ตอนที่ 781 คำแนะนำจากเทพขาวดำ
ตอนที่ 781 คำแนะนำจากเทพขาวดำ
เมื่อสนามรบโบราณปิดตัวลง นักรบจากทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็ถูกส่งตัวกลับไปยังพื้นที่ที่พวกเขาจากมา อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยกลับไม่ได้ถูกส่งกลับไปด้วยวิธีปกติ แต่เขาเดินทางผ่านประตูมิติของแบล็คกี้และไวท์ตี้เพื่อมุ่งหน้าไปยังอาคารโลหะขนาดใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณรอบนอกของสนามรบโบราณ
ในระหว่างนั้นเซี่ยเฟยก็ทำการปิดการเชื่อมต่อกับแหวนมิติเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน เพราะถึงแม้เทพขาวกับเทพดำจะเป็นอาชญากรที่กำลังหลบหนีจากเผ่าเทพ แต่สมาชิกของเผ่าเทพกับเผ่ามารก็ยังคงเป็นศัตรูกันมาอย่างยาวนานอยู่ดี และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเทพขาวกับเทพดำสามารถสัมผัสโอโร่ที่อยู่ภายในแหวนมิติเหมือนกับไซได้หรือไม่
เมื่อมองผ่านช่องหน้าต่างของอาคาร ชายหนุ่มก็ได้พบกับกาแล็กซีที่ซ้อนทับกันคล้ายกับฟองสบู่ขนาดใหญ่ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นตาเซี่ยเฟยเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเดินสำรวจอยู่สักพักเซี่ยเฟยก็ได้พบว่าสิ่งที่เรียกว่าสนามรบโบราณคือป้อมปราการดวงดาวขนาดใหญ่ ซึ่งมีกำแพงหนาล้อมรอบดาวเคราะห์ขนาดใหญ่เอาไว้ แน่นอนว่าการสร้างป้อมปราการขนาดยักษ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เผลอ ๆ มันอาจจะมีความยุ่งยากมากกว่าการสร้างไททันขึ้นมาเสียอีก
อย่างไรก็ตามเมื่องานดังกล่าวมาอยู่ตรงหน้าของผู้มีอำนาจสูงสุดในดินแดนกฎ สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่างแล้วเสร็จเรียบร้อยจริง ๆ แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีอำนาจที่น่าเหลือเชื่อมากแค่ไหน ถึงขั้นขนาดที่ว่าสามารถสร้างป้อมปราการอันหนาแน่นล้อมรอบดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่กว่าดาวโลกถึง 300 เท่าได้อย่างง่ายดาย
การได้เห็นปราการแห่งนี้ทำให้เซี่ยเฟยอดที่จะสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่า ไททันคือยานรบที่มีอำนาจที่จะต้านทานนักรบกฎได้จริง ๆ เหรอ
แม้ว่าจะขบคิดมาเป็นเวลานานแต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้ เขาจึงทำได้เพียงแต่สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เพราะมันยังเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการคำนวณของเขาอย่างแท้จริง
ในระหว่างที่เซี่ยเฟยกำลังคิดถึงเรื่องยานไททันอยู่นั้น แบล็คกี้กับไวท์ตี้ก็เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นนกแก้วขนาดเล็กและบินนำเซี่ยเฟยไปจนถึงห้องที่อยู่สุดทางเดิน
