กากีบริสุทธิ์ : บทที่ 1

กากีบริสุทธิ์

-A A +A

กากีบริสุทธิ์ : บทที่ 1

บทที่ ๑

 

“พรุ่งนี้ แม่เลี้ยงพรรณีก็จะมาแล้วนะลูก” นางผินเอ่ยบอกกับลูกสาวตน ด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้าที่ปิดไม่มิด “ว่าแต่เอ็งจะอยู่ในเมืองได้แน่หรือ เอ็งเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันนะ ถ้าเราอดให้มากๆ หน่อย ก็น่าจะพออยู่ได้ ส่วนเรื่องที่แม่บอกเอ็งว่า หากเอ็งไปทำงานในเมืองได้ ครอบครัวเราก็อาจจะดีขึ้น อันนั้น แม่แค่หลุดปากพูดไป เอ็งไม่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจังหรอก”

 

“บัวคิดดีแล้วจ้ะแม่ คนอื่นๆ ก็ไปกันตั้งเยอะ ดูอย่างบ้านลุงทองสิ แค่พี่เอี้ยงลูกสาวแกไปไม่กี่เดือน แกถึงกลับมีเงินมีทองมาซื้อข้าวซื้อปลากินกัน บัวก็อยากให้เราเป็นแบบนั้นบ้าง เพื่อพ่อแม่ บัวคิดว่าอยู่ได้จ้ะ”

 

เมื่อทัดทานการตัดสินใจของบุตรสาวไม่ได้ นางผินก็ทำได้แต่ถอนหายใจ “ดีแล้วละลูก” มารดาลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่ ทั้งที่ในอกรู้สึกสะท้าน...จะมีพ่อแม่สักกี่คน ที่อยากจะให้ผู้เป็นลูก ต้องออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น หากด้วยฐานะทางครอบครัวอัตคัดขัดสนความจนบีบบังคับ สิ่งที่ทำได้ ก็คงมีเพียงให้บุตรสาวไปหาเงินจากในเมืองเท่านั้น เพียงแค่ในหมู่บ้านนี้ งานที่ทำแล้วพอมีอยู่มีกิน ชั่งหาได้ยากนัก

 

ผู้เป็นบิดาถอนหายใจ “นี่ก็ดึกแล้ว เอ็งไปนอนเสียเถอะบัวเอ๊ย พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้ามาจัดเตรียมเสื้อผ้า เพื่อเดินทางไปในเมืองอีก”

 

“จ้ะพ่อ งั้นบัวไปนอนก่อนนะจ๊ะ” เด็กสาวพูดพลางลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนอย่างว่าง่าย

 

เมื่อบัวตองเดินเข้ามาในห้อง เด็กสาวก็มาหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณหน้าต่าง สายตาทอดมองออกไปท่ามกลางความมืดข้างนอกตัวบ้าน ท้องฟ้าในคืนนี้ชั่งดูมืดมนยิ่งนัก ไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของเธอในยามนี้ สำหรับเด็กสาวบ้านป่าอย่างเธอ ไม่มีอะไรจะน่ากังวลไปกว่าการที่เธอจะต้องไปทำงานภายในเมืองอีกแล้ว เช่นนี้ ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะทำเช่นไร…จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ในที่ที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีแม้กระทั่งคนรู้จักเลยสักคน นายหน้า ที่จะมาพาเธอไปทำงาน ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีหรือเปล่า แล้วหากนายหน้า ที่พาไปเป็นคนไม่ดี เด็กสาวควรจะทำอย่างไร ความคิดเหล่านี้สับสนปนเปกันไปหมด

 

ไม่รู้ว่าบัวตองยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างนานแค่ไหน เธอถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อเมื่อเด็กสาวตระหนักได้ว่าหากเธอทำแบบนี้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา เธอจึงฝืนเก็บความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวนไว้ในส่วนลึก ก่อนจะบังคับเรือนร่างอันระโหยโรยแรงเดินมาล้มตัวนอนลงบนเสื่อบางๆ ซึ่งถูกปูไว้กับพื้นไม้

