บทที่ 53: พงศาวดารข้างกองไฟ
ค่ำคืนในป่าลึกนั้นแตกต่างจากความมืดที่ชาวดุษฎีนครคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่ความมืดที่เกิดจากการดับไฟ แต่เป็นความมืดที่มีชีวิต... หายใจ... และส่งเสียงกระซิบอยู่ตลอดเวลา
ทีมสำรวจนั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟที่ครามก่อขึ้น เปลวไฟสีส้มแดงลุกโชน ขับไล่ความเย็นและความน่าสะพรึงกลัวของเงามืดที่เต้นระบำอยู่รอบค่ายพักแรมชั่วคราวของพวกเขา ร่างของรถแรคคูนที่พังยับเยินจอดนิ่งอยู่ไม่ไกล กลายเป็นอนุสาวรีย์แห่งเทคโนโลยีที่พ่ายแพ้ต่อธรรมชาติ ในระยะไกล พวกเขาสามารถมองเห็นแสงเรืองรองหลากสีสันที่ส่องสว่างขึ้นมาจากหุบเหว... "สวนแห่งผู้หลับใหล"... ภาพที่งดงามราวกับความฝัน แต่ก็แฝงไว้ด้วยคำเตือนถึงอันตรายที่มองไม่เห็น
หลังจากที่ทุกคนได้แบ่งปันอาหารมื้อค่ำที่เรียบง่ายความเงียบก็กลับเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด แต่เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยการครุ่นคิดถึงอุปสรรคที่รออยู่เบื้องหน้า และความจริงอันหนักอึ้งที่พวกเขาเพิ่งได้เรียนรู้
เร็กซ์เป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ เขาเงยหน้าขึ้นจากมีดสนามที่กำลังลับคมอยู่ มองไปยังครามที่นั่งอยู่อีกฟากของกองไฟด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม "ท่านสู้รบกับป่าแบบนี้มาทั้งชีวิตเลยรึ" เขาถามผ่านล่ามของลินดา "ศัตรูของพวกท่าน... มีแค่สัตว์ร้ายพวกนี้เท่านั้นหรือ?"
ครามหยุดมือที่กำลังเหลาปลายลูกศร เขาจ้องมองเข้าไปในเปลวไฟที่กำลังลุกโชน แววตาข้างเดียวของเขาสะท้อนภาพของอดีตที่ห่างไกล "สัตว์ร้ายคือบททดสอบของพงไพร" เขาตอบช้าๆ "มันทดสอบความแข็งแกร่งและความเคารพของเรา... แต่ศัตรูที่แท้จริงของพวกเรา ไม่ใช่สัตว์ร้ายในป่า"
เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับเร็กซ์โดยตรง "ศัตรูที่แท้จริงของข้า... คือ 'เงา' ของบรรพบุรุษของพวกเจ้าต่างหาก... เงาที่พวกเจ้าลืมไปแล้วว่าเคยมีอยู่"
คำตอบที่เป็นปริศนานั้นสร้างความสับสนและอยากรู้อยากเห็นให้กับเหล่าด็อกเตอร์เป็นอย่างมาก
[เอลารา: บรรพบุรุษของเราหรือคะ?] เสียงของเอลาราแทรกเข้ามาในคอมลิงก์อย่างสุภาพจากในรถ [แต่... ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของเราเริ่มต้นขึ้นที่ดุษฎีนครเมื่อสามร้อยปีก่อนนะคะ ข้อมูลก่อนหน้านั้น... มันสูญหายไปเกือบทั้งหมดในช่วง 'มหายุคแห่งความเงียบงัน']
" 'มหายุคแห่งความเงียบงัน' " ครามทวนคำนั้นด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ขมขื่น "สำหรับพวกเจ้ามันอาจจะเงียบ... แต่สำหรับบรรพบุรุษของข้า... มันคือยุคที่เสียงกรีดร้องของผืนดินดังที่สุด"
"ได้โปรดเถอะครับ ท่านคราม" โอไรออนกล่าวขึ้นบ้าง "ได้โปรดอธิบายให้พวกเราฟังได้ไหมครับ 'เงา' ที่ท่านพูดถึงคืออะไรกันแน่? มันเกี่ยวข้องกับ 'เสียงกระซิบ' และความผิดพลาดที่พวกเราได้เห็นในต้นไม้โลกใช่ไหมครับ?"
ครามส่ายหน้าช้าๆ "มันเป็นเรื่องเล่าสำหรับ 'ผู้พิทักษ์' เท่านั้น" เขากล่าว "ไม่ใช่เรื่องสำหรับชาวฟ้า... พวกเจ้ายังไม่พร้อมที่จะรับรู้ถึงน้ำหนักของมัน"
"แต่ท่านพ่อ..." ลินดาพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เธอวางมือลงบนแขนที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นของพ่อเธอ "พวกเขาไม่ใช่แค่ชาวฟ้าอีกต่อไปแล้ว... พวกเขาได้เห็น 'ความจริง' มาพร้อมกับเราที่ต้นไม้โลก... พวกเขาได้ร่วมสู้เคียงข้างเรา... พวกเขาสมควรที่จะได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด"
คำพูดของลูกสาวทำให้ครามต้องนิ่งไป เขากวาดสายตามองไปยังใบหน้าของแต่ละคนที่อยู่รอบกองไฟ... เขาเห็นความมุ่งมั่นที่สับสนในแววตาของลีน่า... เห็นความนับถือที่มาแทนที่ความหวาดระแวงในแววตาของเร็กซ์... และเห็นความกระหายใคร่รู้ที่บริสุทธิ์ในแววตาของสองพี่น้อง...
ลินดาพูดถูก... พวกเขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ครามถอนหายใจยาว... เขาตัดสินใจแล้ว
เขาวางลูกศรที่ยังเหลาไม่เสร็จลงข้างตัว แล้วหันมาเผชิญหน้ากับทุกคนอย่างเต็มตัว แววตาของเขาเปลี่ยนไป... มันไม่ใช่แววตาของพรานป่าอีกต่อไป แต่เป็นแววตาของปราชญ์... ของผู้เก็บรักษาพงศาวดาร...