หลังจากเข้ามาในห้องชายหนุ่มก็ได้พบว่าห้องแห่งนี้เป็นเพียงห้องขนาดไม่ใหญ่มากนัก ที่ไม่มีอะไรอื่นนอกเสียจากโต๊ะและเก้าอี้ที่แข็งแรง ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีชาย 2 คนนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว โดยคนหนึ่งสวมใส่ชุดเกราะสีขาว ขณะที่อีกคนสวมใส่ชุดเกราะสีดำ เซี่ยเฟยจึงคาดเดาว่าทั้งคู่น่าจะเป็นเทพขาวดำที่เรียกเขามาพบ
“ฮ่า ๆ ๆ มานั่งก่อนสิ ทำตัวตามสบายได้เลย” เทพดำกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับทักทายเซี่ยเฟยอย่างอบอุ่น
“ฉันไม่เคยคิดเลยจริง ๆ ว่าหลังจากที่พวกเราไม่ได้เจอกันมาหลายปี นายจะได้เข้ามาอยู่ในดินแดนกฎแบบนี้ ที่สำคัญกว่านั้นคือนายยังเป็นสมาชิกของตระกูลดาบคลั่งอีกด้วย” เทพดำกล่าวอย่างร่าเริง ขณะที่เทพขาวผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ยังคงนั่งนิ่งด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม
ทั้งคู่ต่างก็สวมใส่ชุดเกราะเต็มยศทำให้มีเพียงแต่ดวงตาของพวกเขาเท่านั้นที่ถูกเปิดเผยออกมายังด้านนอก เซี่ยเฟยจึงไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของทั้งคู่เป็นยังไงกันแน่
“ตระกูลดาบคลั่ง?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาอย่างสงสัย
“ตระกูลสกายวิงมีชื่อเล่นที่เรียกกันในหมู่คนของเผ่าเทพว่าตระกูลดาบคลั่ง เพราะคนในตระกูลของนายมักที่จะมีนิสัยบ้าคลั่งเหมือน ๆ กันหมด นี่นายไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยงั้นเหรอ?” เทพดำกล่าว
เซี่ยเฟยถึงกับพูดไม่ออกไปสักพัก เมื่อได้พบว่าคนทั่วทั้งดินแดนกฎเหมือนจะคิดตรงกันว่าตระกูลสกายวิงต่างก็ล้วนแล้วแต่มีสมาชิกที่เป็นคนบ้า เพราะแม้แต่โอโร่ที่อยู่ในเผ่ามารที่ห่างไกลออกไปก็ยังเคยบอกว่าสกายวิงเป็นตระกูลของคนบ้าด้วยเช่นกัน
หลังจากพูดคุยกันไปสักพัก เซี่ยเฟยก็เริ่มคุ้นเคยกับสมาชิกเผ่าเทพทั้งสองคนมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้เขายังเล่าถึงประสบการณ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาให้เทพขาวกับเทพดำฟังอีกด้วย
“แบบนี้นี่เอง ที่แท้นายก็คือผู้ที่มีสายเลือดสกายวิงที่ถูกทิ้งให้เติบโตอยู่ที่อื่น” เทพดำกล่าวพร้อมกับตบต้นขาตัวเองอย่างแรง
เซี่ยเฟยยังคงนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไร เพราะเขารู้จักตัวเองดีกว่าคนอื่นอยู่แล้ว และไม่ว่าสายเลือดภายในร่างของเขาจะเป็นสายเลือดอะไร ท้ายที่สุดตัวเขาก็ยังคงเป็นตัวเขาอยู่วันยังค่ำ
“ผมบังเอิญได้รับแหวนวงนี้มาจากสนามรบโบราณ และได้ยินว่ามันมีพลังที่ถูกครอบงำเอาไว้ หากผมเปิดแหวนมิติออกมันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์อันร้ายแรง พวกคุณช่วยตรวจดูแหวนวงนี้ให้กับผมหน่อยได้ไหมครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหยิบแหวนมิติของเจ้านายแบล็ครีเบลเลี่ยนออกมาให้เทพขาวกับเทพดำดู
เทพขาวเอื้อมมือออกไปหยิบแหวนขึ้นมาตรวจสอบอย่างอยากรู้อยากเห็น เพราะท้ายที่สุดแหวนวงนี้มันก็คือแหวนมิติที่อยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ
“แหวนวงนี้ถูกติดตั้งกับดักพลังเอาไว้จริง ๆ โชคดีที่นายยังไม่เปิดมันออกมา ไม่อย่างนั้นนายก็คงจะตายไปแล้ว” เทพขาวหัวเราะออกมาเบา ๆ หลังจากที่เขาตรวจสอบแหวนมิติอยู่ครู่หนึ่ง
“พวกคุณพอจะรู้ไหมครับว่าตระกูลไหนคือต้นตอของผู้ที่ใช้พลังกับแหวนวงนี้?” เซี่ยเฟยกล่าวถามอย่างเคร่งเครียด
ผู้ที่ใช้พลังใส่แหวนมิติอาจจะเป็นผู้ที่ได้ครอบครองกฎแห่งเวลา ดังนั้นเซี่ยเฟยจึงพยายามหลอกถามเพื่อค้นหาตัวตนของเป้าหมาย
“ถึงแม้ฉันจะรู้ว่ามันคือกฎอะไร แต่กฎที่ถูกใช้บนแหวนก็ถือว่าเป็นกฎต้องห้าม คนที่ทำการฝึกฝนกฎในลักษณะนี้จึงต่างก็ล้วนแล้วแต่แอบฝึกฝนอย่างลับ ๆ ฉันจึงไม่มีทางระบุตัวตนของเขาได้ว่าเขาคือคนจากตระกูลไหนกันแน่” เทพขาวกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“หากแหวนยังอยู่กับนาย มันคงจะเป็นอันตราย เดี๋ยวฉันจะช่วยหาวิธีกำจัดพลังนี้ให้ก็แล้วกัน”
เซี่ยเฟยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เขาไม่สามารถหาเบาะแสเพิ่มเติมของคนกลุ่มนั้นได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีเบาะแสในเรื่องห่านป่า ซึ่งหลังจากที่เขากลับไปเขาจะต้องสืบทราบข้อมูลให้ได้ว่าห่านป่าคือที่ไหนกันแน่
“เซี่ยเฟย นายยังไม่ได้เปิดเผยเรื่องกฎแห่งความโกลาหลให้ใครรู้ใช่ไหม?” เทพดำถาม
“ผมยังไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ดีมาก กฎแห่งความโกลาหลคือพลังที่อยู่เกินกว่าความเข้าใจของดินแดนกฎ ฉันแนะนำว่านายไม่ควรใช้มันออกมาเว้นแต่ว่าจะจำเป็นจริง ๆ หรือถ้าหากว่านายถูกบังคับให้ใช้มันออกมาก็อย่าเหลือเบาะแสทิ้งเอาไว้เป็นอันขาด” เทพดำกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ผู้อาวุโสไซก็เคยเตือนผมเรื่องนี้เหมือนกัน ว่าแต่มันมีปัญหาอะไรงั้นเหรอครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
เมื่อได้ยินชื่อผู้อาวุโสไซ เทพขาวก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างหนัก ก่อนที่เขาจะเหลือบสายตามองไปยังน้องชายของตัวเองคล้ายกับสื่อความนัยว่า
“ในเมื่อนายเป็นคนก่อปัญหา นายก็ควรแก้ไขเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
“โชคดีที่นายได้พบกับผู้อาวุโสไซ ถ้าหากว่านายได้ไปเจอกับผู้เฒ่าคนอื่น พวกเราก็คงจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว ความจริงเรื่องนี้มันค่อนข้างที่จะซับซ้อนนิดหน่อย และการที่ฉันได้มอบกฎแห่งความโกลาหลให้กับนาย มันก็หมายความว่านายจะถูกลากเข้ามาในเรื่องวุ่น ๆ เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน”
