4 ซิลเวนัสแห่งเอธาเลียห์
เอธาเลียห์
อัญมณีแห่งแดนเหนือของอาณาจักรครีเซนต์ เป็นเมืองที่ผสานความยิ่งใหญ่กับธรรมชาติราวกับเทพเจ้าปั้นแต่งด้วยมือของตนเอง ตั้งอยู่กลางหุบเขาอันสูงชันและป่าทึบอันเก่าแก่ เมืองเอธาเลียห์เหมือนโอบกอดอยู่ในอ้อมแขนของภูผาและเงาไม้ เขียวชอุ่มทั้งในฤดูใบไม้ผลิ และเงียบขรึมยิ่งนักในฤดูหนาว ต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมชายเมืองราวกับแนวกำแพงธรรมชาติที่ไม่มีผู้ใดสร้าง แม่น้ำคาเรียส สายน้ำใหญ่ที่ไหลมาจากยอดเขา ไหลผ่านกลางเมืองอย่างสง่างาม ก่อนจะแตกแขนงออกเป็นลำธารสายเล็ก ๆ ที่แทรกผ่านเขตที่อยู่อาศัย ไร่นา และหมู่บ้านรอบนอก สายน้ำเหล่านี้ไม่เพียงหล่อเลี้ยงผู้คน แต่ยังเปรียบเหมือนเส้นเลือดของอาณาจักรที่นำพาชีวิตจากดินแดนเหนือสู่ใจกลางครีเซนต์ ตัวเมืองสร้างจากหินท้องถิ่นสีเทาอมน้ำตาล หลังคาส่วนมากมุงกระเบื้องไม้หรือหินแบน ๆ มีควันไฟลอยขึ้นจากปล่องตามบ้านเรือนเป็นสาย บ่งบอกถึงชีวิตที่ยังเต้นอยู่ท่ามกลางอากาศเย็นสลับหนาว ป้อมยามและหอคอยกระจายตามจุดสำคัญ ทหารในชุดคลุมขนสัตว์ลาดตระเวนเงียบ ๆ บนทางเดินหิน ศูนย์กลางของเมืองคือ ปราสาทเอธาเลียห์ ปราการสูงตระหง่านที่ตั้งอยู่บนเนินหินด้านหลังเมือง ราวกับยืนเฝ้าอยู่เหนือสรรพสิ่ง เบื้องหลังปราสาทคือแนวเขาหินสีเทาเข้มทอดตัวยาวจรดขอบฟ้า ในยามอาทิตย์ตก แสงสีทองจะกระทบผนังหินของปราสาทและฉากหลังภูเขา จนเมืองทั้งเมืองส่องประกายราวอัญมณีในเปลวเพลิง เอธาเลียห์มิใช่เพียงศูนย์กลางของการปกครองในแดนเหนือ แต่ยังเป็นเมืองแห่งปัญญาและเวทศาสตร์ มีหอสมุดเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในครีเซนต์ และสำนักนักบวชแห่งเทวีอินด์รา ที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาเหนือแม่น้ำ บางคนกล่าวว่าเสียงสายธารไหลผ่านเมืองเอธาเลียห์ คือเสียงกระซิบของเหล่าเทพที่เฝ้าดูมนุษย์อยู่จากยอดเขา ที่นี่… เมืองในเงาภูผา มีทั้งความสงบของธรรมชาติ และเสียงก้องของอำนาจซ่อนอยู่ในแต่ละอิฐหิน
