STARCIN ภาคที่ 1 HIN ตอนที่ 9 รันทด (รีไรท์)

STARCIN อุบัติมหาสงครามสตาร์คิน

-A A +A

STARCIN ภาคที่ 1 HIN ตอนที่ 9 รันทด (รีไรท์)

27 มิถุนายน พ.ศ.2575

“ทำความเคารพ !” นาธาตะโกนสั่งตรงหน้าจุดรวมพล

“เท่าที่ดูก็มีคนได้รับบาดเจ็บเยอะเหมือนกันนะเนี่ย” เลวาธานยืนพูดตรงหน้ามองซ้ายขวาตั้งแต่ทีมแรกยันทีมสุดท้าย

“สมัยตอนฉันเข้าดันเจี้ยนครั้งแรกนะ ฉันจัดการไปได้ยี่สิบตัวโดยไม่มีบาดแผลเลยจะบอกให้” เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงที่เขาพูดถึงเรื่องของตนเองโดยที่ไม่มีนักเรียนคนไหนขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยต้องทนฟังไปเรื่อย ๆ

“งั้นวันนี้ก็ขอให้รอดกลับมาแล้วกัน” หลังจากพูดเสร็จเหล่าทหารผู้คุมต่างก็พาทีมของตนเองแยกย้ายกันไป

“วันนี้ฉันจะจัดการให้ได้มากกว่าตาลุงขี้โม้นั่นสองเท่าไปเลย !” เซนตะโกนดังลั่นไปทั่วป่าจนนกที่อยู่ในรังบินหนีไป

“นายนี่มันเป็นโทรโข่งเคลื่อนที่หรือยังไง? ช่วยสงบปากสงบคำหน่อยเดี๋ยวสัตว์อสูรก็โผล่มาหรอก” นาธาถลึงตามองแยกเขี้ยวใส่

คานะดึงเสื้อเซนเบา ๆ กระซิบคุยกันสองคนช่วยให้เซนเงียบไปได้พักหนึ่ง

“สัตว์อสูรมันคืออะไรครับ?” แซมยกมือถามนาธาด้วยความสงสัยเบิกตากว้างมอง

นาธาหันกลับมายิ้มที่มุมปาก

“อืม...เอาเป็นว่ามันแข็งแกร่งกว่ามอนสเตอร์ที่อยู่ข้างในดันเจี้ยนก็แล้วกัน ถ้าไม่นับพวกราชานะ”

เมื่อมาถึงหน้าทางเข้านาธาอยู่หยุดและนั่งลงที่พื้น

“พวกนายคงไปกันเองได้แล้ว ฉันจะรออยู่ทางเข้าเนี่ยแหละ” เขายื่นขวดน้ำยาสำรองแบบเมื่อวานให้คนละขวด

“ไว้เจอกันนะครับลุงนาธา” เซนส่งยิ้มยียวนโบกมือให้ นาธายิ้มตอบกลับแต่มันกลับอมทุกข์คิดอะไรบางอย่างอยู่

“นี่ซึฮากิ เอ่อ...ขอเรียกแค่กิดีกว่าขี้เกียจเรียกชื่อยาว ๆ นั่นละ” เซนเดินเข้ามาประชิดตัวซึฮากิ

“นายกำลังปกปิดอะไรบางอย่างจากพวกเราใช่ไหม?” ทุกคนชะงักหยุดเดินหันมามองซึฮากิกันหมดด้วยท่าทางที่สงสัยจนอยากถามแต่ก็ไม่กล้า

“ก็ไม่นะ” ซึฮากิตอบอย่างเฉยชาและเดินต่อไปผ่านพวกนาริที่ยืนอยู่

“เดี๋ยวก่อน” นาริเอาตัวเข้ามาขวางทางไว้และจ้องหน้าซึฮากิ

“ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกัน บอกมาซะดี ๆ นายมีเรื่องที่ปกปิดเราอยู่ใช่ไหม?” ขณะที่นาริกำลังดึงความสนใจเพื่อน ๆ ทุกคนก็เข้ามาล้อมตัวซึฮากิไว้

“ก็บอกว่าไม่มีอะไร” ซึฮากิยังคงปฏิเสธเสียงแข็งไม่กล้าที่จะมองหน้าใครทั้งนั้น

“นี่กิจัง บอกมาเถอะพวกเราเป็นพะเพื่อนกันนะ” ฟรานพูดติดอ่างในขณะที่ซึฮากิกล้ามองหน้าฟรานได้โดยไม่มีอาการใด ๆ

“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน” คานะขมวดคิ้วสบตา

“ให้ตายสิ...” ทำไมชอบมาวุ่นวายแบบนี้ ซึฮากิถอนหายใจและนิ่งไปครู่หนึ่ง

ตาของทุกคนเป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อได้เห็นท่าทางของซึฮากิ

“ฉันได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งมันเป็นบันทึกของใครบางคนที่เขียนภาษาเดียวกับเรา ในบันทึกนั่นมีข้อมูลที่จำเป็นอยู่มากมายรวมถึงความลับของเวทมนตร์ด้วย”

สายตาที่พวกเขาจับจ้องมายังชายหนุ่มผู้เย็นชากำลังอธิบายเรื่องบันทึกให้ฟังแต่มันกลับดูตื่นเต้นตื่นตาจนจ้องไม่หยุด

“พอใจหรือยัง?”

