บทที่ 433: แกล้งตาย

-A A +A

บทที่ 433: แกล้งตาย

“เพราะเหตุใดเจ้าคะ?” เซียวถังถังขมวดคิ้ว “ข้าพูดความจริง ท่านอาจารย์ ถ้าท่านไม่เชื่อข้า ท่านสามารถไปถามคนอื่นหรือไปที่เมืองหลวงเพื่อหาคำตอบด้วยตัวท่านเองได้…”

นางได้ยินคำพูดพวกนั้นมาจากคนรอบข้างตั้งแต่เด็กแล้ว ทำไมนางถึงพูดแบบนั้นไม่ได้ล่ะ?

“เจ้าเด็กนี่!” เจียงเหยารู้สึกโมโหมากจนทำอะไรไม่ถูก “ถ้าเจ้ากลับไปถึงเมืองหลวง อย่าได้บอกใครนะว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าไม่มีลูกศิษย์ที่โง่เขลาเช่นเจ้า!” 

หญิงสาวหัวเราะแห้ง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ “ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว ไป๋ไป่กับข้าเข้าศึกษาที่หุบเขาหมอเทวดาพร้อมกัน แม้ว่าข้าจะไม่พูด แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าข้าเป็นลูกศิษย์ของท่าน”

ผู้เป็นอาจารย์ยกมือขึ้นกุมขมับทันที “...ทำไมในเวลาเช่นนี้สมองของเจ้าถึงได้ปราดเปรื่องยิ่งนัก”

เนื่องจากนิสัยของเซียวถังถัง บรรยากาศโดยรอบจึงผ่อนคลายลงมาก

มู่ไป๋ไป่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาจารย์กังวลว่าเจ้าจะทำให้พี่ชายของเจ้าเดือดร้อน เจ้ารู้ประโยคที่ว่า ‘บารมีสูงข่มนาย*’ หรือไม่?”

*บารมีสูงข่มนาย เป็นวลีที่มีความหมายว่า ขุนนางที่มีความดีความชอบหากไม่รู้จักนอบน้อมถ่อมตน ก็จะทำให้ผู้ปกครองแผ่นดินเกิดความหวาดระแวง

“พี่ชายของเจ้าคืออ๋องเซียวที่ได้รับการแต่งตั้งจากอดีตฮ่องเต้ เขาได้รับสถานะนี้ก็เป็นเพราะว่าเขาช่วยชีวิตอดีตฮ่องเต้เอาไว้ แต่ว่ามนุษย์นั้นมีสัญชาตญาณเหมือนสัตว์ที่ลืมเลือนเรื่องต่าง ๆ ได้เร็ว อดีตฮ่องเต้ทรงสวรรคตไปนานหลายปี และเสด็จพ่อของข้าขึ้นครองราชย์บนบัลลังก์เป่ยหลงมานานแล้ว”

“พี่ชายของเจ้าเอาแต่ท่องทัศนาจรอยู่ด้านนอกตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกระแวงสงสัย เรื่องนี้เสด็จพ่อของข้าอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ขุนนางในท้องพระโรงอาจไม่ได้คิดอย่างนั้น”

“เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์จึงบอกให้เจ้าอย่าเที่ยวไปบอกเช่นนั้นต่อหน้าคนอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเอาเปรียบจากคนที่มีเจตนาไม่ดี แล้วสมองอย่างเจ้าจะไปจัดการกับคนพวกนั้นได้อย่างไรกัน?”

ดวงตาของเซียวถังถังเบิกกว้างด้วยความตกใจทันที “เป็นเช่นนี้นี่เอง ท่านอาจารย์ คราวหน้าท่านก็บอกข้าดี ๆ สิ ทำไมต้องตีหัวข้าแถมยังบอกอีกว่าข้าไม่ใช่ลูกศิษย์ของท่าน”

“ถึงแม้ว่าสมองของข้าจะไม่ได้ปราดเปรื่องเหมือนนาง แต่ข้าก็ยังเป็นคนที่เชื่อฟังมาตลอด โดยเฉพาะคำพูดของไป๋ไป่!”

“ตอนนี้ไป๋ไป่ได้อธิบายให้ข้าเข้าใจชัดเจนแล้ว ในอนาคตข้าจะระมัดระวังคำพูดให้มากกว่านี้” 

“คงจะดีไม่น้อยหากการกลับเมืองหลวงของพวกเจ้าในครั้งนี้จะราบรื่นเป็นไปด้วยดี” เจียงเหยาพูดจบแล้วก็หยิบของ 2 ชิ้นออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะส่งชิ้นหนึ่งให้เซียวถังถัง ส่วนอีกชิ้นส่งให้มู่ไป๋ไป่

“หากพวกเจ้าเกิดปัญหาอะไร อาจารย์หวังว่าของ 2 สิ่งนี้จะช่วยเหลือพวกเจ้าได้ในยามคับขัน นี่เป็นชั่วโมงเรียนสุดท้ายที่อาจารย์จะสอนพวกเจ้า”

“สิ่งนี้คืออะไรเจ้าคะ?” เซียวถังถังหยิบขวดกระเบื้องสีดำขึ้นมาแล้วเปิดออกด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ท่านอาจารย์ นี่คือยาที่ท่านทำขึ้นมาใหม่ใช่หรือไม่?”

