STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 31 ลากเลือด
ปฏิบัติการแก้แค้นรุ่นพี่สำเร็จไปได้ด้วยดีแต่ผลที่ตามมาก็คือการถูกหมายหัว เฟลเลอร์และเพื่อนอีกสองคนถูกส่งเข้าห้องพยาบาลจึงทำให้กลุ่มนักสู้เกิดความวุ่นวายภายในเพราะรองหัวหน้าหมดสภาพไปแล้ว
“พวกนายได้ยินหรือยังว่าเฟลเลอร์โดนรุ่นน้องเล่นซะอ่วมเลย”
“ไม่ใช่แค่อ่วมหรอกต้องบอกว่าเละเลยต่างหาก กว่าจะรักษาหายก็คงครึ่งปีละมั้ง”
แต่ละคนกลุ่มจะมีห้องประจำที่สมาชิกจะมารวมตัวประชุมหรือร่วมมือกันทำอะไรสักอย่าง พอรองหัวหน้าไม่อยู่ก็เลยกลายเป็นสถานที่เล่นสนุกของพวกรุ่นน้องไปแทนและยังมีพวกหน้าใหม่ที่เกณฑ์มาจากรุ่นล่าสุดอีกด้วย
“นานขนาดนั้นหัวหน้าคงต้องหาคนมาแทนที่แน่ ๆ ถ้าปล่อยว่างไว้นานก็จะไม่มีคนมาจัดการเรื่องในกลุ่ม แถมหัวหน้าเขาก็จะออกไปจากที่นี่แล้วด้วย”
“นั่นก็หมายความว่า...”
รอยยิ้มแห่งความโลภแสดงให้เห็นกันโดยไม่ปิดบังใด ๆ ใครที่มีความสามารถหรืออำนาจมากกว่าก็จะได้กลุ่มนักสู้ไปครอง ไม่ว่าจะคนรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ต่างก็อยากสัมผัสการยืนอยู่เหนือคนอื่นสักครั้ง
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่น้ำลายไหลกันเลยนะ” ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักแล้วมุ่งเข้ามาในห้องของกลุ่มนักสู้
“ซวยแล้ว คนนั้นคือหลิงเพื่อนของหัวหน้า นอกจากเราก็ยังมีพวกเพื่อน ๆ ของหัวหน้าที่มีพลังและอำนาจสั่งการไม่ต่างจากรองหัวหน้าเฟลเลอร์” เขาต้องกระซิบคุยกับเพื่อนข้าง ๆ เพื่อไม่ให้หลิงได้ยิน
“แต่ว่านะพี่ ขนาดรองหัวหน้ายังเละเลย พวกเขาคงไม่ต่างกันหรอกใช่ไหม...” พูดไม่ทันขาดคำเขาก็โดนหลิงยกขาใช้ส้นเท้าเตะกดลงพื้นเสียแล้ว
“คิดว่ารุ่นพี่ที่เตรียมออกจากที่นี่อ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอ? สงสัยจะไม่เข้าใจว่าการเตรียมออกที่นี่มันหมายความว่ายังไง?” หลิงใช้ส้นเท้าขยี้หัวรุ่นน้องคนนั้นเสมือนการย้ำคำพูดให้ฝังลงไปในหัว
การมาของรุ่นพี่ที่เตรียมออกจากที่นี่ทำให้ทุกคนในห้องเงียบกริบทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทั้งนินทาและดูถูกไว้เสียเยอะเลย
“พวกนั้นมีทั้งหมดหกคนสินะ เป็นแค่เด็กใหม่แต่กล้าทำอะไรบ้าบิ่นขนาดนี้ได้ยังไง? อาจจะมีใครหนุนหลังอยู่ก็ได้ซึ่งพวกที่น่าสงสัยก็คือมิ้งกับฟิวฟิว ส่วนลินน่าคงไม่มาสนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราจะจับตาดูพวกมันไปก่อนและพอรู้ว่าใครหนุนหลังก็ค่อยจัดการ”
“ครับ/ค่ะ” เหล่ารุ่นน้องก้มหน้ารับคำสั่ง หลังจากนั้นหลิงก็กลับไปยังเขตบ้านพักเพื่อรายงานให้หัวหน้ารับรู้
