าซีด   เหลียวมองหาที่พึ่ง   เพราะคนพวกนี้คือเจ้าหนี้ทั้งหลายของเขานั่นเอง 

“ไอ้ดำ  ไม่ต้องมองหาใครหรอกเว้ย  ไม่มีใครช่วยเหลือมึงได้อีกแล้ว”

“พี่ครับ  ผมมีเรื่องอยากขอร้อง”

“แต่กูไม่มีอะไรจะคุยกะมึง”

“เรื่องหนี้น่ะ...”

ไอ้หนุ่มผิวสีพยายามถ่วงเวลา  สมองกำลังหมุนติ้วเพื่อหาทางออกให้กับตัวเอง  หากช่างริบหรี่เหลือเกิน

“หนี้เอาไว้ก่อน  เพราะท่าทางของมึงตอนนี้คงไม่มีเงิน”

“พี่ดูถูกผมนา  เงินผมมี”

“กูไม่เชื่อมึงอีกต่อไปแล้ว”

“ถ้าพี่ไม่อยากคุยเรื่องหนี้กับผม  พี่พร้อมใจกันมาหาผมทำไม?”

“ดอกเบี้ย...พวกกูต้องการดอกเบี้ยคนละตีนสองตีน  นั่นเป็นสิ่งเดียวที่มึงพอจะให้พวกกูได้”

“หา!”  ไมค์  โจ๊กเกอร์ดีดร่างลุกขึ้น  เหงื่อผุดออกมาจากใต้ผิวหนังจนชุ่มโชก   “ผมสู้นะ”

“กูอยากเห็นมึงสู้อยู่แล้ว  ไอ้ไมค์” 

คนเหล่านั้นย่างสามขุมล้อมกรอบไอ้หนุ่มผิวสีเอาไว้   ซึ่งต่อให้มีปีกก็บินหนีไม่พ้น  เพราะติดเพดานชั้นสอง  อดีตหัวหน้าคณะตลกหน้าเจื่อน 

“กระทืบมันก่อนเถอะ  เรื่องอื่นค่อยคุยทีหลัง” 

เจ้าหนี้รายหนึ่งอดรนทนไม่ไหว

“พลีส...”  ไอ้หนุ่มผิวมืดรูดลงไปกองกับพื้นอย่างหมดท่า  “ได้โปรดเถอะ  อย่ากระทืบผมเลย  มันเจ็บปวด  เราน่าจะพูดกันด้วยเหตุผล”

“เหตุผล! กูอยากหัวร่อ  มันไม่มีเหตุผลอะไรให้มึงอ้างได้อีกแล้วไอ้ไมค์ ทางที่ดีมึงอยู่เฉยๆเตรียมรับมือรับเท้าพวกกูเอาไว้ให้ดี”

“อย่า...!”

ไมค์ร้องห้ามเสียงหลง   แต่ช้าไปแล้ว

ผัวะ!

“อุ๊!”

ฉาด!

“อย่า..”

ตั่บ!

เสียงร้องห้ามของเขา...ค่อยลง...เบาลง  จนเงียบหาย

“ซอยแน...ซอยข้อยแน...ซอยเฮาแน...พลีส”

และแล้ว  สติสัมปชัญญะของไอ้หนุ่มสายเลือดยโสธรก็ดับวูบ  ไม่ยอมรับรู้อะไรอีก  คนเหล่านั้นเดินออกไปใครคนหนึ่งที่รออยู่ด้านนอกแล้วรีบสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว  ผู้กองเทพก้าวเข้ามาในบ้าน  สายตาที่มองไอ้หนุ่มผิวดำมีแววสมเพช!

