ตอนที่ 794 ราชากฎระดับ 5
ตอนที่ 794 ราชากฎระดับ 5
เซี่ยเฟยบุกเข้าไปในห้องบัญชาการของยานรบเพื่อหาสถานที่สำหรับการฝึกฝนอย่างสงบ อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาได้ก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ภาพที่เขาเห็นมันก็ทำให้เขารู้สึกตกตะลึง
ภาพโดยรวมอุปกรณ์กลไกทั้งหมดต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นอุปกรณ์รุ่นเก่าที่ล้าสมัย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีหยากไย่เกาะอยู่เต็มไปหมด แต่มีระบบหนึ่งที่สะดุดตาเซี่ยเฟยมาก ซึ่งมันก็คือเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงอยู่แบบนี้
สำหรับผู้ที่ศึกษาเรื่องกลไกมานานหลายปี ชายหนุ่มย่อมสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าระบบการนำทางของยานลำนี้คือระบบนำทางที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
เซี่ยเฟยเดินเข้าไปภายในห้องควบคุมอย่างตื่นเต้น และพยายามถอดรหัสระบบนำทางเพื่อเปิดบันทึกของระบบขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่เม็ดพลังงานสีรุ้งภายในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขายังคงสั่นอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับว่ามันพร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเวลา
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องลงเพื่อเริ่มฝึกฝนก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นเขาค่อยลืมตาขึ้นมาเพื่อถอดรหัสระบบนำทางทีหลังมันก็ยังไม่สาย
—
6 ชั่วโมงต่อมา
ปัจจุบันชายหนุ่มได้ทะลวงผ่านกำแพงจนกลายเป็นราชากฎขั้นที่ 4 แล้ว แต่พลังงานปริมาณมหาศาลยังคงนำทางชายหนุ่มให้ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคไปได้เรื่อย ๆ
แม้ว่าพลังจะพัฒนาขึ้นมาจนถึงระดับราชากฎขั้นที่ 4 แต่ชายหนุ่มก็ยังคงฝึกฝนต่อเนื่องไปอีก 3 ชั่วโมง จนถึงเวลาที่พลังงานภายในร่างเริ่มที่จะหมดลง เขาจึงค่อย ๆ ลืมตาและกลับไปถอดรหัสระบบนำทางบนแผงควบคุมอีกครั้ง
“ความเร็วในการฝึกของนายเพิ่มขึ้นจากเดิมเรื่อย ๆ เลย ฉันว่ามันคงจะไม่มีอะไรสามารถเข้ามาขัดขวางนายได้แล้ว ก่อนที่นายจะพัฒนาจนกลายเป็นราชากฎขั้นที่ 6”
“ไม่ว่ายังไงการพยายามก้าวข้ามผ่านกำแพงขั้นที่ 6 ก็ยังคงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ แต่ในก่อนหน้านั้นตราบใดก็ตามที่นายมีพลังงานมากเพียงพอ นายก็จะสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปได้อย่างง่ายดาย” โอโร่กล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยก็ยังคงมุ่งสมาธิไปกับการถอดรหัสโดยไม่ตอบคำถาม โอโร่จึงได้กล่าวถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“มันก็แค่ระบบอาร์คไม่ใช่เหรอ? ทำไมนายถึงดูจริงจังมากขนาดนั้นด้วย?”