เขตบ้านพักเป็นสถานที่ที่มีแต่ปีศาจอาศัยอยู่ แต่ละคนคืออัจฉริยะที่พร้อมเป็นหน่วยรบของสำนักที่กำลังจะออกไปโบยบินในโลกด้านนอก
“ดอกอน...เจ้าเฟลเลอร์มันโดนเล่นงานจนเข้าห้องพยาบาลไปแล้ว ตามคำให้การมันเป็นฝีมือของเด็กใหม่หกคนแต่ฉันคิดว่าน่าจะมีพวกอื่นคอยหนุนหลังอยู่ และยิ่งเป็นช่วงเวลานี้ก็ยิ่งมั่นใจเพราะมันใกล้ถึงเวลาออกจากที่นี่แล้ว รองหัวหน้าที่จะมาแทนที่พวกเราโดนเล่นงานในตอนนี้มันเป็นเรื่องที่เหมาะเจาะไปหน่อย”
“ใช่ ๆ เหมือนกับจะทำให้โครงสร้างของกลุ่มพังทลายและเข้ามาฮุบทุกอย่างไป ยังเหลือเวลาอีกสามเดือนก่อนจะถึงเวลาออกไปจากที่นี่ ฉันขอฝากพวกนายจัดการทีนะ” ชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่อัดแน่นอยู่ภายใต้เสื้อบาง ๆ กำลังกล่าวด้วยท่าทางครุ่นคิด
“อืม ฉันจะจัดการให้เสร็จภายในเดือนนี้” พอกล่าวจบหลิงก็เดินออกจากบ้านไป เช่นเดียวกับหัวหน้าดอกอนที่หันหลังกลับไปฝึกต่อทันทีทันใด
ขณะเดียวกันอีกสองกลุ่มก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเพราะระแวงกันเองว่าใครเป็นคนวางแผนและหนุนหลังพวกเด็กใหม่กันแน่
“เราจะทำยังไงดีคะพี่มิ้ง”
เหล่ารุ่นน้องและเพื่อนร่วมรุ่นนั่งมองหน้ามิ้งหัวหน้ากลุ่มนักเวทตาไม่กะพริบ ไม่ใช่แค่พลังอำนาจแต่รูปลักษณ์อันงดงามราวกับดอกไม้มันก็ทำให้เธอเป็นที่ดึงดูดสายตาของทุกคนเช่นกัน
“น่าสงสัยจริง ๆ แฮะ ดอกอนคงไม่ตัดขาตัวเอง ส่วนเจ้าฟิวฟิวก็ดูไม่น่าใช่แผนแบบนี้เลย ฉันคิดว่านั่นอาจจะเป็นฝีมือของพวกเด็กใหม่เอง”
“แต่พวกเด็กใหม่จะจัดการกับรองหัวหน้ากลุ่มได้จริง ๆ เหรอคะ?” หญิงสาวที่ดูใกล้ชิดที่สุดถาม
“ไม่รู้สิ ฉันคงต้องไปดูด้วยตาตัวเองแล้วล่ะ” แค่เธออมยิ้มตื่นเต้นกับเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้พรรคพวกตรงหน้ายิ้มตามไปด้วย
ส่วนฝั่งฟิวฟิวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มนักกายกรรมก็นัดประชุมกันเช่นกัน
“เฟลเลอร์เข้าห้องพยาบาลสินะ” ฟิวฟิวยกลูกเหล็กหนักหนึ่งร้อยกิโลกรัมด้วยท่าเบนช์เพรสขณะที่พูดคุยไปด้วย
“ใช่ แล้วบังเอิญว่าพวกเด็กที่ทำก็คือพวกเดียวกับที่ฉันแกล้งไปด้วย รายต่อไปอาจจะเป็นฉันก็ได้” ชายผู้ที่ชอบเปลือยกายท่อนบนกล่าว
“เหอะ เฟลเลอร์มันอ่อนหัดเองต่างหาก กับอีแค่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมทำอะไรนายไม่ได้หรอกปัมปี้”
“พี่ฟิวฟิวก็ชมกันเกินไปแล้ว กล้ามของฉันยังสวยไม่ได้ครึ่งหนึ่งของพี่เลยนะ”
“กล้ามเนื้อไม่เคยทรยศใครหรอก กล้ามเนื้อจะสวยงามและแข็งแกร่งได้ต้องให้เวลากับมัน เพราะฉะนั้นอีกสักหนึ่งปีนายก็อาจจะตามฉันทันก็ได้”
“นั่นถือว่าเป็นเป้าหมายก็แล้วกัน ฉันจะสร้างร่างกายให้เทียบเคียงกับพี่ฟิวฟิวให้ได้เลย”
