ชีวิตนี้บอกอะไร (เรื่องเล่า) 1: งานแอนพ์
เสียงแก๊กๆ ดังมาจากโต๊ะไม้ริมหน้าต่าง หญิงสาวคนหนึ่งกำลังรัวนิ้วลงบนแป้นโน้ตบุ๊กอย่างชำนาญ สิบนิ้วขยับขึ้นลงซ้ายขวาโดยเจ้าของไม่จำเป็นต้องดูแป้น ทุกการพรมนิ้วก่อให้เกิดข้อความยืดยาวบนหน้าจอโน้ตบุ๊ก ข้อความหนึ่งปรากฏเด่นหรากลางหน้าจอ บอกว่าสิ่งที่เธอกำลังพิมพ์ลงไปคืออะไร...“ประวัติครอบครัวของข้าพเจ้า”
ฉันกำลังทำชิ้นงานส่งอาจารย์ในวิชาแอนโทรโพโลจี (Antropology) หรือย่อสั้นๆ ว่า แอนพ์ (anp) หมายถึงศาสตร์มานุษยวิทยา ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาเอกของสาขาวิชาที่เรียน อาจารย์เคยสั่งให้ทำตอนอยู่ปีหนึ่ง เป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้รู้จักครอบครัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจารย์เล่าว่า เพราะงานชิ้นนี้จึงทำให้บางคนทราบ แท้จริงตนเองไม่ใช่ไทยแท้ อพยพมาจากดินแดนอื่น ถ้าไม่มาถามผู้เฒ่าผู้แก่ตอนนี้ก็อาจไม่รู้เลย แม้แต่ฉัน ถ้าไม่มีโอกาสทำงานชิ้นนี้ส่งอาจารย์ก็คงไม่ได้ทราบบางเรื่อเกี่ยวกับครอบครัวตนเองเช่นกัน
“แม่ ก่อนแต่งงานกับตา นามสกุลยายคืออะไรคะ” จริงๆ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้สนใจหรอก ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าทวดชื่ออะไร จนกระทั่งอาจารย์สั่งให้หาข้อมูลมาอย่างละเอียดที่สุด ภายหลังจึงได้ทราบ อ้อ คนนามสกุลนี้บางส่วนเป็นหนึ่งในญาติสายตาทวด ยายทวด ยิ่งครอบครัวไหนมีลูกสาวเยอะ ก็แทบดูไม่ออกว่าคนนี้ก็ลูกหลานตระกูลเดียวกัน เพราะเปลี่ยนไปใช้นามสกุลสามีหมด ทุกวันนี้ฉันรู้แต่พี่น้องพ่อแม่ แต่ไม่รู้พี่น้องปู่ย่าตายายสักเท่าไหร่ ถ้าไม่ได้เจอเลยไม่คิดจะสืบสาวหรอก คุณป้าที่แม่พาไปหาเกี่ยวข้องอะไรกับเรา ทำไมดูแม่สนิทสนมราวรู้จักกันมาก่อนเหลือเกิน
เปลี่ยนมาทางครอบครัวฝ่ายพ่อบ้าง มีอยู่วันหนึ่ง ขณะฉันเลื่อนเฟซบุ๊อ่านข่าวสาร หรือโพสต์เพื่อนๆ อยู่เพลินๆ ทันใดเสียงโปรแกรมช่วยอ่านหน้าจอของคนตาบอดก็ขานชื่อหนึ่งกระทบหู ชื่อนั้นพิมพ์เป็นตัวภาษาอังกฤษ มันทำให้หูผึ่งทันที ชื่อเหมือนลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่รู้จัก แต่ด้วยความที่ไม่สามารถเห็นภาพเจ้าของเฟซบุ๊กนั้นได้ กระนั้นยังคิดว่าคงเป็นญาติรุ่นน้องคนนั้นจึงตัดสินใจทักไปคุยด้วยตามประสาครอบครัว แต่คุยไปๆ มาๆ กลับพบว่า “ไม่ใช่” แต่ก็มิวายถามต่ออีกนิดให้กระจ่าง จึงตัดสินใจลองพิมพ์ภาษาไทยไปถามดู และต้องแปลกใจขึ้นไปอีก เมื่อนามสกุลดันเขียนแบบเดียวกันทุกประการเสียนี่! ทว่าจนแล้วจนรอด พอถามถึงญาติคนอื่นๆ ของกันและกัน ต่างคนก็ต่างไม่รู้จักใครเลย...หลังจากนั้นพวกเราก็ขาดการติดต่อกันไป ข้อมูลสุดท้ายที่รู้คือ เขาอยู่ในจังหวัดเดียวกันกับตระกูลฝั่งย่า แต่อยู่คนละอำเภอกัน
เกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วค่ะ ถ้าจู่ๆ วันหนึ่ง ย่าวัยแปดสิบกว่าจะไม่เอ่ยบางอย่างออกมา ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ถามท่าน เพราะเรื่องเกิดตอนที่ท่านมีอาการหลงลืมมากแล้ว ทว่าตอนที่ได้ยินล่าสุดอาการก็ไม่ได้ดีนัก ถึงขั้นฟั่นเฟือนใหญ่ แต่ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้ได้ยินประโยคดังกล่าวหลุดริมฝีปากย่าออกมา
“เก็บข้าวเก็บของกลับเมือง...กัน นี่ไม่ใช่บ้านเรา” ชื่อเมืองที่ย่าพูดออกมา คือชื่อเดียวกับเมืองที่ใครคนนั้นบอก ติดเพียงว่า นามสกุลที่พบเป็นนามสกุลฝั่งปู่ไม่ใช่ย่า มาถึงปัจจุบัน ฉันก็ยังไม่ได้คำตอบ คนเมืองดังกล่าวเกี่ยวข้องอย่างไรกับครอบครัวฝั่งพ่อ ได้เพียงสันนิษฐานไปเรื่อย ถ้าไม่ใช่ญาติของญาติของญาติซึ่งห่างแสนห่าง ก็คงเป็นนามสกุลเหมือนเท่านั้น และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ฉันอดนึกถึงคำพูดหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ มันคงจะจริงกระมัง “เวลาผ่านพ้น ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง ความจริงเก่าก่อนบางอย่างอาจผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะด้วยเพราะคนทำ หรือคนลืมก็ตาม ข้อมูลที่รู้ตอนนี้ ไม่แน่คงจะโดนบิดเบือนมาสารพัดแล้วก็ได้” เหมือนอย่างที่มาที่ไปของครอบครัวฉัน คนเราจึงจำเป็นต้องไตร่ตรองบางสิ่งที่ตนรู้ และสืบพิสูจน์ให้ชัดเจนเพื่อความถูกต้องเสียก่อนจะเชื่ออะไร เพราะเค้าเดิมมีโอกาสตกหล่น คลาดเครื่อนหลังจากผ่านกาล และผู้คนมากมายอย่างไรล่ะ!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 360
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น