นอกกำแพงเมืองเอธาเลียห์ ทางเหนือของแม่น้ำคาเรียส เมื่อเส้นทางหินเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นดินชื้นและรากไม้สูงโผล่จากพื้นดิน เขตแดนแห่งอารยธรรมจะค่อย ๆ จางลง และถูกแทนที่ด้วยความลี้ลับของ ดินแดนแห่งภูติพราย ป่าต้องห้ามที่แม้แผนที่ของราชสภายังเว้นว่างไว้ด้วยหมึกจางจาง พรมแดนระหว่างเอธาเลียห์และป่าแห่งนั้น ไม่ใช่แนวรั้วหรือลำน้ำ แต่คือเส้นบาง ๆ ของเสียงกระซิบที่ลอยมากับลม กลิ่นเรณูประหลาดยามค่ำคืน และเงาร่างที่เคลื่อนไหวเร็วเกินกว่าจะเป็นสัตว์ป่า ชาวเมืองที่อาศัยอยู่ใกล้แนวป่ารู้ดี บางครั้งสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีชื่อในคำพูดของมนุษย์จะปรากฏตัว พวกมันไม่ใช่ศัตรูชัดเจน แต่ก็ไม่อาจไว้ใจอย่างมิตรสหาย พรานป่าและคนหาเห็ด บางคนกลับมาพร้อมดวงตาสั่นไหว เล่าเรื่องต้นไม้ที่เคลื่อนไหวได้ เสียงเพลงล่องลอยที่ไม่มีที่มา หรือแสงสว่างกลางป่าแม้ไร้คบเพลิง บ้างไม่เคยกลับมาเลย เหลือเพียงคำเตือนจากปากสู่ปากว่า “อย่าข้ามรากไม้อันพันกันเหมือนนิ้วมือในยามเที่ยงคืน” บางครั้ง… สิ่งมีชีวิตเหล่านั้น หลงเข้ามาในเมือง ในยามที่หมอกจากป่าลอยข้ามแม่น้ำเข้ามา เอธาเลียห์จะเงียบลงประหลาด เหล่าทหารยามจะเร่งลาดตระเวน คนเฒ่าคนแก่ปิดหน้าต่างและจุดเทียน และเสียงระฆังจากหอสังเกตการณ์จะดังขึ้นสองครั้ง ไม่ใช่เตือนศัตรูจากต่างแดน แต่เป็นการขอพรจากสิ่งที่อาจไม่ใช่ศัตรูหรือมิตร หากแต่เป็น “ผู้สังเกตการณ์” ว่ากันว่า ตระกูล ซิลเวนัส เจ้าเมืองเอธาเลียห์ มิใช่มนุษย์ธรรมดา หากแต่มีสายเลือดวิเศษผสมอยู่ในชั่วอายุคน ไม่ใช่เพราะพวกเขาเรียนเวท แต่เพราะพวกเขา ถูกเลือก โดยเหล่าสิ่งมีชีวิตในป่าต้องห้าม ตำนานเก่าแก่กล่าวถึงผู้ปกครองคนแรกแห่งเอธาเลียห์ที่ได้ไม้เท้าวิเศษจากรากไม้วิญญาณ อีกเรื่องหนึ่งกล่าวถึงท่านหญิงซิลเวนัสที่ถูกพาเข้าไปในป่าหนึ่งคืน และกลับมาในอีก เจ็ดปีถัดมา โดยใบหน้าไม่มีริ้วรอย และดวงตาเรืองแสงเพียงในความมืด แม้สายเลือดวิเศษนั้นจะเป็นเพียงเสียงกระซิบจากอดีตสำหรับอาณาจักรครีเซนต์ แต่ชาวเอธาเลียร์นั้นรู้ดีกว่าใครและในสายตาของพวกเขา โดยเฉพาะยามที่เมืองต้องเผชิญภัยจากภายนอก การมีผู้ปกครองที่ สิ่งเร้นลับยังยอมรับ นั้นมีค่ายิ่งกว่าดาบพันเล่มหรือทองพันหีบ เพราะในดินแดนที่อารยธรรมยืนอยู่เคียงข้างความลี้ลับ… การปกครองไม่อาจพึ่งเพียงเหตุผล ต้องพึ่ง ความศรัทธา และบางที… เลือดที่ร้องตอบเสียงของป่า
กลางห้องโถงใหญ่ของ ปราสาทเอธาเลียห์ ที่ซึ่งผนังหินสีเทาอ่อนแซมเส้นลวดลายเถาวัลย์เงินทอดยาวขึ้นไปถึงเพดานสูงประดับกระจกสี แสงแดดสายส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างโค้งบานสูงจนกลายเป็นม่านแสงอ่อนที่ทาบทับภาพตรงหน้าอย่างวิจิตรงดงาม