ฟิวฟิววางบาร์เหล็กลงแล้วเดินดุ่ม ๆ ไปหารุ่นน้องคนหนึ่ง
“พักนานเกินไปแล้ว ลุกขึ้นมาทำต่อซะ !” เขาตบหลังเพื่อบังคับให้รุ่นน้องคนนั้นกลับไปประจำที่แล้วยกลูกเหล็กต่อ มิหนำซ้ำเขายังคอยตะโกนปลุกขวัญกำลังใจอยู่ข้าง ๆ ให้ทำลายข้อจำกัดของตนเอง
“ไปต่อ ! สิบห้า ! สิบหก !” ไม่ใช่แค่รุ่นน้องคนนั้นแต่ทุกคนในกลุ่มนักกายกรรมต่างก็ออกกำลังกายกันหนัก มีทั้งเสียงตะโกนร้องและความอบอ้าวจากการใช้แรงและยังมีการบังคับเข้ากลุ่มทำให้คนนอกไม่สามารถเข้าไปใช้งานหอฝึกได้เลย
พวกโยฮันก็รู้ตัวว่าพวกตนกำลังโดนเพ่งเล็งจากทุกกลุ่มอยู่ ดังนั้นทุกวินาทีจึงมีค่าที่ต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วงเช้าจะตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือเพื่อรวบรวมข้อมูลและวิชาต่าง ๆ พอช่วงสายพวกเขาก็พากันไปฝึกในที่ลับตลอดทั้งวันจนเย็นถึงจะไปกินอาหาร
“พอโดนคนอื่นคว่ำบาตรพวกเราก็เลยทำให้หาข้อมูลยากขึ้นไปอีก ไปถามอะไรใครก็เมินเฉยและยังมามองด้วยหางตาใส่อีก” มิร่าถอนหายใจก้มมองอาหารตรงหน้าดูไม่ค่อยอยากอาหารนัก
“พวกนั้นก็แค่อยากกลมกลืนไปกับคนส่วนใหญ่จะได้ไม่มีปัญหา แต่ไม่ใช่กับพวกเรา เพราะพวกเรามันเก่งเจ๋งกว่าใครและเราจะทำให้ทุกคนยอมรับให้ได้” อาเวียนแอบยื่นส้อมไปจิ้มไก่ทอดของเซรอนขณะที่พูดปลอบใจไปด้วย
“ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นอะไรแต่การอยู่ที่นี่ก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ถ้าเราแข็งแกร่งพอเราก็ไม่ต้องไประแวงรุ่นพี่พวกนั้นอีก” โยฮันกล่าว
ทันใดนั้นบาย่าก็ขว้างส้อมใส่เซรอนแต่เขากลับรับมันไว้ได้ “ฉันคิดว่าเราตอนนี้จัดการกับรุ่นพี่แบบหนึ่งต่อหนึ่งไหวแล้วนะ”
“ถ้าเป็นรุ่นพี่ธรรมดาก็อาจจะ แต่เราไม่แน่ใจว่าพวกรุ่นพี่ที่เตรียมออกจากที่นี่แข็งแกร่งขนาดไหน แล้วก็ยังมีเรื่องรุ่นพี่คนนั้นที่เข้ามาทักเราก่อนอีก”
“เท่าที่ค้นมา รุ่นพี่คนนั้นชื่อลินน่าอายุยี่สิบปี ดูเหมือนจะแข็งแกร่งมาก ๆ แต่ก็ไม่ออกไปจากที่นี่สักที จากข่าวลือก็เดากันไปว่าเธออยากอยู่ที่นี่แบบสบาย ๆ ไม่ต้องออกไปทำงานข้างนอก” เฟียร์กล่าวต่อ
“ใช่เหรอ? ในกฎมันมีเรื่องการทดสอบอยู่ พอทำบททดสอบไม่ผ่านแล้วอยู่นานเท่าไรการทดสอบก็จะยิ่งโหดหินมากขึ้นเท่านั้น ถ้าในข่าวลือเป็นจริงแสดงว่าเธอแข็งแกร่งถึงขนาดควบคุมการทดสอบให้ไม่ผ่านและไม่ตายไปพร้อม ๆ กันได้เลยนะ” อาเวียนนั่งครุ่นคิดต่อมีแต่คำถามมากมายอยู่ในหัวแต่ก็หาคำตอบไม่ได้
“ก่อนอื่นก็ต้องขึ้นไปเลเวลสองให้ได้ ถ้าเราก้าวข้ามขีดจำกัดของคนธรรมดาเราก็จะไปได้ไกลกว่านี้” โยฮันยื่นมือออกมารอการตอบรับอีกครั้งกลายเป็นเหมือนวัฒนธรรมของกลุ่มไปแล้ว
เซรอนยื่นมือออกมาวางทันทีเหมือนรอเวลานี้อยู่แล้ว “เราจะเล่นพวกมันให้หมด”
