บทที่ 254: พิธีปลุกห้องเจ้าสาวของอวี้เซิ่ง
มู่ไป๋ไป่ที่กำลังแอบฟังอยู่มีความรู้สึกผสมปนเปในใจ
เธอไม่ได้คาดคิดว่าท่านเจ้าหุบเขากับภรรยาจะปกปิดนิสัยของตัวเองได้มิดชิดขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม เธอยังสามารถเข้าใจความคิดของคนทั้ง 2 ได้ เจียงเหยาแต่งงานกับอวี้เซิ่งซึ่งทำงานให้กับฮ่องเต้ และยังยอมรับเธอซึ่งเป็นถึงองค์หญิงในราชวงศ์ปัจจุบันเป็นลูกศิษย์ของนางอีก
ดูเหมือนว่าตอนนี้เจียงเหยาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนักอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ทุกคนรู้ดีว่าสิ่งที่ยุ่งยากมากที่สุดในโลกคือการเข้าไปเกี่ยวข้องกับราชสำนัก
“ทำไมไป๋ไป่ถึงยังอยู่ที่นี่ล่ะ?” หลังจากที่พวกอาวุโสทั้ง 2 กระซิบพูดคุยกัน พวกเขาก็หันกลับมาเห็นมู่ไป๋ไป่ยืนอยู่ด้านข้างจึงทำสีหน้าไม่สบายใจขึ้นมา “เจ้าไม่ไปร่วมพิธีมงคลหรือ?”
เด็กหญิงส่ายหัวเบา ๆ พลางตอบเสียงหวานว่า “พวกเราได้ร่วมพิธีในเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้อยากเข้าร่วมอีกครั้ง ท่านเจ้าหุบเขา ฮูหยินท่านเจ้าหุบเขาไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ ถ้าพี่อวี้เซิ่งกล้าผิดคำสาบานกับท่านอาจารย์ ข้าจะจัดการเขาเอง!”
“ถึงแม้ว่าข้าจะยังเป็นเด็ก แต่ข้าก็เป็นถึงองค์หญิง!”
“เพียงแค่ข้าเอ่ยปาก ท่านพ่อของข้าก็จะตัดหัวเขาทันที”
คำพูดที่แกล้งทำเป็นขึงขังของมู่ไป๋ไป่ทำให้เจ้าหุบเขากับภรรยาต้องหลุดหัวเราะออกมา
แม้ว่าทั้งคู่จะรู้ว่าสิ่งที่คนตัวเล็กพูดนั้นอาจจะเป็นเพียงความคิดของเด็ก แต่พวกเขาก็รู้สึกผ่อนคลายความกังวลในใจได้มากจริง ๆ
ถูกต้อง เจียงเหยารับลูกศิษย์ 2 คนโดยที่คนหนึ่งเป็นองค์หญิง ส่วนอีกคนเป็นท่านหญิง
จากนี้ต่อไป หากอวี้เซิ่งคิดจะทำสิ่งใด เขาก็จะต้องไว้หน้าลูกศิษย์ทั้ง 2 และเขาคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแน่นอน
แล้วพิธีสมรสก็ดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หลังจากส่งคู่บ่าวสาวเข้าหอเรียบร้อยแล้ว แขกเหรื่อทุกคนก็ร่วมฉลองงานเลี้ยงกันในหุบเขา
ไม่นานท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง อวี้เซิ่งซึ่งเดินมาส่งแขกกลับเสร็จแล้วก็เดินกลับไปที่เรือนหอหลังใหม่อย่างกระวนกระวาย
“เหยาเหยา… ข้าเข้าไปได้หรือไม่?” ชายหนุ่มลูบมือตัวเองด้วยความกังวล เขารู้สึกประหม่ายิ่งกว่าตอนที่เขาต้องลงมือฆ่าใครครั้งแรกเสียอีก
แม้ว่าเขากับเจียงเหยาจะผ่านพิธีสมรสในเมืองหลวงมาแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยเข้าหอเลย
ดังนั้นคืนนี้จึงเป็นเหมือนคืนแต่งงานที่แท้จริงของทั้งคู่
“เข้ามา” เสียงสดใสของหญิงสาวดังมาจากด้านหลังเงาเทียนสีแดง ซึ่งมันช่วยขจัดความกังวลใจของคนที่อยู่ด้านนอกไปทันที
จากนั้นอวี้เซิ่งก็ผลักเปิดประตู ท่ามกลางแสงเทียนริบหรี่ เจียงเหยาซึ่งสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงกำลังนั่งรออยู่ข้างเตียงเงียบ ๆ
“ข้าทำให้เจ้ารอนานแล้ว” ชายหนุ่มปิดประตูแล้วเดินเข้าไปหาภรรยาสาว “เจ้าหิวหรือไม่ ข้าบอกให้ถังถังเอาของว่างมาเตรียมไว้ให้เจ้า เจ้ายังไม่ได้แอบกินพวกมันใช่หรือไม่”
“ข้าไม่หิว” ความสุขในน้ำเสียงของเจียงเหยาเริ่มมีมากขึ้น “แล้วท่านล่ะ? ท่านไม่เมาเหมือนครั้งที่แล้วใช่หรือไม่?”
ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจัดพิธีสมรสในเมืองหลวง อวี้เซิ่งก็ถูกเซียวถังอี้และคนอื่น ๆ มอมสุราจนเดินแทบไม่ตรง ตอนที่เขากลับเข้าไปในเรือนหอ เขาก็ไม่มีแรงแม้แต่จะถอดผ้าคลุมหน้าของนางด้วยซ้ำ พอเข้ามาในห้องหอ เขาก็ผล็อยหลับไปไม่สนใจเจ้าสาวเลย
“อะแฮ่ม…” อวี้เซิ่งจำประสบการณ์ครั้งล่าสุดของเขาได้ดีจึงรู้สึกกระดากอายขึ้นมาและตอบเสียงเบาว่า “ไม่ ครั้งนี้ข้าได้รับบทเรียนแล้ว ข้ายังปฏิเสธสุราที่พวกเขายื่นมาด้วย”
“ข้าบอกพวกเขาว่าข้าดื่มไม่เก่ง และแกล้งเมาให้พวกเขาตายใจ”
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้หุบเขาหมอเทวดาดูเหมือนจะกระตือรือร้นมากที่จะมอมสุราเจ้าบ่าว ยิ่งไปกว่านั้น สุราของที่นี่ก็เข้มมาก หากเขาไม่แสร้งเมาไปเสียก่อน สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ที่เกิดในวันนี้ก็คงจะจบลงเหมือนกับในเมืองหลวง
“ถ้าเช่นนั้นก็เปิดผ้าคลุมหน้าสิ” เจียงเหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองดูเงาของสามีที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“อ๋อ ใช่แล้ว” อวี้เซิ่งพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบก้าวเข้าไปค่อย ๆ เปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงออก
ขณะนี้ในเรือนหอเงียบมาก เสียงเดียวที่ได้ยินก็คือเสียงลมพัดที่ทำให้เทียนวูบไหว
ภายใต้แสงเทียนสีแดง คู่บ่าวสาวต่างมองหน้ากันด้วยความรู้สึกประหม่า ประกอบกับบรรยากาศก็กำลังดีมาก
ขณะเดียวกัน ด้านนอกเรือนหอ มู่ไป๋ไป่เอียงคอจนลำตัวแทบจะแนบกับประตู “แปลก ทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย”
“องค์หญิงหก ทำไมพวกเราถึงต้องมาแอบฟังอยู่ที่นี่ล่ะ?” จื่อเฟิงที่กำลังแทะขาหมูที่เขาคว้ามาจากในงานเลี้ยงฉลองเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่น้ำมันเปื้อนเต็มปากกว้าง “งานเลี้ยงยังไม่จบ หากพระองค์ไม่รีบกลับไป อาหารก็จะเย็นเสียก่อน”
“กิน ๆๆ ท่านนี่ก็รู้จักแต่กิน!” มู่ไป๋ไป่หันหน้าไปกลอกตามองบนใส่อีกฝ่าย
เธอบอกท่านเจ้าหุบเขากับภรรยาก่อนหน้านี้ว่าเธอจะไม่เข้าร่วมงานฉลอง แต่นั่นเป็นการโกหกทั้งหมด
ครั้งสุดท้ายตอนที่เธออยู่ในเมืองหลวง เธอพร้อมที่จะไปช่วยทำพิธีปลุกห้องเจ้าสาว*ของอวี้เซิ่งและเจียงเหยา
*ปลุกห้องเจ้าสาว (闹洞房) เป็นวิธีการหนึ่งที่แขกในงานกระทำต่อคู่บ่าวสาวอย่างสนุกสนานครื้นเครงเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีวิญญาณร้ายหรือสิ่งไม่ดีมาทำลายการสมรสของคู่บ่าวสาว ทั้งนี้หากต่างพื้นที่ ต่างประเพณี การปลุกห้องเจ้าสาวก็จะแตกต่างไปด้วย
ผลสุดท้ายก็คือ เซียวถังอี้มาหิ้วคอเสื้อเธอแล้วโยนเธอไปให้ท่านพี่รัชทายาทที่อยู่ในระหว่างเดินทางกลับ
โชคดีที่เธอได้ยินว่าอวี้เซิ่งเมาจนไร้สติ สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครได้ทำอะไรในคืนเข้าหอ ดังนั้นเธอจึงรู้สึกโล่งใจมากขึ้น
คราวนี้เธอจะทิ้งโอกาสดี ๆ ไปได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้เธอไปเข้าร่วมงานเลี้ยงพร้อมกับท่านเจ้าหุบเขาและภรรยา จากนั้นเธอก็แอบย่องออกมาเงียบ ๆ
“ก็ตอนนี้มีงานเลี้ยงมงคลสมรส แล้วเราที่เป็นแขกจะทำอะไรได้อีกนอกจากกิน?” จื่อเฟิงที่ถูกต่อว่าพูดขึ้นด้วยความงุนงง “ก็มันไม่มีอะไรทำแล้วจริง ๆ นี่นา”
“ชู่ววว ลดเสียงลงหน่อย” หลัวเซียวเซียวยกนิ้วชี้ขึ้นจรดปาก “ท่านอยากให้พี่อวี้เซิ่งกับแม่นางเจียงได้ยินหรืออย่างไร?”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าและอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัยออกไปว่า “แล้วองค์หญิงมาที่นี่เพื่ออะไรล่ะ?”
“อืม…” หลัวเซียวเซียวคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบด้วยความเข้าใจอันน้อยนิดที่นางมี “องค์หญิงคงอยากจะมาร่วมพิธีปลุกห้องเจ้าสาว”
“พิธีปลุกห้องเจ้าสาว?” จื่อเฟิงมีท่าทางกระตือรือร้น “พิธีปลุกห้องเจ้าสาวหมายความว่าอย่างไร มันคืออะไรหรือ ข้าเองก็อยากรู้ตั้งแต่ตอนที่แม่สื่อประกาศส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอแล้ว”
“ข้าหันไปสอบถามหลายคนแล้วว่ามันคืออะไร แต่ก็ไม่มีใครบอกข้าเลย”
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ฟังบทสนทนาของเด็กทั้ง 2 ก็รู้สึกเอือมระอา ใครจะไปกล้าตอบคำถามเขากัน
นี่มันเป็นยุคโบราณ! นอกจากนี้จื่อเฟิงยังดูเด็กมาก ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใหญ่คนใดกล้าพูดเรื่องนี้กับเขา
“เงียบ” คนตัวเล็กหันไปจ้องทั้ง 2 เขม็ง “ถ้าพวกเจ้ายังเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระอยู่ พรุ่งนี้พวกเจ้าจะต้องงดของว่าง ตอนนี้อยู่เงียบ ๆ กันไปก่อน!”
จื่อเฟิงสะดุ้งสุดตัวเมื่อนึกถึงสภาพน่าสังเวชของเจ้าส้มที่ถูกงดขนมไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาจึงรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วกอดขาหมูของตัวเองพลางถอยกลับเข้าไปในสวน
กลับมาภายในห้อง อวี้เซิ่งกับเจียงเหยาเพิ่งแลกกันดื่มสุรามงคลเสร็จก็ได้ยินเสียงบางอย่างพร้อมกัน
“เจ้า… ได้ยินเสียงแปลก ๆ หรือไม่?”
“ข้าได้ยิน… วันนี้ในหุบเขาค่อนข้างลมแรง คงจะเป็นเสียงลมกระมัง”
อวี้เซิ่งเหลือบมองไปด้านนอกห้องหออย่างไม่แน่ใจ มันจะเป็นเสียงลมจริง ๆ หรือ?
ทำไมเขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของมู่ไป๋ไป่?
แต่วันนี้เป็นคืนส่งตัวเข้าหอของพวกเขา เขาจึงไม่อยากคิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องภายนอก ดังนั้นเขาจึงหันความสนใจไปหาหญิงสาวตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
ภายใต้แสงเทียนสีแดง บนผ้าห่มที่ปักลวดลายมังกรและหงส์มีลำไยและเม็ดบัวโรยเอาไว้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการให้กำเนิดเด็ก
ใบหน้าของอวี้เซิ่งพลันเห่อร้อนขึ้นยามที่ได้เห็นมัน ก่อนที่เขาจะกระแอมไอเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “อะแฮ่ม วันนี้เราเหนื่อยมากแล้ว เราควรพักผ่อนกันให้เร็วหน่อยดีหรือไม่?”
ดวงตาของเจียงเหยาเป็นประกายแล้วใบหน้าของนางก็แดงจนถึงหูขณะที่นางตอบรับ “อืม…”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปเอาน้ำร้อนมาให้เจ้า” ชายหนุ่มกล่าวจบแล้วก็หันหลังเตรียมจะเดินออกไป
เมื่อเจียงเหยาเห็นดังนี้ นางก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร แต่ก่อนที่จะทันได้คิดอะไร นางก็คว้าตัวของเขาเอาไว้
“อวี้เซิ่ง ท่านช่างกล้าหาญยิ่งนัก นี่มันคืนส่งตัวเข้าหอไม่ใช่หรือ?”
“หรือท่านไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร ต้องให้ข้าบอกหรือ?”
“ข้าจะไม่ทำได้อย่างไร!” อวี้เซิ่งรวบรวมความกล้าหันกลับมาเผชิญหน้ากับภรรยาสาว “ข้าเพียงคิดว่าหลังจากเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน เจ้าคงจะล้ามาก ข้าจึงอยากให้เจ้าแช่น้ำร้อนผ่อนคลายสักหน่อย”
“ส่วนเรื่องการส่งตัวเข้าหอนั้นไม่ได้เร่งรีบ...”
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ที่กำลังแอบฟังอยู่ด้านนอกประตู ในที่สุดก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างคู่บ่าวสาว ก่อนที่เธอจะส่ายหัวเบา ๆ พร้อมกับทำหน้ายับย่น “สมองของอวี้เซิ่งมีปัญหาหรืออย่างไร? เขาขี้ขลาดชะมัดเลย!”


แสดงความคิดเห็น