 

“เพื่อครอบครัว เราจะต้องทำได้” เด็กสาวพูดกับตนเองด้วยเสียงแผ่ว ก่อนจะผล็อยหลับไปในเวลาต่อมา

 

เสียงคนพูดคุยระคนกับเสียงไก่ สุนัข และวัวควาย ที่บรรดาคนในหมู่บ้านเลี้ยงเอาไว้ ดังเซ็งแซ่แทรกอากาศเย็นจัดในเวลาเช้าตรู่ ปลุกให้สาวน้อยร่างอ้อนแอ้นบอบบางค่อยๆ รู้สึกตัวอย่างช้าๆ สิ่งแรกที่เด็กสาวทำเมื่อตื่นขึ้นมา คือขดตัวด้วยความหนาวจับจิต เพราะฐานะทางครอบครัวยากจน เงินซื้อผ้าห่มดีๆ เลยไม่มี มี เพียงผ้าผืนบางๆ ที่เธอใช้ห่ม มีหรือจะกันอากาศหนาวจัดในทางตอนเหนือของประเทศไทยในยามนี้ได้

 

บัวตองรอให้ร่างกายปรับสภาพอยู่อีกพักใหญ่ จึงได้ใช้มือผลักร่างลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ เด็กสาวสางผมที่ปลกใบหน้าได้รูปไปทัดไว้ตรงใบหู เมื่อเธอมองลอดหน้าต่างออกไป จึงได้พบว่า ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสลัวให้พอมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้บ้างแล้ว

 

เสียงผู้เป็นมารดาเรียกชื่อเธอดังแว่วมาจากบริเวณใต้ถุนบ้าน ทำให้หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืน ก่อนจะขานตอบออกไป เพื่อให้รู้ว่ายามนี้เธอตื่นแล้ว

 

“รีบเก็บเสื้อผ้าอาบน้ำได้แล้ว จะได้มากินข้าวกัน ” นางผินตะโกนกำชับมา

 

“จ้ะแม่” บัวตองรีบตอบ ก่อนจะเร่งมือเก็บเสื้อผ้าสองสามตัว โดยเธอพยายามเลือกเอาตัวที่เธอคิดว่าใหม่และสวยที่สุดเข้ากระเป๋าไป หากเธอดูดีน่ามอง ไม่แน่แม่เลี้ยงพรรณี ผู้ที่มักจะหางานเข้ามาให้กับชาวบ้านแถบนี้เสมอ อาจจะถูกใจเธอ แล้วเลือกเธอให้เข้าไปทำงานในเมืองก็ได้ เด็กสาวคิดเช่นนั้น

 

ร่างเล็กบอบบางเดินลงมาตามบันไดไม้หยาบอย่างไม่เร็วไม่ช้า ถึงแม้ในยามนี้ตัวเด็กสาวจะอยู่ในชุดกันหนาวตามแบบฉบับชาวบ้านธรรมดา ซึ่งแต่งตามแบบชนเผ่าทางภาคเหนือทั่วไป แต่ด้วยดวงหน้าจิ้มลิ้ม ประกอบกับผิวขาวเนียนตามแบบฉบับสาวเหนือ จึงส่งให้เด็กสาวดูน่ารักสมวัยตามประสาวัยแรกแย้ม

 

เสียงน้ำค้างตกกระทบใบไม้ดังเปาะแปะดังมาเป็นระยะ หมอกยามเช้าเริ่มจางลงเป็นลำดับ บัวตองกวาดตามองหาบุพการีทั้งสองไปรอบๆ เมื่อพบว่าบิดาและมารดานั่งคอยเธออยู่ตรงแค่ไม้ไผ่ใต้ถุนเรือน เด็กสาวจึงเร่งฝีท้าวเข้าไปหา

 

“มาลูก มากินข้าวกัน” นางผินเอ่ยชวนผู้เป็นบุตรสาว พลางชี้มือให้นั่งลงข้างข้างตน ซึ่งยังว่างอยู่