“เราจะออกไปจากที่นี่และเป็นใหญ่เป็นโตให้ทุกคนต้องก้มหัวให้เลย” บาย่าวางมือต่อ
“ฉันชอบความคิดนั้นนะ” อาเวียนวางต่อ
มิร่าหัวเราะชอบใจใหญ่ก่อนจะวางมือต่อ
“ขอบคุณทุกคนนะที่ยังไม่ทิ้งกัน” คำพูดสั้น ๆ ของเฟียร์ทำให้ทุกคนน้ำตาซึมไปตาม ๆ กัน ตั้งแต่ลานเด็กเล็กจนถึงตอนนี้พวกเขาร่วมมือร่วมใจกันสร้างผลงานที่คาดเดาไม่ได้ ยิ่งอยู่ด้วยกันก็ยิ่งทำให้พวกเขาสนิทชิดเชื้อกันมากขึ้นเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปยังไม่มีอะไรเป็นพิเศษ สิ่งเดียวที่มีก็คือสายตาแห่งความกลัวจากทุกคนในที่แห่งนี้ราวกับกำลังมองตัวประหลาดไม่อยากเข้าใกล้
แต่แล้วทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้นจากรุ่นพี่ที่เคยขัดขาตอนเข้ามาครั้งแรก คราวนี้พวกเขาขโมยที่นอนและผ้าห่มเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่งทำให้พวกโยฮันต้องนอนหนาวตลอดคืน ฝั่งผู้หญิงก็หนักไม่แพ้กันเพราะโดนขโมยเสื้อผ้าและชุดชั้นในทั้งหมดจึงต้องใส่ของเดิมซ้ำ ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นดิน โดยเฉพาะเฟียร์ที่รอบประจำเดือนมาพอดีจึงต้องหนีออกไปข้างนอกเพราะผ้าซับก็โดนขโมยไปเช่นกัน
ทุก ๆ วันการกลั่นแกล้งยิ่งหนักข้อขึ้น คราวนี้สถานที่ฝึกที่ใช้ประจำถูกกลุ่มรุ่นพี่ยึดไปหมดแล้วและพอจะสู้กลับก็แพ้ในเรื่องจำนวนที่ต่างกันสี่ถึงห้าเท่า สุดท้ายพวกเขาก็ต้องร่อนเร่หาที่ฝึกใหม่แต่ก็ไม่เหลือที่ใช้ฝึกแล้ว
พอตกเย็นพวกเขาก็จะไปกินอาหารตามปกติแต่อาหารทั้งหมดกลับถูกเททิ้งโดยรุ่นพี่แต่เจ้าหน้าที่ในโรงอาหารกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
“ไอ้พวกรุ่นพี่เวรมันชักจะเกินไปแล้วนะ ในกฎไม่สามารถฆ่าใครได้นอกจากจะเกิดจากการประลองในสนาม พวกมันก็เลยเล่นงานของที่จำเป็นในชีวิตแทน” เซรอนเตะพุ่มไม้ข้างทางระบายอารมณ์แทนแต่ตรงนั้นกลับมีคนซุ่มอยู่พอดี
“เจอพอดีเลย ต้องโดนสักหน่อยแล้ว”
“เดี๋ยว ๆ ฉันไม่ได้เป็นคนทำ”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย ถ้าไม่ใช่แล้วจะแอบดูทำไม?”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยจริง ๆ พี่มิ้งส่งฉันมาเพื่อเจรจาต่างหาก”
“เจรจาเนี่ยนะ? จะมาเจรจาอะไร”
“อืม...คนที่วางแผนน่าจะเป็นกลุ่มนักสู้ พวกเรากลุ่มนักเวทไม่ได้ทำและกลุ่มนักกายกรรมก็ไม่ค่อยเล่นแง่แบบนี้สักเท่าไร ดังนั้นพวกเรากลุ่มนักเวทจึงอยากเจรจาให้การช่วยเหลือแลกกับการเข้ามาอยู่ในกลุ่มนักเวท”
“สุดท้ายก็ให้เข้าไปอยู่ใต้พวกรุ่นพี่เหมือนเดิม แถมกลุ่มนักเวทก็อาจจะเป็นคนทำเรื่องพวกนี้เองและมาทำเป็นช่วยเหลือทีหลัง” โยฮันเดินเข้าประชิดเพื่อข่มขวัญ