พอเจียงเหยาได้ยินลูกศิษย์พูดเช่นนี้ ท่าทางขึงขังของนางก็อ่อนลง “ฮึ การสอนของข้าไม่นับว่าไร้ประโยชน์เสียทีเดียว”

เซียวถังถังหัวเราะเบา ๆ และไม่ยอมรับว่ามันเป็นเพียงการคาดเดาของนาง

“นี่คือยาใหม่ที่ข้าปรุงขึ้นตามเทียบยาหลิวกวงของสำนักตระกูลถัง ยาชนิดนี้สามารถทำให้คนคนหนึ่งแสดงอาการป่วยร้ายแรงได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ” ผู้เป็นอาจารย์อธิบายสรรพคุณของยาที่ตนปรุงขึ้นมา

“เอ๋? มีของดี ๆ แบบนี้ด้วย!” ดวงตาของเซียวถังถังเป็นประกาย แล้วนางก็หยิบยาเม็ดมาใส่ปากตัวเองเพื่อทดลอง

เจียงเหยาตกตะลึงกับการกระทำของอีกฝ่าย แต่มันก็สายเกินไปที่จะห้ามนาง

แต่โชคดีที่มู่ไป๋ไป่ซึ่งอยู่ด้านข้างจับตาดูศิษย์น้องเอาไว้ตลอดจึงห้ามนางได้ทันท่วงที

“เหลวไหล! ทำไมเจ้าถึงต้องเอาทุกอย่างเข้าปากไปเสียหมด” เจียงเหยารู้สึกโมโหมากจนหน้าของนางเปลี่ยนสี “นี่ไม่ใช่ขนมนะ เจ้าจะกินมันเข้าไปโดยตรงได้อย่างไร”

เซียวถังถังตกตะลึงไปทันทีก่อนจะเกาหัวตอบว่า “ท่านอาจารย์ ถ้าท่านกล้ามอบยาขวดนี้ให้ข้า มันย่อมไม่ใช่พิษ… ข้าคิดว่ามันไม่มีพิษ แล้วจากที่ท่านอาจารย์บอกสรรพคุณของมันก็ฟังดูน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ข้าจึงเพียงแค่อยากจะลองดู”

ตอนที่หญิงสาวอยู่ในหุบเขาหมอเทวดา นางประสบปัญหามานานหลายปี

ประเด็นสำคัญก็คือ ทุกครั้งที่นางประสบปัญหา มันจะก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วหุบเขา

หลังจากที่ต้องทนทรมานจากนางมานาน ทุกคนในหุบเขาหมอเทวดาจึงได้สร้างกฎที่ไม่ได้บัญญัติเอาไว้ขึ้นมา นั่นก็คือ ห้ามมอบของมีพิษให้กับเซียวถังถังเด็ดขาด

มิฉะนั้น พวกเขาเกรงว่าวันหนึ่งพวกเขาอาจจะต้องหลับไปอย่างกะทันหันถึงขั้นไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

เซียวถังถังเองก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อนางได้รับยาจากผู้เป็นอาจารย์ นางก็คิดว่าสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นจะต้องเป็นเพียงแค่ยาที่มีผลแปลก ๆ เหมือนที่เหล่าศิษย์ในหุบเขามอบให้นาง

  “นั่นมันคนละเรื่องกัน!” เจียงเหยาพยายามยั้งมือตัวเองไม่ให้ตีลูกศิษย์เจ้าปัญหา “ข้ายังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำ หลังจากกินยาเม็ดนี้เข้าไปแล้ว 7 วันแรกจะทำให้คนผู้นั้นดูเหมือนเป็นโรคที่รักษาไม่หาย มันสามารถตรวจพบได้จากทั้งใบหน้าและชีพจร แล้ววันที่ 7 ร่างกายจะอยู่ในภาวะหลับใหลคล้ายกับตายไปแล้ว”

“แกล้งตายอย่างนั้นหรือ?” มู่ไป๋ไป่เลิกคิ้วขึ้น เธอเคยเห็นยาประเภทนี้ในตอนที่อ่านนิยาย แต่เธอไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริง

“ใช่” จากนั้นเจียงเหยาก็หันไปหาลูกศิษย์คนโตและชี้ไปที่ขวดกระเบื้องสีขาวเล็ก ๆ ในมือของอีกฝ่าย “หากเจ้าอยากจะปลุกคนที่แกล้งตายให้ฟื้นขึ้นมา เจ้าจะต้องใช้ยาในมือของเจ้า ไม่อย่างนั้น หากเวลาผ่านไปนานเกิน 3 วัน คนที่แกล้งตายก็จะต้องตายจริง ๆ”

“ไม่เพียงเท่านั้น ยาตัวนี้ยังเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก แม้ว่าจะกินยาถอนพิษแล้ว แต่คนผู้นั้นจะต้องนอนพักรักษาตัวอีกหลายวันกว่าจะหายเป็นปกติ”

เซียวถังถังมองไปยังยาเม็ดเล็ก ๆ ในมือของตัวเองที่เกือบจะกินเข้าไป แล้วก็ถอนหายใจหนัก ๆ “นี่มันเป็นยาพิษชัด ๆ!”