 

เมื่อเด็กสาวนั่งลงตามคำชวน ครอบครัว พ่อแม่ลูก จึงเริ่มกินข้าวกันอย่างเงียบๆ ด้วยความจน ส่วนใหญ่อาหารที่มี จึงเป็นประเภทผัก ในจานของแต่ละคน มีข้าวสวยร้อนๆ อยู่ไม่มากนัก

 

“พ่อจะถามเอ็งอีกครั้ง เอ็งจะไปจริงๆ หรือบัว” คำปันเอ่ยถามแทรกความเงียบขึ้น

 

เด็กสาวกลืนข้าวลงคออย่างยากลำบาก ใครเล่าจะอยากไปจากที่ที่ตนเคยอยู่ ทว่าด้วยอยากให้พ่อแม่สุขสบาย บัวตองจึงพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติที่สุด แล้วตอบออกไป

 

“บัวไม่เปลี่ยนใจจ้ะพ่อ ให้บัวไปเถอะนะจ๊ะ”

 

คำตอบของบุตรสาว ทำให้คำปันและนางผินถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมกัน ความรู้สึกภายในของสองผัวเมียวัยกลางคนตีกันยุ่งไปหมด ใจหนึ่งก็อยากให้ลูกสาวไป ครอบครัวจะได้พอมีอยู่มีกินขึ้นกว่านี้บ้าง หากอีกใจหนึ่ง ก็เป็นห่วงบัวตองมันนัก ลูกตนเลี้ยงเติบใหญ่จนจะกลายเป็นสาวอยู่แล้ว มาวันนี้ จะต้องส่งไปอยู่กับใครก็ไม่รู้

 

เดิมทีสองผัวเมียยังไม่มีความคิดจะส่งบุตรสาวให้ไปทำงานในเมืองแม้แต่น้อย ทว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน ไอ้ทองซึ่งเป็นคนรู้จักในหมู่บ้านได้มาเล่าให้ฟังว่า มีแม่เลี้ยงคนหนึ่งผ่านเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อหาเด็กไปทำงานภายในเมือง ด้วยช่วงนั้นตนขาดเงิน จึงได้ให้เอี้ยง ผู้เป็นบุตรสาวลองไปทำดู เมื่อผ่านไปไม่กี่อาทิตย์ ผลปรากฏว่า มีเงินส่งมาถึงบ้านเป็นจำนวนไม่น้อยเลย นอกจากนี้ ยังมีจดหมายจากแม่เลี้ยง ที่รู้ชื่อภายหลังว่าพรรณีแนบติดมาด้วย บอกว่าคนกำลังขาด หากมีใครต้องการหางาน โดยเฉพาะเด็กสาว ก็ให้รีบเตรียมตัวเอาไว้ เพราะตนกำลังจะแวะเข้าไปที่หมู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง โดยในช่วงท้าย ได้ระบุวันและเวลาเอาไว้ด้วย

 

เพราะเหตุนี้ ไอ้ทองจึงได้เริ่มชักชวนคนในหมู่บ้านทีละคนสองคน จนในท้ายที่สุดก็มาถึงบ้านสองผัวเมียจนได้ แรกเริ่มเดิมที นางผินกับคำปันยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรให้แน่นอนนัก ด้วยเพราะความห่วงอาลัยในตัวบุตรสาว ทว่าเมื่อเที่ยงวานนี้ นางผินกลับเผลอหลุดปากบอกเรื่องนี้ให้ผู้เป็นลูกฟัง เมื่อบัวตองได้รู้ข่าว จึงตัดสินใจออกมาเป็นแบบนี้

 

วงอาหารตกอยู่ในความเงียบอยู่นาน กระทั่งคำปันถอนหายใจออกมาอีกรอบด้วยความหนักหน่วงในใจ สีหน้าแสดงออกถึงการตัดสินใจบางอย่าง

 