“ไม่ใช่แน่นอน พวกนายลองไปคุยกับพี่มิ้งดูก่อนก็ได้”
“เหอะ หัวหน้ากลุ่มผู้ยิ่งใหญ่จะมาเสียเวลาคุยกับเด็กใหม่อย่างเราด้วยเหรอเนี่ย? หรือมีแผนอะไรอยู่ในใจกันนะ”
ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนเดินเข้ามาล้อมพวกโยฮันไว้
“แหม...คิดไว้แล้วว่าต้องปฏิเสธแต่ก็ช่างเถอะ ฉันขอแนะนำตัวก่อนแล้วกัน ฉันคือมิ้งหัวหน้ากลุ่มนักเวทที่กำลัง...เตรียมออกจากที่นี่”
“สุดท้ายก็เป็นแบบนี้” โยฮันตั้งท่าเตรียมสู้
“ถ้าอยากกำจัดกลุ่มนักสู้เดี๋ยวฉันจะช่วยเอง” ท่าทางสบายใจของมิ้งทำให้พวกโยฮันหวาดระแวงเข้าไปใหญ่ ตรงหน้าของพวกเขาคือรุ่นพี่ที่เตรียมออกจากที่นี่ซึ่งแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่รู้
“เรื่องอะไรที่เราต้องร่วมมือกับพวกรุ่นพี่ล่ะ” ระหว่างที่โยฮันกำลังดึงความสนใจ บาย่าก็ได้ขว้างมีดใส่มิ้งแต่มันกลับกระเด้งออกเหมือนกระแทกกับอะไรบางอย่าง
“ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะโดนเล่นงานไปแล้ว วิถีของมีดพุ่งเป้ามาที่ช่วงหัวไหล่หวังทำให้แขนใช้การไม่ได้ แม่นยำเกินกว่าจะเป็นเด็กใหม่...พวกเธอต้องเป็นอัจฉริยะแน่ ๆ”
มิ้งเดินเข้าหาพวกโยฮันไม่กลัวมีดกับดาบที่อยู่ในมือพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เธอส่งรอยยิ้มสงสัยให้ไม่ปิดบังความรู้สึกและยังกวาดสายตามองทุกคนทุกส่วน
“โดนกีดกันกลั่นแกล้งจนการฝึกไม่มีประสิทธิภาพพอแต่ก็ยังมาได้ไกลขนาดนี้ ในเมื่อไม่อยากเข้ากลุ่มก็ไม่ต้องเข้าแต่ฉันจะช่วยในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกแทน เป้าหมายของพวกนายคือการแก้แค้นเรื่องที่โดนรับน้องใช่ไหม? เพราะฉะนั้นเป้าหมายของพวกนายก็คือกลุ่มนักสู้ซึ่งเราไม่ค่อยถูกกันสักเท่าไร”
“ก็คืออยากใช้เราเป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดกลุ่มนักสู้” โยฮันยกมือขอเวลานอกก่อนจะหันหลังกลับไปคุยกับเพื่อน ๆ
“ทุกคนคิดว่าไง?”
สีหน้าหวาดระแวงยังคงแสดงให้เห็นอยู่ ตั้งแต่เข้ามาในลานเด็กโตก็มีแต่ศัตรูเพิ่มเข้ามาทุกวี่ทุกวันจึงไม่แปลกใจที่จะไม่เชื่อใจใคร
“ลองถามดูสิว่าพวกเธอจะช่วยอะไรยังไงบ้าง?” บาย่ากระซิบเบา ๆ พลางมองหน้ามิ้งไปด้วย
โยฮันเป็นเสมือนหัวหน้าเพื่อการเจรจา
“พวกเราจะได้อะไรบ้าง?”
พอได้ยินเช่นนั้นมิ้งก็ยิ้มกว้างออกมาเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มสนใจแล้ว
“ก่อนอื่นเราจะกันคนของกลุ่มนักสู้ออกไปก่อนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายแทรกแซงชีวิตประจำวันของพวกนาย พวกนายสามารถใช้สถานที่ฝึกที่เป็นเขตของกลุ่มนักเวทได้ แน่นอนว่ามันใหญ่กว่าที่ฝึกลับของพวกนายแน่นอน”
โยฮันหันหลังกลับไปคุยกับเพื่อน ๆ อีกครั้ง
“คิดว่าไง?”