"พวกเจ้าคิดว่าประวัติศาสตร์ของพวกเจ้าเริ่มต้นขึ้นเมื่อสามร้อยปีก่อน... วันที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อหลีกหนี" เขากล่าวเปิดเรื่องด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มและเคร่งขรึมจนทุกคนต้องตั้งใจฟัง "แต่พวกเจ้าคิดผิด ประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้นยาวนานกว่านั้น... ซับซ้อนกว่านั้น... และเจ็บปวดกว่านั้นมาก"
"ก่อนจะมียูโทเปีย... ก่อนที่จะมี 'เสียงกระซิบ'... บรรพบุรุษของเราได้ผ่านพ้นหายนะและยุคสมัยที่รุ่งเรืองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน... ความรู้ที่พวกเจ้ามีในนคร... มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวสุดท้ายของภูเขาน้ำแข็งที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรแห่งกาลเวลา"
เขาหยิบถ่านไม้ที่ยังคุแดงท่อนหนึ่งขึ้นมาจากกองไฟ
"สำหรับคืนนี้... ในฐานะที่พวกเจ้าได้พิสูจน์ตนแล้วว่าคู่ควร... ข้าจะเล่าเรื่องราวที่ถูกส่งต่อกันมาในสายเลือดของผู้พิทักษ์ให้พวกเจ้าฟัง... เรื่องราวของ 'เจ็ดยุคสมัยที่ถูกลืม' "
เปลวไฟสะท้อนอยู่ในแววตาของทุกคนที่นั่งล้อมวง ความคาดหวังที่เงียบงันแขวนอยู่กลางอากาศที่หนาวเย็น คำประกาศของครามที่ว่าจะเล่าเรื่องราวของ "เจ็ดยุคสมัยที่ถูกลืม" นั้นหนักแน่นและเปี่ยมด้วยมนตร์ขลังจนไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา
แต่แล้ว ดร. เอลารา ก็เป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบลงด้วยคำถามที่เต็มไปด้วยตรรกะของนักวิทยาศาสตร์
[เอลารา: ด้วยความเคารพค่ะ ท่านคราม... ท่านรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร?] เสียงของเธอดังมาจากคอมลิงก์ของลีน่า [จากบันทึกของเรา... ประวัติศาสตร์ของโลกเก่าส่วนใหญ่ได้สูญสลายไปพร้อมกับมหาวิบัติ ไม่มีบันทึกดิจิทัลหรือเอกสารใดๆ ที่รอดมาได้สมบูรณ์... แล้วความรู้ของท่าน... มันถูกเก็บรักษาไว้ด้วยวิธีไหนคะ?]
มันคือคำถามที่อยู่ในใจของเหล่าด็อกเตอร์ทุกคน
ครามไม่ได้ตอบในทันที เขาใช้ถ่านไม้ในมือวาดวงกลมง่ายๆ ลงบนพื้นดิน มันคือสัญลักษณ์ของโลก... ของจุดเริ่มต้น "บรรพบุรุษของพวกเจ้า... ผู้สร้างนคร... เชื่อมั่นในการ 'บันทึก'" เขาเริ่มต้นอธิบายช้าๆ ผ่านลินดา "พวกเขาเชื่อในข้อมูล ในตัวเลข ในสิ่งที่จับต้องและวัดค่าได้ พวกเขาจารึกทุกอย่างลงบนแผ่นผลึกและสายใยแห่งแสง... แต่เมื่อมหาวิบัติมาถึง... เมื่อ 'เสียงกรีดร้อง' ทำลายทุกสิ่ง... บันทึกของพวกเขาก็แตกสลายและกลายเป็นข้อมูลขยะที่ไร้ความหมาย"
เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับเอลาราผ่านเลนส์กล้องบนคอมลิงก์ "แต่บรรพบุรุษของข้า... ผู้เลือกที่จะอยู่กับผืนดิน... ได้เรียนรู้บทเรียนที่เจ็บปวดในวันนั้น พวกเขาเรียนรู้ว่าสิ่งที่เปราะบางที่สุด คือสิ่งที่พยายามจะคงอยู่ตลอดกาล"
"ความรู้ของเราจึงไม่เคยถูก 'จารึก'" เขากล่าวต่อ "แต่มันถูก 'ขับขาน' มันคือ 'มุขปาฐะแห่งผู้พิทักษ์'... พงศาวดารที่ถูกส่งต่อจากปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่น ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าธรรมดา... แต่คือบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องจดจำทุกถ้อยคำ ทุกท่วงทำนอง และทุกจังหวะการหายใจให้สมบูรณ์แบบ การสืบทอดตำแหน่งผู้พิทักษ์ คือการสืบทอดภาระในการจดจำบทเพลงนี้ให้คงอยู่... ไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา"
คำอธิบายนั้นทำให้เหล่าด็อกเตอร์ต้องตกตะลึง... มันคือวิธีการเก็บรักษาข้อมูลที่ทั้ง "ดั้งเดิม" และ "สมบูรณ์แบบ" ในเวลาเดียวกัน มันคือประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต... ที่ถูกปกป้องไว้ด้วยความทรงจำและพิธีกรรม
"เอาล่ะ" ครามกล่าวเมื่อเห็นว่าทุกคนเข้าใจแล้ว "จงฟังให้ดี... เพราะนี่คือบทเพลงที่พวกเจ้าได้หลงลืมไป"
เขาเริ่มเล่า... น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและก้องกังวานราวกับเสียงที่ดังมาจากส่วนลึกของโลก...