เจ้าชายเซเวียร์ ในวัย สิบหกชันษา ยืนหลังตรงด้วยมาดแห่งองค์รัชทายาท ดวงหน้าเรียวที่ครั้งหนึ่งยังเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา บัดนี้เริ่มมีเหลี่ยมมุมของบุรุษหนุ่มรูปงามที่กำลังจะเติบโตเต็มที่ เส้นผมสีเข้มถูกหวีอย่างเรียบร้อยตามขนบ ทว่าไม่อาจซ่อนแววตาสีฟ้าหม่นที่เปี่ยมด้วยความอยากรู้อย่างเดิมเพียงแต่มันลุ่มลึกและระแวดระวังมากกว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ เบื้องหน้าของพระองค์ พระราชาไลโอเนล กำลังตรัสทักทายกับ ลอร์ดนิโคลัส ซิลเวนัส เจ้าผู้ครองเอธาเลียห์ ผู้มีเส้นผมสีจินเจอร์เข้มกับแววตาเฉียบขาดดั่งเหยี่ยว และด้านข้างคือ พระราชินีเวโรนิก้า ซึ่งทรงโผเข้ากอดกับ ท่านหญิงไดอาน่า ซิลเวนัส มิตรสนิทตั้งแต่วัยเยาว์ การพบกันของสตรีสองนางจากต่างขั้วของอาณาจักร เต็มไปด้วยความคิดถึงและความผูกพันที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยเป็นถ้อยคำ
ในบรรยากาศอันอบอุ่นนั้นสายตาของพระองค์พลันหันไปยัง สองสาวน้อย ที่ยืนอยู่เคียงข้างท่านหญิงไดอาน่า ทั้งคู่สง่างามราวกับถูกปั้นจากมือของช่างศิลป์แห่งป่าเหนือผู้มีจินตนาการล้ำลึก หญิงสาวทางซ้าย มีผิวขาวดุจหิมะใหม่ใต้แสงจันทร์ ใบหน้างดงามด้วยเส้นจมูกเรียว ดวงตาสีดำขลับเปล่งประกายอ่อนโยนเหมือนท้องฟ้ายามราตรีที่ประดับไปด้วยหมู่ดาว เส้นผมสีบลอนด์อ่อนราวกับแสงจันทร์เดือนเต็มทิ้งตัวเป็นลอนเหนือไหล่บาง ริมฝีปากของเธอคลี่ยิ้มเพียงบางเบา หากแต่นุ่มนวลพอจะละลายพายุในใจผู้พบเห็น
หญิงสาวทางขวา รูปงามไม่ต่างจากเธอคนนั้น ทว่าแววตาของเธอกลับแตกต่าง ดวงตาสีฟ้าใสเย็นราวกับน้ำแข็งใต้แสงฟ้าไร้เมฆ ทอประกายหงุดหงิดและคมกริบดั่งมีดสั้นซ่อนไว้ในรอยยิ้ม เส้นผมสีแดงเพลิงพลิ้วสะบัดเหมือนเปลวไฟตัดกับผิวขาวซีดจนดูราวกับเทพธิดาแห่งเพลิง เจ้าชายเซเวียร์มองพวกนางอย่างพินิจ ไม่ใช่ด้วยความหลงใหลหุนหันแบบเด็กหนุ่มทั่วไป แต่เป็นความสงสัยใคร่รู้
ลอร์ดนิโคลัสหันไปยังเด็กสาวทั้งสองที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน ก่อนจะยกมือขึ้นวางเบา ๆ บนไหล่ของเด็กสาวผมบลอนด์ผู้มีแววตาอ่อนโยน เสียงของเขาทุ้ม หนักแน่น แต่แฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจ
“ฝ่าบาท… นี่คือ เซลีน และนั่นคือ ฟีบัส ทั้งสองเป็นบุตรสาวของข้า”
