บทที่ 103: เมืองหย่งเย่ ไททันมังกรเพลิง
“ในตอนที่สงครามเริ่มต้นขึ้น ผู้สืบทอดไททันเซราฟคนนั้นบุกเข้าไปในค่ายของไททัน” หลี่หวงเหยียนเล่าเรื่องในอดีตให้ฉู่อวี้ฟัง
“ตอนนั้นหมอนั่นเหมือนเทพเซียนมากจริง ๆ ไม่ว่าไททันตัวไหนมาขวางหน้า ย่อมได้พบชะตากรรมเดียวกันหมดก็คือเปลี่ยนกลายเป็นเศษเนื้อ แต่ตอนนั้นดูเหมือนว่าเขาจะถูกใครบางคนล่อลวงจึงได้รุกคืบเข้าไปในค่ายศัตรู”
“ในสนามรบที่วุ่นวายขนาดนั้นไม่มีใครติดตามเขาทันเลยสักคน เขาได้บุกลึกเข้าไปแนวหลังของศัตรูเพียงลำพัง แต่สำหรับเขาแล้วเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวัน เพราะก่อนหน้านี้เขามักจะต่อสู้ฝ่าแนวรบของไททันเข้าไปเพียงลำพังและสร้างความหวาดกลัวให้กับศัตรูได้มากเลยทีเดียว”
“แต่คราวนี้มันมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นซะก่อน” หลี่หวงเหยียนเว้นจังหวะพูด ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ในตอนที่เขาฝ่าเข้าไปในแนวหลังของค่ายไททัน… จู่ ๆ ก็มีกำแพงร่วงลงมาจากท้องฟ้า กำแพงกั้นนี้กันทหารคนอื่น ๆ ไม่ให้เข้าไปประชิดตัวเขา กองทัพจึงรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็เลยส่งกำลังเสริมเข้าไปพยายามฝ่ากำแพงกั้นเพื่อไปช่วยผู้สืบทอดคนนั้น”
“แต่ตอนที่กำแพงกั้นถูกทำลายลงแล้ว กองทัพไททันก็ถอยทัพออกไป จากการสืบสวนของกองทัพพบว่ามีร่องรอยการต่อสู้ของผู้สืบทอดอยู่ด้านหลังกำแพงนั้น แต่กลับไม่พบร่างของเขา และหลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย”
“ดังนั้นจึงมีข่าวลือออกมาอยู่พักหนึ่งว่าเขาถูกไททันสะกดจิตจนไปเข้าร่วมกับเผ่าไททัน บางคนยังอ้างว่าหลังกำแพงนั้นเป็นไททันระดับ 9 ที่ลงมือสังหารผู้สืบทอดด้วยตัวเอง”
ไททันระดับ 9!
ฉู่อวี้ที่ได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกสับสนไม่น้อย
เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าผู้สืบทอดมรดกไททันเซราฟจะมีพลังที่น่าเกรงขามได้ถึงเพียงนี้
และในสายตาของกองทัพคงมีเพียงไททันระดับ 9 เท่านั้นที่จะฆ่าเขาได้
ทว่าในประวัติศาสตร์ ไททันระดับ 9 ไม่เคยปรากฏตัวในสนามรบมาก่อน
แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าไททันระดับ 9 ในตำนานนั้นทรงพลังมากแค่ไหน
หลังจากคิดแบบนี้เด็กสาวจึงถามต่อไปว่า “ท่านนายพลหลี่ คุณคิดว่าทฤษฎีไหนเป็นไปได้มากกว่ากันเหรอคะ?”
“ฉันเหรอ?” หลี่หวงเหยียนยิ้มแล้วตอบว่า “ตอนนั้นฉันยังเป็นทหารใหม่จะไปเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน? แต่ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือไหนก็ยังมีช่องโหว่ที่สำคัญอยู่ดี ดังนั้นจนถึงทุกวันนี้การหายตัวไปของเจ้านั่นเลยยังเป็นปริศนา”
ฉู่อวี้พยักหน้าตอบกลับไปว่า “ถ้าเขาไม่ได้แปรพักตร์ ฉันก็หวังว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ เพราะถึงยังไงเขาก็ได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้กับประเทศของเรา”
ชายผมแดงพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่”
“ว่าแต่ผู้สืบทอดคนนั้นชื่ออะไรเหรอคะ?” ตอนนั้นเองเด็กสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่รู้ชื่อของอีกฝ่าย
หลี่หวงเหยียนเม้มปาก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดเขาก็นึกขึ้นได้ว่า “นี่ก็ผ่านมานานมากแล้ว… ชื่อของผู้ชายคนนั้นโดดเด่นมากทีเดียว เขาแซ่โจว ชื่อเต็มของเขาก็คือโจวเทียนเต้า!”