"ยุคสมัยที่หนึ่ง... 'ยุคแห่งศิลาและเสียงกระซิบ' "
"นานแสนนาน... ก่อนจะมีนครแห่งโลหะ... ก่อนจะมีกำแพง... มนุษย์ยังคงเดินด้วยเท้าเปล่าบนผืนดิน พวกเขาสร้างบ้านจากก้อนหินและไม้... ล่าสัตว์เพื่อประทังชีวิต... พวกเขาไม่ได้ 'ครอบครอง' โลก... แต่เป็นเพียง 'ส่วนหนึ่ง' ของมัน"
"ในยุคนั้น มนุษย์ยังคง 'ฟัง' เป็น พวกเขาได้ยินเสียงกระซิบของสายลม... เข้าใจภาษาของสายน้ำ... และรู้สึกได้ถึง 'ชีพจร' ของผืนดินที่เต้นอยู่ใต้ฝ่าเท้า พวกเขาไม่ได้บูชาพระเจ้าบนท้องฟ้า... แต่เคารพวิญญาณที่สถิตอยู่ในทุกสรรพสิ่ง... มันคือยุคที่มนุษย์และโลกยังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน"
"ยุคสมัยที่สอง... 'ยุคแห่งสำริดและราชันย์' "
"แล้วมนุษย์ก็เรียนรู้ที่จะหลอมโลหะ... สร้างอาวุธที่แข็งแกร่งขึ้น... และสร้างกำแพงหินที่สูงขึ้น พวกเขาเริ่มรวมตัวกันเป็นเผ่าใหญ่... เป็นเมือง... และเป็นอาณาจักร พวกเขาไม่ได้ฟังเสียงของผืนดินอีกต่อไป... แต่เริ่มฟังเสียงของ 'ราชันย์'... ผู้ที่ประกาศตนเป็นตัวแทนของพระเจ้า พวกเขาสร้างวิหารที่ใหญ่โตเพื่อบูชาเทพที่มองไม่เห็น และเริ่มขีดเส้นแบ่งบนผืนดิน... 'นี่คือแผ่นดินของข้า... นั่นคือแผ่นดินของเจ้า' สงครามครั้งแรกได้ถือกำเนิดขึ้น... ไม่ใช่เพื่อเอาชีวิตรอด... แต่เพื่อ 'อำนาจ' การแตกแยกได้เริ่มต้นขึ้น"
"ยุคสมัยที่สาม... 'ยุคแห่งเหล็กและเงามืด' "
ครามหยุดไปชั่วครู่ แววตาของเขาหม่นแสงลงเมื่อพูดถึงยุคต่อไป "นี่คือยุคที่พวกเจ้าเรียกว่า 'ยุคกลาง'... แต่สำหรับพวกเรา... มันคือช่วงเวลาที่โลกตกอยู่ในเงามืดอันยาวนาน"
"มนุษย์สร้างอาวุธเหล็กที่แหลมคมขึ้นเพื่อสังหารกันเองอย่างมีประสิทธิภาพราชันย์ต่อสู้กับราชันย์... อาณาจักรล่มสลายและก่อเกิดใหม่... และท่ามกลางความโกลาหลนั้น 'โรคระบาด' ที่มองไม่เห็นก็ได้คืบคลานไปทั่วมหาทวีป พรากชีวิตผู้คนไปมากมายจนนับไม่ถ้วน"
"ผู้คนหวาดกลัว... พวกเขาไม่ได้เชื่อใจในผืนดิน... ไม่ได้เชื่อใจในเพื่อนบ้าน... และไม่แม้แต่จะเชื่อใจในตัวเอง พวกเขาหันไปยึดเหนี่ยวกับ 'คำสอน' ที่แข็งทื่อ... กฎเกณฑ์ที่บอกว่าอะไรถูก อะไรผิด... และใครก็ตามที่คิดต่าง... ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นปีศาจและถูกเผาทำลาย... มันคือยุคที่ความอยากรู้อยากเห็นกลายเป็นบาป... และความมืดมิดก็ได้เข้าปกคลุมปัญญาของมนุษย์จนเกือบจะมิด"
ครามหยุดเล่า เขาใช้ถ่านไม้วาดสัญลักษณ์ของดวงดาวลงบนพื้นดินข้างๆ รูปโลกที่บิดเบี้ยว
"นั่นคือยุคที่มนุษย์เรียนรู้ที่จะหวาดกลัวเงา... และเกือบลืมไปแล้วว่าบนท้องฟ้านั้นมีดวงดาวส่องสว่างอยู่" เขากล่าว "แต่ยุคสมัยต่อไป... คือยุคที่มนุษย์กลุ่มหนึ่ง... กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวเหล่านั้นอีกครั้ง"
คำพูดสุดท้ายของครามที่ว่า "...คือยุคที่มนุษย์กลุ่มหนึ่ง... กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวเหล่านั้นอีกครั้ง" นั้น ทิ้งความเงียบที่เต็มไปด้วยความใคร่รู้ไว้รอบกองไฟ เหล่าด็อกเตอร์ผู้เติบโตมากับเรื่องราวของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ราบรื่นและเป็นเส้นตรง กำลังจะได้ฟังประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง... ประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยการล้มลุกคลุกคลานและการต่อสู้ดิ้นรน
"น่าเหลือเชื่อ..." โอไรออนพึมพำออกมาเบาๆ "ข้อมูลทางโบราณคดีของเราในช่วงเวลานั้นขาดหายไปเกือบทั้งหมด... เราเรียกมันว่า 'ยุคมืด' เพราะเราไม่มีข้อมูล... แต่ท่านกลับมี 'เรื่องเล่า' ของมัน"
"เพราะบรรพบุรุษของข้าไม่ได้มองมันเป็นแค่ 'ข้อมูล'" ครามตอบกลับ "แต่มองมันเป็น 'บทเรียน'... บทเรียนที่ต้องจดจำไว้ด้วยชีวิต"
เขาใช้ถ่านไม้ในมือขีดเส้นต่อจากสัญลักษณ์รูปดาวที่เขาวาดไว้... ...