พวกเขาพยักหน้าหนึ่งครั้งก่อนจะเดินไปต่อ

“ว่าแต่ไอ้ความลับเวทมนตร์มันคืออะไรล่ะ?” เซนถาม

“จริง ๆ แล้วการใช้เวทมนตร์จำเป็นต้องมีตัวนำก็คือหินเวทซึ่งในอาวุธที่พวกเราถืออยู่มันแค่เจือปนเพียงเล็กน้อย ถ้าหากมีหินเวทบริสุทธิ์สักก้อนหนึ่งก็จะแสดงประสิทธิภาพของเวทมนตร์ออกมาได้ดีกว่า” ถึงแม้ต่างคนต่างเดินแต่ก็พยายามฟังสิ่งที่ซึฮากิพูดจู่ ๆ ทุกคนก็มองเขาเป็นเหมือนอาจารย์ผู้น่าเกรงขามไปเสียอย่างนั้น

“และอีกอย่าง การใช้เวทมนตร์ไม่จำเป็นต้องมีคำร่ายก็ได้ซึ่งฉันเองก็พยายามอยู่แต่ก็ยังไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”

“ว้าว ไม่นึกเลยว่านายจะพูดได้เยอะขนาดนี้ นึกว่าพูดได้ทีละประโยคแค่นั้น” นาริยิ้มเยาะพูดแซว

“ว่าแต่จริง ๆ เหรอครับ? ที่ไม่ต้องมีคำร่ายน่ะ” แซมเอ่ยปากถามในขณะที่พวกเขาเจอกับฝูงกระต่ายแบบเมื่อวาน

“อืม” ซึฮากิชูดาบขึ้นตรงหน้ารวบรวมมานาไว้ที่ปลายดาบและอัดมันจนเล็กลงเหลือแค่ไม่กี่เซน จากนั้นเขาก็ยิงมันออกไปหาพวกกระต่ายที่กำลังวิ่งมาจากสุดสายตา เวทวายุทะลวงกะโหลกของมันตายคาทันทีหนึ่งตัว

“โห่สุดยอด ! ฉันอยากทำมั่ง” ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็ตกตะลึงกับเวทมนตร์ที่ยิงออกไปเร็วอย่างกับกระสุนปืน เซนไม่รอช้ายกดาบอันใหญ่โตของตนเองขึ้นพยายามรวบรวมมานาไว้ที่ปลายดาบบ้างแต่มันก็แตกออกเสียก่อนที่จะทำสำเร็จ

“อา ! เอาใหม่” เซนยังคงพยายามทำเหมือนเดิมแต่มันก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดี

“พอสักที พวกมันมากันเพิ่มแล้วนะ” นาริเดินเข้ามาเขกหัวเซนและลากเซนออกไปแนวหน้าสู้กับพวกกระต่ายเหล่านั้น

เซนฟาดดาบเป็นแนวเฉียงกันไม่ให้พวกกระต่ายกระโดดเข้ามาถึงจะสามารถจัดการไปได้หลายตัวแต่ก็มีพวกที่เล็ดลอดเข้าไปหาแนวหลังได้

“คานะ แซม ! ยืนริมซ้ายและขวาคอยยิงสนับสนุนไปด้านหน้าของตนเอง เซนยืนแนวหน้าเหวี่ยงให้เต็มที่ไปเลย ส่วนนาริถอยมาอยู่กับฉันคอยกันพวกมันไม่ให้เข้ามาใกล้พวกคานะ” ดาบของเซนใหญ่เกินไปถ้าจะให้ไปยืนใกล้ ๆ เซนจะสู้ได้ไม่ถนัด เท่าที่ดูจากเมื่อวานมันมักจะเล็งพวกด้านหลังก่อนเหมือนมีสติปัญญา ฟรานวางท่าเตรียมตัวปะทะเมื่อมีตัวที่ผ่านเซนมาได้เธอก็จะกำจัดทันที ไม่เพียงแค่นั้นเธอยังคอยสั่งการและควบคุมสภาพทีมโดยรวมได้เป็นอย่างดี