“อืม น่าสนใจ” บาย่ากล่าวแล้วหันมองคนถัดไปเพื่อดูการตัดสินใจ
“ลองสักหน่อยก็ได้ อย่างน้อยมันก็น่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้” อาเวียนตอบและส่งสายตาไปยังเซรอนต่อ
“ตามใจพวกนายเถอะ อย่างน้อยถ้าได้อยู่กินดี ๆ ก็พอแล้ว” แม้ท่าทางของเซรอนจะไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็ต้องจำใจตอบตกลง
“ฉันยังไงก็ได้” มิร่าตอบต่อและเฟียร์ก็พยักหน้าให้คำตอบแทนคำพูด
โยฮันกลับไปเจรจากับรุ่นพี่มิ้งอีกครั้งและยอมรับข้อเสนอเป็นที่เรียบร้อย จากปกติตอนเข้านอนจะต้องมีอะไรหายไปแต่ตอนนี้มันกลับอยู่ครบทุกอย่างเหมือนข้อเสนอของกลุ่มนักเวทจะได้ผล
“อย่างน้อยวันนี้ก็ได้นอนอย่างสบายใจ สุดท้ายเราก็ต้องมีพวกเพิ่มสินะถึงจะต่อกรกับพวกมันได้” อาเวียนมักจะเช็ดถุงมือเหล็กทุกวันก่อนนอนเสมือนเป็นการทำจิตใจให้สงบไปในตัว
“พอเห็นนายทำความสะอาดของรักของหวงฉันก็อยากทำบ้างแล้วสิ” เซรอนยกดาบของตนเองขึ้นมาดูคราบและฝุ่น จากนั้นก็ยืมผ้าจากอาเวียนมาใช้ทำความสะอาดบ้าง
“ขอบ้างสิ” โยฮันลุกจากที่นอนขึ้นมาทำความสะอาดอาวุธบ้าง
บรรยากาศเงียบสงบที่ทุกคนต่างก็นอนกันหมดแล้ว เหลือเพียงสามหนุ่มที่กลับมาดึกเพราะเอาแต่ฝึกไม่หยุด
“พอเห็นหัวหน้ากลุ่มนักเวทก็พอเดาความแข็งแกร่งได้อยู่ ฉันคิดว่าเธอน่าจะอยู่เลเวลสองกำลังจะไปเลเวลสาม” อาเวียนกล่าว
“อืม ฉันก็คิดว่าอยู่ประมาณเลเวลสองปลาย ๆ เหมือนกัน” เซรอนพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็นะ พวกเราก็คงไปถึงประมาณนั้นก่อนจะเตรียมออกจากที่นี่ แต่ก็ไม่แน่เพราะเรามันเป็นอัจฉริยะยังไงล่ะ” โยฮันยิ้มกว้างเหมือนเห็นภาพตัวเองที่กำลังยืนชี้นิ้วสั่งคนอื่นได้
ทั้งอาเวียนและเซรอนหัวเราะลั่นออกมาพร้อมกัน
“ต้องอย่างนั้นสิ พวกเราจะไปให้ไกลกว่าพวกหัวหน้ากลุ่มให้ได้”
การใช้ชีวิตกลับมาเป็นปกติอีกครั้งด้วยการช่วยเหลือของกลุ่มนักเวท แต่นั่นก็กลายเป็นเครื่องยืนยันว่ามีคนหนุนหลังอยู่ทำให้กลุ่มนักสู้เริ่มเคลื่อนไหวมากขึ้น
“สุดท้ายคนหนุนหลังก็คือกลุ่มนักเวทสินะ” หลิงนั่งอ่านรายงานจากหน่วยสอดแนมพร้อมกับการเขียนแผนการกำจัดให้กับพรรคพวกไปด้วย
“ใช้มาตรการขั้นที่สามเลยสินะ แล้วถ้าเกิดมีการปะทะกับกลุ่มอื่นจะให้ทำยังไงดีล่ะ?” หนึ่งในเพื่อนร่วมรุ่นถาม
“ทำยังไงเหรอ? ก็แค่จัดการตามที่อยากเลย ขอแค่ไม่ตายก็พอ”
“ต้องอย่างนั้นสิ พวกเราจะจัดการประลองสักหน่อย มันต้องสนุกแน่ ๆ”
กลุ่มรุ่นพี่ที่เตรียมออกจากที่นี่เคลื่อนไหวด้วยตัวเอง พวกเขาซุ่มรอจังหวะที่พวกโยฮันไปใกล้ ๆ ลานประลอง พอได้จังหวะพวกเขาก็ผลักโยฮันเข้าไปในลานประลองโดยไม่ให้ตั้งตัว