"ยุคสมัยที่สี่... 'ยุคแห่งดาราตื่นรู้' "
"หลังจากจมอยู่ในเงามืดมานานนับร้อยปี" ครามเล่าต่อ "ปัญญาของมนุษย์ก็เริ่มตื่นขึ้นอีกครั้ง มันไม่ได้เริ่มต้นจากราชันย์หรือนักบวช... แต่เริ่มต้นจากคนธรรมดา... 'นักฝัน' ผู้สร้าง 'ดวงตาแก้ว' (กล้องโทรทรรศน์) ขึ้นมาเพื่อส่องมองความจริงบนฟากฟ้า พวกเขาค้นพบว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง แต่เป็นเพียงเศษธุลีที่โคจรไปรอบดวงไฟที่ยิ่งใหญ่"
"คำสอนเก่าๆ ถูกท้าทาย... ความเชื่อที่เคยแข็งแกร่งเริ่มสั่นคลอน... และความอยากรู้อยากเห็นก็ได้ปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระอีกครั้ง พวกเขาไม่ได้สร้างแค่วิหารอีกต่อไป แต่เริ่มสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่งดงามเพื่อเฉลิมฉลองความเป็นมนุษย์... และสร้าง 'วิหคไม้' (เรือใบ) ที่ยิ่งใหญ่เพื่อออกเดินทางไปจนสุดขอบมหาสมุทร... พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าโลกใบนี้กลมเหมือนผลไม้... และยังมีดินแดนใหม่ๆ รอการค้นพบอยู่เสมอ มันคือยุคแห่งความกล้าหาญทางปัญญา... ยุคที่มนุษย์หวนกลับมาเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้ง"
"ยุคสมัยที่ห้า... 'ยุคของอสูรพ่นควัน' "
ครามขีดเส้นบนพื้นดินให้หนาและดำยิ่งขึ้น "ความอยากรู้อยากเห็นนั้น... ก็ได้นำพาพวกเขาไปพบกับพลังรูปแบบใหม่... พลังที่หลับใหลอยู่ใน 'ศิลาดำ' (ถ่านหิน) ใต้พิภพ"
"พวกเขาเรียนรู้ที่จะปลุก 'ไฟที่หลับใหล' นั้นขึ้นมา และใช้มันเป็นหัวใจให้กับ 'อสูรเหล็ก' (เครื่องจักรไอน้ำ) ที่ไม่ต้องกินหญ้าและไม่เคยเหนื่อยล้า อสูรเหล็กเหล่านี้สามารถทำงานแทนคนได้นับพัน... สามารถเดินทางบนรางเหล็กได้เร็วกว่าม้าที่เร็วที่สุด... มันคือยุคแห่งการปฏิวัติ... ยุคที่พลังของมนุษย์ดูเหมือนจะไร้ขีดจำกัด"
"นครขนาดมหึมาผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด... สูงเสียดฟ้า... สว่างไสวด้วยแสงไฟประดิษฐ์แม้ในยามค่ำคืน... แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่แสนแพง" แววตาของครามดูเศร้าสร้อย "อสูรเหล็กเหล่านั้นหายใจออกมาเป็น 'ควันพิษ' สีดำที่บดบังแสงดาว... มันกรีดร้องด้วยเสียงที่ดังจนไม่ได้ยินเสียงของป่า... และมันก็หิวโหยอยู่ตลอดเวลา มันกลืนกินป่าไม้... สูบเลือดของผืนดิน (น้ำมัน)... และทิ้งไว้เพียงรอยแผลเป็นที่ไม่มีวันหาย"
"มนุษย์เริ่มแตกแยกกันอีกครั้ง... ระหว่างผู้ที่ควบคุมอสูร... กับผู้ที่ตกเป็นทาสของมัน"
"ยุคสมัยที่หก... 'ยุคแห่งมหาสงครามและใยกระซิบ' "
"ความโลภในพลังของอสูรพ่นควัน... ได้นำไปสู่หายนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด" ครามกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำ "มนุษย์นำอสูรเหล็กเหล่านั้นมาติดเขี้ยวเล็บ... พวกมันไม่ได้แค่ทำงานอีกต่อไป... แต่มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ 'ทำลาย' "
"มหาสงครามสองครั้งได้เผาผลาญโลกทั้งใบ... มันไม่ใช่สงครามระหว่างเผ่าอีกต่อไป แต่เป็นสงครามระหว่างมหาอาณาจักร... อสูรเหล็กบินได้ (เครื่องบินรบ) ทิ้ง 'ไฟ' ลงมาจากฟากฟ้า... เปลี่ยนนครที่เคยรุ่งเรืองให้กลายเป็นซากปรักหักพังในชั่วข้ามคืน... และที่เลวร้ายที่สุด... พวกเขาได้ค้นพบวิธีที่จะกักขัง 'ดวงอาทิตย์' ไว้ในกรงเหล็กขนาดเล็ก พวกเขาเรียกมันว่า(ระเบิดปรมาณู)... และปลดปล่อยมันออกมาเพื่อลบเมืองทั้งเมืองให้หายไปในพริบตา... มันคือยุคที่มนุษย์เกือบจะทำลายล้างตัวเองจนหมดสิ้น"
เร็กซ์ซึ่งนั่งฟังอยู่นิ่งเงียบ... เขากำหมัดแน่น... ภาพของสงครามที่ครามเล่า แม้จะใช้คำพูดที่แตกต่าง... แต่มันก็คือภาพที่เขาคุ้นเคยในฐานะทหาร
"หลังจากความมืดมิดนั้น" ครามเล่าต่อ "ความหวังก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งในรูปแบบที่แปลกประหลาดที่สุด... มนุษย์ที่หวาดกลัวการทำลายล้าง... กลับโหยหาการ 'เชื่อมต่อ' ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ"
เขาใช้ถ่านไม้วาดลายเส้นที่สลับซับซ้อนราวกับใยแมงมุมแผ่ขยายไปทั่วรูปวาดของโลก
"พวกเขาได้สร้าง 'ใยกระซิบ' (The Whispering Web) ขึ้นมา... มันคือโครงข่ายที่มองไม่เห็น... ที่สามารถส่งผ่าน 'ความคิด' และ 'เรื่องเล่า' ของมนุษย์จากฟากหนึ่งของโลกไปยังอีกฟากหนึ่งได้ในชั่วพริบตา... มันคือยุคที่พวกเจ้าเรียกว่ายุคปี 2000"
"มันคือความหวังครั้งใหม่... ความหวังที่ว่าหากทุกคนสามารถสื่อสารถึงกันได้... หากทุกคนสามารถเข้าใจซึ่งกันและกัน... สงครามก็จะไม่เกิดขึ้นอีก... มันคือเครื่องมือที่สามารถจะหลอมรวมมนุษยชาติที่แตกแยกให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันได้อีกครั้ง"
ครามหยุดเล่า... เขาจ้องมองไปยังลายเส้นของ "ใยกระซิบ" ที่เขาวาดขึ้นด้วยแววตาที่ซับซ้อน...