“เอาเว้ย !” หลังจากตั้งแนวรบเสร็จพวกเขาใช้เวลากว่าสิบนาทีในการจัดกระต่ายทั้งหมดโดยที่ซึฮากิก็ยังยืนดูอยู่เฉย ๆ เสมือนตัวสำรองเวลามานาหมด

“สุดยอดเลยนะเมื่อกี้ เราได้ทำงานกันเป็นทีมจริง ๆ ครั้งแรกล่ะ” คานะดีใจจนออกนอกหน้าเผลอพูดเสียงดังออกมาด้วยความดีใจ

“ใช่ไหมล่ะ” เซนตอบโต้กลับและหัวเราะด้วยความสนุกเสริมสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย

มัวแต่ดีใจจนเผลอตะโกนออกไปซะได้แต่พวกเขาก็ไม่ได้มองฉันด้วยสายตาที่น่ารังเกียจ ตั้งแต่โดนเรียกมาที่โลกนี้ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยิ้มสนุกขนาดนี้ เริ่มจะรู้สึกว่ามีเพื่อนจริง ๆ ก็คราวนี้ล่ะ คานะพยักหน้ายิ้มปริ่มกวาดสายตามองเพื่อน ๆ ในทีม

“นั่งพักกันสักนิดเถอะครับ” แซมเตรียมผ้าปูสำหรับนั่งให้กับเพื่อน ๆ พร้อมกับเครื่องดื่มดับกระหายบริการทุกอย่างจนนึกว่าเป็นเด็กเสิร์ฟ

“ว่าแต่ทำไมกระต่ายมันถึงมีเยอะขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานเราก็จัดการไปแล้วนี่” นาริถามเพื่อน ๆ ทุกคน

“อืม…มันอาจจะขึ้นมาจากชั้นล่างก็ได้นะ” ฟรานทำท่าคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตอบ

“เอ่อ...คานะใช่ไหมครับ” แซมพูดด้วยท่าทางเขิน

“คะ?” คานะมองหน้าแซมด้วยความสงสัยในขณะที่ดึงลูกธนูออกจากตัวกระต่ายแม้พวกเธอจะใช้เวทมนตร์ยิงแทนลูกธนูจริง ๆ ก็ได้แต่มันก็เป็นการสิ้นเปลืองเปล่า ๆ

“ช่วยสอนผมยิงธนูได้ไหมครับ?” แซมหยุดยืนตรงหน้าคานะก้มโค้งเกือบเก้าสิบองศา

“ดะได้สิ จะให้สอนอะไรบ้างล่ะ?” คานะยิ้มอ่อนตอบด้วยใบหน้าอันอ่อนหวานสดใสทำเอาแซมเขินจนหันหน้าหนี

“มือฉันมักจะสั่นเวลายิงธนูน่ะ” คิดดีแล้วใช่ไหมเนี่ยที่มาถามเธอ

“บางคนก็เป็นนิสัยติดตัวเวลาตั้งใจเล็งอะไรสักอย่างมือจะสั่น ลองผ่อนคลายแล้วยิงแบบเล่น ๆ ดูสิเผื่อจะช่วยได้”

นิสัยติดตัวเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นในอนาคตเราจะแก้ได้ไหมนะ แซมยืนนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะตกใจเมื่อซึฮากิเดินเข้ามาแตะไหล่โดยไม่รู้ตัว

“ใช้เวทมนตร์ซะบ้างสิ” ซึฮากิกระซิบที่ข้างหูก่อนจะเดินผ่านไป รวมทั้งคนอื่น ๆ ก็ทยอยเดินมุ่งหน้าไปชั้นต่อไป

ชั้นที่หกผ่านไปในวันนี้พวกเขาสามารถจัดการมอนสเตอร์ได้ทั้งหมดสองร้อยสามสิบตัวซึ่งแลกมาด้วยภาระของร่างกาย บาดแผลเล็กใหญ่มากมายตามลำตัวไปบอกใครว่าเป็นเด็กอายุสิบแปดก็คงไม่เชื่อ

28 มิถุนายน พ.ศ.2575

ภายในส่วนลึกของดันเจี้ยนพวกเขายังคงก้าวเดินต่อไปไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ถ้าสามารถพัฒนาตัวเองได้รวดเร็วเท่าใดก็อาจจะเป็นอิสระจากทหารเฮงซวยพวกนั้น

“เซนจัดการทางขวาด้วย” ฟรานออกคำสั่งในขณะที่พวกเขากำลังสู้กับมอนสเตอร์หมีพร้อมกันถึงสามตัว