“อ้าว ๆ อยากประลองก็ไม่บอก” รุ่นพี่คนนั้นยิ้มหน้าตายทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและยังมีคนของกลุ่มนักสู้คอยดูอยู่รอบ ๆ อีกด้วย
“อะไรของพวกรุ่นพี่เนี่ย? อยากประลองก็ไปท้าคนอื่นไป” พอโยฮันจะเดินออกไปก็มีกลุ่มรุ่นพี่เข้ามาขวางไว้
“อะไรเนี่ยเด็กใหม่ ถ้าเริ่มประลองแล้วก็ต้องประลองให้จบสิ” รอบ ๆ มีแต่สายตาของกลุ่มรุ่นพี่ที่เตรียมคนมากดดันโดยเฉพาะ
“ถอยออกไปสิวะ !” เซรอนพยายามผลักพวกรุ่นนี้เพื่อเปิดทางแต่ทั้งขนาดตัวและพละกำลังต่างกันมากเกินไปจนทำอะไรไม่ได้เลย
ขณะที่คนอื่นโดนกันออกไป ภายในลานประลองก็มีเสียงเชียร์ดังลั่นทุกครั้งที่โยฮันล้มลงพื้น การประลองที่ไม่มีผู้ตัดสินทำให้มันยืดเยื้อต่อไปต่อให้โยฮันจะหมดสภาพแล้วก็ตาม
“ทนไม่ไหวแล้วเว้ย !” เซรอนชักดาบออกมาฟาดฟันรุ่นพี่ที่ขวางทางแต่อีกฝ่ายก็หยิบอาวุธขึ้นมาเช่นกัน
สุดท้ายพวกอาเวียนก็ต้องหยิบอาวุธเข้าปะทะกับกลุ่มรุ่นพี่
“[คมมีดไร้รูป]” เซรอนยกแขนฟาดดาบวายุใส่แต่มันก็โดนป้องกันไว้ได้ด้วยโล่มานา
“เบาขนาดนี้ยังจะมาห้าวอีกเหรอ !” รุ่นพี่คนนั้นพุ่งเข้าประชิดอย่างรวดเร็วพร้อมกับออกหมัดชกแต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่อาเวียนเข้ามารับหมัดนั้นไว้แทน ไม่เพียงแค่นั้นเพราะบาย่าได้ใช้อาเวียนบังทัศนวิสัยแล้วใช้มีดฟันแขนขวาทำให้ใช้งานไม่ได้
พอเห็นเช่นนั้นเหล่ารุ่นพี่จึงรู้ได้ทันทีว่าเด็กใหม่กลุ่มนี้ไม่ธรรมดา พวกเขาทิ้งทิฐิและศักดิ์ศรีของตนเองเพื่อล้อมพวกอาเวียนไว้ค่อย ๆ บีบพื้นที่เข้าไป
“ตายก็ตายวะ !” บาย่ารวมมานาร่ายเวทมนตร์ฟาดใส่ไม่ยั้งในขณะที่เฟียร์คอยสร้างโล่ป้องกันเวทมนตร์ของรุ่นพี่
นั่นคือการดิ้นรนของเด็กใหม่ที่พึ่งเข้ามาลานเด็กโตไม่ถึงปี ความทรหดของพวกเขาได้แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของรุ่นพี่ บาดแผลบนเรือนร่างของคนหนุ่มสาวกลายเป็นเครื่องตอกย้ำสถานะของเด็กใหม่
ในวันนั้นทุกคนได้รับรู้บทลงโทษของคนที่ต่อต้าน เด็กทั้งหกคนถูกส่งเข้าห้องพยาบาลในสภาพสาหัสเจ็บทั้งตัว
“ไอ้...พวก...เวร...” เซรอนที่พูดมากปากดีจนรุ่นพี่หมั่นไส้จึงโดนต่อยปากจนฟันร่วงไปหลายซี่
“บัดซบ !” อาเวียนโดนกระทืบมือจนกระดูกแตกหักและยังโดนแย่งถุงมือเหล็กไปอีก
ส่วนโยฮันก็โดนชกต่อยจนช้ำไปทั้งตัว แขนและขาโดนกระแทกหักจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“เรา...จะรอดใช่ไหม?” มิร่าเอ่ยถามท่ามกลางความเงียบสงัดราวกับอยู่ในป่าช้าที่โอบล้อมด้วยบรรยากาศหดหู่