“ระบบอาร์ค? คุณรู้จักระบบนำทางระบบนี้ด้วยเหรอ?” เซี่ยเฟยถามอย่างตกตะลึง
ชายหนุ่มได้อาศัยอยู่บนยานอวกาศขนาดใหญ่ตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาได้ก้าวเท้าเข้ามาภายในตระกูลหยูแล้ว แต่ในครั้งนี้มันก็เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้เข้ามาในห้องควบคุมของตัวยาน มันจึงทำให้เขารู้สึกสนใจอยากจะสำรวจระบบต่าง ๆ ทั่วทั้งยานเต็มไปหมด
ยานไททันที่พวกเขากำลังสร้างอยู่ในปัจจุบันคือยานรบที่ได้รับแบบแปลนมาจากเผ่ายู่หลาน ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ผู้ถือครองเทคโนโลยีชั้นยอดเหนือยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์จักรกลของพวกโซฟีเสียอีก
เมื่อชายหนุ่มได้เรียนรู้เทคโนโลยีของเผ่ายู่หลานผ่านทางแบบแปลนของยานไททัน มันก็ทำให้แม้แต่เทคโนโลยีภายในดินแดนกฎก็ไม่อาจจะสร้างความประหลาดใจให้กับเซี่ยเฟยมากนัก แต่ระบบนำทางตรงหน้ากลับมีความแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะมันใช้เทคโนโลยีที่เหนือกว่าเทคโนโลยีของเผ่ายู่หลานที่เซี่ยเฟยเคยได้เรียนรู้มาเสียอีก
“ระบบอาร์คเป็นระบบที่หาพบได้โดยทั่วไปทั่วทั้งดินแดนกฎ ยานรบทุก ๆ ตระกูลภายใต้ดินแดนกฎต่างก็ล้วนแล้วแต่มียานรบอยู่ในครอบครองด้วยกันทั้งหมด น่าเสียดายที่เทคโนโลยีเข็มทิศมิติได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด เพราะเมื่อผู้คนสามารถเดินทางผ่านประตูมิติได้ ยานรบจึงมีความสำคัญน้อยลงกว่าเดิมมาก”
“ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีมากนัก แต่ฉันก็รู้ความเป็นจริงข้อหนึ่งหลังจากใช้ชีวิตอย่างยาวนาน คือเทคโนโลยีย่อมมีการพัฒนาเพื่อขึ้นมาแทนที่เทคโนโลยีเดิมตลอดเวลา อีกไม่นานยานรบก็คงจะหมดความสำคัญไปด้วยเช่นเดียวกัน” โอโร่กล่าว
“คุณกำลังจะบอกว่าเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตามพัฒนาการของพลังกฎได้อีกต่อไป อีกไม่นานในอนาคตวิทยาศาสตร์ก็คงจะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ในดินแดนกฎงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
“ในอดีตบรรพบุรุษของพวกเราอาศัยเพียงแค่ยานรบลำเล็ก ๆ ในการเดินทางข้ามจักรวาล แต่หลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นมาหลายพันล้านปี พลังกฎก็ได้เข้ามามีบทบาทเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ให้แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง”
“ปัจจุบันนักรบผู้ทรงพลังคนหนึ่งสามารถที่จะโบกมือเพื่อทำลายดาวทั้งดวงได้เลยด้วยซ้ำ อีกหลายร้อยล้านปีข้างหน้ามันก็อาจจะมีใครสักคนที่สามารถโบกมือแล้วทำลายกาแล็กซีทั่วทั้งกาแล็กซีปรากฏตัวขึ้นมาก็ได้ ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์ผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนานมาแล้ว ว่าท้ายที่สุดคลื่นลูกใหม่ก็มักที่จะแซงหน้าคลื่นลูกเก่าไปได้เสมอ”
เซี่ยเฟยพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของโอโร่ เพราะก่อนที่เขาจะเดินทางมายังดินแดนกฎ เขาไม่เคยเชื่อเรื่องที่ใครบางคนสามารถทำลายดาวทั้งดวงได้เลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าในตอนนั้นมันก็เป็นเพราะความรู้ของเขายังคงตื้นเขินมากจนเกินไป เพราะในตอนนี้เขาก็ได้พบกับผู้ที่มีพลังที่สามารถทำลายล้างดาวทั้งดวงมาด้วยตาของตัวเอง
เซี่ยเฟยทำการถอดรหัสเพื่อคัดลอกข้อมูลทุกอย่างเก็บเอาไว้ เพราะบางทีในอนาคตเขาอาจจะนำเทคโนโลยีนี้ไปปรับเปลี่ยนให้เข้ากับระบบของยานไททันที่พวกหุ่นยนต์กำลังเร่งมือสร้างขึ้นมาอยู่
หลังจากจัดการคัดลอกระบบอาร์คไปเก็บไว้ในแหวนมิติเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ดึงบลัดบิวเทียสออกมาถือภายในมือและออกไปจากห้องควบคุมเพื่อเข้าสู่สนามรบอันโหดร้ายอีกครั้ง
—
สถานการณ์ในปัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่ามันคือฝีมือของหน้ากากโบราณ หรือความแข็งแกร่งของฮาเดสเอง มันจึงทำให้พื้นที่ในบริเวณนี้ถูกปิดผนึกและไม่มีใครสามารถที่จะใช้ประตูมิติเพื่อหนีรอดออกไปจากสนามรบแห่งนี้ได้
การสังหารจากทั้งสองฝั่งยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยฮาเดสคอยสังหารนักรบอย่างโจ่งแจ้ง ขณะที่เซี่ยเฟยแอบสังหารนักรบอย่างลับ ๆ
