ตอนที่ 2 .. “ ความฝันหรือความจริง ”

องค์หญิงใบ้ กับ เจ้าชายยาจก

-A A +A

ตอนที่ 2 .. “ ความฝันหรือความจริง ”

ฟังเพลงเพราะๆ ประกอบ นิยาย องค์หญิงใบ้ กับ เจ้าชายยาจก

     เป็นเพียงความบันเทิงในการฟังเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ รวมถึง เหตุการณ์ของตัวละครในนิยาย เพื่อให้เกิดอรรถรสในการอ่านเท่านั้น ไม่ได้มีผลใดๆกับทางการค้าทั้งสิ้น

ด้วยความเคารพผู้ประพันธ์นิยาย .. มัชฌิมา

ด้วยลมหายใจ - พลพล

https://www.youtube.com/watch?v=CutD38UXOK4

ขอขอบคุณ คุณพลพล พลกองเส็ง จาก ค่าย แกรมมี่ ที่เอื้อเฟื้อเพลงให้มาประกอบในนิยาย

Romance Fiction - นิยายรัก / รักโรแมนติก

ตอนที่ 2 .. “ ความฝันหรือความจริง ”

     ณ.พระราชวังหลวง ( ตำหนัก บุษบง ) เสด็จพ่อขององค์หญิงใบ้ ได้โทรนัด ชุ่ม นายตำรวจใหญ่ นายหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกน้องเก่าแก่ ให้มาทำคดีนี้ โดยเขาได้พานายตำรวจหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ ผู้กอง เมืองราม มาด้วย เพื่อมอบหมายหน้าที่ให้ทำคดีนี้ โดยจะทำแบบลับๆ เพื่อไม่อยากให้คนที่บงการรู้เรื่อง เพราะตอนนี้ไว้ใจใครไม่ได้

“ไว้ใจได้เลยกระหม่อม” นายตำรวจผู้นั้น ได้กล่าวให้เสด็จฯ ไม่ต้องกังวลใดๆ

“กระหม่อมได้พามือดี ที่กระหม่อมไว้ใจเป็นอย่างที่สุด มาให้แล้ว พะยะค่ะ” นายตำรวจมั่นใจเป็นที่สุด

“นี่ครับ” แล้วก็แนะนำตัวนายตำรวจผู้นั้น            

“ผู้กอง เมืองราม นายตำรวจ ฝีมือดีที่สุดในตอนนี้” เสด็จฯ เอื้อมมือไปกุมมือ เมืองราม

“ฝากด้วยนะพ่อหนุ่ม ฉันมีลูกสาวคนเดียว ทำยังไงก็ได้ ที่ทำให้ฉันทราบข่าวคราวของลูกหญิง”

“สบายใจได้เลยกระหม่อม กระผมจะทำให้เต็มที่ อันดับแรก ผมขอ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดขององค์หญิง ไม่ว่าจะเป็นรูป ชื่อ วัน เวลา และ ที่สำคัญ สถานที่ครั้งสุดท้ายที่ได้หายตัวไป กระหม่อม” เมืองราม อธิบายให้ฟัง

“นี่ มันอยู่ในนี้ทั้งหมด และนี่ชื่อเพื่อนสนิทที่สามารถติดต่อได้ เผื่อจะมีประโยนช์อะไรกับเธอบ้าง”

“ดีเลยครับ หม่อมฉัน จะได้มีร่องรอยในการสืบหามากขึ้น เท่าที่ฟังท่านอธิบายมาให้เบื้องต้น สาวใช้สองคนที่อยู่ในเหตุการณ์ พอจะให้ปากคำกับผมได้ไหม กระหม่อม”

“ได้ซิ” แล้ว เสด็จฯ ก็ได้หันไปเรียกคนรับใช้แถวนั้น

“ใครก็ได้ ไปเรียกนางข้าหลวง แขไข กับ พิกุล มาซิ บอกว่า ฉันเรียกด่วน”

“เพคะ เสด็จฯ” แล้วสาวใช้คนนั้นก็วิ่งไปเรียก นางข้าหลวง สองคนนั้นมา

“เสด็จฯ เรียกหม่อมฉัน สองคนหรือเพคะ” พิกุล รายงานตัว

“ใช่ๆ นี่ผู้กอง เมืองรามนะ เค้าอยากรู้รายละเอียดบางส่วน ที่ลูกหญิงหายไป ยังไงแล้วเจ้าสองคนช่วย บอกเรื่องราวเท่าที่รู้ให้ผู้กองหน่อยนะ ยิ่งได้ข้อมูลมากเท่าไหร่ เค้าก็สามารถจะหาลูกหญิงได้เร็วขึ้น”

“เพคะ เสด็จฯ” ทั้งสองคนรับปาก แล้วทั้งสองสาวก็อธิบายเรื่องราวเท่าที่ตัวเองรู้ให้เมืองรามฟังจนละเอียด

“ขอบใจมากนะเธอทั้งสองบอกฉันได้ละเอียดมากแบบนี้ไม่ยาก เรื่องเกิดที่วัดแถวเมืองนนท์ ผมจะเริ่มที่นั่น”

ไม่นาน เมืองรามก็ขอตัวกลับ นายตำรวจผู้นั้นก็ลากลับด้วย สักพัก หม่อมก็เดินออกมาจากในครัว

“อ้าว กลับกันแล้วเหรอเพคะ ท่านพี่ น้องนึกว่า จะอยู่นาน ก็เลยมัวแต่จัดผลไม้ซะนาน”

“ไปแล้ว เมืองราม เค้ารีบไป ทำงานแบบนี้ดี เร็วดี พี่ชอบ”

“ใครกันคะ เมืองราม”

“อ๋อ นายตำรวจหนุ่มไฟแรง ชุ่ม เค้าพา เพื่อทำคดีนี้โดยเฉพาะ ดูหน่วยก้านแล้วไว้ใจได้”

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นนะเพคะ เสด็จฯพี่”

“ไม่น่าพลาด เพราะพี่บอกว่า ให้ทำยังไงก็ได้ ให้เต็มที่ วิธีใดที่คิดว่าจะตามหาตัวลูกหญิงได้ พี่เปิดไฟเขียวเต็มที่ เสียเท่าไหร่เสียไป ค่าใช้จ่าย พี่ไม่อั้น”

“หม่อมฉัน ขอบพระทัย เสด็จฯพี่ มากเลยเพคะ”

“ลูกเราทั้งคนนะน้อง มากกว่านี้พี่ก็เสียได้ ถ้ามันคุ้ม พี่หวังเอาไว้ว่า สักวันลูกคงจะกลับมาหาเรา เพียงแต่ว่า จะช้า หรือเร็ว มันก็เท่านั้น” แล้ว เสด็จฯ ก็ถอนหายใจ

“เอ้อ แล้วนี่มีใครแจ้งไปทางวังโน้นรึยังเรื่องนี้ ปาดนี้แล้วพี่ยังไม่เห็นมีใครติดต่อมาเพื่อจะช่วยติดตามหรือปรึกษาหารืออะไรกันเลยรึ”

“ตั้งแต่เช้า น้องก็ยังไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เลยเพคะ”

