ตอนที่ 882 เข้าสู่บริษัทฟิกส์
ตอนที่ 882 เข้าสู่บริษัทฟิกส์
เมื่อความเร็วของเซี่ยเฟยก้าวขึ้นสู่ 1 ล้านเมตรต่อวินาที มันก็หมายความว่าพลังการต่อสู้ของเขาถูกยกระดับขึ้นสู่พื้นที่ที่เขาไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน
ความเร็วเป็นเสมือนดาบและโล่ในเวลาเดียวกัน เขาจึงสามารถใช้ความเร็วประยุกต์ใช้ทั้งในด้านการโจมตีและการป้องกันขึ้นอยู่กับสถานการณ์
“ผ่านไปได้แล้ว!” เซี่ยเค่ออุทานขึ้นมาอย่างตื่นเต้น คล้ายกับว่าผู้ที่สามารถผ่านอุปสรรคไปได้ในคราวนี้ไม่ใช่เซี่ยเฟยแต่เป็นตัวเขาเอง
“น่าเหลือเชื่อมาก ความเร็วในการพัฒนาของเซี่ยเฟยแทบจะอยู่ในระดับเดียวกันกับบรรพบุรุษเลย ในเวลา 1 เดือนเขาพัฒนากฎความเร็วได้ถึงขั้นที่ 3 แล้ว และความเร็วในการพัฒนาของเขาก็ช้ากว่าบรรพบุรุษเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น” เซี่ยเหลียนหนิงกล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้นด้วยเช่นกัน
ความเร็วในการพัฒนาของชายหนุ่มอยู่ในระดับที่น่าทึ่งมาก เพราะมันเป็นความเร็วในการพัฒนาที่ช้ากว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไปเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตามมันก็อย่าลืมว่าในช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมาชายหนุ่มไม่ได้พัฒนาเพียงแค่กฎแห่งความเร็วเพียงอย่างเดียว เพราะเซี่ยเฟยเลือกเส้นทางการพัฒนากฎหลาย ๆ ด้านให้มีความก้าวหน้าไปพร้อม ๆ กัน
กฎแห่งความโกลาหลขั้นที่ 4!
กฎแห่งความเร็วขั้นที่ 3!
กฎแห่งมิติระดับจักรพรรดิขั้นที่ 2!
เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นมาจนถึง 1 ล้านเมตรต่อวินาที ประกอบกับเหล่าบรรดาผู้ช่วยอันทรงพลัง ในตอนนี้ชายหนุ่มก็มีกำลังมากพอที่จะเผชิญหน้ากับราชันย์กฎระดับพื้นฐานแล้ว
โอโร่เคยทำนายว่าความเร็วในการเลื่อนระดับของชายหนุ่มจะลดลงเรื่อย ๆ ตามระดับพลังของเขาที่เพิ่มมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงระดับที่เพิ่มมากขึ้นไม่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาของชายหนุ่มเลยแม้แต่นิดเดียว
—
หลังจากเข้าสู่พื้นที่ชั้นบนของเผ่าเทพ เซี่ยเฟยก็ทำการซื้อเข็มทิศมิติเอาไว้ให้กับตัวตนใหม่ของเขา
ก่อนหน้านี้เขามีเข็มทิศมิติอยู่ 3 ชิ้น โดยชิ้นแรกคือเข็มทิศมิติไม่ระบุตัวตน แน่นอนว่าเขาไม่สามารถนำเข็มทิศมิตินั้นมาใช้การได้
สองคือเข็มทิศมิติที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษให้ต้านทานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันรุนแรงที่เขาได้รับมาจากหวู่หยูหมิง แต่มันเป็นผลิตภัณฑ์ของเผ่ามารเขาจึงไม่สามารถเอามันมาใช้ในพื้นที่เผ่าเทพได้ด้วยเช่นเดียวกัน
สามคือเข็มทิศมิติที่เขาได้รับมาจากสกายวิง แต่เนื่องจากว่าในขณะนี้เขายังจำเป็นจะต้องปลอมแปลงตัวตน เข็มทิศมิตินั้นจึงยังไม่สามารถนำมาใช้งานได้
ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมามันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงต้องมีเข็มทิศมิติชิ้นที่ 4
หากเขาต้องการจะเคลื่อนที่ท่ามกลางเผ่าเทพอันกว้างใหญ่ การออกวิ่งตามวิธีการปกติย่อมไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมอย่างแน่นอน ท้ายที่สุดเผ่าเทพก็มีอาณาเขตกว้างขวางมาก แม้แต่ตัวเขาที่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องระยะทางก็ยังต้องรู้สึกปวดหัว
หลังจากที่เขาได้เข้าสู่เผ่าเทพเขาก็ได้เห็นความนิยมของบริษัทฟิกส์ท่ามกลางสมาชิกของเผ่าเทพ คนส่วนใหญ่ต่างก็ล้วนแล้วแต่ใช้ชุดเกราะหรือเข็มทิศมิติของบริษัทฟิกส์ทั้งหมด คล้ายกับว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคนไปแล้ว