ความแตกต่างระหว่างสองฝ่ายนั้นก็คือยิ่งฮาเดสสังหารนักรบไปมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งอ่อนแอลงไปมากเท่านั้น ขณะที่เมื่อเซี่ยเฟยสังหารนักรบเพิ่มเติม มันก็ทำให้เขาค่อย ๆ เก็บสะสมพลังงานได้จากทุก ๆ ศพที่ถูกสังหารจากบลัดบิวเทียส
เมื่อเวลาผ่านไปเหล่าบรรดานักรบใต้ดินที่แยกย้ายกันหลบหนีก็ตระหนักว่า โอกาสเดียวที่พวกเขาจะรอดชีวิตไปจากสถานการณ์อันเลวร้ายนี้คือการรวมพลังกันสังหารฮาเดสลงให้ได้ พวกเขาจึงรวมกลุ่มกันจู่โจมเข้าใส่สัตว์ประหลาดร่างเขียวอย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีแสงสีของพลังโจมตีทุกรูปแบบปรากฏขึ้นมาให้เห็นตลอดเวลา
น่าเสียดายที่ร่างกายของฮาเดสเปรียบเสมือนเป็นร่างกายของผู้เป็นอมตะ ซึ่งไม่เพียงแต่การโจมตีเหล่านี้จะไม่สามารถทำร้ายเขาได้เท่านั้น แต่มันยังทำให้เขาบ้าคลั่งมากกว่าเดิมอีกด้วย
ในเวลาเดียวกันเซี่ยเฟยก็ยังคงใช้ความเร็วในการสังหารนักรบที่พยายามแอบซ่อนตัวต่อไป เพราะวิธีการเดียวที่เขาจะจัดการกับฮาเดสที่ทรงพลังขนาดนั้นได้ คือเขาจะต้องเก็บสะสมพลังงานให้ได้มากกว่านี้
แม้ว่าจะมีนักรบใต้ดินเดินทางมายังงานแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นจำนวนมาก แต่นักรบเหล่านี้ก็ไม่ได้มีระดับพลังที่สูงมากนัก ท้ายที่สุดนักรบระดับสูงก็มีศัตรูเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นถ้าหากว่ามันไม่ได้มีเหตุการณ์พิเศษอะไร พวกเขาก็มักที่จะไม่ปรากฏตัวขึ้นในสถานที่สาธารณะอย่างเด็ดขาด
ยกตัวอย่างเช่น ทางสมาคมอาชาดำของเผ่ามนุษย์ก็ได้ส่งเฟอร์นัน, แฮนโดและมู่เสียวเต๋ามาเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น ซึ่งนักรบ 2 ใน 3 คนที่เดินทางมาก็มีพลังอยู่เพียงแค่ระดับอัศวินกฎเท่านั้นเอง
เซี่ยเฟยเคลื่อนไหวร่างกายราวกับภูตผีและจะเลือกจู่โจมเข้าใส่ศัตรูที่เขาคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะลงมือเท่านั้น ซึ่งแม้แต่ตัวชายหนุ่มเองก็ยังไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นนักฆ่าที่เลือกเหยื่อแบบนี้
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ครั้งนี้มันก็เป็นการแข่งขันกับเวลา ชายหนุ่มจึงจำเป็นจะต้องรวบรวมพลังงานให้ได้มากที่สุดโดยใช้ระยะเวลาน้อยที่สุด เขาจึงจำเป็นจะต้องเลือกเหยื่อที่มีคุณภาพเพียงพอเท่านั้น
การสังหารยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งสองฝ่ายต่างก็ล้วนแล้วแต่ลงมือสังหารศัตรูของของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง
—
ฉัวะ!
เซี่ยเฟยดึงบลัดบิวเทียสออกมาจากร่างของเหยื่อพร้อมกับลูกบอลพลังงานภายในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาที่กำลังสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งมันก็เป็นการส่งสัญญาณว่าเขาจำเป็นจะต้องหาสถานที่อันเงียบสงบเพื่อดูดซับพลังอีกครั้ง
“คราวนี้นายสังหารราชากฎไปทั้งหมด 37 คน นั่นมันจำนวนของราชากฎที่มากกว่าราชากฎในตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งซะอีก” โอโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
เซี่ยเฟยไม่ได้ให้ความสนใจโอโร่มากนัก โดยดวงตาของเขายังคงจับจ้องมองไปยังสัตว์ประหลาดตัวเขียวที่ยังคงสังหารศัตรูอย่างต่อเนื่อง
จำนวนของนักรบที่เหลือรอดชีวิตกำลังน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งมันก็หมายความว่าเวลาแห่งการเผชิญหน้ากำลังใกล้เข้ามาเต็มที
“ตอนนี้นายยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันหรอก รีบไปฝึกฝนเพิ่มพลังเถอะ ฉันคิดว่านักรบพวกนั้นคงจะถ่วงเวลาให้กับนายได้อีกไม่นานแล้ว” โอโร่กล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับ ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งไปยังสถานที่หลบซ่อนเพื่อทำการฝึกฝนอีกครั้ง
การกระทำของชายหนุ่มเป็นเรื่องที่บ้ามาก เพราะเมื่อเขาตระหนักว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฮาเดส เขาจึงพยายามเดิมพันทุกอย่างกับศักยภาพในการเติบโตของตัวเอง มันจึงเป็นเหตุผลที่เขามุ่งหน้าออกไปเก็บเกี่ยวพลังงานและกลับมาฝึกฝนในระยะเวลาอันสั้นแบบนี้
ไม่ว่าเขาจะรอดไปจากสถานการณ์ในครั้งนี้หรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็จะต้องพยายามทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ให้ได้มากที่สุด
หากเขาแพ้ชีวิตของเขาก็คงจะจบลง แต่ถ้าหากว่าเขาชนะเขาก็มีโอกาสที่จะได้รับกฎแห่งเวลาซึ่งเป็นกฎที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเทพ
—
ฉัวะ!