“รับทราบหัวหน้า ! [เพลิงธุลี]” เซนกระโดดฟาดดาบยักษ์ใหญ่แม้มันจะยกมือใช้กรงเล็บป้องกันแต่ก็ไม่อาจต้านทานความร้อนได้จนดาบเฉือนเข้าท้องสร้างบาดแผลยาวห้าสิบเซนติเมตรและคานะก็ยิงศรเวทมนตร์ปักเข้าหัวของมันได้พอดิบพอดี

29 มิถุนายน พ.ศ.2575

ช่วงเวลาแห่งการฝึกฝนผ่านไปจนพวกเขาสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องพูดเยอะ ซึฮากิเองก็ออกมาสู้แนวหน้าด้วยเช่นกันหลังจากเห็นเพื่อน ๆ พัฒนาฝีมือกันแล้ว คานะสามารถใช้เวทมนตร์ผนวกรวมกับความแม่นยำในการยิงเป้าเล็งจุดอ่อนของมอนสเตอร์ได้อย่างง่ายดาย ส่วนแซมก็มุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือคนอื่น ๆ แทนทั้งการเสริมกำลัง รักษา โล่ป้องกัน ด้วยความสามารถพิเศษก็คือการเอาใจใส่ที่เขามักจะสำรวจและเฝ้ามองเพื่อน ๆ ตลอดจึงทำงานเข้าขากันได้ดี

30 มิถุนายน พ.ศ.2575

ชั้นที่ยี่สิบก็แล้ว ชั้นที่สามสิบก็สามารถผ่านไปได้แต่ก็ไม่สามารถไปได้ไกลเท่าที่ควรเพราะเวลาในการเดินขึ้นลงนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ แค่เดินทางก็ใช้เวลามากกว่าครึ่งหนึ่งเสียแล้ว

1 กรกฎาคม พ.ศ.2575

“ต่อจากนี้พวกนายทุกคนจะได้ค้างคืนในดันเจี้ยนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เรามีแค่ถุงนอนให้แค่นั้นที่เหลือไปจัดการเอาเอง”

ต่างคนต่างแบกสัมภาระที่จำเป็นมาด้วย พวกเขาเดินลงไปยังชั้นสามสิบชั้นล่าสุดที่ลงไปได้ วางสัมภาระไว้ที่ชั้นนั้นและหยิบอาวุธเดินทางต่อ

ชั้นที่สามสิบห้าผ่านไปเรื่อย ๆ จนถึงชั้นที่สี่สิบเอ็ด

“ฉันว่าเราไปเอาของลงมาก่อนดีไหม?” ฟรานหยุดชะงักมองไปรอบ ๆ ใช่ตรวจจับหาสิ่งมีชีวิตแต่ก็ไม่เจอ

“ให้ตายสิเรามีอาหารพอแค่หนึ่งวันเองนะ แล้วอีกหกวันเราจะทำยังไงล่ะ” เซนบ่นระหว่างที่แบกสัมภาระพลางมองเสบียงอันน้อยนิดที่พกมา

“นั่นสิในดันเจี้ยนก็ไม่มีอะไรให้กินเลยด้วย” นาริถอนหายใจลากยาว

“ตาย ๆ คิดว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้วล่ะพวก” เซนเดินแทรกตัวไปมาระหว่างคนอื่น ๆ พยายามจะนำหน้าไปก่อนใคร

“อืม ผมว่าน่าจะเย็นแล้วแหละครับ” แซมเองก็เดินดุ่ม ๆ ตามเซนไปด้านหน้าเช่นกัน

ยิ่งพวกเขาได้ต่อสู้ร่วมกันมากเท่าไรก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้น ปกตินาริมักจะวีนใส่เซนตอนนี้ก็คุยกันสนุกปากไปแล้ว หลังจากหาที่พักได้พวกเขาก็จุดไฟด้วยเวทมนตร์ของเซนเพื่อทำอาหารกิน พวกเขาตัดสินใจนอนที่ชั้นสามสิบเก้าและจัดเวรยามคอยระวังพวกมอนสเตอร์ที่อาจจะขึ้นมาจากชั้นล่าง

“เฮ้ ! น้ำเราจะหมดแล้วนะ” เซนตื่นขึ้นมาเฝ้ายามกับคานะหลังจากนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมงกระดกน้ำหมดรวดเดียว

“อืม ของฉันก็กำลังจะหมดแล้วด้วย” คานะพยายามค้นหาน้ำของตัวเองในกระเป๋าของตนเอง

“เวทมนตร์น้ำของแซมจะดื่มได้ไหมนะ? ไม่เคยลองซะด้วยสิ” เซนนั่งเอาหลังพิงกำแพงดูสบายใจยิ่งกว่าใคร

“นายลืมไปแล้วเหรอว่าฉันก็ใช้เวทมนตร์วารีได้” คานะเดินมานั่งลงข้าง ๆ ขมวดคิ้วมองไม่พอใจทำเอาเซนสะดุ้งตกใจเล็กน้อย