เซลีนก้าวออกมาหนึ่งก้าวอย่างนุ่มนวล ร่างเพรียวบางโค้งศีรษะลงอย่างสง่างาม ตามธรรมเนียมราชสำนัก เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบสุภาพแต่เปี่ยมด้วยความเคารพ
“ฝ่าบาท… องค์ราชินี… เจ้าชายเซเวียร์”
ดวงตาสีดำขลับของนางสบกับเจ้าชายเพียงชั่วครู่ก่อนจะลดลงต่ำ ราวกับรู้ดีว่าแววตานั้นอาจสะกิดหัวใจคนตรงหน้าได้หากยืนนานเกินไป
ถัดมา ฟีบัส ก้าวตามพี่สาวอย่างไม่เต็มใจนัก เธอทำความเคารพเช่นเดียวกันร่างโน้มเล็กน้อยตามจารีต แต่ไม่มีถ้อยคำใดหลุดจากริมฝีปากที่เม้มแน่น ดวงตาสีฟ้าใสยังเปล่งแสงดุดันระคนอึดอัดอย่างปิดไม่มิด ราวกับการยืนอยู่ตรงนี้เป็นเรื่องฝืนใจยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับพายุ
เจ้าชายเซเวียร์พิจารณาท่าทีของทั้งสองด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้นอย่างเงียบงัน ความอ่อนโยนของเซลีนเหมือนบทเพลงอ่อนหวานในสวนดอกไม้ ขณะที่ความแข็งกระด้างเงียบงันของฟีบัสดั่งเปลวเพลิงที่ยังไม่ถูกจุดไฟ
ลอร์ดนิโคลัสแม้รู้สึกหงุดหงิดอยู่ลึก ๆ กับความดื้อดึงในแววตาของลูกสาวคนที่สอง แต่เขาเลือกเพียงระบายลมหายใจช้า ๆ ผ่านจมูก ไม่ใช่เวลาสำหรับตำหนิไม่ใช่ต่อหน้า ราชา และ ราชินีแห่งครีเซนต์
เขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบาง ๆ พลางหันกลับไปยังพระราชา
“ข้าว่า เราไปที่สวนซึ่งกำลังจัดเตรียมงานพิธีดีกว่า ฝ่าบาท ข้าอยากให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรการเตรียมงาน และ…สวนของเราที่แม่น้ำคาเรียสไหลผ่าน ขณะนี้ดอกเฮลิอานธ์กำลังบานสะพรั่งทีเดียว”
พระราชาไลโอเนลพยักพระพักตร์รับอย่างพอพระทัย ขณะที่ราชินีเวโรนิก้าทอดพระเนตรบุตรชายที่ยังไม่ละสายตาจากหญิงสาวสองคนนั้น
“ข้าได้ยินมาว่าหากจะมีสวนใดที่มีชัยเหนือ สวนของครีเซ็นต์ ก็เห็นจะมีแต่ที่เอธาเลียห์เท่านั้น“
เหล่าขุนนางและราชวงศ์เสด็จออกจากโถงปราสาทเอธาเลียห์ โดยมีแสงอาทิตย์ยามสายส่องลอดผ่านยอดไม้สูงเข้าสู่ทางเดินหินอ่อนสีขาวนวลสะอาดที่ทอดยาวไปสู่สวนหลวง พุ่มไม้เลื้อยที่จัดเรียงเป็นซุ้มโค้งตลอดทางเดินออกดอกเบา ๆ กลิ่นหอมอ่อนชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