โจวเทียนเต้า
ฉู่อวี้ท่องชื่อนั้นในใจ
ผู้สืบทอดคนนี้มีค่าความเข้ากันถึง 98% เป็นตำนานที่หลี่หวงเหยียนกล่าวถึงและเป็นเป้าหมายที่เธอใฝ่ฝัน
สักวันหนึ่งเธอจะกลายเป็นนักรบผู้ทรงพลังไปยืนเคียงข้างหลินหยวน และต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา
“เอาล่ะ เลิกพูดถึงเรื่องนี้กันเถอะ” ชายผมแดงเหม่อมองไปที่เส้นขอบฟ้า “ตอนนี้ใกล้รุ่งสางแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องออกเดินทางกันสักที”
…
3 วันต่อมา ที่สนามรบในแนวหน้า
เด็กหนุ่มสวมหน้ากากสีดำกำลังฝ่ากองศพมุ่งไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
นี่คือสนามรบของจริงที่อยู่นอกแนวป้องกันชั้นแรก
ก่อนหน้านี้หลินหยวนเคยเห็นภาพที่โหดร้ายแบบนี้ในตำราเรียนเท่านั้น
ภาพเบื้องหน้าเขาก็คือภาพซากศพที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้น โดยที่เลือดไหลนองย้อมแผ่นดินไปทั่ว
ทุกแห่งทุกหนล้วนเต็มไปด้วยศพของไททันและมนุษย์
บางจุดมีแมลงวันสีดำบินวนอยู่เหนือซากศพคอยดูดกินเศษซากที่เน่าเปื่อย
พร้อมกันนั้นก็มีกลิ่นเน่าผสมกลิ่นคาวเลือดฉุนจมูกจนทำให้อยากจะอาเจียนออกมา
แม้แต่หลินหยวนเองก็ยังรู้สึกคลื่นไส้ไม่น้อยเมื่อเห็นภาพที่ปรากฏ
3 วันที่ผ่านมาเขาไม่ได้นอนเลย ตั้งแต่เดินทางออกจากป้อมปราการสงครามในแนวที่ 3 ในที่สุดเขาก็มาถึงแนวป้องกันด่านแรกวันนี้
แต่ภาพที่เหมือนอยู่ในนรกเบื้องหน้าทำให้เด็กหนุ่มสะเทือนใจมาก
นี่คือสนามรบที่แท้จริง
ที่นี่คือแนวหน้า
นับตั้งแต่ที่เขาได้รับระบบ [หนทางรอด] มา เขาก็ได้ผ่านการต่อสู้มาหลายร้อยครั้ง ทั้งน้อยใหญ่ปะปนกันไป
แต่เมื่อเทียบกับสงครามจริง ๆ แล้ว การต่อสู้ที่ผ่านมานับว่าไร้ค่ามากทีเดียว
ในสนามรบตรงนี้ถูกเรียกว่าเครื่องบดเนื้อขนาดยักษ์ที่บดขยี้ทำลายทุกสิ่ง
มนุษย์กับไททันจำนวนนับไม่ถ้วนกระโจนลงไปในสนามรบแห่งนั้น ทิ้งไว้เพียงเสียงคร่ำครวญที่สิ้นหวัง เสียงกรีดร้องจากความเจ็บปวดและซากศพที่เกลื่อนกลาดไปทั่วพื้น
ทุกสิ่งเบื้องหน้าทำให้หัวใจของหลินหยวนสั่นสะท้าน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองไร้พลัง
หากเขาแข็งแกร่งมากกว่านี้ เขาจะยังสามารถป้องกันไม่ให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้หรือเปล่า?
ถ้าหากเขาเข้าร่วมแนวหน้าเร็วกว่านี้ เขาจะช่วยชีวิตคนได้มากขึ้นหรือไม่?
หลินหยวนเดินไปท่ามกลางทะเลซากศพ ในขณะที่เขากำลังโทษตัวเอง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไม่มั่นใจ
เป็นครั้งแรกที่เขาสงสัยในตัวเองว่าเลือกถูกหรือเปล่า
เพราะถ้าหากเขาแข็งแกร่งมากพอ เขาก็จะสามารถขับไล่ไททันทั้งหมดออกไปจากโลกได้
ด้วยเหตุนี้เองหลินหยวนจึงเลือกที่จะอยู่ในแนวหลัง อดทนแบกรับความเจ็บปวดรอคอยให้วันนั้นมาถึงเงียบ ๆ
แต่… คนที่ตายไปแล้วล่ะ?