“เอ้อ แปลนะ เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ ทางโน้น เขานิ่งเงียบได้ยังไง ทีเรื่องผลประโยชน์ รีบมาหาทันที ไม่ไหวเลย แบบนี้สงสัยจะติดต่องานกันต่อไปไม่ได้เสียแล้ว” เสด็จฯ อารมณ์เสีย กับความเห็นแก่ตัวของวังโน้น

“ใจเย็นๆ เพคะ เสด็จฯพี่ เดี๋ยวโรคหัวใจจะกำเริบ” หม่อม เป็นห่วงพระสวามี

“ขอบใจมาก แต่ในบางครั้งพี่ก็ไม่เข้าใจนะว่า อดคิดไม่ได้ว่า เขาต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่”

“ระยะเวลาเท่านั้นเพคะ ท่านพี่ เราถึงจะสามารถรู้ได้ว่า ใครบ้างที่มีความจริงใจกับเรา”

“มันก็จริง เวลาเท่านั้นที่เราจะรู้ได้” เสด็จฯ ทำหน้าเครียด แล้วก็ลุกเดินหนีหายไปในสวน

***** ----- *****

10.00 น. ตามเวลาที่ ม.จ. วรุณยุภา หัสดี เห็นในนาฬิกาข้อมือของตัวเอง แล้วทำหน้าตาบูดบึ้ง เพราะนัดบริษัทโฆษณา เอาไว้เพื่อจะมาทำโฆษณาโปรโมท มูลนิธิเด็กด้อยพัฒนาทางสังคม แต่ต้องเริ่มอารมณ์เสียเพราะ มันเกินเวลามากแล้ว ระหว่างที่รอ บริษัทโฆษณา เมืองรามได้เข้ามาพอดี ยุภาก็นึกว่าใช่ไม่ทันได้ถาม เธอเล่นงาน เมืองรามเสียชุดใหญ่ จนทำให้เกือบเกิดเหตุเป็นเรื่องราวใหญ่โต

“สวัสดีครับ” เมืองรามเดินเข้ามาถามประชาสัมพันธ์

“ผมมาหา ม.จ. วรุณยุภา หัสดี ครับ ไม่ทราบว่า จะเจอได้ที่ไหนครับ”

“ท่าน อยู่ด้านบนชั้นสองค่ะ เดินขึ้นบันไดไปแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไป ห้องที่สองซ้ายมือนะคะ”

“ขอบคุณมากเลยครับ” เมืองราม ขอบใจประชาสัมพันธ์ แล้วก็เดินไปตามทางที่บอก

เมืองราม ได้เดินขึ้นไปตามทางที่คิดว่าใช่ แล้วก็ไปหยุดตรงห้องที่คิดว่าใช่ เขาอ่านชื่อที่หน้าห้อง และเมื่อเห็นว่าถูกต้อง เขาเคาะประตู < ก๊อกๆๆๆ > พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอ ข้าวของอะไรต่อมิอะไรปลิวว่อนไปหมด ลอยมาหาเขา เขาหลบไม่ทัน หนังสือเล่มหนึ่งโดนหน้าเขาเต็มๆ

“ไปให้พ้น จะมาอะไรตอนนี้ ไม่ตรงเวลา ออกไป ฉันไม่ชอบ” ยุภาไม่ได้ดูว่าใคร

“ขอโทษครับ ที่ผมไม่ได้นัดไว้ก่อน ผมไปก็ได้” เมืองราม รีบให้เสียงทันที

ยุภา หันไปดูว่าใคร แล้วเธอก็ต้องตกใจ เห็นนายตำรวจท่านหนึ่ง นั่งจุมปุ๊กอยู่กับพื้นห้อง สภาพดูไม่ได้เลย แล้วเธอก็เดินไปจูงมือขึ้นมา แล้วก็แปลกใจ ว่าเขาผู้นี้คือใคร เลยยิงคำถามแรกออกไป

“คุณเป็นใครคะ ดิฉันต้องขอโทษด้วยที่ทำอะไรลงไปเมื่อตะกี้ คือ ขอโทษด้วยก็แล้วกัน” ยุภา แสดงความรับผิดชอบ เมื่อรู้ว่าตัวเองผิด เมืองรามก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเข้าใจอารมณ์ผู้หญิง

“ไม่เป็นไรครับ” เขาเอามือปัดกางเกง ปัดเสื้อ แล้วก็ ยื่นมือขวาไปให้กับ ยุภาทันทีเพื่อแนะนำตัวเอง

“ผม ร้อยตำรวจเอก เมืองราม วรรณวัฒน์ ครับ” แล้วยุภา ก็ยื่นมือขวาออกไปรับไมตรี

“ยินดีเช่นกันค่ะ แล้วไม่ทราบว่า ผู้กองมีอะไรกับดิฉันเหรอคะ เชิญนั่งก่อน” แล้วก็ไม่ลืมที่จะเชิญนั่ง

“ผมได้รับมอบหมายจากเสด็จฯ เจ้าฟ้า ให้มาสืบคดีของ พระ พระอะไรนะ ชื่อยาวชิบ” เขาจำไม่ได้                  

“พระองค์เจ้าหญิง อรัญญิกา บุษบง” ยุภา ยกมือชี้ไปที่ ราม เพื่อช่วยเตือนความจำ    

“น่านแหละครับ < บ่นเบาๆ..ชื่ออะไรยาวแท้ > นั่นแหละครับใช่เลย” เมืองรามเอามือ เกาหัวตัวเอง

“อะแฮ่ม..ผู้กอง ดิฉันได้ยินนะคะ นินทาอะไรเพื่อนดิฉันรึคะ” ยุภา แซวผู้กอง จนหน้าแดงเลย

“เรียกผมว่า ราม ดีกว่าครับ ถือซะว่าเราเป็นเพื่อนกัน ถึงแม้ว่า อายุผมจะห่างจากคุณพอสมควร”

“ก็ได้ค่ะ งั้นเรียก ดิฉันว่า หญิงยุ แล้วกัน ตามคนอื่นทั่วไปจะได้ไม่สับสน ดีไหมคะ คุณราม” ยุภา ยิ้มให้

“ได้ครับ หญิงยุ” เมืองราม ก็ยิ้มกลับให้เช่นกัน

“เอาหละ ผมขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน” เมืองราม ก็เข้าประเด็น มีเสียงเคาะประตู < ก๊อกๆๆๆ >

แล้วประชาสัมพันธ์คนเดิมก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าประตู

“ คุณหญิงคะ ทีมโฆษณา ที่นัดไว้มากันแล้วค่ะ” เธอหันดูนาฬิกาที่ข้อมือ 11.30 น.