“ช่วยไม่ได้ว่ะไมค์  แกมันลีลามาก  ก็ต้องใช้ไม้นี้”

หลับไปนานแค่ไหนไม่รู้  แต่เมื่อฟื้นขึ้นมา  ไมค์หรือบุญเลิศ  แหล่ทั่วคิง  ก็หมดสิ้นพยศอย่างสิ้นเชิง   เพราะเขารู้แล้วว่าวันไหนไม่มีเงาของผู้กองเทพ  วันนั้นเป็นวันชะตาขาด

“โอเค  ผู้กอง” ตลกผิวสีจอมกะล่อนพูดเสียงดัง “ผมยอมจำนน  จะให้ผมทำอะไร  ผมยอมทั้งนั้น  ขออย่างเดียวอย่าให้ไอ้พวกเจ้าหนี้มากวนผมอีก”

ผู้กองเทพยิ้มบางๆ

“เป็นหนี้มันต้องจ่าย  นายไม่มีทางเลี่ยงหรอกว่ะ

“ผมรู้  แต่ต้องให้เวลาผมสิ  อีกอย่าง...ผมเชื่อว่าหากผมทำหน้าที่เป็น ไมค์  โจ๊กเกอร์ได้สมบูรณ์แบบ  เสร็จงานผมคงมีเงินบ้างไม่ใช่หรือครับ?”

ผู้กองหนุ่มโคลงศีรษะ 

“แน่นอนอยู่แล้วไมค์”

“อู๊ยยย! เจ็บแสบเป็นบ้าเลยผู้กอง”

ผู้กองเทพหัวเราะ

“ถ้านายทำตัวดีๆเสียแต่แรก  คงไม่ต้องมานั่งประคบรอยพกช้ำแบบนี้”

“อย่าพูดอีกเลย”  ไมค์ทำหน้าเซ็งๆ “ผู้กองคงต้องเริ่มต้นบอกผมใหม่เสียแล้วว่า  ผมจะต้องทำตัวอย่างไรบ้าง”

“นายคือไมค์   โจ๊กเกอร์” คนเป็นตำรวจอธิบายย้อนหลังอีกครั้งเป็นการทบทวนให้ไอ้หนุ่มผิวสีเข้าใจอย่างละเอียด  ท้ายสุดเขากล่าวเพิ่มเติม “มีอีกอย่างหนึ่ง  ฉันยังไม่ได้บอกนาย”

“ก็บอกเสียให้หมดๆ  อย่าลืมเชียวนะผู้กอง”

“ไม่ใช่ลืมโว้ย  แต่เพิ่งได้รับคำสั่ง”

“เรื่องอะไร?”

“บางสถานการณ์  นายต้องแสดงตัวเป็นโค้ชมวยไทยสมัครเล่น  คุมทีมนักมวยไทยสมัครเล่นหญิงกัมพูชา”

“หา!”

“ไม่หาละ”

“ทำไมยุ่งยังงี้?”

“ผู้ใหญ่เค้าสั่งมา  นายแค่ทำตามให้แนบเนียนก็พอ  เรื่องอื่นไม่ต้องสงสัย…เอาเถอะน่า   นับจากวันนี้เป็นต้นไป  ฉันเหมือนเงาตามตัวนายอยู่แล้ว  ติดขัดตรงไหน  ฉันเข้าแทรกทันที”

บุญเลิศนิ่วหน้าจนยับ

“ผมไม่เข้าใจอยู่ดี ผมต้องแสดงตัวเป็นนายหน้าค้าโบราณวัตถุ  แล้วทำไมต้องแสดงเป็นโค้ชมวยไทยสมัครเล่นด้วย?  หนำซ้ำยังต้องคุมทีมชาติมวยหญิงกัมพูชาอีก”

“ดีแล้วที่นายสงสัย...” นายตำรวจหนุ่มอธิบาย “ตอนที่นายเจอกับมิสเตอร์เควิน สมิธ  นายก็คือนายหน้าค้าโบราณวัตถุ  แต่ถ้านายจะต้องเจอกับสายของตำรวจหน่วยวิหคเวหาคนหนึ่ง  นายคือโค้ชมวยไทยสมัครเล่นที่ทำงานให้ทีมชาติกัมพูชา”

“โชคดีที่ผมมีเพื่อนเขมรสุรินทร์  ผมพูดภาษาเขมรได้อีกภาษา” 

ไมค์พูดอย่างลิงโลด  แต่กลับทำหน้ายับด้วยยังสงสัยไม่หาย “ผู้กองพูดยังกะว่ามีตำรวจอีกหน่วยคอยประกบตัวผมอีก  เหมือนที่ผมพยายามจะเข้าไปตีซี้กะมิสเตอร์สมิธ”

“นายฉลาดจริงๆ”

“เพื่ออะไร?” ไมค์ถามทันที “ตำรวจวิหคเวหามาประกบผมเพื่ออะไร?  เพราะผมก็เป็นสายให้ตำรวจ  ทำงานเพื่อชาติเหมือนกัน”

“เอ...”

