บทที่ 57: อาศัยจังหวะมุ่งหน้าสู่ป้อมปราการสงคราม
3 วันต่อมา ห่างจากเมืองหนานเจียงไปหลายร้อยกิโลเมตร
หลินหยวนเงยหน้าขึ้นกวาดตามองบริเวณโดยรอบ แล้วเขาก็เห็นผู้คนมารวมตัวกันอยู่สถานที่แห่งหนึ่ง
ควรจะบอกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่พักพิงชั่วคราวซึ่งถูกสร้างขึ้นท่ามกลางซากปรักหักพังมากกว่าเป็นเมืองเมืองหนึ่ง
ดูจากภายนอก ที่นี่ดูทรุดโทรมแทบไม่มีอะไรที่ดูสะดวกสบายเลย และที่นี่ก็มีคนอยู่รวมกันไม่กี่พันคนเท่านั้น
เมื่อเทียบกันแล้ว สถานที่เช่นนี้แตกต่างไปจากหัวเมืองหลัก ๆ ที่มีการจัดระเบียบเรียบร้อย ที่นี่ไม่ได้รับการปกป้องจากกองทัพ ไม่มีกำแพงเมือง รวมถึงไม่มีทหารลาดตระเวน
ด้วยแนวป้องกันที่อ่อนแอแบบนี้ เป็นไปได้มากว่าสถานที่แห่งนี้จะถูกไททันระดับสูงบดขยี้ได้ทุกเมื่อ
แน่นอนว่าในสถานการณ์ปกติไม่มีใครเดินทางมาที่นี่แน่นอน คนที่มารวมตัวกันที่นี่มักจะเป็นนักล่า อาชญากรที่ทางการต้องการตัว พ่อค้าในตลาดมืด และแม้แต่คนของลัทธิบูชาไททัน
สิ่งหนึ่งที่สถานที่นี้เป็นที่นิยมนั่นก็คือ มันเป็นที่ที่สามารถทำอะไรได้มากมายที่หัวเมืองหลักไม่สามารถทำได้ ยกตัวอย่างเช่น… การเดินทางไปยังป้อมปราการสงคราม
ในเมืองหลักของหัวเซี่ย ปกติแล้วไม่มีเส้นทางใดที่จะใช้สัญจรไปยังเมืองชายแดนได้โดยตรง แม้แต่กลุ่มทหารใหม่ก็ต้องเดินทางโดยใช้รถหุ้มเกราะที่กองทัพจัดเตรียมเอาไว้เท่านั้น เพราะในหัวเซี่ย การข้ามชายแดนโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ต้องถูกลงโทษ!
ดังนั้นหากหลินหยวนอยากจะเดินทางไปยังป้อมปราการสงครามโดยเร็วที่สุด เขาจะต้องเลือกใช้เส้นทางนี้
และเพื่อไม่ให้ตัวตนที่แท้จริงถูกเปิดเผย ครั้งนี้เขาจงใจเปลี่ยนเป็นสวมหน้ากากหน้าปีศาจที่มีเขี้ยวยื่นออกมา
ในสถานที่ที่มีคนดีชั่วปะปนแบบนี้ หลายคนเลือกที่จะสวมหน้ากากเพื่อปิดบังตัวตนของตัวเอง ด้วยเหตุนี้การกระทำของเด็กหนุ่มจึงไม่ได้เป็นที่สังเกตมากนัก
ถนนหนทางของที่นี่ทั้งรกและสกปรกมาก แม้แต่ร้านค้าก็มีเพียงป้ายไม้เก่า ๆ แขวนอยู่ด้านนอก
ในชั่วขณะหนึ่ง แม้แต่หลินหยวนก็ยังรู้สึกเหมือนหลงทางไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี
โชคดีที่ในเวลาเพียงไม่นานเขาก็เริ่มมีเป้าหมาย เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายร่างกำยำที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า ชายคนนั้นกำลังนั่งอยู่บนถังไม้เล่นดาบคมในมือขณะที่บรรยากาศรอบตัวให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่น
คนส่วนใหญ่ที่นี่ล้วนแต่เคยผ่านการฆ่าคนมาก่อน มันจึงเป็นเรื่องปกติที่รัศมีรอบกายของพวกเขาจะเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
ถึงแม้ในดินแดนที่วุ่นวายแห่งนี้ ชายผู้มีรอยแผลเป็นคนนี้ก็น่าจะมีอิทธิพลในระดับหนึ่ง เพราะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาเลย
อย่างไรก็ตาม หลินหยวนกลับมองข้ามเรื่องนี้ เขาก้าวเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “พี่ชาย ผมขอถามอะไรหน่อย ผมจะไปขึ้นรถที่มุ่งหน้าไปยังแนวป้องกันที่ 3 ได้จากที่ไหน?”