“บอกเขาไปว่าวันนี้ฉันมีธุระ ผิดเวลาเองช่วยไม่ได้” ยังไม่ทันที่ประชาสัมพันธ์จะเดินออกไป ก็มีเสียงหนึ่งเล็ดลอดเข้ามา ซึ่งน่าจะทำให้กวนโสตประสาท ยุภาดีแท้

“มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอครับ น้องหนู” แล้วเจ้าของเสียงก็เดินเข้ามา

ริชาร์ด ผู้กำกับหนังโฆษณาที่มากฝีมือ เป็นคนอารมณ์ดี ที่มีสาวๆ หมายปองมากมาย แต่กลับไม่สนใจใคร

“เสียมารยาท ที่สุด” ยุภา ลุกขึ้น พร้อมกับสบถคำอย่างดัง

“แล้วมันไม่จริงเหรอครับคุณน้อง คุณไม่ถามอะไรสักนิดเลยรึไง ว่าทำไมพวกผมถึงมาช้า” ยุภา ยังโกรธอยู่

“แล้วทำไมคุณไม่โทรมาบอกหละคะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ยุภาก็ยังคงเถียงกับ ริชาร์ด เธอยืนกอดอกแน่น

“ผมไม่มีเบอร์” ริชาร์ด ตอบตรงๆ ง่ายๆ

“อะไรนะ ไม่มีเบอร์ คุณตอบง่ายดีนะ ทำงานยังไง ไม่มีเบอร์ติดต่อ”

“ก็ผมไม่มีจริงๆ แล้วคุณจะมาเอาอะไรกะผมเนี่ย” ริชาร์ด ก็เริ่มวีนเหมือนกัน

“ปวีณา” ยุภา เรียกประชาสัมพันธ์

“ขาคุณหญิง”

“เธอติดต่อใคร ทำไมเขาถึงไม่มีเบอร์”

“ดิฉัน ติดต่อ เจ๊ไก่ ตามที่คุณหญิงบอกแล้วค่ะ แต่ที่มาเนี่ย ไม่ใช่ทีมของเจ๊ไก่ เค้าบอกว่า มาแทน”

“อะไรนะ มาแทน เจ๊ไก่นะเจ๊ไก่ เอาอีกแล้ว ส่งใครมาแทน ไม่เคยบอก ไม่เคยกล่าว”

“แล้วจะเอาไง ตกลงจะขอโทษผมไหมเนี่ย โดนใส่เป็นชุดเลย”

 ระหว่างนั้น แม้นมาศ นักข่าวสาวแสนซนที่ไม่ค่อยจะกลัวใครรุ่นน้องของ ม.จ.วรุณยุภา หัสดี ที่มหาวิทยาลัย เดินฮัมเพลงเข้ามา “อ้าว..เกิดอะไรกันขึ้น บรรยากาศมาคุ ชัดๆ” เธอหันไปมองหน้ายุภา

“ยังจะมาทะเล้นอีก ยัยเอ๋อ” ยุภา ว่าน้องสาว

“อ้าว พี่หญิง แล้วน้องจะรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ดูซินะ เกลื่อนกราดเต็มห้องไปหมดยังกะพายุลง”

“คุณกลับไปก่อนแล้วกัน วันนี้ฤกษ์ไม่ดีแล้ว” แล้วยุภาก็ เดินสะบัด (ก้น) กลับไปยืนที่โต๊ะ แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง อยู่ดีๆ ก็คว้ามือ เมืองราม และก็เดินออกไปเลยต่อหน้า ริชาร์ด

แม้นมาศ ยืนงง อยู่พักหนึ่งแล้วก็วิ่งตามยุภาออกไป “รอด้วย เจ๊” ปล่อยให้ริชาร์ดซึ่งกำลังยืนอารมณ์เสีย ทำอะไรไม่ถูก เดินลงมาข้างล่าง พวกลูกน้องเดินเข้ามาถามถึงเหตุการณ์ที่ดังลั่นเมื่อตะกี้

“เป็นไงบ้างเฮีย พายุลูกเมื่อกี้ ดูๆ แล้ว คงไม่ Happy นะ เพราะเมื่อตะกี้ผมเห็น คนสามคนเดินลงมาแล้วก็ขับรถออกไปเฉยเลย ไม่พูดไม่จา ตกลงมันยังไงกัน” เจ้าหมูตอนอ๊อด ถามลูกพี่เป็นชุด

“ไม่รู้โว๊ย” แล้วก็มองออกไปทางถนน ตามรถคันที่วิ่งออกไป “กลับ” แล้วก็บอกลูกน้องด้วยสีหน้าไม่ดี

“เจ๊ไก่ นะเจ๊ไก่ ต่อไปจะไม่ช่วยอะไรอีกเลย บอกอะไรก็บอกไม่หมด อะไรก็ไม่ให้มา ได้แต่ฝากจดหมายแล้วบอกให้มาที่นี่ เป็นไงหละ เจอดีเลยกรู..ไปกลับ” แล้วเขาก็นั่งรถออกไป

***** ----- *****

       ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แถวๆ ชานเมืองนนท์ ยุภาขอให้เมืองราม ขับรถพามาเพื่อให้พ้นกับชีวิตในเมือง และสิ่งที่รบกวนจิตใจอยู่เมื่อกี้ และผู้ติดตามที่ไม่อยากให้มาเลย ก็คือ แม้นมาศ

       “คุณหญิง อย่าคิดอะไรมากเลยครับ เขาก็ไม่ได้ตั้งใจ ผมเห็นคุณหญิง นั่งหน้ามุ่ยมาตลอดทาง ผมว่าไม่ดีเลยนะ หน้าสวยๆ บูดๆ แบบนี้ จะแก่เร็วเอานะ” สิ้นประโยคนั้น ยุภาหันไปจ้องหน้า เมืองราม

       “ปากจัดนะเราเนี่ย เราพึ่งรู้จักกันนะคะ ราม” ยุภา เผลอตัวเรียกชื่อแบบสนิทสนม ลืมตัวไปเลย

       “อ้าว หรือว่าไม่จริง จะเร็วจะช้า ยังไง เราก็คือเพื่อนกันแล้ว จริงไหม หญิงยุ” ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ เสมือนโลกนี้มีกันอยู่เพียงสองคน แม้นมาศ ก็เลยสะกิดพี่สาว

       “เจ๊ เจ๊ แหม ลืมอิฉันไปรึป่าว สวีทกันอยู่ได้สองคนเนี่ย อิฉันมีตัวตนนะเจ้าคะ นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้..เอ้า ว่ามา มันอะไรยังไงกัน บอกน้องมาซิ” แล้วยุภา ก้แนะนำ เมืองรามให้กับ แม้นมาศ ได้รู้จัก

       “นี่ ร้อยตำรวจเอก เมืองราม อดิศร ที่เสด็จพ่อขององค์หญิงรัน ให้มาทำคดีให้ ไม่ได้มาสวงสวีท อะไรอย่างที่แกคิดหรอก ยัยเพี้ยนเอ้ย” ยุภาแนะนำให้ แม้นมาศ รู้จักกับ เมืองราม

       “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ผู้กอง” แล้ว แม้นมาศ ก็แช็คแฮนกับ เมืองราม ทั้งคู่ยิ้มให้กัน

       “ส่วนนี่ก็ นางสาว แม้นมาศ นักข่าวเจ้าปัญหา แสนดื้อ” ยุภา บรรยายสรรพคุณให้เสร็จสรรพ

       “ที่ตามมาเนี่ย ก็คงจะเป็นเรื่องเดียวกัน ใช่ป่ะเจ๊” แม้นมาศ ยิงคำถามตรงเลย

       “ใช่ เพราะ รันพึ่งหายไปได้วันสองวันเอง คงจะตามหาอะไรไม่ยาก แต่ขออย่างเดียว อย่าพึ่งเอาข่าวไปลงว่า องค์หญิงแห่งวังบุษบงหายไป เดี๋ยวที่วังจะไม่สงบสุข ฉันอยากให้ตามสืบกันอย่างเงียบๆ”