เซลีน ยังคงเดินอย่างสำรวม เคียงข้างพระราชินีเวโรนิก้า เธอชะเง้อมองซุ้มพุ่มไม้เลื้อยด้วยแววตาอ่อนโยน ทุกก้าวของเธอเหมือนบทกวีของสายลมฤดูใบไม้ผลิที่ไหลเอื่อย สีหน้าผ่อนคลายและสงบนิ่งราวกับเธอหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความร่มรื่นของทางเดิน กลับกัน ฟีบัส เดินด้วยท่าทีที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ไหล่ตั้งตรง ก้าวเท้ามั่นคงอย่างคนที่ไม่คิดจะซ่อนตัวในเงาของผู้ใด แม้จะอยู่ในชุดกระโปรงเรียบหรู แต่เธอกลับดูไม่ต่างจากชายหนุ่มผู้ฝึกดาบมากกว่าสตรีชั้นสูง เส้นผมแดงเพลิงของเธอปลิวตามลม เสริมให้บุคลิกดูแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยวจนเหมือนมีเพลิงบางอย่างสุมอยู่ในอก
เจ้าชายเซเวียร์ ซึ่งเดินอยู่ไม่ห่างนัก สังเกตสองพี่น้องอย่างเงียบงัน ก่อนจะกระแอมไอเบา ๆ เพื่อเรียกความสนใจของผู้เป็นเจ้าบ้าน
“ลอร์ดนิโคลัส… เกี่ยวกับตำนานสายเลือดของตระกูลซิลเวนัส” พระสุรเสียงของพระองค์ราบเรียบ แต่แฝงความสนใจจริงจัง “ที่ว่า…มิใช่มนุษย์ธรรมดา และจะถูกเลือกโดยสัตว์วิเศษในป่าต้องห้าม ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของเอธาเลียห์…จริงรึเปล่า”
คำถามลอยอยู่กลางอากาศเป็นเสี้ยววินาทีก่อนจะได้รับการตอบรับจากลอร์ดแห่งเอธาเลียห์ผู้เดินอยู่เคียงข้างพระราชา สีหน้าของลอร์ดนิโคลัสไม่เปลี่ยน แต่ในดวงตานั้นวูบไหวบางสิ่ง
เขาหัวเราะเบา ๆ คล้ายจะลดความจริงจังของเรื่อง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือรอยลึกลับ
“เล่ากันมาตั้งแต่สมัยบรรพชน ว่าตระกูลซิลเวนัสนั้นมิได้สืบสายเลือดจากมนุษย์ล้วน หากมีเชื้อสายจากเผ่าพันธุ์ที่เก่าแก่กว่านั้น… สายเลือดที่แม้แต่ป่าใหญ่ยังจำได้ แม่น้ำยังขานชื่อ และสิ่งมีชีวิตซึ่งมนุษย์เรียกว่าสัตว์วิเศษ… ก็ยังโค้งศีรษะให้เมื่อพบผู้ถูกเลือก”
เขาหันไปสบตากับเจ้าชายหนุ่ม รอยยิ้มบนริมฝีปากบางเจือความหมายที่ยากจะถอดได้ เมื่อขบวนเสด็จเดินเข้าสู่สวนหลวง พื้นหญ้าเขียวชอุ่มทอดยาวล้อมรอบด้วยซุ้มไม้ดอกและธงประดับหลากสี สะท้อนแสงแดดยามสายจนดูราวกับท้องทุ่งแห่งเทพนิยาย ทว่า ความสงบเหล่านั้นถูกทำลายลงในชั่วขณะ
เสียงคำรามกึกก้อง ไม่ใช่เสียงของสัตว์ใดที่คนทั่วไปจะจดจำได้ แทรกขึ้นจากฟากฟ้า ราวกับสายฟ้าฟาดลงมากลางวัน ทุกสายตาแหงนขึ้นทันที เงาขนาดมหึมาพุ่งลงจากท้องฟ้า ปีกกว้างสีทองแดงขยับเป็นจังหวะ ก่อนจะร่อนลงกลางลานหญ้าอย่างสง่างาม แรงลมจากการกระพือปีกซัดให้พุ่มไม้เตี้ยสั่นไหวตามแรง