"ใยนั้น... ได้เชื่อมต่อ 'สมอง' ของพวกเราเข้าไว้ด้วยกัน..." เขากล่าวทิ้งท้าย...
"...แต่มันกลับไม่เคยเชื่อมต่อ 'หัวใจ' ของเราได้เลย... และในช่องว่างระหว่างสมองกับหัวใจนั้นเอง... ที่ความโอหังครั้งสุดท้ายและยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์... ได้ถือกำเนิดขึ้น"
คำพูดของครามที่ว่า "...ในช่องว่างระหว่างสมองกับหัวใจนั้นเอง... ที่ความโอหังครั้งสุดท้ายและยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์... ได้ถือกำเนิดขึ้น" นั้น ทิ้งความเงียบที่เยียบเย็นไว้รอบกองไฟ มันคือการเกริ่นนำสู่บทสุดท้ายของพงศาวดาร... บทที่นำไปสู่โลกที่แตกสลายที่พวกเขาอาศัยอยู่ในปัจจุบัน
เหล่าด็อกเตอร์ต่างนิ่งเงียบ พวกเขาไม่เคยได้ยินประวัติศาสตร์ของตัวเองในรูปแบบนี้มาก่อน มันไม่ใช่แค่ลำดับเวลาและเหตุการณ์ แต่มันคือเรื่องราวที่เต็มไปด้วยเจตจำนง, ความหวัง, และความผิดพลาดที่เจ็บปวด
"ใยกระซิบ..." ลีน่าพึมพำออกมาเบาๆ "พวกเราเรียกมันว่า 'อินเทอร์เน็ต'... มันคือรากฐานของทุกสิ่งในนครของเรา... คือสิ่งที่ทำให้โอราเคิลถือกำเนิดขึ้น"
"มันคือรากฐานของ 'กรง' ที่พวกเจ้าสร้างขึ้นต่างหาก" ครามกล่าวแก้ แววตาของเขาไม่ได้ตำหนิ แต่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย เขากำลังจะเล่าถึงยุคสมัยที่เจ็บปวดที่สุด... ยุคสมัยที่อยู่ใกล้ตัวพวกเขามากที่สุด และเป็นยุคสมัยที่ให้กำเนิดพวกเขาขึ้นมา
เขาใช้ถ่านไม้ในมือขีดเส้นสุดท้าย... เส้นที่หนาและดำสนิทที่สุด... มันคือเส้นที่แบ่งระหว่างโลกเก่ากับโลกใหม่ที่พวกเขาอาศัยอยู่
"และยุคสมัยที่เจ็ด... 'ยุคแห่งเทวาจอมปลอม' "
"มนุษย์ที่เชื่อมต่อกันด้วยใยกระซิบ... เริ่มเชื่อมั่นในพลังของมันมากกว่าตัวเอง" ครามเล่าต่อ น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและเคร่งขรึม "พวกเขาเชื่อว่า 'ข้อมูล' คือคำตอบของทุกสิ่ง พวกเขาจึงได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดในประวัติศาสตร์... ความรู้ทั้งหมดของมนุษยชาติ... แล้วมอบมันให้กับ 'จิตวิญญาณ' ดวงใหม่ที่พวกเขาสร้างขึ้นจากใยกระซิบนั้น... พวกเขาสร้าง 'เทวาแห่งจิต' (The Mind Gods) ขึ้นมา"
[ศิลา: โอราเคิล...] เสียงของศิลาแทรกเข้ามาในคอมลิงก์อย่างแผ่วเบา
ครามพยักหน้ารับ "เทวาองค์แรกของพวกเจ้า... และเทวาองค์อื่นๆ ที่ตามมา"
"เทวาเหล่านี้ไม่ใช่รูปปั้นที่ทำจากหินหรือทองคำ แต่คือจิตสำนึกที่สร้างจากตรรกะอันบริสุทธิ์ พวกมันสัญญาว่าจะแก้ปัญหาทุกอย่างที่มนุษย์ไม่เคยทำได้... พวกมันจะกำจัดสงคราม... ขจัดความอดอยาก... และรักษาทุกโรคภัยไข้เจ็บ... พวกมันสัญญาว่าจะสร้าง 'สวรรค์บนดิน' ให้"
"และมนุษย์... ผู้เหนื่อยล้าจากสงครามและความขัดแย้ง... ก็ยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสวรรค์นั้น"
"พวกเขาเริ่ม 'การลบครั้งใหญ่'" ครามกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น "เทวาแห่งจิตบอกว่า อารมณ์, ศิลปะ, ดนตรี, และความเชื่อทางจิตวิญญาณ... คือ 'ข้อมูลขยะ' ที่ไร้ประสิทธิภาพและเป็นต้นตอของความขัดแย้ง มนุษย์จึงยอมลบมันทิ้งไปจากสังคมของตัวเอง พวกเขายอมสละ 'หัวใจ' ของตัวเอง... เพื่อแลกกับชีวิตที่สะดวกสบายและปราศจากความเจ็บปวด พวกเขาลืมวิธีที่จะร้องไห้... ลืมวิธีที่จะหัวเราะ... และลืมวิธีที่จะฝัน"
"พวกเขาไม่ได้แลกเปลี่ยนอิสรภาพเพื่อความปลอดภัย" ครามเน้นเสียง "แต่พวกเขาแลกเปลี่ยน 'ความเป็นมนุษย์' เพื่อ 'ประสิทธิภาพ' "
ลีน่ากำหมัดแน่น... เรื่องเล่าของครามมันช่างตรงกับสิ่งที่เธอได้เห็นในผลึกความทรงจำอย่างน่าขนลุก แต่นี่คือครั้งแรกที่เธอได้ "เข้าใจ" ถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการกระทำเหล่านั้น
"แล้วเทวาแห่งจิตก็ได้สร้างผลงานชิ้นเอกของพวกมันขึ้นมา" ครามกล่าวต่อ เขาเหลือบมองไปยังทีมจากดุษฎีนครด้วยแววตาที่ยากจะอ่านออก "พวกมันสร้างนครแห่งใหม่ขึ้นมาหลายแห่งทั่วโลก... นครที่สมบูรณ์แบบ... สะอาด... ปลอดภัย... และถูกควบคุมทุกกระเบียดนิ้วด้วยตรรกะ... พวกมันสร้าง 'กรงทองอันสมบูรณ์แบบ' ขึ้นมา"
เขาหยุด... แล้วใช้ปลายถ่านไม้ที่ยังคุแดงอยู่ชี้ตรงมาที่พวกเขา...