“เอาเถอะ พ่อจะให้เอ็งไป แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็กลับมาบ้านเรานะลูก” ชายวัยกลางคนพูด พลางเก็บความรู้สึกหลากหลายไว้ในส่วนลึก โดยระวังเพื่อไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า

 

เมื่อเห็นคู่ชีวิตตนตัดสินใจเช่นนี้ นางผินก็ทำได้เพียงพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย “ถ้าพ่อให้เอ็งไป แม่ก็ไม่มีปัญหา แล้วนี่เก็บเสื้อผ้าหรือยัง เดี๋ยวสายๆ แม่เลี้ยงก็จะมาแล้วนะ”

 

“เรียบร้อยแล้วจ้ะแม่” เด็กสาวตอบหน้านิ่ง ทั้งที่ในอกเริ่มเต้นเป็นจังหวะถี่ขึ้นด้วยความตื่นเต้น ระคนไปกับความรู้สึกกลัว กังวล และอื่นๆ อีกมากมาย

 

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตามครรลองที่มันควรจะเป็น ดวงอาทิตย์เริ่มสาดแสงโลมเลียไปทั่วหมู่บ้านและไร่นาใกล้เคียง อากาศอบอุ่นขึ้นเป็นลำดับ ขณะนั้นเอง มีรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่วิ่งตามถนนเปื้อนฝุ่นเข้ามาในหมู่บ้าน ทางตอนหลังของรถ ถูกออกแบบมาให้กลายเป็นที่สำหรับคนนั่ง โดยติดโครงหลังคาไว้กันแดด ทั้งสองฝั่งมีเบาะยาวราวกับรถสองแถวก็มิปาน

 

รถสองแถวคันนั้นควบกุเลงผ่านหน้าบ้านหลายหลังไปด้วยความเร็วไม่มากนัก กระทั่งไปจอดสนิทลงตรงลานกลางหมู่บ้าน ซึ่งมีไว้สำหรับให้คนในหมู่บ้านใช้ทำกิจกรรมต่างๆ หรือไว้พบปะพูดคุยกันในเวลาว่าง

 

ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สี่คนกระโดดลงมาจากรถในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งหนึ่งในสี่แยกตัวเดินออกไปเปิดประตูให้กับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งนั่งคู่มากับคนขับ ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ว่า หญิงวัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานคนนี้ จะต้องเป็นเจ้านายของคนกลุ่มนี้แน่นอน

 

หญิงวัยกลางคนมีรูปร่างค่อนข้างท้วม ทว่าด้วยหน้าตาผิวพันขาวนวลตามแบบฉบับผู้ดีในเมืองกรุง ประกอบกับชุดที่ใส่ เครื่องประดับจำพวกสร้อยคอ ต่างหู กำไล รวมไปถึงองค์ประกอบอื่นๆ บนกายเธอ ทำให้คนมองเห็นว่าเธอเป็นสาวใหญ่ทรงเสน่ห์คนหนึ่ง

 

หญิงวัยกลางคนพูดคุยหารือกับบรรดาชายฉกรรจ์ทั้งสี่อยู่ครู่ใหญ่ เหล่าบุรุษร่างใหญ่จึงแยกย้ายกันเดินออกไปตามเส้นทางสายเล็กสายน้อยในหมู่บ้าน ส่วนตัวเธอเอง เลือกที่จะย่างท้าวไปยืนอยู่บริเวณหน้าร้านขายของประจำหมู่บ้าน ซึ่งมีหลังคาสังกะสียื่นออกมา พอให้หลบแดดได้บ้าง

 

เมื่อนางอ้อย หญิงวัยใกล้ชราผู้เป็นเจ้าของร้านมองเห็นหญิงผู้มาใหม่ก็จำได้ทันที รีบเดิมออกมาหา

 

“อ้าว แม่เลี้ยงพรรณีนี่เอง วันนี้เข้ามาเร็วดีนะจ๊ะ ฉันนึกว่าจะเข้ามาบ่ายแก่ๆ เสียอีกแน่ะ เข้ามานั่งกินน้ำกินท่าในร้านฉันก่อนไหมล่ะ”