“จริงด้วย งั้นก็ลองเอาน้ำออกมาดื่มดูหน่อยสิ” เซนยื่นมือออกไปเป็นที่รองน้ำ

“งั้นมาลองกัน” คานะหยิบมีดสั้นออกมาและใช้เวทมนตร์โดยไม่ได้ร่ายเปลี่ยนมานาให้กลายเป็นน้ำสีใสค่อย ๆ เทลงมือของเซน

“อืม” เซนกระดกน้ำใจมือเข้าไปจนหมด

“ตอนเข้าไปในปากมันก็รู้สึกสดชื่นอยู่หรอกแต่พอกลืนลงคอมันเหมือนกับว่าหายไปไม่ตกถึงท้องหรืออาจจะคิดไปเอง อย่างน้อยมันก็ดับกระหายได้นะ”

“อาจจะพอเป็นตัวช่วยได้แต่ก็ไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์สินะ” คานะแตะไหล่เซนเบา ๆ ยิ้มในหน้า พวกเธอทั้งคู่นั่งเฝ้ายามอยู่หลายชั่วโมงแล้วจึงไปเรียกแซมกับนาริออกมา

“ได้นอนต่อสักที” เซนบิดขี้เกียจสุดตัวก่อนจะทิ้งตัวลงนอนทั้งอย่างนั้น

ทั้งแซมและนารินั่งเงียบกันอยู่พักหนึ่ง

“เอ่อ...” แซมเขยิบที่นั่งเข้ามาใกล้ ๆ นาริ

“ผะผมมีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อยน่ะครับ” แซมพูดติดขัดเล็กน้อยเหมือนกำลังระแวงบางสิ่ง

“ไม่ต้องสุภาพกับฉันก็ได้ ฉันดูออกนะว่านายกำลังฝืนทำอยู่” นาริยักคิ้วกล่าวด้วยถ้อยคำท่าทางแข็งกร้าว

“ก็ได้ ๆ พอดีว่าฉันจะพูดแบบเป็นกันเองแล้วกัน...พร้อมฟังหรือยังล่ะ?” แซมถอนหายใจส่งยิ้มให้

“ว่ามา?” นาริมองไปรอบ ๆ เหมือนไม่ได้สนใจที่แซมจะพูดสักเท่าไร

“รู้สึกว่าฉันจะชอบเธอเข้าแล้วล่ะ” แซมส่งยิ้มอันปลื้มปริ่มให้กับนาริอย่างกับได้เจอดาราที่ชอบ

“พะพูดบ้าอะไรของนายเนี่ย” นาริมาสบตาแซมครู่หนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าหนี รีบพูดจนกัดลิ้นตัวเอง

“อืม...จะว่าไงดีล่ะ ก็แค่รู้สึกชอบแค่นั้นมั้ง” แซมยิ้มเล็กยิ้มน้อยเหม่อมองพื้นตรงหน้า

น่าอายชะมัดเลย แต่ลางสังหรณ์มันบอกว่าให้สารภาพดีกว่า

“ฉะฉันขอไปเดินดูแถวโน้นหน่อยนะ” นาริเขินจนหน้าแดงลุกพรวดพราดออกไปทันที

ใครจะไปชอบไอ้คนหน้าตาจิ้มลิ้มอย่างกับผู้หญิงแถมยังใส่แว่นอีก แต่นิสัยดันเหมือนพวกทหารตำรวจเวลาทำอะไรก็ชอบพูดลงท้ายครับ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกแย่นะ

ถึงแม้เวลาจะผ่านไปแต่นาริก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้แซมเว้นระยะนั่งอยู่ห่าง ๆ จนถึงเวลาเปลี่ยนเวร

“รู้สึกนอนไม่อิ่มยังไงก็ไม่รู้” เซนลุกออกจากถุงนอนช้า ๆ เหมือนอยากจะนอนต่อให้ได้

“ข้าวของเราเก็บไว้ที่นี่ก่อน” ฟรานนำทีมออกสำรวจดันเจี้ยนต่อเจอมอนสเตอร์แปลกใหม่บ้างเจอพวกเดิม ๆ บ้างแต่พวกเธอก็ช่วยเหลือกันผ่านมาได้ไม่ยากเกินความสามารถ

ชั้นที่สี่สิบหกเหมือนกับห้องโถงใหญ่และกว้างมาก ๆ จนนึกว่าอยู่ในปราสาท

แปลกมาก ชั้นนี้สว่างกว่าชั้นก่อน ๆ อย่างเห็นได้ชัด ฟรานเงยหน้ามองคริสตัลมากมายที่อยู่รายล้อมไปทั่วบริเวณอีกทั้งยังมีสีสันสวยงามอีกด้วยราวกับเป็นร้านขายเครื่องประดับ