สิ่งมีชีวิตตรงหน้าพวกเขา… มีหัวเป็นนกอินทรีดวงตาคมกริบ เปี่ยมด้วยสติปัญญา และลำตัวของมันเป็นสิงโตที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทรงพลัง มันคือ กริฟฟอน สัตว์ในตำนานที่คนในอาณาจักรเคยคิดว่าไม่มีอยู่จริง
ทุกคนถอยกรูด สีหน้าตกใจแทบสิ้นสติ บางคนถึงกับยกมือแตะดาบ เว้นเสียแต่ผู้มาจากตระกูลซิลเวนัส พวกเขายืนนิ่ง สีหน้าสงบนิ่งราวกับรู้จักสัตว์ประหลาดตัวนี้มาตลอดชีวิต
ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเครื่องหนังสีเข้มกระโดดลงจากหลังของมันด้วยความคล่องแคล่ว เขาทิ้งตัวลงพื้นเบา ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเหล่าราชวงศ์อย่างไม่ลังเล เส้นผมสีทองเข้มคล้ายกับผู้เป็นมารดาพลิ้วตามแรงลม แววตาของเขาฉายแววเฉลียวฉลาดและมั่นคง
เขาค้อมกายลงอย่างสุภาพ
“ต้องขออภัยที่ทำให้ตกใจ… ฝ่าบาท” เสียงของเขาหนักแน่นแต่ไม่เย่อหยิ่ง “ข้ามิได้ตั้งใจให้เป็นการปรากฏตัวเช่นนี้”
ลอร์ดนิโคลัสเดินออกมายืนเคียงข้างชายหนุ่มนั้น ยกมือแตะไหล่ของเขาอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะหันไปยังราชวงศ์
“ฝ่าบาท… นี่คือ กาเบรียล บุตรชายคนแรกของข้า”
สายพระเนตรของราชินีเวโรนิก้าเต็มไปด้วยทั้งความตื่นตระหนกและความสงสัย พระสุรเสียงของนางสั่นน้อย ๆ อย่างไม่ปิดบัง
“นั่นมัน…ตัวอะไร?”
กาเบรียลผินหน้าไปมองกริฟฟอนที่ยังยืนนิ่งอยู่เบื้องหลัง ปีกของมันสยายเล็กน้อย ดวงตาเฉียบคมจ้องมองมาที่เจ้าชายเซเวียร์ราวกับกำลังพินิจอะไรบางอย่าง
“โอ้… นั่นคือกริฟฟอน” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “เจ้าหนูนี้มันค่อนข้างพยศ แต่ก็ยังยอมให้ข้าขี่ได้บ้างในบางวัน”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจาก ฟีบัส ข้างหลัง แม้เจ้าตัวจะพยายามกลั้นไว้ เธอสบตาพี่ชายด้วยความภาคภูมิใจที่ไม่ต้องเอ่ยออกมา ส่วน เซลีน เพียงยิ้มบาง ๆ ราวกับรู้ดีว่ากาเบรียลไม่ได้เลือก ‘ขี่’ กริฟฟอน แต่ ได้รับอนุญาต ให้เป็นเช่นนั้น เจ้าชายเซเวียร์มองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากความสงสัย…เป็นความทึ่ง
เซลีนก้าวเข้าหากริฟฟอนด้วยความนุ่มนวล แววตาของเธออ่อนโยนไร้ความหวาดกลัว ปลายนิ้วเรียวยื่นไปแตะขนนุ่มรอบคอของมันเบา ๆ ซึ่งมันก้มหัวรับสัมผัสอย่างสงบ ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงที่รู้จักเจ้านาย ฟีบัสก้าวตามมาอย่างสบาย ๆ ก่อนจะเหลือบมองโต๊ะจัดเลี้ยงที่ตั้งไม่ไกล มือไวของเธอฉวยแอปเปิ้ลสีแดงสดจากถาดผลไม้ พลางยักคิ้วให้พี่ชาย