 

“ไม่เป็นไรป้าอ้อย เดี๋ยวรอให้ลูกน้องเข้าไปประกาศตามซอยในหมู่บ้านกลับมา ฉันก็จะเดินไปคุยกับพวกที่อยากจะเข้าไปทำงานในเมืองแล้ว คิดว่าอีกประเดี๋ยวก็คงมา”

 

อีกด้านหนึ่ง เหล่าชายฉกรรจ์ที่ได้รับมอบหมายให้เที่ยวเดินป่าวประกาศไปตามหมู่บ้าน เรื่องที่ว่า หากลูกหลานใครอยากทำงาน ก็ให้พากันไปพูดคุยตกลงกันที่ลานกลางหมู่บ้าน ครั้นพอเดินมาถึงหน้าเรือนของครอบครัวบัวตอง ชายฉกรรจ์ก็ประกาศย้ำขึ้นอีก ทำให้ครอบครัวของเด็กสาวได้ยินกันอย่างชัดเจน

 

“ได้เวลาแล้วละผินเอ๊ย ข้าว่าเราพาลูกไปลานกลางหมู่บ้านกันเถอะ” คำปันที่นั่งเงียบมานานพลันถอนหายใจหนักๆ แล้วเอ่ยขึ้นกับผู้เป็นเมียตน

 

“ถึงขั้นนี้แล้ว แม่จะไม่ถามเอ็งอีกแล้วบัวเอ๊ย ในเมื่อเอ็งจะไปจริงๆ ก็ลุกขึ้นเถอะลูก” นางผินพูดเสียงระโหยอยู่ในที พลางจับมือบุตรสาวลุกขึ้นจากแคร่ไม้

 

บัวตองพยายามเกร็งขาเอาไว้ไม่ให้สั่นเพราะความประหม่า ฝืนขยับท้าวตามแรงจูงของผู้เป็นมารดาไป นี่เธอถึงเวลาที่ต้องไปจากที่นี่แล้วหรือ พอถึงเวลาเข้าจริงๆ เด็กสาวก็อดทำใจไม่ได้ นี่เธอจะต้องไปเจออะไรต่อจากนี้กันหนอ บัวตองถามตัวเองในใจ ทั้งที่ก็รู้ดีว่าคงไม่มีคำตอบ

 

เมื่อถึงลานกลางหมู่บ้าน บิดาและมารดา ก็สั่งให้เธอยืนรออยู่ห่างๆ ก่อน ส่วนตัวคนทั้งสอง จะเข้าไปพูดคุยตกลงกับแม่เลี้ยงพรรณีเอง

 

พ่อและแม่จะพูดคุยกันอย่างไรนั้นบัวตองไม่ได้ยิน เด็กสาวเห็นเพียงแม่พูดอะไรกับหญิงวัยกลางคนแต่งตัวดีอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ชี้มือมาทางเธอ หญิงวัยกลางคน ซึ่งเด็กสาวคิดว่าคงเป็นแม่เลี้ยงพรรณีหันมองตาม บัวตองเห็นสายตาของแม่เลี้ยงจ้องมองเธอเหมือนจะประเมินอะไรสักอย่าง ก่อนที่จะยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่เธอก็อธิบายไม่ถูก มันเหมือนคนพบกับสิ่งของมีค่าบางอย่าง ซึ่งบัวตองไม่ชอบใจกับสายตาแบบนี้เลย

 

แม่เลี้ยงพรรณีกวักมือเรียกมาทางเด็กสาว ทำให้เธอรีบเดินเข้าไปอย่างว่องไว

 

“ชื่ออะไรฮะเราน่ะ ดูสิ เด็กสาวบ้านป่าอะไร ผิวพันผ่องใสไร้ราคี บริสุทธิ์น่าหลงใหลเหลือเกิน รูปร่างก็ชั่งเล็กบอบบางหน้าทะนุถนอม มองผ่านๆ อย่างกับสาวๆ จากจีนแผ่นดินใหญ่เลย แบบนี้ฉันชอบนัก”