“ฉันได้กลิ่นน้ำ” ซึฮากิเดินตรงไปทางขวาหลายร้อยเมตรจนพวกเขาได้เจอกับซอกหินที่มีน้ำไหลออกมา ข้างใต้นั้นก็มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่อย่างกับบ่อน้ำอยู่ด้วย

เซนยกซดทันทีโดยไม่ได้ตรวจสอบแต่โชคดีที่มันดื่มได้

“อย่างน้อยเรื่องน้ำ เราก็หายห่วงแล้วล่ะ” นารินอนบนพื้นเย็น ๆ ยืดแขนยืดขาสบายใจเช่นเดียวกับเพื่อน ๆ ที่นั่งพักผ่อนอยู่ไม่ไกล

“แล้วเรื่องอาหารล่ะครับ?” แซมนั่งลงข้าง ๆ นาริ ก่อนที่เธอจะเขยิบก้นหนีไปอีกหนึ่งช่วงแขน

“พวกมอนสเตอร์มันก็น่าเหมือนกับสัตว์ป่า มันอาจจะกินได้นะ” คานะหรี่เสียงเบาพูดเพราะกลัวคนอื่นจะมองว่าเป็นความคิดที่แปลกและไม่เห็นด้วย

“แจ๋ว ! ไม่ลองไม่รู้” เซนตะโกนจนคานะตกใจนึกว่าจะตะคอกเธอเสียแล้ว

“รีบไปกันต่อเร็ว ! ฉันอดใจรอไม่ไหวแล้ว” ความครึกครื้นของเซนทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกมีแรงขึ้นมาทันที

ชั้นที่สี่สิบเจ็ด

“เอ่อ…” เซนยิ้มเจื่อนเมื่อเห็นมอนสเตอร์ตรงหน้า รูปร่างเหมือนหนอนแต่ขนาดใหญ่กว่าตัวคนแถมมีสีขาวขุ่นชวนแหวะ

“เรารีบจัดการแล้วไปต่อเถอะครับ” แซมร่ายเวทในการสนับสนุนโดยไม่ใช้คำร่ายได้แล้ว ทั้งเพิ่มความเร็ว ความคล่องแคล่ว ความอึดถึกทน รวมทั้งเกราะมานาก็ได้แซมเป็นคนจัดการให้

หลังจากจัดการพวกหนอนเสร็จก็รีบเดินทางต่อทันที

“อีกแล้วเหรอ?” เซนตะโกนด้วยสีหน้าเซ็งเมื่อตรงหน้ายังเจอหนอนชวนแหวะแบบเดิมอีก

แม้ชุดของพวกเขาจะมีแต่เลือดและเมือกเหนียว ๆ แต่เพราะความเคยชินเลยไม่ได้สนใจหรือรู้สึกอะไรนัก

“กลับไปตั้งหลักกันก่อน” ฟรานสัมผัสได้ถึงมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งจึงออกคำสั่ง

ยิ่งลึกลงไปมากเท่าไรก็ยิ่งเจอมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งมากขึ้น

ทุก ๆ ชั้นที่ก้าวเดินไปจะได้พบกับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งถึงขนาดที่ตัวเดียวยังต้องใช้เวลากว่าจะกำจัดได้

“เดี๋ยวฉันถ่วงเวลาไว้ให้” ยังไงจุดอ่อนของมันต้องเป็นไฟแน่นอนแต่เซนดันหมดสติไปแล้ว ซึฮากิใช้กำแพงลมสกัดกั้นมอนสเตอร์ต้นไม้ที่สามารถเดินได้ ทุกกิ่งก้านมีใบที่แหลมคมดังใบมีดแต่มีสีเขียวซีดเหมือนกับต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา มันกระหน่ำฟันด้วยก้านที่ตวัดกวัดแกว่งไปมาอย่างรวดเร็ว

“นายก็รีบออกมาได้แล้ว” คานะจับคอเสื้อซึฮากิลากออกจากบริเวณนั้นก่อนที่มอนสเตอร์จะมาถึง

“เซน !” นาริตบหน้าเซนเบา ๆ แต่สีหน้าเป็นกังวลจนเหงื่อแตกพลั่ก

“เรายังหยุดไม่ได้ ! รีบไปต่อเถอะครับ” แซมแบกเซนขึ้นหลังและรีบวิ่งไปทันที

“เราควรกลับไปชั้นที่เราวางของไว้ก่อน” ฟรานยิงกระสุนเพลิงสกัดกั้นไว้แต่ด้วยพลังของเธอคนเดียวไม่อาจกำจัดมันได้