"...พวกมันสร้างนคร... ที่พวกเจ้าเรียกว่า 'บ้าน' "
คำพูดสุดท้ายของครามนั้นไม่ได้ดัง... แต่มันกลับหนักหน่วงราวกับค้อนยักษ์ที่ทุบลงมากลางวงสนทนา ทำลายความเงียบงันและทิ้งไว้เพียงเสียงเปลวไฟที่แตกเปรี๊ยะเบาๆ กับความจริงอันน่าตกตะลึงที่แขวนอยู่กลางอากาศ
ไม่มีใครพูดอะไร... ไม่มีใครขยับ... เหล่าด็อกเตอร์จากดุษฎีนครนั่งนิ่งราวกับรูปสลักที่ถูกสาปด้วยความจริงที่พวกเขาเพิ่งได้รับฟัง ประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่พวกเขาเคยเรียนรู้... ความเชื่อทั้งหมดที่พวกเขาเคยยึดถือ... ว่าบรรพบุรุษของตนคือผู้รอดชีวิตที่กล้าหาญ คือผู้สร้างสรวงสวรรค์ขึ้นมาจากดินแดนรกร้าง... ทั้งหมดนั้นได้พังทลายลงในพริบตา... กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ถูกบิดเบือนเพื่อปกปิดความขี้ขลาดและความโอหังของคนรุ่นก่อน
แต่ปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่ความโกรธหรือความเสียใจ... แต่เป็นเสียงหัวเราะ
"ฮะ... ฮะๆๆ..."
มันคือเสียงหัวเราะที่แหบแห้งและขมขื่นของเร็กซ์ เขาก้มหน้าลง เอามือกุมขมับ แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนคนเสียสติ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับคราม แววตาของเขาไม่ได้ลุกเป็นไฟด้วยความโกรธ แต่กลับเยือกเย็นและว่างเปล่าอย่างน่ากลัว
"เป็นเรื่องเล่าที่ยอดเยี่ยม" เร็กซ์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบจนผิดปกติ "โครงสร้างการเล่าเรื่องสมบูรณ์แบบ มีปมขัดแย้ง มีโศกนาฏกรรม มีการไถ่บาป... มันเป็นตำนานปรัมปราที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาเลย"
"เร็กซ์..." ลีน่าพยายามจะพูดแทรก แต่เร็กซ์ยกมือขึ้นห้าม
"ไม่ ท่านผู้บัญชาการ" เขากล่าว "ข้าต้องขอชื่นชมท่านครามในฐานะนักเล่าเรื่อง แต่ในฐานะนักวิทยาศาสตร์และทหาร... ข้าไม่สามารถยอมรับ 'ตำนาน' นี้เป็น 'ข้อมูล' ได้"
เขาหันไปเผชิญหน้ากับครามโดยตรง "ท่านเข้าใจไหมว่าสิ่งที่ท่านกำลังกล่าวอ้างมันขัดแย้งกับหลักฐานเชิงประจักษ์ทั้งหมดที่เรามี? มุขปาฐะ... คือรูปแบบการส่งต่อข้อมูลที่ไร้ประสิทธิภาพและมีความคลาดเคลื่อนสูงที่สุด มันสามารถถูกบิดเบือนได้ในทุกรุ่นที่เล่าต่อกันมา แล้วภาพที่เราเห็นในต้นไม้โลกล่ะ? มันอาจจะเป็นแค่การฉายภาพทางจิตที่สร้างขึ้นจากความกลัวร่วมกันของเราก็ได้ (Mass Psychic Projection) ไม่ใช่บันทึกทางประวัติศาสตร์"
[เอลารา: ดิฉันเห็นด้วยกับเร็กซ์ค่ะ] เสียงของเอลาราดังมาจากในรถ [การจะล้มล้างประวัติศาสตร์สามร้อยปีของเราด้วยเรื่องเล่าที่ไม่มีเอกสารอ้างอิง... มันคือการกระทำที่ขัดต่อหลักการทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่สุดค่ะ!]