ในตอนที่เขามีสถานะเป็นเชฟเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนไหวอย่างอิสระ แต่เมื่อสถานะของเขากลายเป็นนักวิจัยเขาจึงสามารถซื้อเข็มทิศชิ้นใหม่ได้โดยไม่มีปัญหา
เขตที่ 3 ของเผ่าเทพ
เมื่อได้รับเข็มทิศมิติชายหนุ่มก็ใช้เข็มทิศมิติเดินทางมายังบริษัทฟิกส์โดยตรง
บริษัทที่ได้ครอบครองเทคโนโลยีสูงสุดในจักรวาลตั้งอยู่บริเวณทางใต้ของเมืองวินด์เจด ซึ่งพื้นที่ในบริเวณนั้นต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นขอบเขตของบริษัทฟิกส์ทั้งหมด
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคืออาคารทรงกลมเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน โดยอาคารแต่ละหลังมีการเชื่อมต่อเข้าหากันจนดูลายตาไปหมด
โดยปกติอาคารสิ่งปลูกสร้างในดินแดนกฎมักจะยึดติดกับรูปแบบอาคารในสมัยโบราณ แต่อาคารภายในบริษัทนี้ต่างก็ให้ความรู้สึกล้ำสมัยไม่เหมือนใคร
หลังจากผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอนเซี่ยเฟยก็ถูกนำตัวเข้าไปภายในบริษัท โดยจุดหมายปลายทางของเขาเป็นอาคารทรงกลมสีขาวนวลขนาดใหญ่ที่มีข้อความเขียนเอาไว้ว่าศูนย์วิจัยเครื่องกล 137
บริษัทฟิกส์เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาล ศูนย์วิจัยภายในบริษัทจึงไม่ได้มีเพียงแค่ศูนย์วิจัยเครื่องกลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะอาคารใกล้ ๆ ก็มีป้ายติดว่าศูนย์วิจัยพันธุกรรม 138 เช่นกัน
นอกเหนือจากศูนย์วิจัยทั้งสองประเภทที่เขามองเห็นแล้ว มันก็ยังมีอาคารอีกมากมายที่เขาไม่รู้ว่าพวกมันมีหน้าที่อะไร แต่โดยสรุปความใหญ่โตของบริษัทฟิกส์มันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกประทับใจตั้งแต่แรกเห็น
—
“นายคือลูกศิษย์ของศาสตราจารย์ฟลินน์สินะ ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?” ไคเซอร์ผู้ซึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเครื่องกล 137 กล่าวถาม
“อาจารย์สบายดีครับ” เซี่ยเฟยกล่าวตอบกลับไปง่าย ๆ พราะเขาไม่เคยรู้จักกับคนที่ชื่อศาสตราจารย์ฟลินน์มาก่อน
ในตอนที่เขาเลือกตัวตนข้อมูลเป็นจำนวนมากก็ถูกใส่เข้ามาโดยอัตโนมัติ ดังนั้นโดยส่วนใหญ่เขาจึงจำเป็นจะต้องตามน้ำไปไม่ว่าอีกฝ่ายจะถามอะไรมา
“ครั้งหนึ่งศาสตราจารย์ฟลินน์เคยเป็นผู้อำนวยการของศูนย์วิจัยหลัก 4 แต่จู่ ๆ เขาก็ลาออกไปเป็นอาจารย์ของวิทยาลัย ช่างเสียดายพรสวรรค์ของเขาจริง ๆ” ไคเซอร์กล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ
ศูนย์วิจัยย่อยของบริษัทฟิกส์มีทั้งหมด 177 ศูนย์ ซึ่งเหนือกว่าศูนย์วิจัยย่อยมันก็ยังมีศูนย์วิจัยหลักอยู่อีก 4 ศูนย์
ศูนย์วิจัยหลัก 4 ทำหน้าที่วิจัยเกี่ยวกับอุปกรณ์ทุกอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับโลหะ ไม่ว่าจะเป็นยานรบ, ชุดเกราะหรือเครื่องมือเครื่องใช้ชนิดต่าง ๆ
ศูนย์วิจัยหลัก 3 ทำหน้าที่วิจัยเกี่ยวกับพันธุกรรมและแม้แต่การเพาะพันธ์สัตว์อสูรก็เป็นหน้าที่ของศูนย์วิจัยแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
ศูนย์วิจัยหลัก 2 ทำการวิจัยเกี่ยวกับจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นการหาทฤษฎีชนิดต่าง ๆ หรือการวิเคราะห์การเป็นไปของจักรวาลต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ของศูนย์วิจัยแห่งนี้ทั้งหมด
ศูนย์วิจัยหลัก 1 คือศูนย์วิจัยที่น่าทึ่งที่สุดของบริษัท ศูนย์วิจัยแห่งนี้ไม่มีเรื่องวิจัยที่ตายตัว เพราะพวกเขามีหน้าที่ศึกษาเรื่องที่อีกสามศูนย์วิจัยหลักไม่สามารถทำได้ หรืออาจจะเรียกว่าศูนย์วิจัยหลัก 1 คือศูนย์วิจัยหลักที่แท้จริง ก่อนที่จะตัดแยกย่อยออกไปกลายเป็นศูนย์วิจัยชนิดต่าง ๆ
