บาบิโลน มหานครแห่งอำนาจ ตำนานที่ไม่เคยหลับไหล แม้จะผ่านมาแล้ว 4,000 ปี
หากจะพูดถึงเมืองในประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยตำนาน คำทำนาย และร่องรอยของอารยธรรมเก่าแก่ ไม่มีเมืองใดจะโด่งดังไปกว่ามหานคร บาบิโลน (Babylon) ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยูเฟรติสในดินแดนเมโสโปเตเมีย หรือประเทศอิรักในปัจจุบัน
บาบิโลนไม่ใช่แค่เมืองที่เคยรุ่งเรืองด้วยสถาปัตยกรรม ความรู้ และกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าเหนือจริง ตำนานเกี่ยวกับ หอคอยบาเบล, สวนลอยแห่งบาบิโลน, ไปจนถึงการพังทลายของเมืองที่ถูกตีความว่าเป็นการลงโทษจากพระเจ้า
บทความนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปสำรวจเรื่องราวทั้งหมดเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และตำนานจากศาสนา วรรณกรรม และจินตนาการของมนุษย์ตลอดหลายพันปี
จุดเริ่มต้นของบาบิโลน: ดินแดนแห่งการบุกเบิกและอำนาจ
ต้นกำเนิดของเมืองบาบิโลนสามารถย้อนไปได้ถึงช่วง 2300 ปีก่อนคริสตกาล แต่ช่วงเวลาที่บาบิโลนรุ่งเรืองที่สุดคือในสมัยของกษัตริย์ ฮัมมูราบี (Hammurabi) ราว 1792–1750 ปีก่อนคริสตกาล ผู้ซึ่งสร้างจักรวรรดิบาบิโลเนียและรวบรวมดินแดนเมโสโปเตเมียเข้าด้วยกัน
สิ่งที่ทำให้ฮัมมูราบีมีชื่อเสียงคือ กฎหมายฮัมมูราบี (Code of Hammurabi) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีการจารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ หนึ่งในคำพูดที่เป็นที่รู้จักคือ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ซึ่งสะท้อนแนวคิดเรื่องความยุติธรรมในยุคนั้น
นอกจากอำนาจทางการเมืองแล้ว บาบิโลนยังเป็นศูนย์กลางของวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศิลปะ มีการจดบันทึกการเคลื่อนของดาว การคำนวณเวลา การสร้างระบบท่อระบายน้ำและโครงสร้างเมืองที่ล้ำหน้าเกินยุค
หอคอยบาเบล: ความทะเยอทะยานที่สูงเกินมนุษย์
หนึ่งในเรื่องเล่าที่โด่งดังที่สุดเกี่ยวกับบาบิโลน คือ ตำนานหอคอยบาเบล (Tower of Babel) ซึ่งปรากฏในคัมภีร์ไบเบิล (ปฐมกาลบทที่ 11)
ตำนานเล่าว่า มนุษย์สมัยนั้นพูดภาษาเดียวกันทั้งหมด และรวมพลังกันสร้างหอคอยสูงเสียดฟ้าในเมืองบาเบล เพื่อ “ให้ชื่อเสียงของตนลือไกล และไม่ให้กระจัดกระจายไปทั่วโลก”
แต่พระเจ้าทรงไม่พอพระทัยกับความเย่อหยิ่งของมนุษย์ จึงลงโทษด้วยการ “ทำให้ภาษาของพวกเขาแตกต่างกัน” จนไม่สามารถสื่อสารกันได้อีกต่อไป และทำให้การก่อสร้างหอคอยต้องหยุดลง พร้อมกับการกระจายของมนุษยชาติไปทั่วโลก
แม้ว่าหอคอยนี้อาจไม่เคยมีจริงในทางประวัติศาสตร์ แต่หลายคนเชื่อว่ามีพื้นฐานมาจาก หอเซิกคูรัต (Ziggurat) ขนาดมหึมาในบาบิโลน ที่มีฐานกว้างหลายร้อยเมตร และอาจถูกตีความผิดเพี้ยนกลายเป็นเรื่องเล่าในตำนาน
สวนลอยแห่งบาบิโลน: สิ่งมหัศจรรย์ของโลกโบราณ
อีกหนึ่งภาพจำสำคัญของบาบิโลนคือ สวนลอยแห่งบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) ซึ่งถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
ตำนานกล่าวว่า กษัตริย์เนบูคัดเนซาร์ที่ 2 (Nebuchadnezzar II) ทรงสร้างสวนลอยนี้เพื่อพระมเหสี “อมีทิส” ที่คิดถึงบ้านเกิดอันเขียวชอุ่มของตน ซึ่งสวนแห่งนี้มีลักษณะเป็นชั้น ๆ คล้ายภูเขา จำลองป่าไม้ น้ำตก และสายน้ำไหลตามระดับความสูง สร้างความสดชื่นกลางเมืองทะเลทราย
แม้ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีที่ยืนยันการมีอยู่ของสวนลอยนี้อย่างชัดเจน แต่ความงามของตำนานก็ยังคงถูกกล่าวขานต่อกันจนถึงวันนี้
บาบิโลนในสายตาของศาสนาและคติชน