บาย่านอนหันไปอีกฝั่งหนีจากสายตาของเพื่อน ๆ เช่นเดียวกับเฟียร์ที่คลุมโปงหนีจากความจริง
“วันนี้พักให้เต็มที่เถอะ” คำกล่าวของโยฮันเป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยินในคืนนั้น กลิ่นคาวเลือดและยาคลุกฟุ้งไปทั่วห้องยิ่งเป็นการตอกย้ำความอ่อนหัดจากบาดแผลจำนวนมากได้
หลังจากวันนั้นทุกอย่างก็กลับมาปกติสุขเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนที่เห็นเหตุการณ์ก็ต้องปิดปากเงียบไม่สามารถทำอะไรได้ ผู้มีส่วนร่วมได้รับคำชมจากผู้เป็นหัวหน้า ผู้เสียหายได้รับความสิ้นหวังและอดสู
“เหอะ ไอ้พวกกลุ่มนักเวทจะมาเล่นเล่ห์เหลี่ยมใช้เด็กใหม่เป็นตัวล่อสุดท้ายก็เป็นแค่เด็กใหม่ โดนไปขนาดนั้นก็คงจะสิ้นหวังจนอาจจะฆ่าตัวตายเลยก็ได้” หลิงนั่งกระดิกเท้าและยิ้มกว้างดูมีความสุขมาก ๆ
“จัดการได้ก็ดีแล้ว แต่อย่าไปยุ่งกับโรงนอนหญิงมากนักล่ะ” หัวหน้าดอกอนกล่าวขณะที่ดึงข้อพร้อมตัวถ่วงน้ำหนัก
“แน่นอน เราสั่งให้คนของเราจัดการเงียบ ๆ ไม่ให้กระทบชั้นบน ฉันก็กลัวจักรพรรดินีจะมาอาละวาดเหมือนกันนั่นแหละ”
“จักรพรรดินีสินะ สำหรับที่แห่งนี้ก็คงไม่มีชื่อไหนเหมาะกับเธอคนนั้นอีกแล้ว”
หลายเดือนผ่านไปจนพวกโยฮันสามารถออกจากห้องพยายามได้แต่ร่างกายก็ยังไม่หายดีนัก พวกเขาเป็นเด็กใหม่ที่หายหน้าไปจากการฝึกและการทำแบบทดสอบหลายครั้ง ตั้งแต่เข้ามาลานเด็กโตก็ผ่านไปหนึ่งปีเต็ม ๆ แต่ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง
“ทุกคน” โยฮันกล่าวสั้น ๆ ขณะที่เดินนำหน้าไปก่อนใคร
โยฮันยื่นมือออกมารอการตอบรับเช่นเคยแต่ครั้งนี้ทุกคนต่างเงียบสนิทและยื่นมือออกมาวางทับกันอย่างพร้อมเพรียง
“พวกที่เตรียมออกจากที่นี่มันออกไปแล้ว จากนี้เราจะฝึกให้หนักยิ่งขึ้นและทำให้พวกกลุ่มนักสู้มาอยู่ใต้เท้าให้ได้”
“ฉันจะฟันแขนตัดขามันซะ” เซรอนกัดฟันกล่าว
“ฉันจะแทงให้พรุนเหมือนรังผึ้งเลย” บาย่ากล่าวขณะที่ลงน้ำหนักกดไปที่มือเยอะกว่าปกติ
“ฉันจะต่อยหน้ามันให้ยับแล้วเอาถุงมือคืนมาให้ได้”
“ฉันจะเอาพวกมันไปตรึงไว้กลางลานประลอง” มิร่าเม้มปากคิดแค้นในใจ
“ฉันจะ...จะซัดพวกมัน” เฟียร์สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อตะเบ็งเสียงให้หนักแน่น
“ไปกันเถอะ มาเริ่มฝึกนรกกันเลย” ทั้งหกคนยกมือขึ้นแล้วร้องเฮ้เป็นเสียงแห่งการเริ่มต้นใหม่
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 129
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น