ผู้กองเทพถึงกับถูจมูก  เพราะคาดไม่ถึงเหมือนกันว่าไอ้หนุ่มผิวสีจะฉลาด

ยิ่งเห็นอาการอึกอักกึกกักของคนเป็นตำรวจ  ไมค์ยิ่งติดใจ

“ว่าไงครับ  ผู้กอง?”

“เอาละ” นายตำรวจหนุ่มพูดราวกับได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว “ไหนๆ  เราสองคนจะต้องทำงานร่วมเป็นร่วมตายกันแล้ว  ฉันจะบอกความจริงบางอย่างให้นายรู้”

ไมค์จ้องหน้าผู้กองเทพเขม็ง...

ผู้กองหนุ่มถอนใจเล็กน้อยก่อนเอ่ย “เรื่องนี้...ตำรวจหน่วยวิหคเวหากับหน่วยพิเศษ 919 วางแผนทำงานร่วมกัน  แต่...ตำรวจทั้งสองหน่วย  มีสายของขบวนการโจรกรรมโบราณวัตถุรวมอยู่ด้วย  แต่...”

“สองแต่แล้วนะผู้กอง”

“ใช่  แต่...ปัญหาก็คือยังไม่รู้ว่าเป็นใครเป็นสายให้โจร

“ว้ายกรี้ด” บุญเลิศอุทานได้น่าเตะ “ถ้างั้นงานนี้  ทั้งคนดีคนชั่วปะปนกันหมดสิ”

“ถูกต้อง  ซึ่งก็หมายถึงต้องเสี่ยงอันตรายอีกเท่าตัว”

“แล้วเราสองคนล่ะ  ดีหรือชั่ว?” 

ไอ้หนุ่มนิโกรเลือดยโสธรสงสัยจริงๆ

นายตำรวจหนุ่มยกหัวไหล่เล็กน้อย  “นายคิดเอาเองก็แล้วกัน  หน้าตาอย่างเราสองคนควรจะอยู่ฝ่ายไหน”

ไมค์ยิ้มร่าทันที  ก่อนพูดอย่างมั่นใจในตัวเองสุดขีด

“คนชั่วอะไรจะหน้าตาดีแบบนี้…ผู้กองดูเหมือนป๋อ ณัฐวุฒิ  ส่วนหล่อขาวตี๋อย่างผมดูยังไงก็เหมือนณเดช คูกิมิยะ”

“เหมือนตรงไหนวะ?”

ผู้กองเทพค่อนขอด

///////////////////////////

อีกด้านหนึ่ง  เวลาเดียวกัน...

ผู้นั่งสนทนาอยู่ในห้องพิเศษของภัตตาคารย่านถนนศรีนครินทร์  คนหนึ่งคือคุณวัฒนา  เจ้าของบริษัทนำเข้าส่งออกรายใหญ่   อีกคนคือ พล.ต.ต. สถิตยุทธ  ผู้บังคับการวิหคเวหา 

คนแรกมาถึงก่อน  คนหลังเพิ่งมาถึง  ภายหลังทักทายและสั่งเครื่องดื่มแล้ว  ผู้เป็นเจ้าภาพเป็นคนเริ่มต้นพูด

“เรื่องที่ผมขอร้องท่านผู้การคงเรียบร้อยนะครับ” 

คนเป็นตำรวจหัวเราะเบาๆ  ดวงตาเปล่งประกายหิวโหยธนบัตร

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ  คุณวัฒนาอุตส่าห์ขอร้องทั้งที   ทั้งๆที่ตอนแรก...ผมได้วางตัวผู้กองเมเป็นผู้ รปภ.ใกล้ชิดมิสเตอร์สมิธด้วยซ้ำไป  อย่างที่ทราบ  ผู้กองเมษายน์คล่องตัวทั้งในเรื่องของภาษาและเรื่องการต่อสู้  ผมจึงย้ายให้เธอเป็นคนดูแลสายของตำรวจหน่วยพิเศษ 919 ที่เกาะติดคดีโจรกรรมโบราณวัตถุ”

หัวคิ้วของคุณวัฒนาขมวดเข้าหากัน

“สายของตำรวจหน่วยพิเศษ 919 งั้นหรือครับ?”