บาบิโลนในมุมของศาสนาคริสต์และยิว ไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองธรรมดา แต่ถูกมองว่าเป็น สัญลักษณ์ของความเย่อหยิ่งและความเสื่อมทางศีลธรรม
ในพระคัมภีร์ วิวรณ์ (Revelation) บาบิโลนถูกเปรียบกับ “หญิงแพศยา” ที่หลอกลวงชาวโลกให้เดินตามความมัวเมา มั่งคั่ง และผิดศีลธรรม เป็นเมืองที่มั่งคั่งแต่ไร้คุณธรรม และในท้ายที่สุดก็ต้อง “ล่มสลายอย่างยิ่งใหญ่” ตามแผนของพระเจ้า
ในทางตรงกันข้าม นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์มักมองบาบิโลนว่าเป็นศูนย์กลางของความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และอารยธรรมอันล้ำหน้าในยุคนั้น เป็นการตีความที่แตกต่างระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์
ความล่มสลายของมหานครบาบิโลน
แม้จะเคยรุ่งเรืองถึงขีดสุด บาบิโลนก็ต้องพบกับจุดจบเช่นเดียวกับอารยธรรมอื่น ๆเมืองถูกพิชิตหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 539 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อนักรบชาวเปอร์เซีย ไซรัสมหาราช (Cyrus the Great) เข้ายึดบาบิโลนได้อย่างง่ายดาย จบยุคทองของจักรวรรดิบาบิโลน
หลังจากนั้น แม้ยังมีผู้ปกครองใหม่เข้ามา เช่น อเล็กซานเดอร์มหาราช แต่เมืองก็ไม่อาจกลับมาเป็นศูนย์กลางได้อีก จนสุดท้ายก็ถูกปล่อยทิ้งร้าง และกลายเป็นตำนานให้เราเล่าขานกันถึงทุกวันนี้
การล่มสลายของบาบิโลนจึงกลายเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้เมืองจะยิ่งใหญ่เพียงใด หากไร้ความสมดุลระหว่างอำนาจกับคุณธรรม สุดท้ายก็ย่อมล่มสลาย
บาบิโลนในวรรณกรรม สื่อ และจินตนาการร่วมสมัย
บาบิโลนยังคงเป็นแรงบันดาลใจในงานเขียน ภาพยนตร์ เพลง และบทกวีอีกมากมาย เช่น
- นวนิยายแนวแฟนตาซีที่ใช้บาบิโลนเป็นฉากหลังของอาณาจักรลึกลับ
- เพลง “By the Rivers of Babylon” ที่เปรียบความเหงากับความพลัดพรากจากดินแดนอันเป็นที่รัก
- หนังเรื่อง “The Bible” หรือ “Babylon A.D.” ที่พูดถึงการล่มสลายของอารยธรรม
- บทกวีของ William Blake และ T.S. Eliot ที่กล่าวถึงบาบิโลนในเชิงเปรียบเปรยถึงความเสื่อมของสังคม
แม้เมืองจะพังไปนานแล้ว แต่ชื่อของบาบิโลนยังคงถูกหยิบมาใช้เพื่อพูดถึงสิ่งที่ทั้งงดงามและน่าหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน
อะไรที่ทำให้บาบิโลนยังมีความหมายในโลกปัจจุบัน
เชื่อว่า สิ่งที่ทำให้ “บาบิโลน” ไม่เคยเลือนหายไปจากความคิดมนุษย์ คือความเป็น สัญลักษณ์ของความซับซ้อนในมนุษย์เอง
เมืองนี้สะท้อนถึงความสามารถที่เราสร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาได้ แต่ในเวลาเดียวกันก็สามารถทำลายมันลงได้ด้วยความโลภ ความเย่อหยิ่ง หรือการใช้อำนาจในทางที่ผิด
บาบิโลนจึงเป็นมากกว่าตำนาน มันคือคำถามที่ย้อนกลับมาหาเราเสมอว่า เรากำลังสร้างชีวิตแบบบาบิโลนอยู่หรือเปล่า? เรากำลังวิ่งหาความยิ่งใหญ่โดยลืมความสมดุลหรือไม่?
และเราจะเรียนรู้อะไรจากอดีต ก่อนที่อนาคตจะซ้ำรอยเดิม?
สรุป: บาบิโลน-ตำนานที่ไม่เคยเก่า
ตำนานของบาบิโลนไม่ได้มีไว้เพื่อเล่าเป็นนิทาน แต่มีไว้เพื่อเตือนใจ ไม่ว่าเราจะเชื่อว่าหอคอยบาเบลมีจริง หรือสวนลอยเป็นแค่เรื่องแต่ง สิ่งที่แน่นอนคือ…ความรุ่งเรืองใด ๆ หากไร้รากฐานที่มั่นคง ย่อมไม่ยืนยาว
เมืองที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกวันนี้เหลือเพียงซาก แต่เสียงของมันยังดังอยู่ในหัวใจของมนุษย์ทุกยุคสมัย และเราก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่พาเรื่องราวนี้กลับมาให้คนรุ่นใหม่ได้คิด…ได้ทบทวน…และได้เห็นว่า อารยธรรม ไม่ได้อยู่แค่ในดินแดนโบราณ แต่มันอยู่ในวิธีที่เรามองโลกและสร้างชีวิตทุกวัน
อ้างอิงภาพ
- 👁️ ยอดวิว 79
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น