“ถึงแล้ว ! ทีนี้วางเขาลงก่อน” ในขณะที่นาริและแซมเอาเซนลงนอน คานะก็ไปเอาถุงนอนมารองหัวให้เซน

ส่วนซึฮากิและฟรานกำลังเฝ้าระวังทางให้อยู่

“ดูเหมือนคงต้องพึ่งเธอล่ะฟราน” ซึฮากิหันหน้ามองฟรานหายใจถี่เพราะความเหนื่อยล้า

“ได้สิ แต่ก็ใช้ได้ไม่ค่อยเก่งเท่าเซน” ฟรานสบตาครู่ลังเลอยู่ในใจก่อนตอบ

“งั้นช่วยร่ายเวทใส่ดาบของฉันที” ฟรานดูตกใจเล็กน้อยก่อนจะร่ายเวทเพลิงไว้ที่ดาบของซึฮากิ

“เดี๋ยวฉันมา”

เวลาผ่านไปกว่าสิบนาทีจนพวกฟรานสัมผัสได้ถึงแรงลมกระแทกออกมาตามทางราวกับมีพายุหมุนวนอยู่ภายในนั้น

“กิจัง !” ซึฮากิเดินกลับมาด้วยสภาพที่มีรอยแผลและเลือดอาบทั่วตัว มือซ้ายถือโล่ที่พังยับจนไม่สามารถกันอะไรได้ส่วนมือขวาก็ถือดาบที่ครึ่งเหลือแค่ครึ่งเดียว

“คานะ แซม มาช่วยทางนี้หน่อย” ฟรานเรียกคนอื่น ๆ มาพยุงตัวซึฮากิที่หมดแรงล้มลงพอดี

หลายชั่วโมงผ่านไปพวกเขายังหยุดพักกันอยู่ที่ชั้นสี่สิบหกมีแหล่งน้ำใช้ล้างแผลและดื่ม ทั้งเซนและซึฮากิยังไม่ฟื้นเสียทีส่วนคนอื่น ๆ ก็ทำได้แต่รอคอยเท่านั้น

“นี่มันวันที่เท่าไรแล้วเนี่ย?” เซนตื่นขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือเอามือกุมหัวพยายามมองไปรอบ ๆ เห็นซึฮากิที่นอนอยู่ข้าง ๆ เขาจึงจับแขนของซึฮากิและเขย่าเพื่อปลุก

“กิ ๆ” แม้เซนจะเขย่าแรงแค่ไหนซึฮากิก็ยังไม่รู้สึกตัว

“เฮ้ ! หายไปไหนกันหมดแล้วเนี่ย !” เซนลุกขึ้นยืนและตะโกนดังไปทั่วบริเวณ แต่ก็ไม่วี่แววการตอบกลับ

“เซน” ไม่นานก็มีเสียงตอบกลับมาจากมุมมืดทำให้เซนพยายามจ้องมองเข้าไป จู่ ๆ ก็มีหญิงสาวสวยคนหนึ่งค่อย ๆ เดินออกมา

“แม่เหรอ?” เซนรีบวิ่งเข้าหาเธอด้วยความสงสัยจะดีใจแต่ก็กังวลในเวลาด้วยกัน

เมื่อเซนสัมผัสโดนตัวเธอคนนั้นก็ค่อย ๆ สลายไปดังเม็ดทรายที่ถูกลมทะเลพัด

เซนร้องลั่นเปิดตากว้างเพราะความตกใจจนทำตัวไม่ถูก

“เซน !” คานะเห็นเซนนอนร้องไห้อยู่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงจึงโอบกอดไว้พร้อมกับเรียกชื่อเพื่อปลุกให้ตื่น

เซนตื่นมาด้วยความเหนื่อยหอบ เหงื่อออกทั่วทั้งตัวเมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าของคานะที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ ทั้งเธอและเขาต่างก็หน้าแดงเขินนิด ๆ ก่อนที่เซนจะลุกขึ้นเองและถอยห่าง

ไม่นานคนอื่น ๆ ก็เข้ามาดูอาการของเซนด้วยความเป็นห่วงส่วนซึฮากินั้นตื่นขึ้นมาสักพักแล้ว

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ ฉันไปหามอนสเตอร์ที่น่าจะกินได้มาแล้ว” ฟรานแบกซากเสือเขี้ยวยาวขึ้นหลังมาตัวคนเดียว

“งั้นฉันจุดไฟให้” เซนหยิบมีดพกร่ายเวทไฟแต่มันกลับเหมือนไฟแช็กที่เชื้อเพลิงกำลังจะหมด