“ใช่  ไอ้หมอนี่มีชื่อแต่งตั้งว่า ไมค์  โจ๊กเกอร์  มันจะเข้าไปตีสนิทกับมิสเตอร์สมิธ  ในฐานะนายหน้าค้าโบราณวัตถุ”

“ผมไม่ระแคะระคายเรื่องนี้เลย”

“แน่นอนอยู่แล้ว  นี่เป็นเรื่องลับเฉพาะของหน่วย  ถ้าหาก...คนเป็นรองผู้บังคับการหน่วย 919 ไม่เป็นคนของผม  ไอ้นายหน้าค้าโบราณวัตถุกำมะลอคงเข้าไปเกาะติดมิสเตอร์เควิน  สมิธเพื่อนของเราได้อย่างสนิทใจ”

คุณวัฒนานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนใบหน้าระบายยิ้ม  “ลูกเมของผมไม่รู้เรื่องแน่นะ”

“ครับ  แต่ไอ้ไมค์  โจ๊กเกอร์คงทำให้เธอปวดหัวไม่ใช่น้อย  แต่ก็เป็นผลดีกับพวกเรา   กว่าเธอจะรู้อะไรเป็นอะไรมิสเตอร์สมิธเพื่อนของเราเสร็จสิ้นธุระในเมืองไทยแล้ว  เมื่อนั้นผมจะแก้ปัญหาอีกครั้งหนึ่ง”

“ลูกเมรู้จักคนชื่อไมค์  โจ๊กเกอร์ ในฐานะอะไรครับ?”

“โค้ชมวยไทยสมัครเล่นลูกครึ่งไทยอเมริกัน  คุมทีมมวยไทยหญิงของกัมพูชา  และถูกเชื้อเชิญจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยให้มาร่วมสังเกตการณ์ในมหกรรมแข่งขันมวยไทยสมัครเล่นหญิงชิงแชมป์ประจำปี”

คุณวัฒนาทำหน้ายุ่งยาก

“มันไม่ยุ่งจนทำให้ลูกเมสงสัยหรอกหรือ?”

“ไม่หรอกครับ” พล.ต.ต. สถิตยุทธส่ายหน้า “เพราะผมบอกเธอว่า  เบื้องหลังของไอ้ไมค์  โจ๊กเกอร์เป็นนายหน้าค้าโบราณวัตถุ  ซึ่งเรื่องนี้เธอต้องตามประกบติดเพื่อสืบเบื้องหลังของเขาด้วย  ฮะฮะ  ฟังดูเป็นเรืองซีเรียสเสียจนเธอไม่มีทางสงสัยแน่”

“ผมอยากรู้จริงๆว่าตำรวจหน่วยพิเศษ 919 วางแผนยังไง”  คุณวัฒนาเอ่ย  สีหน้าเรียบ

ตำรวจกังฉินยิ้ม  แววตาหิวเงิน

“พวกนั้น  วางแผนให้ไอ้ไมค์  โจ๊กเกอร์เป็นนายหน้าค้าโบราณวัตถุหน้าใหม่  โดยจะส่งเข้าประกบมิสเตอร์สมิธพร้อมกับนายตำรวจ ยศ ร.ต.อ. ฝีมือดีคนหนึ่ง”

“ไมค์  โจ๊กเกอร์รู้ตัวหรือเปล่าว่าฉากหนึ่ง  เขาจะต้องเป็นโค้ชมวยไทยสมัครเล่นแห่งกัมพูชาด้วย”

“แน่นอนครับคุณวัฒนา” คนเป็นตำรวจยืนยัน “เว้นเสียแต่...”

“อะไรครับ?”

“หัวหน้าหน่วย 919 เปลี่ยนแผนเป็นอย่างอื่นกะทันหัน”

“หวังว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น”

“แล้วลูกเมล่ะครับ  จะต้องปลอมตัวด้วยหรือเปล่า?”