ชายหน้าบากทำหน้าฉงนเพราะเขาไม่คาดว่าจะมีใครกล้าเข้ามาคุยกับเขาตรง ๆ แบบนี้
เขาเงยหน้าขึ้นมองหลินหยวนแล้วพูดเยาะเย้ย “พี่ชายเรอะ? ใครเป็นพี่แกกัน? แถมยังพูดจาสุภาพขนาดนั้น… พูดสุภาพแล้วไง มันไม่มีค่าหรอก ไปสุภาพไกล ๆ ไป ถ้าอยากได้คำตอบ แกต้องมีสิ่งนี้ต่างหาก”
ในระหว่างที่พูดประโยคสุดท้าย ชายร่างกำยำก็ยกมือใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ขยี้กันเบา ๆ เป็นการส่งสัญญาณบอกอีกฝ่ายให้จ่ายเงิน “ฉันคิดไม่แพง แค่หมื่นหยวนก็พอ แล้วฉันจะบอกทางให้”
“แต่ถ้าแกไม่มีเงิน ก็ไปไกล ๆ ตีน ฉันไม่มีเวลามาเสียกับคนจน ๆ อย่างแกหรอกนะ เวลาของฉันมีค่ามาก”
หลังจากที่ชายหน้าบากพูดจบ ทุกคนรอบข้างก็อดไม่ได้ที่จะหันมาสนใจทั้ง 2 คน ตอนนี้คนส่วนใหญ่ต่างพากันจ้องมองหลินหยวนอยู่เงียบ ๆ
เจ้าเด็กนี่มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าเป็นมือใหม่ เขาไม่รู้หรือไงว่าไม่ควรไปยุ่งกับคนไม่ดี
หลังจากที่เขาได้พูดคุยกับผู้ชายคนนั้น 2-3 ประโยค เขาก็ควรจะเรียนรู้อะไรได้บ้างแล้ว
“ความสุภาพมันไร้ค่ามากจริง ๆ สินะ” หลินหยวนยังคงยืนเผชิญหน้ากับชายร่างใหญ่ในขณะที่เขายิ้มพูดว่า “แต่อย่างน้อยผมก็ยังเข้าใจหลักการว่าเราควรพูดคุยกันอย่างสุภาพก่อนแล้วค่อยใช้กำลัง”
เด็กหนุ่มพูดจบแล้วก็เรียกพลังสายฟ้าออกมาโดยไม่ลังเล
ต่อจากนั้นสายฟ้าก็พุ่งออกมาจากมือและควบแน่นอยู่ในอากาศ
“แกคิดจะทำอะไร?” สีหน้าของชายหน้าบากเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้นสายฟ้าก็พาดอยู่ที่คอของเขา
ในตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าที่กำลังแล่นลงมาสัมผัสผิวหนัง และความร้อนฉ่าที่แล่นแปลบปลาบอยู่ไม่ไกล
“ถ้าแกไม่ชอบที่ฉันถามดี ๆ งั้น… ตอนนี้แกคงจะบอกฉันได้แล้วใช่ไหม?” เสียงเย็นชาของหลินหยวนดังก้องอยู่ในหูของชายหน้าปาก ทำให้เขารู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
จากนั้นเขาก็รีบพยักหน้าแล้วพูดตะกุกตะกักว่า “ไม่… ไม่มีปัญหา ฉันจะบอกทุกอย่างที่นายอยากรู้ ไม่สิ เดี๋ยวฉันจะพานายไปส่งเอง!”