เจียงเหยามองอีกฝ่ายและตอบว่า “ใช่แล้ว เจ้าควรเก็บมันไว้ให้ดี อย่าเผลอเอามันไปกินแทนขนม ถ้าไป๋ไป่ไม่ได้อยู่ใกล้เจ้า เจ้าคงทำได้เพียงแค่นอนรอความตายเท่านั้น”

เซียวถังถังรีบส่งขวดยาไปให้ศิษย์พี่ใหญ่เหมือนเผือกร้อน “ช่างเถอะ ท่านอาจารย์ ท่านไม่รู้หรือว่าข้ามีนิสัยเป็นอย่างไร สมองข้านั้นลืมเร็วจะตาย ถ้าเก็บมันเอาไว้ ข้าจะเผลอไปหยิบมันมากินเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

“หรือไม่ข้าอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเก็บยานี้ไว้ที่ไหน… ท่านควรให้ไป๋ไป่เก็บมันไว้ทั้ง 2”

“คงจะดีไม่น้อยถ้ายา 2 ขวดนี้อยู่กับนาง!”

“เหลวไหล!” เจียงเหยาตีหัวลูกศิษย์คนรองอีกครั้ง “ค่าจัดการเรื่องนี้เพราะข้ามีเหตุผล เจ้าเก็บมันเอาไว้กับตัว ถ้าเจ้ายังพูดจาไร้สาระอีก ข้าจะปล่อยให้พี่ชายของเจ้าจัดการเจ้าซะ!”

“...” เซียวถังถังปิดปากเงียบทันที

“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านอาจารย์” มู่ไป๋ไป่รีบยัดขวดยาใส่มือศิษย์น้องกลับไป “เราจะเก็บขวดยาทั้ง 2 นี้เอาไว้ให้ดี และข้าจะคอยดูแลถังถังเอง”

ในที่สุดเจียงเหยาก็ทำหน้าโล่งใจหลังจากได้ยินสิ่งที่ลูกศิษย์คนโตพูด “ไป๋ไป่ ข้ามั่นใจในตัวเจ้า ไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อเจ้ากลับไปถึงเมืองหลวงครั้งนี้ พวกเจ้าทั้ง 3 คนจะต้องดูแลกันและกัน”

“โดยเฉพาะหวานหว่าน… อาจารย์ขอฝากนางไว้กับพวกเจ้าทั้ง 2 หากนางทำตัวไม่ดีหรือไม่ชั่วฟังพวกเจ้า ในฐานะศิษย์พี่ พวกเจ้าสามารถสั่งสอนนางได้เต็มที่”

อวี้หวานหว่านเบะปากทำหน้าน่าสงสารเมื่อได้ยินคำพูดของแม่ตัวเอง “ท่านแม่ ท่านยังเป็นแม่ของข้าอยู่หรือไม่?”

“ฮึ พูดอะไรของเจ้า?” เจียงเหยาพูดเสียงเกรี้ยวกราด แต่แววตาของนางกลับเต็มไปด้วยความลังเล “หวานหว่าน เจ้าต้องเชื่อฟังสิ่งที่ศิษย์พี่พูด เข้าใจหรือไม่?”

“พอถึงวันที่งานเลี้ยงสิ้นสุดลง พ่อกับแม่จะเดินทางมารับเจ้าออกจากเมืองหลวง”

อวี้หวานหว่านพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและตอบว่า “เจ้าค่ะ”

“ท่านอาจารย์ หากท่านกับอวี้เซิ่งต้องการที่พัก ท่านก็สามารถไปที่หอไป่เฉ่าได้ตลอดเวลา” มู่ไป๋ไป่รู้ว่าตอนนี้เธอช่วยอะไรอีกฝ่ายได้ไม่มากนัก

“เถ้าแก่หอไป่เฉ่าเป็นสหายของข้า เพียงแค่ท่านบอกชื่อของข้าไป…”

“คนของสำนักตระกูลถังไม่มีทางรามือง่าย ๆ แน่ ดังนั้นการเดินทางหลังจากนี้พวกท่านต้องระวังตัวให้มาก ๆ”

“ฮึ คราวที่แล้วพวกมันแค่โชคดีเท่านั้น” จู่ ๆ ก็มีเสียงเกียจคร้านดังมาจากบนหลังคา “ถ้าข้าโดนคนของสำนักตระกูลถังจับได้อีก ชื่อเสียงของข้าในฐานะนักฆ่าอันดับ 1 คงจะป่นปี้”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.