พล.ต.ต. สถิตยุทธพยักหน้า

“เธอจะเป็นคุณเมษ์  สวยเสมอ  เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์จากสมาคมมวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย

“ผมยังข้องใจอยู่เรื่องหนึ่ง....จริงๆแล้วไมค์  โจ๊กเกอร์เป็นใคร?”

คนเป็นตำรวจไหวหัวไหล่นิดหนึ่ง  ก่อนให้คำตอบเสียงฉาดฉาน

“หัวหน้าคณะตลกโจ๊กเกอร์  คาเฟ่แห่งหนึ่งบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่”

“หา!  ผู้การให้ลูกสาวผมประกบตลก...”

คุณวัฒนาเดือดดาลขึ้นมาทันที

“ใจเย็นครับ  หากเป็นคนอื่นผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเอาตัวรอดได้  แต่สำหรับผู้กองเมษายน์  ผมว่าถ้าไอ้บ้านั่นทำรุ่มร่าม  เธอสามารถเชือดของรักของหวงของมันทิ้งได้ทั้งพวง  โดยมันไม่กล้าโวยวายด้วยซ้ำ!”    

//////////////////////////////

ไอ้เขียดถูกเสี่ยลือฤทธิ์เรียกมาพบอีกครั้ง  ทั้งๆที่ปกติมันเป็นแค่สมุนชั้นปลายแถวเท่านั้น  ไม่ได้ถูกเลือกให้ทำหน้าที่สำคัญสักเท่าไรนัก 

มันกับลิ่วล้อหน้าตาแบบจิ๊กโก๋บ้านนอกมานั่งรอเสี่ยที่ห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ ความหรูอลังการทำเอาไอ้เขียดกับลูกน้องรู้สึกหนาว 

ในที่สุด  ผู้กว้างขวางแห่งอีสานยุคใหม่ก็ก้าวเข้ามาในห้อง

“รอนานมั้ยวะ?”

“เอ้อ...ไม่เลยครับ”

“นั่งๆ  ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณครับเสี่ย”

ร่างท้วมหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา  ก่อนเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของไอ้เขียด

“ยังจำเรื่องที่ลื้อโทร.มารายงานอั๊วเมื่อหลายวันก่อนได้มั้ยวะ?”

“อ๋อ...”  ไอ้เขียดลากเสียงยาว “จำได้สิครับ  ตอนนี้ผมให้คนไปจัดการล้อมรั้วที่นาของนายฟักเอาไว้แล้วครับ”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น  เรื่องพระถูกตัดเศียรน่ะ”

“อ๋อ  ครับ” ไอ้เขียดอ๋อเป็นครั้งที่สอง “ก็เพราะเรื่องนี้แหละครับ  ผมอาศัยไหวพริบปรักปรำอีปึกจนมันอยู่บ้านเดิดไม่ได้”

“องค์พระยังอยู่ไหม?” เสี่ยลือฤทธิ์ถามตัดบท

“อยู่ครับ” ไอ้เขียดตอบก่อนนิ่วหน้า “ทำไมหรือครับ?”

“หาทางลักเอาองค์พระมาให้อั๊วได้ไหม?”

“หา!” ไอ้เขียดตาโต

“ถ้าทำได้   ผลงานลื้อเข้าตาอั๊วแน่”

ไอ้เขียดกลืนน้ำลาย “ผมจะลองดูครับ  แต่ว่า...พอเกิดเรื่องคราวนั้น  ชาวบ้านจัดเวรยามเฝ้าองค์พระเอาไว้ 24 ชั่วโมงครับ”

เสี่ยลือฤทธิ์โยนซองสีน้ำตาลให้ไอ้เขียด

“นี่คือน้ำใจจากอั๊วเล็กๆน้อยๆ  ถ้าลื้อทำสำเร็จ  ลื้อจะได้อีก”

ไอ้เขียดตาโต  ครั้นลากลับออกมาจากคฤหาสน์เสี่ยลือฤทธิ์เปิดซองดูหัวใจถึงกับเต้นผิดจังหวะ  เพราะที่อยู่ในนั้นเป็นธนบัตรฉบับละพันใหม่เอี่ยมหนาราวๆข้อนิ้วมือชี้ได้