หลินหยวนเก็บดาบปราบมังกรลงไปก่อนจะพูดว่า “นำทางไป พาฉันไปที่นั่น”
แม้ว่าดาบปราบมังกรจะขยับออกห่างจากคอของชายหน้าบากไปแล้ว แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังคงแสดงท่าทีหวาดกลัวไม่หาย
ความรู้สึกเหมือนก้าวขาไปเหยียบนรกข้างหนึ่งยังคงทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว
ในความคิดของเขา ผู้ครอบครองพลังพิเศษประเภทสายฟ้าจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
ตัวเขานั้นเป็นผู้มีพลังพิเศษแรงก์ B แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม เขาแทบจะขยับตัวไม่ได้เลย
นั่นหมายความว่าผู้ชายคนนี้จะต้องเป็นผู้มีพลังอย่างน้อยแรงก์ A!
ในชั่วขณะนั้นชายร่างกำยำเริ่มตัดพ้อในใจ นี่เขาบังอาจไปไถ่เงินคนที่มีพลังอย่างน้อยแรงก์ A เข้าให้แล้ว โชคดีที่ดูจากลักษณะของอีกฝ่าย เขาไม่ได้คิดที่จะอยู่ที่นี่นานนัก
พอคิดถึงเรื่องนี้ ชายมีรอยแผลเป็นก็รีบพูดว่า “ได้ ๆๆ ฉันจะรีบพาไป!”
จากนั้นเขาก็เดินนำทางหลินหยวนไปยังที่ที่เจ้าตัวต้องการ
ในเวลาเดียวกัน ทุกคนรอบตัวได้แต่เบิกตากว้างมองภาพตรงหน้าด้วยความเหลือเชื่อ
ทำไมชายหน้าบากที่ไม่เคยยอมใครถึงทำตัวเชื่องอย่างกับลูกหมาเมื่ออยู่ต่อหน้าชายแปลกหน้าคนนี้
“ไอ้หมอนี่ไม่ธรรมดาเลย”
“เมื่อกี้ฉันแทบมองไม่เห็นว่ามันทันชักดาบออกมาตอนไหน เห็นอีกทีดาบก็จ่ออยู่ที่คอของสการ์แล้ว ความเร็วระดับนี้… จะน่ากลัวเกินไปแล้ว”
“ไอ้โหดนี่โผล่มาที่นี่ทำไมกัน นี่มันลูกหมูหลอกกินเสือชัด ๆ”
“เฮ้อ ในที่สุดสการ์ก็เจอดีเข้าให้แล้ว”
“เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ แยกย้ายกันเร็วเข้า ระวังอย่าให้ใครมาได้ยินเข้าล่ะ”
…
ท่ามกลางเสียงกระซิบพูดคุยของฝูงชน หลินหยวนเดินตามชายหน้าบากไปเรื่อย ๆ เขาไม่กลัวว่าผู้ชายคนนี้จะเล่นตุกติก เมื่อเผชิญกับช่องว่างความแข็งแกร่งที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว กลอุบายทั้งหมดนั้นก็ไม่คณามือเขา
ขอเพียงแค่เขาต้องการ เขาก็สามารถฆ่าชายร่างใหญ่คนนี้ได้ในพริบตา
ต้องบอกว่าสถานที่แห่งนี้อาจจะดูเหมือนเล็ก แต่ทุกอย่างภายในกลับซับซ้อนมาก ชายที่มีรอยแผลเป็นพาหลินหยวนเดินเลี้ยวไปมาในซอย 4-5 ซอย ก่อนจะพาเขาไปยังบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางที่ไม่มีแม้แต่เลขที่บ้าน
“พี่ชาย นี่คือนายหน้าขายตั๋วเดินทางของเหล่าหลี่ เขารอบรู้ในเรื่องนี้ ขอเพียงแค่มีเงิน ไม่ใช่แค่แนวหน้า ถ้านายอยากจะไปลั่วตี้ ตงหยิง หรือหนานเฟย เขาก็ส่งนายไปที่นั่นได้”
จากนั้นชายร่างกำยำก็ยิ้มเจื่อน ๆ “ก่อนหน้านี้ฉันเสียมารยาทกับนาย นายอย่าได้ถือสาฉันเลยนะ ปล่อยฉันไปเถอะ”
หลังจากพูดจบชายหน้าบากก็ตบหน้าตัวเองเต็มแรงอยู่หลายครั้ง
ทางด้านหลินหยวนเหลือบมองอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้นเสียงเรียบว่า “ช่างเถอะ ไปให้พ้นหน้าฉัน ถ้าฉันรู้ว่านายโกหก นายคงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว!”