       “ครั้งสุดท้ายที่องค์หญิงหายตัวไป ก็คือบริเวณวัดแถวๆ นนท์นี่แหละ” ยุภา กล่าวไปทานไป

       “แล้วครั้งสุดท้าย หญิงพอจะจำอะไรได้บ้างไหม” พูดเหมือนสนิทกันแล้ว

       “หญิงจำได้ว่า มีผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งประมาณ 4 คนตามไล่จับ องค์หญิงรันอยู่ มันแยกไปสองทาง หญิงกับนางข้าหลวงสองคนนั้น ไปคนละทาง ในงานเสียงมันดังมาก คนก็เยอะ จากนั้นก็เลยไม่เจอกันแล้ว”

       “งั้น เราต้องลองไปดูที่เกิดเหตุนะครับ เผื่อจะมีอะไรที่เป็นร่องรอยได้บ้าง”

       “ก็ดีนะพี่หญิง น้องจะได้ทำสกรู๊ปข่าวพิเศษเก็บเอาไว้ พอมีจังหวะดีๆ จะได้นำเสนอได้”

       “ผมว่าตอนนี้อย่าพึ่งทำอะไรให้มันกระโตกกระตากไป คนร้ายยังคงวนเวียนอยู่แถวนั้นแน่ ผมเชื่ออย่างนั้น ถ้าองค์หญิง ไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน” ยุภามองหน้า เมืองรามอีกครั้ง

       “ผมไม่ได้หมายความว่า เพื่อนหญิงเป็นอะไรอย่างนั้น” ยุภา ใช้นิ้วชี้ขวาชี้ไปที่หน้าเมืองราม แล้วขมุบขมิบที่ปาก แล้วก็ทานต่อ

       “จะว่าอะไรผมก็ว่ามาเถอะ ผมกลัวจะแย่แล้ว” แม้นมาศ มองหน้า เมืองราม แล้วก็ หันไปมองหน้า ยุภา

       “นี่ถ้าไม่บอกว่า พึ่งรู้จักกัน น้องคิดว่า เป็นแฟนกันนะเนี่ย ดูทำท่าทางกันเข้า ยังกะคนง้อ ขอคืนดี กันยังงั้นแหละ” แล้วยุภาก็ใช้มือซ้ายเขกกะโหลก แม้นมาศ พอประมาณ

       “ทานไป ถ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครเค้าคิดหรอกว่า แกเป็นใบ้หรอกนะ”

       เมืองรามแอบยิ้มและหัวเราะเบาๆ แม้นมาศ หันไปยิงฟันให้เมืองราม และก็เอามือลูบหัวตัวเอง

       “ถ้าอิ่มแล้ว เราไปกันเลยไหมครับหญิง” เมืองราม ถามเพื่อความมั่นใจ

       “ไปค่ะ มื้อนี้หญิงเลี้ยงเอง ถือว่า เพื่อมิตรภาพที่ รามมาช่วยเพื่อนของหญิง Ok ไหมค่ะ” ยุภาออกตัวแรงมาก

       “เครครับ แต่โอกาสหน้า ขอเป็นหน้าที่ ตำรวจไทยอย่างผมก็แล้วกันนะครับ”

       “ยินดีเจ้าค่ะคุณท่านทั้งสองเราจะไปกันได้รึยังคะ อิ่มแล้วอยากเดินย่อยเต็มทนแล้ว” แม้นมาศ ตัดบทซะดื้อๆ

       “ไป ยัยเอ๋อเอ๊ย” แล้วยุภาก็ลากน้องสาวตัวแสบไปทันที เมืองรามก็ยังไม่ยอมหุบยิ้มและหัวเราะ

***** ----- *****

       เวลาประมาณ 13.30 น. องค์หญิงเริ่มรู้สึกตัว เพ้อ มือไม้เปะปะ นอนกระสับกระส่าย คงจะฝันร้าย เหงื่ออกเต็มหน้าเต็มตัว พ่อของธวัช เห็นเข้าก็เลยเรียกเมียตัวเอง

       “แม่มึงเอ๊ย แม่มึง นังหนูมันรู้สึกตัวแล้ว เหงื่อ ออกเต็มเลยมาดูมันหน่อยซิ”

       แล้วแม่ของธวัชก็วิ่งมาดู เอาผ้าขนหนูค่อยๆ ซับเหงื่อที่หน้าให้ แล้วเช็ดแขน เช็ดตัวให้ แล้วสังเกตุผิวพรรณ แม่ของธวัช คิดว่า ต้องเป็นผู้ดีแน่ๆ คงไม่ใช่คนธรรมดาอย่างเราๆ แน่นอน สักครู่ องค์หญิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เธอหันซ้ายแลขวาว่า ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เป็นความฝันหรือความจริง เธอตายรึยัง ตัวเธอยังรุมๆ อยู่ พอเธอหันไปเห็นแม่ของธวัช ก็ตกใจสะดุ้ง ครั้งแรก เหมือนจะกลัวๆ เธอขยับตัวหนี แต่ไม่มีแรง แม่ของธวัช เอื้อมมือไปจับแขนขวาเอาไว้ เธอจ้องมองหน้า หญิงชราคนนั้นอยู่สักพัก แม่ของธวัช เอามือแตะที่แขนขององค์หญิงเบาๆ

       “ไม่ต้องกลัวพวกเราหรอกนะแม่หนู พวกเราไม่ทำอะไรเจ้าหรอก มาขยับมา อย่ากลัวเลย เชื่อฉันเถอะ”

       “ดูเหมือน นังหนูมันจะหิวน้ำนะหนะ ปากแห้งเลย” พ่อธวัช บอกเมีย นางก็เลยหยิบขันน้ำแล้วส่งให้องค์หญิง เธอก็ค่อยๆ จิบไปสังเกตรอบๆ ไปด้วย สายตาเธอหมุนไปรอบ ว่า ที่นี่เป็นความจริงหรือความฝันกันแน่

       แล้วแม่ของธวัช ก็ไม่ลืมสัญญาที่จะบอกลูกชายว่า ถ้าองค์หญิงฟื้นจะให้คนไปบอก

       “ไอ้โก๊ะเอ้ย ไอ้โก๊ะ” แม่ธวัช เรียกเด็กข้างบ้าน

       “จ๋า ยาย” ไอ้โก๊ะรับคำยาย

       “ช่วยวิ่งไปบอก เจ้าวัชให้ยายที ว่าผู้หญิงที่มันช่วยเอาไว้ ฟื้นแล้ว” สิ้นคำ เจ้าโก๊ะ ก็วิ่งหน้าตั้งไปหาธวัชทันที

       “พี่วัชๆ” มันตะโกนตั้งแต่หน้าบ้านไปยันร้าน ผู้คนก็งง ว่า ไอ้โก๊ะ มันเป็นอะไร

       พอถึงหน้าร้าน มันก็ยืนหอบแฮกๆ “พี่ๆ” มันก็ก้มหน้า เหนื่อย มือซ้ายชี้ไปทางบ้านธวัช “พี่วัช”

       “เป็นไรไอ้โก๊ะ ใจเย็นๆ” ไอ้จ้อย ถาม ธวัชก็กำลังซ่อมเครื่องให้ลูกค้าอยู่

       “ยายบอกว่า ผู้หญิงที่พี่ช่วยเอาไว้ ฟื้นแล้ว” เท่านั้นแหละ ธวัช ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างวิ่งปรู๊ดกลับบ้านทันที