“บรรพบุรุษของนายมีบุญคุณต่อพวกเรา 2 พี่น้องมาก ดังนั้นฉันจะขอพูดตรง ๆ เลยก็แล้วกัน หากวันหนึ่งนายขึ้นไปในแดนเทพ ตอนนั้นนายก็จำเป็นจะต้องระวังเรื่องการใช้กฎแห่งความโกลาหลมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เรื่องนี้ถูกค้นพบ มันก็ไม่เพียงแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับนายเท่านั้น แต่มันยังจะสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลสกายวิงอีกด้วย” เทพดำกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ?!” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“นายก็ลองดูสภาพของพวกเราสองพี่น้องในตอนนี้สิ แม้ว่าพวกเราจะเป็นสมาชิกของแดนเทพ แต่ท้ายที่สุดพวกเราก็ถูกบีบบังคับให้ต้องหลบหนีออกมา ถ้าหากพวกตาเฒ่าตรวจพบว่านายแอบฝึกกฎแห่งความโกลาหลขึ้นมา ในเวลานั้นตระกูลสกายวิงก็จะมีจุดจบไม่ต่างไปจากพวกเรา” เทพดำกล่าวอย่างหดหู่
แม้ว่าบทสนทนาจะดำเนินต่อไปอีกสักพัก แต่เทพขาวกับเทพดำก็ยังคงไม่ยอมบอกว่าสาเหตุของปัญหาในเรื่องนี้คืออะไรกันแน่ ทั้งคู่เพียงแต่พยายามเน้นย้ำให้เขาใช้กฎแห่งความโกลาหลด้วยความระมัดระวัง เซี่ยเฟยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องจดจำเรื่องสำคัญเรื่องนี้เอาไว้ภายในใจ
“ตอนนี้กฎแห่งความโกลาหลของนายอยู่ในขั้นไหนแล้ว?” เทพดำถาม
“ขั้นที่ 3 ครับ”
“กฎแห่งความโกลาหลฝึกฝนได้ยากยิ่งกว่ากฎแห่งความเร็วที่สืบทอดกันมาภายในตระกูลสกายวิงซะอีก การที่นายสามารถฝึกฝนกฎแห่งความโกลาหลได้จนถึงขั้นที่ 3 ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แบบนี้ มันก็หมายความว่านายคือนักรบที่มีพรสวรรค์อยู่ในระดับที่สูงมาก” เทพดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ต่อมาทั้งสามก็ได้พูดคุยกันในเรื่องต่าง ๆ จนทำให้เวลาล่วงเลยผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งการได้พูดคุยกับเทพขาวและเทพดำ มันก็ทำให้ชายหนุ่มมีความเข้าใจในเรื่องแดนเทพและดินแดนกฎมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันชายหนุ่มก็ได้ค้นพบว่าตัวตนที่ถูกเรียกว่าเทพเจ้านั้น แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่นักรบที่ฝึกฝนพลังจนอยู่ในระดับที่สูงมากเท่านั้น แต่เนื่องมาจากว่าพลังของพวกเขาเป็นสิ่งที่อยู่เหนือเกินกว่าธรรมชาติ คนธรรมดาจึงให้เกียรติยกย่องพวกเขาว่าเป็นเทพเจ้า
ในทางกลับกันเมื่อเทพขาวกับเทพดำได้ยินเรื่องของเซี่ยเฟยมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมามากขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่อพวกเขาได้ค้นพบว่าเซี่ยเฟยคือผู้ฝึกฝนพลังความเร็วได้จนถึงจุดสูงสุด มันก็มีแนวโน้มสูงมากที่ชายหนุ่มคนนี้จะพัฒนาขึ้นมากลายเป็นอีวิลวิงในอนาคต
แม้แต่เทพขาวที่สงบนิ่งอยู่เสมอก็ยังยอมรับว่าพรสวรรค์ของเซี่ยเฟยอยู่ในระดับที่เหนือเกินกว่าความคาดหมายของเขาไปไกลจริง ๆ และมันก็ดูเหมือนกับว่าน้องชายของเขาสามารถตัดสินใจได้อย่างฉลาดมากแล้ว ที่ทำการส่งมอบกฎแห่งความโกลาหลให้กับเซี่ยเฟย
เมื่อบทสนทนาดำเนินมาจนถึงเรื่องของหงส์คราม เทพเจ้าสองพี่น้องก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น เพราะพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าอาวุธมายาจะสามารถหลอมรวมกันได้ พวกเขาจึงพยายามจินตนาการว่าหากหงส์ครามได้หลอมรวมเข้ากับอาวุธมายาธาตุพืชทั้งเจ็ดแล้วจริง ๆ ความสามารถของมันในตอนนั้นจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากแค่ไหน