พวกเขาจะไม่มีวันได้เห็นวันคืนอันสงบสุข
ชีวิตของพวกเขาถูกฝังกลบไปตลอดกาลในสนามรบที่โหดร้ายนี้
“ผมขอโทษ” หลินหยวนหยุดยืนแล้วพึมพำเบา ๆ จากนั้นเขาก็โค้งคำนับ เอ่ยประโยคนี้ออกมาด้วยความรู้สึกผิด
เขากำลังขอโทษเหล่าวีรชนผู้เสียสละ
ขณะนั้นสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านทำให้เส้นผมของเด็กหนุ่มปลิวไปด้านหลัง
ท้องฟ้าเบื้องบนดูแจ่มใสสดชื่น
ถ้าหากไม่มีสงคราม แผ่นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาคงเป็นสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับการทำกิจกรรมสนุก ๆ
บางทีในอนาคตสถานที่แห่งนี้อาจจะมีหญ้าเขียวขจีปกคลุม
เด็ก ๆ คงออกจะมาวิ่งเล่นกันอย่างอิสระและสนุกสนานบนทุ่งหญ้าเขียวขจีแห่งนี้
อนาคตแบบนี้มันช่างงดงามจริง ๆ
หลินหยวนคิดในขณะที่รอยยิ้มผุดขึ้นมุมปาก
ในเวลาเดียวกัน ภาพในหัวของเขาก็เลือนหายไปแทนที่ด้วยภาพทะเลซากศพสุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้า
จากนั้นดวงตาของหลินหยวนก็ค่อย ๆ แข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ
“ทุกท่านที่เสียชีวิตในสนามรบแห่งนี้ ผมจะสืบทอดเจตนารมณ์ของทุกคน สักวันหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้จะเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ลูกหลานของทุกคนจะได้วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน และนั่งฟังเรื่องเล่าถึงวีรกรรมของบรรพบุรุษทุกคน”
“แต่ก่อนหน้านั้น… ผมจะใช้สองมือของตัวเองต่อสู้เพื่อสันติภาพที่ควรเป็นของเรา!” หลังจากเด็กหนุ่มประกาศเจตนารมณ์ของตัวเอง ดวงตาที่มองตรงไปเบื้องหน้าก็มั่นคงมากขึ้น
แล้วเขาก็ละทิ้งความอ่อนไหวเสี้ยวสุดท้ายในอก
เหนือสิ่งอื่นใด ในนั้นมีเพียงความศรัทธาอันแรงกล้าที่มุ่งมั่นจะคืนความสงบสุขให้กับโลกนี้!
หลินหยวนยังคงก้าวออกไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ตอนนี้เขาคิดเพียงอย่างเดียวว่า เขาต้องแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้นถึงจะนำมาซึ่งสันติภาพ
การชนะสงครามในครั้งนี้จะทำให้โลกพบสันติภาพที่แท้จริง บนโลกอันแสนโหดร้าย มีเพียงคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะสร้างสันติภาพขึ้นมาได้
วิธีเดียวที่จะหลีกเลี่ยงสงครามในอนาคตก็คือจะต้องทำให้ศัตรูมองไม่เห็นโอกาสที่จะชนะได้ตั้งแต่เริ่ม!!
“ฟืดดด…” หลินหยวนสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ
วินาทีต่อมา ร่างเขาก็เปลี่ยนเป็นสายฟ้าหายไปจากสมรภูมิทันที
ปัจจุบันเหลือเวลาอีก 4 วัน เขาจะต้องไปถึงเมืองหย่งเย่ภายใน 4 วันให้ได้!
…
ภายในเมืองหย่งเย่
ร่างมหึมาของไททันอนธการ ราชาแห่งรัตติกาลยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ แต่คราวนี้ไม่มีไททันตัวไหนอยู่ในตำหนักเลยเพราะมันได้ไล่ไททันพวกนั้นออกไปหมดแล้ว
ขณะนี้ไกอัสนั่งทำหน้าเครียดอยู่คนเดียวในตำหนักที่กว้างขวาง
ทันใดนั้นประตูตำหนักก็เปิดออกก่อนจะมีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้น
“ไกอัสเอ๋ยไกอัส ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เจ้าตกเป็นเป้าหมายของมนุษย์พวกนั้น” ไททันตัวหนึ่งที่สูงเท่าภูเขาก้าวเข้ามาในตำหนักของผู้เป็นราชา
ไททันตัวนั้นรอบกายมีเปลวเพลิงลุกโชน โดยที่ใบหน้าของมันเป็นหัวมังกรสีแดงเพลิง
พอมันก้าวเข้ามาในตำหนัก มุมที่เคยมืดสลัวก็สลายไปเพราะเปลวเพลิงที่ล้อมรอบตัวมัน
ไกอัสที่ได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วและทำหน้าเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น “หลงเยี่ยน ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามาในตำหนักของข้า?”
ไททันที่ผลักเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตก็เป็นไททันมหันตภัยเช่นเดียวกัน
และมันคือ… ไททันมังกรเพลิงตัวเดียวกับที่ทำให้หลินเทียนเชวี่ยต้องมีสภาพแบบในปัจจุบัน!
“ตำหนัก? นี่คือตำหนักของเจ้าเหรอ?” ‘หลงเยี่ยน’ หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ถ้าเจ้าไม่บอกข้า ข้าคงไม่รู้เลยว่าที่ซอมซ่อเช่นนี้เป็นตำหนักของเจ้า!”
ปัง!!
ทันทีที่ไททันมังกรเพลิงกล่าวจบ ไกอัสก็กระแทกฝ่ามือลงบนบัลลังก์พร้อมถามเสียงเย็นชาว่า “หลงเยี่ยน เจ้ากำลังยั่วโมโหข้างั้นรึ!”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 103
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น