       “อะไรของพี่เค้าวะ” ไอ้จ้อย งง เกาหัวแคร๊กๆ สักพักธวัชถึงบันไดบ้านขั้นแรก

       “แม่จ๋าแม่ พ่อจ๋าพ่อ”

       “เอ้อ..อะไรของมันวะ เบาๆ” ภาพที่ธวัชเห็น ภาพของหญิงสาวที่มอมแม ผมเพ้ารุงรัง ผิวขาวตาโตบ้องแบ้ว นอนจ้องมองเขาอยู่และองค์หญิงก็มีดวงตาเป็นประกายเหมือน มีความสุขมาก เหมือนตายแล้วได้เกิดใหม่ เพราะหน้าที่เธอเห็น ก็คือคนๆ เดียวกันที่ช่วยชีวิตเธอไว้นั่นเอง..ธวัช ค่อยๆ ก้าวขาไปหาเธอ ย่องเข้าไปช้าๆ จ้องมองเธอโดยไม่ลดสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว

       “ฟื้นแล้ว จริงๆ ด้วย” ธวัช ค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบแขนและผมขององค์หญิง องค์หญิงก็เลื่อนมือขวาของตัวเองมาจับมือขวาของธวัชไว้ เธอหลับตาพริ้ม แล้วเอามือขวาของธวัช เลื่อนไปแนบไว้กับแก้มซ้ายของเธอ ทิ้งระยะไว้ไม่นานนัก แล้วก็เลื่อนมาประกบกับมือเธอ แล้วจ้องหน้า เหมือนจะร้องไห้ แล้วก็โผเข้ากอดธวัช

       จึงทำให้ทั้งพ่อและแม่ของธวัชงง สักพักองค์หญิงก็ร้องไห้ออกมา พ่อและแม่สงสารเธอมาก ค่อยๆ เอื้อมมือไปสะกิด มือองค์หญิง เธอจึงปล่อยตัวธวัช และเช็ดน้ำตา

       “หนูชื่ออะไรหละลูก บอกพวกเราซิ จะได้เรียกถูก”

       เธอก็ทำท่าทางให้รู้ว่าเธอพูดไม่ได้ แต่จะสื่อสารยังไงดีหละ พอดีเธอหันไปเห็นสมุดเก่าๆ เล่มหนึ่งกับดินสอวางอยู่ เธอจึงชี้ไปที่สมุดกับดินสอ พ่อก็เลยไปหยิบมาและส่งให้องค์หญิง เธอเขียนบอกทุกคนว่า

       “หนูจำอะไรไม่ได้เลย รู้อย่างเดียวว่า เป็นใบ้ พูดไม่ได้ ต้องขอโทษด้วย” แล้วเธอก็ส่งให้กับธวัช

       ธวัชพึ่งมารู้ภายหลังนี่เองว่าองค์หญิงเป็นใบ้ ก็ตอนที่ สื่อสารกับพ่อและแม่ของตนเอง ในตอนบ่ายนี่เอง โดยผ่านทางการเขียนด้วยตัวอักษร..ธวัชอ่านข้อความทั้งหมดให้พ่อและแม่ฟัง

       “โธ แม่คุณ แม่ทูนหัว ทำไมถึงได้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดแบบนี้นะ พูดไม่ได้ก็แย่แล้ว นี่ยังมาจำอะไรไม่ได้อีก”

       แม่ของธวัช เดินเข้าไปนั่งกอดองค์หญิง เป็นเพราะถูกชะตากันหรือป่าวก็ไม่รู้ได้ แม่ของธวัชจึงเอ่ยปากบอกทุกคนในบ้านทันทีโดยไม่ถามความเห็นใครทั้งนั้น

       “อยู่ด้วยกันนี่แหละลูกเอ๊ย เป็นลูกของแม่อีกคนนะลูกนะ” แล้วแม่ก็หันไปหาพ่อและธวัช

       “ใครมีปัญหาไหม” แม่ถามแกมบังคับ พ่อกับธวัชก็หันไปมองหน้ากัน แล้วตอบเสียงอย่างดัง

       “จร้า ไม่มีปัญหา” แล้วแม่ก็ จับตัวองค์หญิงเอนนอนลงเช่นเดิม

       “นอนพักผ่อนก่อนนะลูกนะ เดี๋ยวตื่นมาอีกครั้ง เย็นๆ คงพอจะทานอะไรได้บ้าง ถ้าหายดีเดินได้ จะให้พี่เค้าพาไปเที่ยวงานวัดนะ เอ้า นอนซะลูกนอน”

       “แล้วเราจะเรียกนังหนูนี่ว่าอะไรหละแม่มึง” ตาทด ถามเมียบังเกิดเกล้า

       “นั่นนะซิ ว่าไงวะเจ้าวัช แล้วเราจะเรียกนังหนูนี่ว่าอะไร” ยายสะอิ้ง ถามลูกชาย

       ธวัช คิดอยู่สักพัก ก็ตะโกนออกกมาอย่างดัง “คิดออกแล้ว”

       “คิดอะไรออก เจ้าวัช” สะอิ้ง ถามลูกชาย

       “ก็ชื่อของน้องคนนี้ไง” ธวัช ชี้ไปที่องค์หญิง

       “เอ้อ..แล้วตกลง แกจะให้เรียกนังหนูมันว่าไงเจ้าวัช” ตาทดถามลูก

       “นก” ธวัช ตั้งชื่อให้เธอใหม่ว่า นก แล้วเขาก็อธิบายต่อไปอีก

       “เพราะน้องเขาไม่รู้ชื่อตัวเอง และยังจำอะไรไม่ได้ ที่ตั้งชื่อนี้ก็เพราะเปรียบเสมือนว่า เธอเป็นลูกนกที่หลงฝูงหาทางกลับรังไม่เจอไงพ่อ” ตาทด ตบขาตัวเองดังเพลี๊ย

       “สุดยอด ไอ้ลูกชาย เด็ดมากจริงๆ พ่อชอบ พ่อชอบ”

       “แม่ก็ชอบ เพราะ และมีความหมายดี เรียบง่าย แต่ได้ความหมายดี ต่อนี้ไปแม่จะเรียกเด็กคนนี้ว่า นก”

       “เอาหละวัช” แม่หันมาพูดกับลูกชาย

       “นี่ก็ใกล้จะเย็นแล้ว เจ้ากลับไปทำงานต่อก่อนเถอะ เพราะต้องไปทำงานที่วัดด้วยไม่ใช่รึ”

       “ครับแม่ วัช ฝากเด็กคนนี้ด้วยนะครับ คิดซะว่า ดูแลลูกนกที่พลัดถิ่น ตาดำๆ คนหนึ่งก็แล้วกันเนาะ”

       “หยะ..พอคนใจบุญ ไปได้แล้ว ทางนี้แม่กับพ่อ ดูแลเอง”

       “ไว้ใจได้เลย ไม่ต้องห่วง ไปทำงานให้พระคุณเจ้าเถอะ อย่ามากังวลกับนังหนูมันเลย ไม่เป็นไรแล้ว ไป”