นอกจากนี้เซี่ยเฟยยังได้ครอบครองอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ค่อย ๆ เติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ความแข็งแกร่งของมันจึงเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถที่จะประมาทได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามเทพขาวกับเทพดำก็ไม่รู้ว่าเซี่ยเฟยเลี้ยงดูอสูรตัวเล็กตัวนี้ขึ้นมายังไงกันแน่ นิสัยของมันจึงดูค่อนข้างจะฉลาดแกมโกงอย่างบอกไม่ถูก
กล่าวโดยสรุปก็คือทุกความสำเร็จของเซี่ยเฟยค่อนข้างที่จะโดดเด่นมากในกลุ่มคนที่มีอายุใกล้เคียงกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นนักรบที่รู้จักซ่อนความแข็งแกร่งของตัวเองไม่ได้ชอบทำตัวโดดเด่นเหมือนกับนักรบคนอื่น ๆ ซึ่งคนที่มีบุคลิกลักษณะนิสัยแบบนี้มักที่จะมีอายุยืนยาวมากกว่านักรบที่ชอบโอ้อวดความสามารถของตัวเอง ทั้งเทพขาวและเทพดำจึงต่างก็ล้วนแล้วแต่แอบชื่นชมเซี่ยเฟยอยู่ภายในใจ
เมื่อบทสนทนาลงลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยเฟยก็เริ่มรู้สึกไว้ใจเทพขาวกับเทพดำมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ในที่สุดเขาได้หยิบลูกแก้วอสูรขนาดใหญ่ออกมาจนทำให้เทพพี่น้องรู้สึกประหลาดใจ
“นายรู้จักค้อนรวมศูนย์ไหม?” เทพดำถามขึ้นมาเบา ๆ
คำถามนี้ทำให้เซี่ยเฟยชะงักค้างไปเล็กน้อย เพราะเขาจำได้ดีว่าค้อนรวมศูนย์คือเครื่องมือแปลก ๆ ที่ทำให้เขาได้รับบลัดบิวเทียสที่มีคุณลักษณะอย่างปัจจุบันออกมา
อย่างไรก็ตามชายหนุ่มก็ยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้และส่ายหัวออกไปเป็นคำตอบ เพราะนิสัยของเขาก็มักที่จะซ่อนเรื่องต่าง ๆ เอาไว้ไม่เปิดเผยออกมาเว้นแต่ว่ามันจะเป็นสถานการณ์ที่จำเป็นจริง ๆ
“ถ้าฉันจำไม่ผิดในกลุ่มดาวม้าขาวพอจะมีนักประดิษฐ์ชั้นยอดอยู่เหมือนกัน นายสามารถที่จะนำลูกแก้วอสูรไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาวุธร่วมกันกับค้อนรวมศูนย์ได้ ฉันมั่นใจว่าด้วยวัตถุดิบชั้นยอดแบบนี้ อุปกรณ์ที่ถูกผลิตออกมาย่อมจะต้องเป็นอุปกรณ์ชั้นยอดอย่างแน่นอน”
“แน่นอนว่านายสามารถดูดซับพลังจากลูกแก้วอสูรเข้าไปโดยตรงได้ด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนนายจะเลือกเอามันไปสร้างอุปกรณ์ชั้นยอดหรือดูดซับพลังโดยตรง เรื่องนี้มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายเอง” เทพดำกล่าว
‘ฉันสามารถใช้ค้อนรวมศูนย์กับบลัดบิวเทียสอีกครั้งได้หรือเปล่านะ?’ เซี่ยเฟยคิดกับตัวเองภายในใจ
***************
จะเอาโกงกว่านี้อีกหรอพี่เฟยยยยยย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 423
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น