ร่างของนักรบคนสุดท้ายถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้น ๆ ฮาเดสจึงใช้ดวงตาสีแดงเลือดเพื่อมองหาเหยื่อรายต่อไป
น่าเสียดายที่ทั่วทั้งอวกาศอันมืดมิดเต็มไปด้วยซากศพที่ถูกฉีกกระชากร่างออกจากกันเป็นชิ้น ๆ มันจึงไม่มีร่องรอยของนักรบที่เหลือรอดชีวิตอยู่ในบริเวณนี้เลย
ฮาเดสส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาราวกับสัตว์ป่า ก่อนที่เขาจะใช้แขนทั้งสองข้างทุบหน้าอกจนก่อให้เกิดเสียงที่ดังกึกก้องราวกับเสียงกลองสงคราม
ในระหว่างที่ฮาเดสสังหารนักรบคนสุดท้าย เซี่ยเฟยที่เก็บตัวฝึกฝนอยู่ก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยเช่นกัน จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินออกมาด้วยย่างก้าวที่มั่นคง
ตอนนี้เขาได้กลายเป็นราชากฎขั้นที่ 5 แล้ว ซึ่งมันเป็นการพัฒนาพลังถึง 2 ระดับในเวลาเพียงแค่ 4 วัน แน่นอนว่าทั่วทั้งจักรวาลมันก็คงจะไม่มีใครเคยพัฒนาด้วยความเร็วในระดับนี้มาก่อน
“เอาล่ะตอนนี้นายมีพลังของราชากฎขั้นที่ 5 แล้ว ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ แต่ฉันก็สัมผัสได้ว่าช่องว่างระหว่างนายกับมันไม่ได้ห่างไกลกันมากจนเกินไป” โอโร่กล่าว
การเดิมพันในครั้งนี้จบลงที่เซี่ยเฟยสามารถเพิ่มพลังขึ้นมาเป็นราชากฎขั้นที่ 5 ได้อย่างฉิวเฉียด ซึ่งถ้าหากว่าฮาเดสสังหารศัตรูคนสุดท้ายก่อนที่ชายหนุ่มจะเพิ่มระดับพลังขึ้นมาได้ สถานการณ์มันก็คงจะเลวร้ายมากไปกว่านี้
เนตรมนตรา!
เซี่ยเฟยค่อย ๆ ก้าวเท้าออกมาจากห้องควบคุมของยานรบและใช้วิชาเนตรมนตราเพื่อจ้องมองไปยังสัตว์ประหลาดร่างเขียวจากระยะไกล
“ทรงพลังมาก” เซี่ยเฟยพึมพำขึ้นมาเบา ๆ เพราะถึงแม้ว่าฮาเดสจะอ่อนแอลงกว่าเมื่อ 4 วันก่อน แต่พลังงานรอบ ๆ ร่างของอีกฝ่ายก็ยังคงผันผวนอย่างรุนแรง
อิ้ว!
ขนอุยส่งเสียงร้องคำรามออกมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการในการต่อสู้ของเจ้านาย และถึงแม้ว่าการต่อสู้หลังจากนี้จะอันตรายมาก แต่สำหรับคนบ้าอย่างชายหนุ่มแล้วมันก็ไม่เคยมีคำว่ายอมแพ้ปรากฏขึ้นภายในหัวของเขา
กรร!
ในที่สุดฮาเดสก็มองเห็นเซี่ยเฟยแล้ว เขาจึงส่งเสียงร้องคำรามก่อนที่จะมุ่งหน้าตรงมายังผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย
ฝ่ามือคู่ฤดูใบไม้ร่วง!
เซี่ยเฟยเริ่มต้นการต่อสู้ด้วยการใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุดของตัวเองออกมา โดยในขณะนี้ศึกระหว่างราชากฎขั้นที่ 5 และจักรพรรดิกฎผู้เสียสติก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
***************
สู้กันแล้ววว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 393
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น