       “งั้น วัชไปหละนะ พ่อกับแม่ สวัสดีจร้า ฝากด้วย” ก่อนไปมิวายทะเล้น กับพ่อกับแม่

***** ----- *****

    องค์ชาย โกมุท วรรณรัตน์ ( พระคู่หมั้น ) เสนอตัวเองออกมาตามหา องค์หญิง โดยไม่เป็นอันกินอันนอน ที่ทำเช่นนี้เป็นเพราะ หวังราชสมบัติและอำนาจมากกว่า ส่วนเรื่องความรักคงจะไม่มีจริง เพราะรู้ว่าองค์หญิงเป็นใบ้ จะเอามาทำอะไรได้ นอกจากเชิดชูหน้าตาของราชนิกูลเท่านั้น

       “ท่านอา” องค์ชาย ก้มกราบที่เท้าของเสด็จฯ เสด็จฯ รีบบอกให้ลุกขึ้น

       “เกล้ากระหม่อมต้องกราบขอประทานอภัยเป็นอย่างมากพะยะค่ะ ที่หม่อมฉัน มาช้าเพราะ หม่อมฉันติดงานที่กระทรวงอยู่ พอทราบข่าว หม่อมฉันก็รีบมาทันทีเลย พะยะค่ะ” แต่สายตา เจ้าเล่ห์ยังคงแอบดูเสด็จอาตลอด

       “ไม่เป็นไรหรอกหลาน ฉันเข้าใจ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่า แค่เพียงยกหูโทรศัพท์ มาหาบ้าง เท่านั้นก็พอ ไม่มีเวลาเลยรึ ก็เท่านั้น เอาหละ เมื่อมาแล้ว เราก็มาหารือกันนะ” เสด็จอา ไม่ทันสังเกตุสายตามีพิรุธขององค์ชาย

       “เรื่องนี้ หม่อมฉัน ขอเสนอตัวเอง จะออกมาตามหา องค์หญิง ด้วยตัวกระหม่อมเองเลย พะยะค่ะ”

       “เอาอย่างนั้นเลยรึหลาน” เสด็จอา ถามเพื่อความมั่นใจ

       “พะยะค่ะ เพราะหลานมีเพื่อนที่เป็นนักสืบหลายคน ไหนจะลูกน้องในกระทรวง และเพื่อนๆ อีกมากมาย”

       “ดีๆ ช่วยหน่อยแล้วกันนะ เพราะอาเป็นห่วงลูกหญิงมาก เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ คนไม่เคยลำบาก พูดกับใครก็ไม่ได้ด้วย น่าเป็นห่วงจริงๆ” เสด็จอา ระบายความในใจ ไปในตัว

       “ทำพระทัยดีๆ เอาไว้เพคะ ท่านพี่” หม่อมมณีกุล พยุงร่างของสามีเอาไว้ เมื่อเห็นท่านเริ่มมีอาการหน้ามืด

       “ฝากด้วยนะ องค์ชาย” หม่อมมณีกุล หันไปบอก องค์ชายโกมุท

       “ไม่ต้องห่วงครับหม่อม ผมจะช่วยให้เต็มที่ งั้นผมขอตัวลาเลยแล้วกัน เห็นเสด็จอา ป่วย และเป็นเช่นนี้ ผมทำใจไม่ได้ ต้องรีบไปหาตัวน้องหญิงให้เจอโดยเร็วที่สุด ลาละครับ” พูดจบ ก็ยกมือไหว้ ทั้งสองคน แล้วก็รีบเดินออกไปทันที พร้อมทั้งหยิบโทรศัพท์ โทรหาใครสักคน เพื่อสั่งงานอะไรสักอย่างทันที

*****-----*****

     เมืองราม ยุภา และแม้นมาศ มาดูที่เกิดเหตุ อาจเป็นเพราะ เย็นมากแล้ว งานใกล้เริ่ม ผู้คนเลยเริ่มมากขึ้น คงจะหาร่องรอยอะไรยากขึ้น เมืองราม ทำหน้าไม่ค่อยดี ยุภาสังเกตุ อาการของเมืองราม แปลกๆ ก็เลยถาม

       “เป็นไร เห็นทำท่าทำทาง หน้าเหมือนตูดตั้งแต่มาถึงแล้ว”

       “ดูพูดเข้า น่าเกลียด” เมืองราม ต่อว่ายุภา

       “อย่าว่าแต่พี่หญิงเลย หนูก็สังเกตุ ว่าแต่มันมีอะไรรึ ถึงทำหน้าอย่างนั้น”

       “เรามาเย็นมากไป ผู้คนเริ่มมากันแล้ว ร่องรอย คงหาไม่ได้แล้วหละ อีกอย่าง จุดเกิดเหตุ อยู่ตรงไหน เราก็ไม่รู้ และที่สำคัญมีใครเห็นเหตุการณ์บ้างรึป่าว เราก็ไม่รู้เลย สรุป คือ เราไม่รู้อะไรเลย”

       “แต่หญิงว่า มันต้องมีบ้างหละนะ วันนั้น มันก็มีจุดที่น่าเป็นไปได้หลายจุดนะ เดี๋ยวหญิงจะพาไป อย่างน้อย ตอนที่หญิงหนีไอ้พวกนั้น หญิงยังพอจำได้ รู้สึกว่า น่าจะเป็น ข้างวัดทางโน้นหนะ มันมืดๆ แต่มันเป็นลานกว้าง มันมากัน 4 คน แล้วมันแยกไปหาองค์หญิง 2 คน” ยุภา ชี้ไปยังจุดทีเธอมีเรื่องและวิ่งหนีไปจนเจอนางข้าหลวง

       “ตรงนี้แหละราม หญิงจำได้” เมืองรามพยายาม ก้มลง ดูที่เกิดเหตุ เห็นมีเศษไม้ ที่แตกกระจัดกระจาย มีเลือดติดอยู่บ้าง “แล้วหญิงก็วิ่งไปทางโน้น จนไปเจอ นางข้าหลวงอีกสองคนที่เดินสลึมสลือ พอดี”

       “พวกมัน อย่างน้อยหนึ่งคนมีบาดแผล เพราะมีเศษเสื้อที่ขาด และเลือดติดอยู่แถวนี้” แล้วเขาก็เดินไปเรื่อยๆ ส่วนแม้นมาศก็ถ่ายรูปเก็บหลักฐานอย่างเดียว แม้นมาศเดินถ่ายรูปไปจนถึงเมนเผาศพ เห็นมีร่องรอยการต่อสู้จึงเรียกเมืองราม กับยุภา

       “ผู้กอง พี่หญิง มาดูอะไรทางนี้ซิ” แล้วทั้งสองก็วิ่งมาดูตามที่แม้นมาศเรียก สิ่งที่เมืองรามเห็น คือสภาพของสถานที่ ที่เหมือนกับว่ามีการต่อสู้ มีรอยกระสุน มีปลอกกระสุนปืน 4 นัด เขาจึงเก็บหลักฐานทั้งหมดไว้ก่อน และ ยุภาก็เห็นสร้อยข้อมือขององค์หญิง ตกอยู่ใต้สังกะสี

       “เมืองราม เมืองราม เมืองราม” ยุภา เรียก เมืองราม เมื่อหยิบสร้อยขององค์หญิงขึ้นมาจ้องมอง