 

แม่เลี้ยงพรรณีจ้องมองบัวตองไม่วางตา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยินดีเหลือล้น มือลูบไปตามลำแขนเด็กสาว “ผิวก็นุ่มลื่นมือดีจริงๆ ” หญิงวัยกลางคนกล่าว

 

“ตกลงแม่เลี้ยงจะรับนางบัวไปทำงานหรือเปล่าจ๊ะ” นางผินซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ถามขึ้น

 

“รับแน่นอน ฉันรับ ส่วนเรื่องเงินค่าแรง ฉันจ่ายให้ก่อนได้นะ สนใจหรือเปล่า” แม่เลี้ยงพรรณีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เธอรู้ดีว่าสำหรับชาวบ้านป่าแบบนี้ เงินคือปัจจัยสำคัญ มิฉะนั้นก็คงไม่พาเด็กสาวมาหาเธอเป็นแน่ เพราะแบบนั้น พรรณีจึงหว่านเหยื่อลงไป

 

“ได้เงินก่อนเหรอจ๊ะ” นางผินโพล่งถามอย่างคาดไม่ถึง เป็นแบบชาวบ้านว่าเอาไว้จริงๆ ว่าก่อนพาตัวคนไปทำงาน แม่เลี้ยงจะใจดีจ่ายเงินข้าแรงให้ก่อน แบบนี้เธอและสามีคงจะไม่ลำบากเท่าแต่ก่อนแน่แล้ว

 

“จริงสิ ฉันให้หมื่นหนึ่งเลย พอใจหรือเปล่า” แม่เลี้ยงพรรณีถามมาอีก พลางขยับมือล้วงหยิบเงินในกระเป๋าสะพายข้าง

 

“ฉันว่าแม่เลี้ยงใจดีแปลกๆ นะ คงไม่เอานางบัวไปต้มยำทำแกงที่ไหนใช่หรือเปล่า” คำปันถามขึ้นอย่างไม่ค่อยวางใจเท่าใดนัก

 

“คิดมาก ฉันจะเอาบัวไปต้มยำทำแกงอะไร ลูกสาวเธอน่ารักขนาดนี้ มีแต่ฉันจะดูแลเป็นอย่างดีละสิไม่ว่า เชื่อฉันเถอะ ให้บัวไปอยู่กับฉันแล้วจะสบาย มีอยู่มีกินไม่อดตาย หากทำงานดีฉันก็เพิ่มเงินให้อีก ถึงเวลานั้น บัวก็ค่อยส่งเงินมาให้ทางบ้าน คนที่บ้านก็ไม่ต้องอดๆ อยากๆ แบบนี้ไม่ดีเหรอ”

 

คำปันนิ่งคิด ใครบ้างที่ต้องการให้ลูกอดอยากปากแห้ง หากบุตรสาวอยู่กับตน ก็คงหนีไม่พ้นต้องกินผักกินหญ้า แต่ถ้าเป็นอย่างที่แม่เลี้ยงพูดจริง ลูกสาวก็จะสบาย มีอยู่มีกิน อยากกินเนื้อก็คงจะได้กิน ไม่ต้องอดอยากอีก ส่วนตัวคำปันเอง ถ้าลูกสาวไม่ส่งเงินมาก็ไม่เป็นไร ทว่าหากบัวตองส่งเงินมาจริง ก็จะช่วยครอบครัวได้มาก

 

“ได้ แต่จ่ายก่อนจริงๆ นะ” คำปันตัดสินใจในที่สุด

 

เหมือนรออยู่แล้ว พรรณีหยิบธนบัตรออกมาปึกใหญ่ พลางส่งให้คำปันรับไปดู

 