เมื่อชายตัวใหญ่เห็นว่าคนที่ตนนำทางมาไม่ได้ติดใจเอาความอะไร เขาก็รู้สึกดีใจจนน้ำตาแทบจะไหลพรากก่อนที่เขาจะรีบหันหลังวิ่งหนีไปทันที
หลินหยวนมองตามหลังอีกคนไปก่อนจะหันมามองประตูตรงหน้า จากนั้นก็ผลักประตูเปิดออกแล้วเดินเข้าไปข้างใน
“มีใครอยู่ไหมครับ?” หลังจากเปิดประตูเข้าไป กลิ่นอับชื้นก็โชยมาปะทะหน้าเด็กหนุ่ม เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าร้านที่ร้างผู้คนแบบนี้จะเป็นนายหน้าจัดหารถที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ได้อย่างไร
ตึก… ตึก…
“นั่นใคร!” สิ้นเสียงตะโกนของหลินหยวน ชายแก่ที่มีรอยย่นบนใบหน้าก็เดินออกมาจากห้อง
เขาไม่ใช่คนที่ตัวสูงใหญ่ ผมบนหัวครึ่งหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีขาว แถมยังหลังค่อม แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอายุเท่าไหร่ แต่เขาน่าจะมีอายุมากพอสมควรแล้ว
“โอ้ คุณลูกค้า คุณเรียกผมว่าเหล่าหลี่ก็ได้” ‘เหล่าหลี่’ เงยหน้าขึ้นพูดกับหลินหยวนด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าใครเป็นคนแนะนำคุณให้มาที่นี่ แล้วคุณอยากจะไปที่ไหน?”
เด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะกำลังยิ้มดีอกดีใจ แต่รอยยิ้มเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเขากลับดูเหมือนแสยะยิ้มเสียมากกว่า
“ไม่มีใครแนะนำผม ผมมาที่นี่เอง” หลินหยวนตอบเสียงเรียบ “ผมอยากจะไปแนวหน้า ป้อมปราการแนวป้องกันที่ 3 ครับ ไม่รู้ว่าคุณพอจะส่งผมไปที่นั่นได้ไหม?”
หลังจากเด็กหนุ่มพูดจบ ดวงตาของเหล่าหลี่ก็ฉายแววประหลาดใจ “คุณก็จะไปที่ป้อมปราการเหรอ?”
หลินหยวนที่ได้ยินแบบนั้นก็ตกตะลึงไม่น้อย แล้วเขาก็ถามออกไปว่า “มีใครคิดจะไปที่นั่นเหมือนกันเหรอครับ?”
ชายชราพูดกลั้วหัวเราะว่า “บังเอิญจริง ๆ แขกท่านนี้ก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน” ในขณะที่พูดเขาก็ส่งสัญญาณไปทางประตูห้องด้านใน
ไม่นานก็มีใครบางคนเดินออกมาจากห้องด้านในช้า ๆ


แสดงความคิดเห็น