       “มีไรเหรอหญิง” ยุภา ยื่นสร้อยข้อมือให้เมืองราม

       “นี่ของหญิงรัน หญิงจำได้” เมืองราม ค่อยๆ หยิบสร้อยนั้นมาดูใกล้ๆ

       “แสดงว่า องค์หญิง ต้องอยู่แถวนี้แน่นอน ผมเชื่อ องค์หญิง คงทำหล่นเอาไว้ตอนหนีพวกผู้ร้ายแน่นอน”

       “แล้วหญิงรันอยู่ไหนหละเนี่ย” แล้วก็มองซ้ายมองขวา ตะโกนเรียก

       “รัน รัน รัน เธออยู่ไหน รัน” แล้วยุภาก็นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น เมืองรามเข้ามาปลอบใจ

       “ใจเย็นๆ หญิงยุ ใจเย็นๆ” สักพัก แม้นมาศ ก็เดินเข้ามา หลังจากเดินไปสำรวจอีกทาง

       “พี่หญิงเป็นไรผู้กอง”

       “คงเพลีย เพราะคิดถึงเพื่อนมั้ง แล้วเธอหายไปไหนมา”

       “หนูเดินไปทางโน้นมา เห็นมี ของแตกหัก และรอยของกระสุนด้วย”

       “เหรอ” แล้วหันมาบอกยุภา “ไหวไหมหญิงยุ” เธอพยักหน้า แล้วก็พยุงเธอขึ้น แล้วพาไปด้วยกัน

       แม้นมาศ พาไปดูตรงจุดที่เธอคิดว่าน่าจะเป็นจุดเกิดเหตุอีกที่เพราะมีรอยกระสุนที่เสาปูนหลายนัดเหมือนกัน และมีท่อนไม้ที่มีรอยเลือดตกอยู่หนึ่งท่อน เมืองราม เอามือแตะดูรอยเลือด ยังสดๆ แสดงว่า ยังไม่ถึง 24 ชั่วโมง เขาคิดว่า องค์หญิง คงมีคนช่วยไว้ได้ ยังไม่ตายแน่นอน

       “สบายใจได้เลยหญิงยุ” เมืองราม หันไปบอกยุภา

       “อะไรเหรอราม” ยุภาถามแบบเหนื่อยหอบ

       “เรื่องแรก องค์หญิง ยังไม่ตาย” ยุภา โล่งอก

       “เรื่องต่อไป องค์หญิง มีคนช่วยไว้ได้ แต่เป็นใคร นี่แหละ ที่เราต้องสืบหา น่าจะลำบาก”

       “ทำไมหละราม ทำไมถึงบอกว่าลำบาก”

       “อย่าลืมนะว่า มีการยิงกัน ต่อสู้ขนาดนี้ ใครเค้าจะไว้ใจคนแปลกหน้าอย่างพวกเรา จริงไหม”

       “มันก็จริงนะพี่หญิง” แม้นมาศ เห็นด้วยกับ เมืองราม

       “แล้วต่อไปเราจะทำไงหละทีนี้” แม้นมาศถาม

       “เราก็ต้องมาสืบหาเองแบบเงียบๆ ว่าใครเป็นคนช่วยองค์หญิง และองค์หญิงอยู่กับใคร คนที่ช่วยไป เป็นคนร้าย หรือคนดี มีจุดประสงค์อะไร คงต้องใช้เวลา แต่อย่างน้อย เราก็สบายใจได้เปราะหนึ่งว่า องค์หญิง ยังมีชีวิตอยู่แน่นอน ผมว่าวันนี้ พวกเรากลับกันก่อนเถอะ คนเริ่มมากันเยอะแล้ว”

       “อืม..หนูว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเนาะ พี่หญิง ผู้กอง”

      “อะไร ยัยเอ๋อ” ยุภา ถาม

       “ข้างในมีงาน หนูว่า ก็น่าจะเที่ยวสักหน่อย จะไม่ดีรึ ในเมื่อ เมื่อวานพี่หญิงไม่ได้เที่ยว วันนี้ก็ถือโอกาสเที่ยวซะเลย ไม่ดีกว่ารึ ว่าไง” ยุภามองหน้า เมืองราม เมืองราม ก็ยิ้ม

       “ผมว่า ก็ดีนะหญิง คุณจะได้หายเครียด ผมว่า เข้าไปสักนิดก็ดีนะ แล้วค่อยกลับ เครไหม ผมไม่บังคับนะ”

       “ก็ได้คะ ก็จริงอย่างที่ยัยเอ๋อ มันบอก ไหนๆ มาแล้ว ก็ ถือโอกาสทดแทนเมื่อวานเนาะ ไปค่ะ”

       แล้วเมืองรามกับแม้นมาศ ก็ค่อยๆ พยุงยุภา เดินเข้างานไป เมืองราม ก็เก็บสร้อยเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานก่อน

*****-----*****

       ริชาร์ด กลับมาถึงคอนโด ซึ่งกำลังอารมณ์เสีย ได้โทรไปหาเจ๊ไก่ เรื่องการส่งงานให้ช่วย แต่กลับไม่บอกรายละเอียดอะไรเลย “เจ๊ไก่”

       “ว๊าย ตายแล้ว เจ๊ลืม ว่าจะส่งรายละเอียดไปทาง Fax ให้กับหญิงยุ และ ไฟล์ Pdf ให้เธอทางโทรศัพท์ เจ๊ลืมไปเลย เจ๊ขอโทษนะ เดี๋ยวเจ๊จะส่งให้ ตอนนี้เลย”

       “ไม่ต้องเลย ผมไม่เอาอีกแล้ว คุณหยงคุณหยิ่งอะไรของเจ๊เนี่ย ผมไม่ช่วยแล้ว ไปหาคนอื่นเลย ไม่ฟังอะไรใครเลย ผมโกรธเจ๊จริงๆ ด้วย”

       “น่า คนเก่งของเจ๊ เจ๊ขอโทษนะ ถ้าไม่ฉุกละหุกจริงๆ เจ๊ไม่ขอให้ช่วยหรอก เอ้า ถือซะว่า ชดเชย งานครั้งที่แล้ว ที่เธอทำงานเจ๊พังไปแล้วกัน เครไหม”

       “อย่าเลยเจ๊ งานนั้นผมก็ไม่เกี่ยว อย่าเอามาล้ำเลิกกับผมเลย ผิดสัญญากะผมเอง อยากให้นางแบบของตัวเองดังหละไม่ว่า”

       “เครๆ ไม่ผิดก็ได้ ก็ถือว่า ช่วยเจ๊แล้วกัน เอางี้ ถือว่า หนี้ของเรา หมดกันไป จบไหม” ประโยคนี้ ทำให้เงียบกริบเลย ริชาร์ด “ได้เจ๊” เขาตอบแบบเร็วมาก

       “ไม่คิดเลยนะ ริช” เจ๊ไก่ ได้ทีเอาคืน

       “เอาน่า ก็ถือว่าช่วยเจ๊ไง เจ๊ส่ง ไฟล์มาให้ผมได้เลยนะ เดี๋ยวผมโซโล่ให้ งานนี้งานเดียวนะ” ริชาร์ด ตัดบท

       “เครจร้า พ่อริชชี่ ของเจ๊” เจ๊ไก่ อมยิ้มดีใจ ที่ทิ้งงานเล็กได้ เพราะตัวเองมารับงานที่ใหญ่กว่าแทน

