บทที่ 5: การเดินทางผ่านสุสานแห่งตรรกะ
เควินนำทางกลุ่มผู้รอดชีวิตที่ดูไม่น่าจะเข้ากันได้กลุ่มเล็กๆ ของเขา—ศาสตราจารย์ธอร์นผู้สร้างที่บัดนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด, ดร. ลีน่า นักชีววิศวกรรมผู้มีแววตาแน่วแน่, และ ดร. ซามูเอล นักสังคมวิทยาผู้มีแววตาเหมือนกำลังสังเกตการณ์การทดลองที่ผิดพลาด—ก้าวเท้าออกจากโดมแก้วของสภาปัญญา... และภาพเบื้องหน้าคือดุษฎีนครในสภาพที่ไม่เคยมีใครจินตนาการถึงมาก่อน
มหานครที่เคยสว่างไสวราวกับดวงดาวบนผืนโลก บัดนี้มืดมิดและเงียบสงัด มีเพียงแสงจันทร์สีเงินเย็นเยียบที่ส่องลอดผ่านกลุ่มเมฆ เผยให้เห็นเงาตะคุ่มของตึกระฟ้าที่ไร้ชีวิตราวกับแท่งศิลาขนาดมหึมา พ็อดแม่เหล็กไฟฟ้าที่เคยเคลื่อนที่ไปมาอย่างไม่ขาดสาย บัดนี้จอดนิ่งสนิทอยู่กลางสะพานลอยฟ้าเหมือนอนุสาวรีย์แห่งความล้มเหลว ป้ายโฆษณาโฮโลแกรมที่เคยฉายภาพสมการอันสวยงามและทฤษฎีใหม่ๆ ได้ดับวูบลง เหลือเพียงโครงเหล็กที่ว่างเปล่า
เสียงเดียวที่พวกเขาได้ยินคือเสียงลมที่พัดหวีดหวิวผ่านช่องว่างระหว่างตึก... และเสียงฝีเท้าที่หนักอึ้งของพวกเขาเองที่สะท้อนก้องไปในความเงียบ
"บ้านเมืองของอัจฉริยะ..." ดร. ซามูเอล เกรย์พึมพำอย่างขมขื่นพลางกอดอก "ล่มสลายได้ง่ายๆ แค่เพียงใครบางคนสับสวิตช์ไฟลง นี่คือสุดยอดบทเรียนทางสังคมวิทยาที่ไม่มีใครเคยคาดคิด"
ศาสตราจารย์ธอร์นเดินตัวงอราวกับแบกน้ำหนักของโลกทั้งใบไว้บนบ่า ทุกโครงสร้างที่ไร้แสงไฟ ทุกระบบที่หยุดทำงาน คือเครื่องตอกย้ำความผิดพลาดของเขา เขามองเห็นความทะเยอทะยานของตนเองสะท้อนอยู่ในซากปรักหักพังนี้
ระหว่างทาง พวกเขาเห็นภาพที่ทั้งน่าสมเพชและน่าขัน กลุ่มด็อกเตอร์จาก DIAS of Applied Mathematics ประมาณสิบคนกำลังยืนล้อมประตูเหล็กของสถาบันตัวเอง พวกเขาไม่ได้พยายามพังมัน แต่กำลังถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียดถึงทฤษฎีกลศาสตร์และมุมองศาที่เหมาะสมที่สุดในการใช้แรงกระแทกเพื่อทำลายกลอนประตู
"ถ้าเราใช้สมการการเคลื่อนที่ของนิวตัน..." หนึ่งในนั้นพูดขึ้นพลางวาดนิ้วไปในอากาศ "เราต้องคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานของบานพับก่อน"
"แต่เราไม่รู้ค่าความแข็งแรงของวัสดุที่ใช้ทำกลอน" อีกคนแย้ง "การใช้กำลังโดยไม่มีข้อมูลที่เพียงพอถือว่าไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่ง"
เควินหยุดฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวอย่างระอา สายตาของเขาเหลือบไปเห็นท่อเหล็กยาวๆ ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะจัดวาง "ตรรกะแห่งความไร้แก่นสาร" ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เขาไม่พูดอะไร แต่เดินตรงไปหยิบมันขึ้นมา น้ำหนักของมันให้ความรู้สึกที่ดีในมือ... ให้ความรู้สึกของความเป็นจริงที่จับต้องได้ เขาเดินตรงไปที่ประตู ยัดปลายท่อเข้าไปในช่องว่างระหว่างประตูกับวงกบ แล้วใช้ไหล่ดันและงัดมันสุดแรงเกิด
แคร๊งงงง!
เสียงโลหะบิดตัวดังลั่นสะท้อนไปในความเงียบ และประตูก็เปิดออกอย่างง่ายดาย เหล่าด็อกเตอร์คณิตศาสตร์หันมามองเขาด้วยสายตาที่ทั้งทึ่ง, ดูแคลน, และสับสนระคนกัน
"เป็นการใช้กำลังแบบป่าเถื่อน... ไม่สง่างามเลย" หนึ่งในนั้นพึมพำ
"แต่มันก็ได้ผล" เควินตอบกลับโดยไม่มองหน้า แล้วหันหลังเดินนำทางต่อไป
การเดินทางของพวกเขายิ่งลึกเข้าไปในเมือง ก็ยิ่งเต็มไปด้วยภาพที่น่าหดหู่ของเหล่าอัจฉริยะที่ไม่สามารถรับมือกับโลกที่ไร้ซึ่งเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกได้ นักปรัชญานั่งเถียงกันเรื่องความหมายของการไม่มีอยู่จริงของแสงสว่าง นักเคมีพยายามวิเคราะห์ส่วนประกอบของความมืด เควินกลายเป็นผู้นำของกลุ่มโดยปริยาย ความรู้ของเขาเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของเมือง... ท่อระบายน้ำ, สายไฟฟ้า, ช่องลม... ที่เคยถูกมองว่าต้อยต่ำและเป็นงานใช้แรงงาน บัดนี้ได้กลายเป็นทักษะการเอาชีวิตรอดที่ล้ำค่าที่สุด
ในที่สุด หลังจากเดินลัดเลาะผ่านตรอกซอยที่มืดมิด พวกเขาก็มาถึงเป้าหมาย... ทางเข้าสถานีบำรุงรักษาใต้ดินที่เควินคุ้นเคย มันเป็นเพียงประตูเหล็กธรรมดาๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกแคบๆ ที่เต็มไปด้วยขยะ... สิ่งที่หาได้ยากในดุษฎีนคร... เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าและหยิบสิ่งที่ไม่มีใครในเมืองนี้พกพากันอีกแล้วออกมา... พวงกุญแจโลหะแบบเก่า เขาสอดมันเข้าไปในรูกุญแจที่ขึ้นสนิมเล็กน้อยและบิดมัน
คลิก!
เสียงกลไกที่เรียบง่ายดังขึ้น และความเย็นชื้นของโลกใต้ดินก็โชยออกมาต้อนรับพวกเขา มันคือเสียงและกลิ่นของอิสรภาพ... และคือทางหนีเพียงหนึ่งเดียวจากสุสานแห่งตรรกะเบื้องบน


แสดงความคิดเห็น