“กิเขาบอกมา ถ้าใช้เวทจนมานาเหลือศูนย์จะทำให้ร่างกายช็อกหมดสติ แถมมานาจะฟื้นฟูได้ช้ากว่าเดิมอีก” คานะยังคงนั่งอยู่ข้าง ๆ พยายามอยู่เป็นเพื่อนส่วนฟรานก็วางเสือห่างออกไปหลายเมตรเพื่อให้ซึฮากิชำแหละและเธอก็ใช้เวลานี้จุดไฟรอไว้

หลังจากกินอาหารกันเสร็จสรรพพวกเขาก็พักผ่อนและออกเดินทางเมื่อเติมพลังงานจนพร้อมแล้ว

“ให้ตายสินี่มันวันที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย?” เซนเดินไปก็บ่นไปด้วยจนนาริหงุดหงิด

“จะไปรู้เหรอ?” นาริตอบกลับด้วยเสียงสูงและสั่นเพราะหนาว

“นี่มันกว้างพอ ๆ กับชั้นที่มีน้ำเลยนะ” คานะพูดพลางกวาดสายตามองไปยังด้านหน้า

ที่ด้านหน้าของพวกเขาเป็นเหมือนห้องโถงใหญ่แต่ไม่สว่างนัก ความหนาวที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกำลังเข้ากัดกินพวกเธอ ทั้งมือและเท้าเย็นแข็งจนแทบจะเดินไม่ได้ รอยแผลที่ได้รับมาตอนสู้ก็ยิ่งเจ็บแสบกว่าเดิม

“เราควรกลับไปตั้งหลักใหม่อีกรอบนะ” ฟรานจุดไฟขึ้นมาด้วยเวทมนตร์เพื่อสร้างความอบอุ่น

“ฉันขอเดินดูอีกหน่อย” ซึฮากิเดินนำทิ้งห่างพวกเธอออกไป

“งั้นเราก็กลับกันเถอะครับ ไม่ต้องห่วงกิเขาหรอก” แซมเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางสบายใจคนอื่น ๆ จึงพากันเดินทางกลับไปตั้งใหม่

และไม่นานซึฮากิก็กลับมาสมทบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อพักผ่อนเพียงพอพวกเธอจึงเตรียมผ้าคลุมจากหนังสัตว์ให้หนาพอที่จะทนความหนาวได้ก่อนจะเดินทางอีกครั้งโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้วันที่เท่าไรแล้ว

คราวนี้ซึฮากิเป็นคนนำทางเพราะได้ไปเดินสำรวจมาแล้วและมีเวทมนตร์ตรวจจับของฟรานคอยระวังภัยให้

“นี่มันทางตันไม่ใช่เหรอ?” เซนพูดด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง

แปลกแฮะเมื่อวานมันก็ไม่ได้ตันแต่ทำไม ซึฮากิหยุดเดินเอามือลูบกำแพงไปมาก่อนจะหันหลังมามองพวกฟราน

“ฉันคงจะจำผิดนิดหน่อยน่ะ” ทันทีที่พวกเขาพยายามเดินกลับก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างและมันกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้พวกเธอ

“หา !” เมื่อเสียงนั้นมาถึงพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นกระต่ายที่มีปีกอยู่ด้วย มันเดินเข้ามาใกล้ซึฮากิแต่ก็ไม่มีท่าทางที่จะโจมตีเลยแม้แต่น้อย มันเดินเอาหัวซบขาไปมาอย่างกับแมวอ้อน

“นะน่ารัก” พวกผู้หญิงเดินเข้ามาลูบคลำกันยกใหญ่ มันดูเชื่องกับคนเดินไปเหมือนกับเป็นสัตว์เลี้ยงมากกว่ามอนสเตอร์เป็นไหน ๆ

“นี่เราเอามันไปด้วยได้ไหม?” นาริอุ้มอย่างกับลูกน้อยของตัวเองเช่นเดียวกับฟรานที่ยิ้มแป้นชอบใจ

“ตามใจเถอะ” ซึฮากิเดินไปต่อส่วนพวกฟรานก็พากันเล่นเจ้านั่นกันใหญ่ ขนสีขาวบริสุทธิ์นุ่มนิ่มและอบอุ่นเมื่อได้กอดกับปีกสีขาวที่เรียบเนียนไม่มีลาย

“ตั้งชื่อให้มันไหม?” คานะเอ่ยถามในขณะที่ใช้มือลูบไล้ท้องของมัน

“เอาเป็นปุยไหม เวลากอดเหมือนได้กอดตุ๊กตาเลย” ฟรานตอบโดยที่ไม่มีใครโต้แย้งและยังยิ้มชอบใจ

“ยินดีต้อนรับสู่ทีมเอสนะเจ้าปุย” เจ้าปุยส่งเสียงเล็ก ๆ แหลม ๆ ของมันแสดงถึงความดีใจ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.