//////////////////////////////

“ขอบใจเธอมากนะปึก”

คุณประไพพรรณเอ่ยกับผ่องพรรณในเย็นวันนี้   เป็นอีกวันหนึ่งที่ผ่องพรรณช่วยจัดการความสะอาดที่คั่งค้างนับตั้งแต่สาวใช้คนก่อนลาออกไปจนเสร็จเรียบร้อย 

สาวร้อยเอ็ดผู้นี้ว่านอนสอนง่าย  ในความซื่อ  มีความฉลาดซ่อนอยู่  และที่สำคัญกว่านั้นคือเธอแข็งแรง  คล่องแคล่ว

“นี่เสื้อผ้าของเธอ”

คุณประไพพรรณยื่นเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมให้หญิงสาว

“เสื้อผ้าอะไรคะ?”

“แบบฟอร์มของสาวใช้บ้านของฉันไง”

“ขอบคุณค่ะนายผู้หญิง”

“พรุ่งนี้มีแขกสำคัญจะมาเยี่ยมที่บ้าน  เธอต้องสวมชุดนี้นะ”

“ได้ค่ะ”

“วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว  ไปพักผ่อนเถอะ  อย่าลืมว่าต้องตื่นแต่เช้ามืด”

“ค่ะคุณผู้หญิง  หนูจะตั้งนาฬิกาปลุกค่ะ”

“ดีๆ”

สาวใช้บ้านเดิดเลี่ยงออกจากห้องนั่งเล่นไปแล้ว  คุณวัฒนาจึงเอ่ยขึ้น

“นังเด็กนี่เข้าที”

“เข้าที?”  คนเป็นภรรยาทวนคำ  มองหน้าสามีอย่างขัดเคือง “หมายความว่าไงคะคุณ?”

“เอ้อ...เปล่าน่า  ผมไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย”

คุณประไพพรรณค้อน “ผู้ชายก็ยังงี้ทุกที”

สามีหัวเราะเบาๆ  ก่อนพูดตัดบท “พรุ่งนี้  ปึกไม่ควรจะอยู่ที่นี่นะ”

“คะ?”

“ผมอยากให้ปึกออกไปเที่ยวที่ไหนก่อนก็ได้ เรื่องบางเรื่องที่เราจะต้องคุยกับเควิน  สมิธ  ต้องเป็นความลับที่สุด”

“ก็ได้ค่ะ  ถ้างั้นฉันจะให้ปึกออกไปข้างนอก”

“ลำบากคุณหน่อยนะ  แต่เข้าใจว่ามิสเตอร์สมิธไม่น่าจะอยู่นาน  คงไม่ต้องต้อนรับมาก”

“เขาไม่ได้มาพักบ้านเราหรือคะคุณ?”

“ตอนแรกคุยไว้ยังงั้น   แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว  คนระดับนั้น ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยนะ”

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ  ฉันยิ่งไม่อยากให้ลูกเมรู้ระแคะระคายอยู่ด้วย”

“เรื่องนี้ลูกเมไม่มีทางรู้หรอกครับ  ผมเตรียมรับมือเอาไว้หมดแล้ว”

คุณวัฒนากล่าวอย่างมั่นใจ

 

วันรุ่งขึ้น

ผ่องพรรณมาเสนอหน้าให้คุณประไพพรรณเห็นตั้งแต่เช้าตรู่ 

“ปึก  วันนี้เธอจะออกไปไหนก็ได้นะ  ฉันอนุญาต”

หญิงสาวหน้าเสีย  “คุณผู้หญิงบอกว่ามีแขกสำคัญมาที่บ้านนี่คะ”

“ใช่  แต่เธอคงไม่เหมาะจะรับรองแขก”

ผ่องพรรณหน้าเสียหนักเข้าไปอีก “คุณผู้หญิงคงไม่ไล่หนูออกนะคะ”

“เปล่าหรอกน่า” คุณประไพพรรณปฏิเสธ  “เอาเป็นว่าเธอออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก  นี่เงิน  และนี่เบอร์โทรศัพท์  เกิดเธอหลงทางจะได้โทร.มาถาม”

“เอ่อ...”