เมื่อได้อ่านประวัติของเซี่ยเฟยบนหน้าจอ จู่ ๆ ไคเซอร์ก็หัวเราะออกมาเบา ๆ
“ศาสตราจารย์ฟลินน์ให้คำนิยามของนายว่าเป็นนักวิจัยเครื่องกลสารพัดชนิดงั้นเหรอ?” ไคเซอร์มองไปยังเซี่ยเฟยราวกับว่าเขาไม่เชื่อในข้อมูลที่เห็น
แน่นอนว่าข้อมูลในส่วนนี้ไม่ใช่ข้อมูลในส่วนที่เขาเป็นผู้กรอกด้วยเช่นกัน ตัวข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นมามันจึงยิ่งทำให้เขารู้สึกสับสนมากยิ่งขึ้น
แผนการเดิมคือเขาต้องการจะแอบเข้ามาในบริษัทฟิกส์อย่างเงียบ ๆ และคอยแอบสืบเรื่องของลินนิจโดยไม่ให้ใครรู้ตัว เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาสามารถสืบทราบเรื่องของลินนิจและเรื่องคำใบ้ที่เทพขาวเทพดำทิ้งไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เขาก็จะมุ่งหน้าตรงไปยังโถงวีรบุรุษเป็นสถานที่ต่อไป
น่าเสียดายที่ความจริงกลับพลิกผันไปจากสิ่งที่เขาคาดหวังโดยสิ้นเชิง เพราะข้อมูลที่ถูกระบุไว้ในฐานข้อมูลคือเขามีความเชี่ยวชาญในเครื่องกลสารพัดชนิดและยังถูกประเมินด้วยเกรด A+ อีกด้วย
เมื่อสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัย ผู้สำเร็จการศึกษาทุกคนจะได้รับการประเมินจากอาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเอง เพื่อกำหนดแนวทางให้พวกเขาสามารถเข้าทำงานภายในบริษัทฟิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยอัจฉริยะผู้ถูกยกย่องจะถูกประเมินอยู่ในระดับ A การที่ชายหนุ่มถูกประเมินว่าอยู่ในระดับ A+ แบบนี้ มันก็หมายความว่าเซี่ยเฟยถูกประเมินว่าเป็นอัจฉริยะผู้อยู่เหนืออัจฉริยะในด้านเครื่องกล
ด้วยความโดดเด่นของประวัติจบการศึกษาเช่นนี้นี่เอง มันจึงทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นตัวตนอันโดดเด่นทั้ง ๆ ที่เขาไม่ต้องการ
“ศาสตราจารย์ฟลินน์เป็นผู้ประเมินเรื่องนี้ขึ้นมาครับ ความจริงแล้วผมก็ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน” เซี่ยเฟยตอบกลับอย่างสงบ
“ไม่ว่ายังไงศาสตราจารย์ฟลินน์ก็เคยเป็นหนึ่งในนักวิจัยชั้นนำของบริษัท มันคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลูกศิษย์ของเขาจะถูกประเมินออกมาอยู่ในระดับนี้” ไคเซอร์กล่าวพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย แต่เซี่ยเฟยยังคงสังเกตเห็นความสงสัยในแววตาของเขาอย่างชัดเจน
ความจริงแล้วไคเซอร์ไม่เชื่อผลของการประเมินภายในประวัติเลย เพียงแต่ศาสตราจารย์ฟลินน์เป็นบุคคลที่ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงเขาจึงไม่กล้าจะพูดเรื่องนี้ออกไปตรง ๆ
“ตามกฎนักวิจัยใหม่จะต้องเข้าร่วมบททดสอบของบริษัทก่อนแล้วค่อยถูกมอบหมายตำแหน่ง ถึงแม้ว่านายจะเป็นศิษย์คนโปรดของศาสตราจารย์ฟลินน์ แต่นายก็ต้องเคารพกฎการประเมินของทางบริษัทด้วย” ไคเซอร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีปัญหาครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
ท่าทางที่ชายหนุ่มแสดงออกมาไม่ต่างไปจากท่อนไม้ที่ไร้อารมณ์ ซึ่งถ้าหากว่าใครมองในแวบแรกพวกเขาก็จะคิดว่าชายหนุ่มเป็นเด็กเรียนที่เคยอยู่แต่ในห้องทดลอง ไม่เคยออกไปพบปะสังคมด้านนอกเลย
“ทำไมพวกสาขาอิสระถึงเป็นท่อนไม้แบบนี้ทุกคนเลยนะ? ตลอด 13 ปีที่ผ่านมาเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับงานวิจัยโดยไม่ออกสังคมเลยหรือยังไง” ไคเซอร์ส่ายหัวพร้อมกับพึมพำขึ้นมาเบา ๆ
“การประเมินจำเป็นจะต้องใช้เวลานิดหน่อย ระหว่างนี้นายไปเป็นผู้ช่วยในทีมซ่อมบำรุงก่อนก็แล้วกัน งานง่าย ๆ แค่นี้คงไม่คณามือของนายหรอกใช่ไหม?”