       “บายเจ๊” ส่วน ริชาร์ด ก็ดีใจที่ได้ปลดหนี้ก้อนโตของตัวเองซะที เพราะติดหนี้ เจ๊ไก่มานานแล้ว

       “บาย” แล้วเจ๊ไก่ ก็ส่ง File Pdf ที่เป็น File งานมาให้ ริชาร์ด ตามสัญญา

+++++*****+++++

       รุ่งเช้า..นก หลังจากนอนเป็นไข้ 2-3 วัน พอฟื้นไข้และพอมีแรง ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ แต่พอได้อยู่คลุกคลีกับที่บ้านธวัชอีกวันสองวัน ก็เริ่มจะชินและเข้ากับที่บ้านได้แล้ว ธวัชไม่ค่อยได้เข้าบ้าน เพราะที่วัดและที่ร้านมีงานเยอะพอๆ กัน วันนี้ธวัชเลยหาเวลามาเยี่ยมนก ที่จริงเพราะคิดถึงต่างหาก

       “จะรีบไปไหนพี่วัช” ไอ้จ้อย อยากรู้

       “ไม่เข้าบ้านมาสองวันแล้ว เป็นห่วงพ่อกะแม่หวะ”

       “จริงหงะ ห่วงลุงกะป้า หรือ คนอื่นมากกว่า จ้อยรู้นะ” ธวัช เอากระป๋องกาแฟ เก่าๆ แถวนั้นปาไอ้จ้อย

       “ปากดีนะแก เดี๋ยวจะโดน” ไอ้จ้อยหลบทัน

       “ไปเหอะ จ้อยเข้าใจ งานทางนี้ ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าชาย” ธวัชชี้หน้าไอ้จ้อย ทุกคนหัวเราะ

       งามตา ถือห่อข้าวกับขนมมาพอดี “พี่วัช” ธวัชไม่ได้ไปอีกแล้ว

       “ว่าไง งามตา พี่รีบ”

       “จะรีบไปไหนหละพี่ สองสามวันนี่ หนูไม่เห็นพี่เลย ไม่ได้คุยด้วย”

       “ทำงานที่วัดให้หลวงตางามก็รู้ แล้วนี่มีธุระอะไรกะพี่รึป่าว”

       “มี” งามตา มองหน้าเหมือนหึงหรือโกรธก็ไม่รู้

       “ดูทำหน้าทำตาเข้า เหมือนไปโกรธใครมา”

       “ก็พี่นั่นแหละ”

       “พี่ พี่ไปทำอะไรให้เอ็งวะนังงาม”

       “ก็ชาวบ้านเขาพูดกันตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย ว่าพี่พาผู้หญิงเข้าบ้าน เมียพี่เหรอ มันเป็นใคร หนูไม่ยอมนะ”

       “โอ๊ย ใคร ใครเอาอะไรมาพูด เมียเมอที่ไหน ไอ้จ้อย มันก็รู้ อยากรู้อะไร ไปถามมัน พี่ไปหละ ถ้าจะมาถามเรื่องนี้ ไร้สาระ ไปหละ ถ้าไม่เชื่อ ก็ช่วยไม่ได้นะ” แล้วธวัช ก็วิ่งไปเลย

       “จะไปไหน ไปด้วย ต้องไปหาเมียแน่เลย คอยดูนะ ถ้าเป็นจริง แม่จะอาละวาดให้บ้านแตกเลยเอ้า คอยดู ฤทธิ์แม่บ้าง เล่นกะใครไม่เล่น เล่นกะอีงาม” ว่าแล้ว งามตา ก็วิ่งตามธวัชไปติดๆ

+++++*****+++++

       เมืองรามได้มาดูลาดราวที่เกิดเหตุเองอีกครั้ง แม้นมาศได้แอบตามมาด้วย และได้สังเกตุว่า มีชายแปลกหน้า 2 คน มีท่าทางแปลกมาถามหาคนแถวนี้เช่นกัน เมืองรามหลบข้างทาง เพราะรู้สึกว่า มีคนตามมา

       “หยุดนะ” เมืองรามเอาปืนจี้หลัง แม้นมาศ

       “หนูเองผู้กอง อย่ายิงนะ” แล้วเมืองรามก็เก็บปืน

       “แอบตามมาจนได้”

       “ก็ขอมาด้วย ก็ไม่ให้มา หนูก็ต้องทำแบบนี้แหละ”

       “แล้วมาทำไม ช่วยอะไรก็ไม่ได้”

       “อย่านะ ใครบอกว่าช่วยอะไรไม่ได้ แล้วเมื่อวานใครกัน ที่พาไปพบจุดเกิดเหตุ ตั้งสองแห่ง”

       “จร้า แม่คนเก่ง” เมืองราม เอานิ้วชี้ซ้ายดันไปที่หัว ซึ่งสวมหมวกอยู่

       “อืม เมื่อตะกี้ตอนหนูเดินตามผู้กองมานะ หนูเห็นผู้ชายสองคนมีท่าทางแปลกๆ”

       “แปลกยังไง” เมืองราม ทำหน้าฉงน เพราะคิดว่า เขาก็น่าจะเห็น

       “หนูเห็นเขาแวะถามคนแถวนี้ ถามอะไรไม่รู้ ตลอดทางเลย แต่ไม่ได้ยินเสียง”

       “ถามทางมั้ง” เมืองรามเถียง

       “หนูว่าไม่” แม้นมาศ ก็เถียงกลับ

       “เพราะหนูเห็น มันเอารูปอะไรให้ดูไม่รู้ คล้ายๆ กับรูปคน” เมืองราม ชักสนใจ เขาพลาดอะไรไปได้ยังไง

       “แล้วตอนนี้ไอ้สองคนนั้นอยู่ไหน เธอพอรู้ไหม” เมืองราม อยากรู้

       “ทางนี้” แล้ว แม้นมาศก็ผลักเมืองรามกลับไปอีกทาง ย้อนไปตามทางที่เธอมา แล้วก็มาหยุดตรงหัวมุมถนน

       “นั่นไงผู้กอง คนหนึ่งมีหนวดเครา อีกคนไม่มีหนวด เห็นปะ มันยกรูปใบนั้น ถามคนแถวนี้มาตลอดทางเลย”

       เมืองรามสังเกตุได้ว่า คนที่มีหนวดเครารุงรัง จะเอามือขวาจับแขนซ้ายไว้ตลอด คล้ายบาดเจ็บ ที่เสื้อคล้ายมีรอยเลือดซึมออกมาเพราะเป็นเสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีขาว จึงสังเกตุได้ง่าย เมืองราม ไม่รอช้ามีความคิดว่าต้องออกไปถาม เพื่อให้หายสงสัยแต่ไม่ทันที่จะก้าวออกไป แม้นมาศได้ดึงแขนไว้ก่อนและกระซิบว่า “ท่าจะไม่ดีแล้วผู้กอง”

>>>>>>>>>> ********** <<<<<<<<<<

โปรดติดตามตอนต่อไปใน ตอนที่ 3 .. “ น้ำใจของยาจก ”

ตอนที่ 2 .. “ ความฝันหรือความจริง ”

Romance Fiction - นิยายรัก / รักโรแมนติก

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.