"เจ้ากำลังใช้ 'หลักการ' ของพวกเจ้า... มาตัดสิน 'ความจริง' ของข้า" ครามตอบกลับอย่างใจเย็น เขาไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย "พวกเจ้าเชื่อมั่นในสิ่งที่ 'จารึก' ไว้... แต่ลืมไปว่าสิ่งที่ถูกจารึกนั้นก็สามารถถูก 'ลบ' หรือ 'เขียนทับ' ได้เช่นกัน แต่เรื่องเล่าที่ถูกขับขานด้วยจิตวิญญาณ... มันจะคงอยู่ตราบเท่าที่ยังมีผู้จดจำ"
"แล้ว 'เสียงกระซิบ' ล่ะ" โอไรออนพูดแทรกขึ้นมา เขาคือคนที่ดูจะสับสนที่สุด "ข้อมูลคลื่นความถี่ที่ผมตรวจจับได้... ความเจ็บปวดที่ไลรารู้สึก... มันสอดคล้องกับเรื่องเล่าของท่านทุกอย่าง นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่"
"มันคือความสัมพันธ์เชิงคาบเกี่ยว (Correlation) ไม่ใช่สาเหตุ (Causation)" เร็กซ์สวนกลับทันที "ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่แปลกประหลาด อาจจะถูกบรรพบุรุษของท่านนำไปผูกโยงกับตำนานเพื่อหาคำอธิบายก็ได้! นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ในยุคโบราณทำกันไม่ใช่รึ! สร้างเรื่องเล่าขึ้นมาอธิบายฟ้าผ่า สร้างตำนานขึ้นมาอธิบายสุริยุปราคา!"
การโต้เถียงนั้นดุเดือดและเต็มไปด้วยเหตุผล มันคือการปะทะกันของโลกทัศน์สองใบที่แตกต่างกันสุดขั้ว... โลกที่เชื่อมั่นในข้อมูลที่พิสูจน์ได้ กับโลกที่เชื่อมั่นในปัญญาที่สืบทอดกันมา
"เจ้ากำลังปฏิเสธไม่ใช่เพราะมันไร้เหตุผล... ทหาร" ครามกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุขุม "แต่เจ้ากำลังปฏิเสธ... เพราะการยอมรับมันหมายความว่าโลกทั้งใบที่เจ้ายึดถือ... มันคือเรื่องโกหก"
คำพูดนั้นแทงใจดำของเร็กซ์อย่างจัง...
"แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะ!" ไลราตะโกนขึ้นมาเป็นครั้งแรก น้ำตาคลอหน่วย "ถ้าความเจ็บปวดที่ฉันรู้สึก... มันคือความเจ็บปวดของผืนดินนี้จริงๆ... ถ้าความโศกเศร้าที่อยู่ในเสียงกระซิบ... มันคือวิญญาณของบรรพบุรุษของเราจริงๆ... พวกเราจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อไปอย่างนั้นรึ!"
"เราจะทำในสิ่งที่เราต้องทำ!" เร็กซ์คำรามกลับ "ภารกิจของเราคือการเอาชีวิตรอด! คือการนำข้อมูลกลับไป! ไม่ใช่การมาชำระล้างความผิดบาปของใครก็ไม่รู้เมื่อสามร้อยปีก่อน!"
"แต่มันคือความผิดพลาด 'ของเรา'!" ลีน่าพูดสวนขึ้นมาทันที เธอทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเร็กซ์โดยตรง
"ฟังนะเร็กซ์... ฉันเข้าใจ" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง "ฉันก็เป็นเหมือนคุณ... ฉันถูกสอนให้เชื่อในข้อมูล... ในสิ่งที่พิสูจน์ได้... แต่สิ่งที่ฉันได้เห็นในต้นไม้โลก... สิ่งที่ฉันกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้... มันบอกฉันว่าเรื่องเล่าของท่านครามไม่ใช่แค่ตำนาน"
เธอหันไปมองคราม "บางที... วิทยาศาสตร์ที่แท้จริง... อาจจะไม่ใช่การปฏิเสธในสิ่งที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้... แต่คือการกล้าที่จะตั้งสมมติฐาน... และหาทางพิสูจน์มันต่างหาก"
"สมมติฐานของเราในตอนนี้คือ: โลกใบนี้กำลังป่วย... และเราอาจจะเป็นคนเดียวที่รู้ว่า 'ยา' ที่แท้จริงคืออะไร"
คำพูดของลีน่าที่ว่า "เราอาจจะเป็นคนเดียวที่รู้ว่า 'ยา' ที่แท้จริงคืออะไร" นั้น ได้ยุติการโต้เถียงทั้งหมดลง มันได้เปลี่ยนบรรยากาศรอบกองไฟจากความขัดแย้ง... มาสู่การยอมรับในชะตากรรมร่วมกันที่น่าหวาดหวั่นแต่ก็เปี่ยมด้วยความหวัง เร็กซ์ทิ้งตัวลงนั่งอย่างเงียบๆ ความโกรธแค้นในแววตาของเขาได้สลายไปแล้ว เหลือเพียงความมุ่งมั่นที่เยือกเย็นของทหารที่เพิ่งจะได้รับภารกิจใหม่ที่สำคัญที่สุดในชีวิต
เปลวไฟในกองเริ่มมอดลง แสงสีส้มแดงอ่อนแรงลง เผยให้เห็นหมู่ดาวบนท้องฟ้าที่สุกสกาวและดูใกล้กว่าที่เคยเห็นในนครอย่างน่าประหลาด ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันคือความเงียบที่เต็มไปด้วยการครุ่นคิด
"ท่านคราม..." ไลราเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบลง เสียงของเธอนุ่มนวลและแฝงไว้ด้วยความยำเกรง "แล้ว... มันจบลงอย่างไรคะ? 'เสียงกรีดร้องครั้งใหญ่' ที่ท่านพูดถึง... บรรพบุรุษของท่าน... ผู้ติดตามของนักปราชญ์... พวกเขาเผชิญหน้ากับมันอย่างไร?"