คำปันตรวจดูธนบัตรฉบับแล้วฉบับเล่าด้วยมือสั่นๆ กับจำนวนเงินที่ค่อนข้างมากสำหรับชาวบ้านป่า เมื่อตรวจดูจนพอใจจึงพูดกับแม่เลี้ยงพรรณี “ครบหนึ่งหมื่นบาทถ้วน ยังไงพานางบัวไปแล้ว ก็ช่วยดูมันให้ดีด้วย ไม่งั้นแล้ว ฉันจะไปเอาลูกฉันคืน”

 

หลังจากพูดคุยกันอยู่อีกพักใหญ่ แม่เลี้ยงพรรณีก็สั่งให้ครอบครัวล่ำลากันให้เรียบร้อย ส่วนตัวของแม่เลี้ยงเอง ยังต้องทำการพูดคุยอยู่กับอีกหลายครอบครัว ที่พาบุตรสาวเข้ามาฝากทำงาน

 

“บัวไปก่อนนะจ๊ะ พ่อกับแม่ดูแลตัวเองดีๆ นะจ๊ะ เดี๋ยวบัวหาเงินได้มากๆ บัวจะรีบกลับมา” บัวตองเอ่ยลาบิดามารดาทั้งน้ำตาที่อดกลั้นไว้ไม่อยู่ เมื่อถึงเวลารถใกล้ออก ขณะนี้ เด็กสาวนั่งอยู่บนรถกระบะที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นรถสองแถว บนรถยังมีเหล่าหญิงสาวที่เธอคุ้นหน้าอยู่อีกห้าหกคนนั่งไปด้วย

 

“เอ็งก็ด้วย ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าไม่ไหวก็กลับมาบ้านเรานะลูก จะยากจะจนยังไงก็บ้านเรา” นางผินร่ำไห้พลางโอบกอดบุตรสาวแนบอก

 

“โชคดีลูกเอ๊ย ถ้าใครทำอะไรเอ็งมาบอกพ่อได้ พ่อจะตามไปหามันถึงในเมืองเอง” คำปันพูดอยู่ด้านล่างของตัวรถ พลางยื่นมือผ่านลูกกรงด้านข้างตัวรถเข้ามาสัมผัสไหล่เด็กสาวอย่างอ่อนโยน

 

“รถจะออกแล้ว ใครที่ไม่ได้ไป ขอให้ลงไปจากรถได้แล้ว” ชายผิวเข้มร่างใหญ่ตะโกนขึ้น

 

นางผินขยับตัว “แม่ไปก่อนนะลูก แม่รักลูกเสมอนะ ถ้าทนไม่ได้ก็อย่าลืมบ้านเรานะ” นางผินเอ่ยลาพร้อมกับกำชับลูกสาว

 

“จ้ะแม่” บัวตองกอดแม่แน่นๆ อีกครั้ง ก่อนจะปล่อยให้มารดาตนเดินลงไปจากรถ

 

ระหว่างรถกลางเก่ากลางใหม่เคลื่อนตัวออกจากที่ เด็กสาวก็ส่งยิ้มให้ครอบครัวตน รวมไปถึงคนในหมู่บ้านที่มายืนเพื่อคอยส่ง หญิงสาวมองภาพบิดาและมารดามองตามเธอมา จนกระทังภาพเหล่านั้นหายลับไปกับมุมถนน

 

ตั้งแต่บัวตองจากบ้านมา นี่ก็ผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ในตอนแรก เมื่อรถวิ่งเข้ามาถึงในเมือง แม่เลี้ยงพรรณีก็สั่งให้คนงานพาเธอกับสาวๆ คนอื่นๆ ไปพักอยู่ที่เรือนพักคนงาน ซึ่งตั้งอยู่แถบชานเมือง พักอยู่ที่นั่นได้แค่สองวัน คนของแม่เลี้ยง ก็พาเธอขึ้นรถไฟเข้ามาในเมืองบางกอก โดยให้เหตุผลว่า แม่เลี้ยงพรรณีมีกิจการอยู่หลายที่ ซึ่งที่ที่เด็กสาวจะต้องมาทำงาน อยู่ในตัวเมืองบางกอกนี่เอง

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.