“การเรียนรู้ทฤษฎีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำงานจริงเท่านั้น สิ่งสำคัญคือนายต้องนำทฤษฎีที่เรียนรู้มาประยุกต์ใช้ในงานจริง ๆ ให้ได้ หวังว่านายจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี” ไคเซอร์เริ่มออกคำสั่ง
เซี่ยเฟยไม่ได้คัดค้านซึ่งหลังจากที่เขาได้ออกจากห้องทำงานของไคเซอร์ พนักงานสาวก็ได้นำเขาไปยังแผนกบุคคลเพื่อรับป้ายพนักงานที่ระบุว่าเขาคือนักวิจัยชั่วคราวของศูนย์วิจัย 137
ระหว่างที่ชายหนุ่มเดินออกมาจากแผนกบุคคล เขาก็ได้พบกับผู้คนเป็นจำนวนมากกำลังยืนพิงหน้าต่างและมองออกไปยังด้านนอกด้วยความสนใจ
พนักงานสาวยังคงมีนิสัยเหมือนผู้หญิงตามปกติ เมื่อเธอได้เห็นฝูงชนกำลังให้ความสนใจกับบางสิ่ง เธอจึงรีบตะโกนออกไปถามด้วยความตื่นเต้น
“พวกนายกำลังดูอะไรอยู่เหรอ?”
“วันนี้มีคนจากสาขานิรันดร์มาลงทะเบียนเข้าทำงาน”
“สาขานิรันดร์? สาขาที่ลึกลับที่สุดของวิทยาลัยฟิกส์สตาร์อะคาเดมี่นั่นน่ะเหรอ?”
“ใช่ มันคือสาขาที่บ้ามาก เขาเป็นผู้สำเร็จการศึกษาเพียงคนเดียวจากสาขานิรันดร์ในรอบ 150 ปี”
“เขาเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เก่งไม่เก่งก็ลองดูนั่นสิ แม้แต่ผู้อำนวยการของศูนย์วิจัยหลักก็ยังออกมาทักทายเขาเป็นการส่วนตัว”
ฝูงจนต่างก็พูดคุยกันอย่างตื่นเต้น และพนักงานสาวคนนั้นก็กำลังถามไถ่เรื่องต่าง ๆ โดยไม่สนใจเซี่ยเฟยแม้แต่น้อย
สาขานิรันดร์คือสาขาที่มีความลึกลับมากที่สุดในวิทยาลัยฟิกส์สตาร์อะคาเดมี่ ว่ากันว่าการเรียนจบจากสาขานี้ไม่มีการระบุระยะเวลาสำหรับการเรียนเอาไว้ ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากสาขานิรันดร์คือผู้ที่ถูกประเมินว่ามีความสามารถที่เหมาะสม
ด้วยเหตุนี้คาเตอร์ที่สามารถสำเร็จการศึกษาจากสาขานิรันดร์ได้โดยรอบ 150 ปีจึงถูกประเมินเอาไว้ในระดับที่สูงมาก
เมื่อเซี่ยเฟยมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาก็ได้พบว่าคาเตอร์ที่มีรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างเด็กมาก คล้ายกับว่าชายคนนั้นมีอายุมากกว่าเขาเพียงแค่ 2-3 ปีเท่านั้น
***************
มาอย่างเด่นแบบนี้ มิตรหรือศัตรู?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 442
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น