“เจ้าไม่ว่าอะไรใช่มั้ย กาเบรียล?” แล้วโยนผลไม้ขึ้นสูงเล็กน้อย
กริฟฟอนอ้าปากงับแอปเปิ้ลกลางอากาศได้อย่างแม่นยำ มันส่งเสียงครางต่ำ ๆ อย่างพอใจ แล้วล้มตัวลงนอนใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน ใบไม้ขยับไหวเบา ๆ ตามแรงของมัน เซลีนกับฟีบัสนั่งลงใกล้ ๆ เหมือนคุ้นเคยกับเจ้าสัตว์ในตำนานตัวนี้มานาน ขณะที่อีกฟากหนึ่งของสวน ราชาไลโอเนลและราชินีเวโรนิก้ายังคงสนทนาอย่างลึกซึ้งกับลอร์ดนิโคลัสและท่านหญิงไดอาน่า เรื่องพิธีบูชาแม่น้ำคาเรียส เจ้าชายเซเวียร์ยืนอยู่เคียงข้างกาเบรียลใต้เงาไม้ พระเนตรจับจ้องภาพสองสาวน้อยกับกริฟฟอน ก่อนจะหันกลับมาสบตาบุตรชายแห่งตระกูลซิลเวนัส
“ข้าคิดว่าเจ้ากำลังจะกระโจนลงมาทับพวกเราทั้งหมดเสียอีก” พระองค์แย้มสรวลบาง ๆ กาเบรียลหัวเราะน้อย ๆ เสียงของเขาแหบต่ำแต่ฟังชัดเจน
“ถ้าข้าตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริง ๆ …เราคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้กันหรอก เจ้าชาย…ข้าแน่ใจว่าแม้แต่กริฟฟอนของข้าก็รู้จักกฎราชสำนักดีพอ” เซเวียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วถามต่ออย่างจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“มันเชื่องกับทุกคนแบบนี้หรือเฉพาะคนในตระกูลของเจ้า?” กาเบรียลหันไปมองกริฟฟอนที่นอนหลับตาอยู่ใกล้ ๆ น้องสาวทั้งสองของเขา
“ไม่เชื่องหรอก…มันเพียงแค่ ยอมรับ พวกเรา...ปกติแล้วสัตว์แบบนี้ไม่ทำตามคำสั่ง… มันเลือกเองว่าจะแสดงความเคารพต่อใคร” เขาหันกลับมามองเซเวียร์ แววตาของกาเบรียลเฉียบคมขึ้นเล็กน้อย “เช่นเดียวกับป่า…เช่นเดียวกับแม่น้ำสายหลักของที่นี่ ไม่มีสิ่งใด ‘รับใช้’ เรา แต่เราอยู่ได้เพราะมัน ยอมให้เราอยู่ร่วมกับมัน”
เจ้าชายเซเวียร์พยักหน้าช้า ๆ ริมพระโอษฐ์ขยับยิ้มบาง
“งั้นคำเล่าขานที่ว่าตระกูลของเจ้าจะถูกเลือกโดยสัตว์วิเศษพวกนั้นก็เป็นความจริง…” กาเบรียลมองพระองค์ด้วยรอบยิ้มเยาะที่มุปาก
“แต่ข้าชอบให้มันเป็นเพียงเรื่องเล่านะ เจ้าชาย” เสียงใบไม้ไหวผ่านเบา ๆ และใต้เงาไม้แห่งเอธาเลียห์ กริฟฟอนนอนสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ให้เซลีนลูบแผงคอของมันราวกับเธอกำลังกล่อมมันให้หลับ ในขณะที่ฟีบัสนอนเอนหลังพิงกลางลำตัวของมัน


แสดงความคิดเห็น