สาวบ้านเดิดลังเล

“รับไปซี่  ไม่ต้องรีบกลับนะ อยู่ให้ถึงค่ำค่อยกลับก็ได้”

“ค่ะคุณผู้หญิง”

แม้ไม่เข้าใจ  แต่ผ่องพรรณก็รู้สึกโล่งอกเหมือนกันที่ไม่ต้องรับใช้บุคคลสำคัญของบ้านพงศ์โสภาสิริ  เธอแต่งตัวออกจากบ้านด้วยชุดสีฟ้าสด  อันเป็นแบบฟอร์มของพนักงานทำความสะอาดที่เธอเคยทำ  เพราะเป็นชุดใหม่เอี่ยมชุดเดียวที่เธอมี 

ก้าวพ้นจากประตูรั้ว สาวบ้านเดิดอดเหลียวมองประตูอัลลอยที่อยู่เบื้องหลังของตัวเองไม่ได้

บ้านเรือนในซอยนี้  ล้วนแล้วแต่มีฐานะทั้งสิ้น  บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ  ไม่มีรถพลุกพล่าน  แต่ละบ้านมีกำแพงสูง  มองไม่เห็นบริเวณข้างใน 

ผ่องพรรณเดินพ้นซอยออกมาสู่ถนนใหญ่  เหมือนออกมาสู่อีกโลกหนึ่ง บนถนนเต็มไปด้วยรถยนต์นานาชนิด  ผู้คนหน้าตาเคร่งเครียด 

ผ่องพรรณหยุดอยู่ที่ป้ายรถเมล์

ผู้คนยืนรอรถ  แต่ละคนเหงื่อไคลไหลย้อย  ขนาดผ่องพรรณเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆยังเริ่มได้กลิ่นเหงื่อของตัวเอง  สาวบ้านเดิดยืนมองความเคลื่อนไหวอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจ  แย่งขึ้นรถเมล์ที่เขียนด้านข้างว่าผ่านหมอชิต 2

ถ้าจะเที่ยวกรุงเทพฯให้ทั่ว  ก็น่าจะเริ่มต้นที่หมอชิต  เธอคิดซื่อๆ

รถเมล์กระชากตัวไปข้างหน้า  แล้วก็เบรกหยุดอย่างฉุกละหุก  ส่งให้ผู้โดยสารใหม่อย่างผ่องพรรณต้องยืนโงนเงน...โงนเงน...

ระหว่างเส้นทางซึ่งมีผู้โดยสารลงตามป้ายและมีผู้โดยสารหน้าใหม่สับเปลี่ยนขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา  แต่ผ่องพรรณแทบไม่ได้เขยื้อนจากตำแหน่งเดิมเลย  กระทั่งถูกประกบหลังโดยชายฉกรรจ์ร่างใหญ่แต่งตัวเหมือนพนักงานบริษัท 

ท่ามกลางบรรยากาศอันแออัดยัดเยียด  ผ่องพรรณรู้สึกผิดปกติ  เธอเอี้ยวตัวมองด้วยสัญชาตญาณ  ก่อนเกิดอาการตาค้าง  เมื่อเห็นอวัยวะกลางลำตัวของชายฉกรรจ์แต่งตัวดีคนนั้น  เลือดขึ้นหน้าสาวเมืองเกินร้อยทันที

“กูสูญแฮ้งเด้...!” สาวปึกร้องด่าเสียงดังด้วยความโกรธ “บักลามกกก!”

บึ่กก!

หญิงสาวจ้วงเข่าลอยเข้าหาห้องเครื่องของชายโรคจิต

“อ๊ากกก!  อีสัตว์!” 

หมอนั่นแหกปากร้อง   ซึ่งก็เรียกสายตาของผู้โดยสารคนอื่นให้มองมายังเขาเป็นจุดเดียวกัน 

ผ่องพรรณยังไม่หายโกรธ  ในจังหวะที่ไอ้โรคจิตเข่าอ่อน  เธอก็จ้วงเข่าลอยกระแทกซ้ำจุดเดิม 

บึ่ก!

“อุ๊!”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.