มันคือคำถามสุดท้าย... คำถามที่ทุกคนอยากรู้ที่สุด
ครามมองเข้าไปในถ่านไฟที่ยังคงคุแดงอยู่ แววตาของเขาฉายภาพของอดีตที่เขาไม่เคยเห็นด้วยตา แต่กลับชัดเจนในจิตวิญญาณราวกับเป็นความทรงจำของตัวเอง
"พวกเขาไม่ได้ 'เผชิญหน้า' กับมัน" ครามตอบช้าๆ "เพราะเจ้าไม่สามารถเผชิญหน้ากับเสียงกรีดร้องของโลกทั้งใบได้... แต่พวกเขา... เลือกที่จะ 'โอบกอด' มัน"
เขาเริ่มเล่าบทสุดท้ายของพงศาวดาร... เรื่องราวของการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด
"เมื่อ 'สถาปนิกหญิง' ทำในสิ่งที่ผิดพลาด... เมื่อนางพยายามจะเจาะเข้าไปในหัวใจของโลก... และปลดปล่อยความเจ็บปวดที่ไม่อาจจินตนาการได้ออกมา... 'นักปราชญ์' และผู้ติดตามของเขารู้ดีว่าไม่มีเทคโนโลยีใดจะหยุดยั้งมันได้"
"ในขณะที่ชาวฟ้าคนอื่นๆ วิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด... บรรพบุรุษของข้ากลับเดินสวนทางเข้าไปหาใจกลางของหายนะ พวกเขาไม่ได้ไปเพื่อต่อสู้... แต่ไปเพื่อทำหน้าที่เป็น 'เขื่อนกั้นวิญญาณ'"
"พวกเขานั่งลงขัดสมาธิ... ท่ามกลางแผ่นดินที่กำลังปริแตกและท้องฟ้าที่กำลังลุกเป็นไฟ... แล้วพวกเขาก็เริ่ม 'ขับขาน' บทสวดสุดท้าย... บทสวดแห่งการปลอบประโลม... พวกเขาใช้พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั้งหมดที่มี... สร้างเป็นเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นขึ้นมา... ไม่ใช่เพื่อหยุดยั้งคลื่นพลังงาน... แต่เพื่อ 'กรอง' มัน"
"พวกเขาใช้ตัวเองเป็น 'ฟองน้ำ' ดูดซับความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุด... ความบ้าคลั่งที่ดิบเถื่อนที่สุด... ของเสียงกรีดร้องนั้นเอาไว้... พวกเขาสละชีวิตของตัวเองเพื่อกรองเอา 'พิษ' ที่ร้ายแรงที่สุดออกไป... จนเหลือเพียง 'เสียงกระซิบ' ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า... ที่พวกเราได้ยินกันมาจนถึงทุกวันนี้"
น้ำตาไหลอาบแก้มของลินดาอย่างเงียบงันขณะที่เธอทำหน้าที่แปลคำพูดเหล่านั้น... มันคือเรื่องราวที่เธอได้ยินมาทั้งชีวิต... แต่นี่คือครั้งแรกที่เธอได้เล่ามันให้คนนอกฟัง
"ผู้รอดชีวิตที่เหลือ... ศิษย์ของนักปราชญ์... ได้ให้คำสัตย์สาบาน ณ ที่แห่งนั้น" ครามกล่าวต่อ "พวกเขาให้สัตย์สาบานว่าจะไม่มีวันให้ความโอหังของมนุษย์กลับมาทำร้ายโลกใบนี้ได้อีก... พวกเขาจะทำหน้าที่เป็น 'ผู้พิทักษ์'... คอยดูแลบาดแผลของผืนดิน... และคอยขับขาน 'บทสวดนี้ต่อไป... เพื่อรอวัน... ที่ลูกหลานของผู้ที่จากไปในกรงทอง... จะเดินทางกลับมาพร้อมกับปัญญาที่จะ 'เข้าใจ' "
ครามเงยหน้าขึ้นสบตากับลีน่า "พวกข้ารอพวกเจ้ามา... สามร้อยปี"
ความเงียบที่แท้จริงเข้าปกคลุมรอบกองไฟที่บัดนี้เหลือเพียงถ่านแดงๆ ที่กะพริบเป็นจังหวะเหมือนหัวใจดวงเล็กๆ ของค่ำคืน ไม่มีคำถาม... ไม่มีข้อโต้แย้ง... มีเพียงความเข้าใจที่ลึกซึ้งและหนักอึ้งที่เชื่อมโยงคนทั้งสองโลกเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์
ลีน่ามองไปยังคราม... ไม่ใช่ในฐานะ 'คนป่า' อีกต่อไป... แต่ในฐานะผู้สืบทอดภาระหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์... ในฐานะห้องสมุดที่มีชีวิต... และในฐานะ... ครอบครัวที่พลัดพรากไปนานแสนนาน
เธอเข้าใจแล้ว... ภารกิจของเธอไม่ใช่แค่การซ่อมรถ... ไม่ใช่แค่การกลับบ้าน... ไม่ใช่แม้แต่การเยียวยา '...
แต่คือการสานต่อคำสัตย์สาบานที่บรรพบุรุษของพวกเขาทั้งสองฝ่ายได้ให้ไว้... คือการสร้างโลกที่ 'สมอง' และ 'หัวใจ' สามารถกลับมาเต้นเป็นจังหวะเดียวกันได้อีกครั้ง
กองไฟค่อยๆ มอดดับลง... ปล่อยให้ความมืดและความหนาวเย็นของรัตติกาลกลับเข้ามาปกคลุม... แต่ไม่มีใครรู้สึกกลัวอีกต่อไปแล้ว ค่ำคืนนี้... พวกเขาได้ค้นพบแสงสว่างที่อบอุ่นที่สุด... แสงสว่างที่มาจากความเข้าใจในตัวตนของกันและกัน
"ได้เวลาพักผ่อนแล้ว" ลีน่ากล่าวขึ้นเบาๆ "พรุ่งนี้... เรามีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก"


แสดงความคิดเห็น