บทที่ 4 วิ่งหนี

ภาชนะต้องสาป

-A A +A

บทที่ 4 วิ่งหนี

    "พวกเธอมาทำอะไรกันที่นี่เนี่ย" เสียงถามดุดันจากชายวัยกลางคนทำให้ฝีเท้านับสิบหยุดชะงักแม้กระทั้งเอลลานีนเองก็ต้องหลบเข้าข้างทางเพื่อเงี่ยหูฟัง

    "พวกเรากำลังตามหายายกาลากินี...เอ๊ย! เอลลานีนอยู่ค่ะคุณแอนดรู คุณเห็นยายนั่นบ้างไหม" แอมเบอร์เป็นคนถาม

    "พวกเธอนี่ก็เหลือเกินจริงๆ ยายหนูนั่นทำอะไรให้นักหนาฮะ" เขาบ่น

    "เมื่อวานยายนั่นมันรังแกฉัน ทำให้ฉันแทบไม่ได้นอน ถ้าวันนี้ไม่ได้แก้แค้นยายนั่นเสียบ้างคงอึดอัดตายค่ะ" แอมเบอณ์พูดลอดไรฟัน ชายร่างยักษ์ส่ายหน้าอย่างระอา

    "เอาน่า มันเป็นเรื่องของเด็กๆ เท่านั้นแหละฮะคุณแอนดรู คุณแค่บอกพวกเรามาก็พอ ที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง" เสียงแหบห้าวของเด็กหนุ่มซึ่งน่าจะเป็นแฟนหนุ่มของแอมเบอร์พูดขึ้น

    "ฉันเห็นเธอวิ่งไปทางโน้น ลองไปตามหาดูก็แล้วกัน อย่าทำรุนแรงล่ะ ไม่งั้นฉันจะฟ้องพ่อแม่ของพวกเธอ" เขาว่า ไม่นานเสียงฝีเท้าหลายคู่ก็ค่อยๆ ห่างออกไป เอลลานีนถอนใจอย่างโล่งอก พอคิดว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนี้แล้วเด็กสาวก็ค่อยๆ ออกจากที่ซ่อน

    "ไปทำอะไรให้พวกนั้นโกรธอีกล่ะยายหนูหายนะ" เสียงของชายร่างยักษ์ทำให้เอลลานีนสะดุ้งสุดตัว

    "โอ๊ย! ตกใจหมดเลย ทำไมมาเงียบๆ ล่ะ" เธอยกมือทาบอก ชายร่างยักษ์หัวเราะอย่างขบขันกับท่าทางของเธอ

    "สรุปว่าเธอไปทำอะไรพวกนั้น บอกฉันได้รึยัง" เขาซักพร้อมกับออกเดินนำ เอลลานีนจึงเดินเคียงไปพร้อมกันกับเขา

    "เมื่อวานฉันก็แค่สาดผงหมามุ่ยใส่ยายแอมเบอร์นิดเดียวเอง ไม่เห็นเธอจะเป็นอะไร ดูสิวันนี้ก็ออกล่าฉันเสียแล้ว" เอลลานีนพูดด้วยท่าทางสบายๆ

    "สรุปเธอทำผงพิษจากพืชไดแล้วเหรอ" เอลลานีนพยักหน้า

    "วันนี้คุณไม่ไปท่าเรือรึไงคะ" เธอถาม เพราะชายร่างยักษ์ที่ช่วยเหลือเธอเขาประจำอยู่ที่ท่าเรือของเมืองลูน่า

    "วันหยุดของฉัน กำลังจะไปซื้อขนมที่ร้านตายาย พอดีเห็นเธอกำลังวิ่งหนีพวกนั้นเลยตามมา" เขาว่า

    "ขอบคุณมากค่ะ" เธอค้อมศีรษะให้เขา ชายร่างยักษ์ยิ้มอย่างอารี

    "เอาล่ะฉันส่งเธอตรงนี้ก็แล้วกัน พูดจบเขาก็หันหลังเดินย้อนกลับไปทางเดิม เด็กสาวมองเบื้องหน้า มันเป็นย่านชุมชนแออัดผู้คนเดินขวักไขว่ช่วยพลางตา และถ้าพวกนั้นจะย้อมกลับมาก็คงหาตัวเธอยากแล้ว

        เด็กสาวยกยิ้มอย่างพึงใจแล้วออกเดินปะปนกับคนที่กำลังจับจ่ายใช้สอยหมายใจจะไปยังซอยที่สามารถไปโผล่ยังหน้าร้านของชำร่วยเสียเลย น่าจะช่วยย่นระยะทางได้มาก หลังจากเธอเลี้ยวเข้ามาในซอยแล้วเสียงอึกทึกครึกโครมจากชุมชนก็เงียบลง ตลอดทั้งซอยนั้นเป็นย่านธุรกิจ มีเพียงเงาตึกรามที่ช่วยบังแดด ในวันหยุดอย่างนี้ผู้คนจึงไม่พลุกพล่าน ในขณะที่เด็กสาวเร่งฝีเท้าเพราะสำเหนียกถึงความผิดปกติรอบตัว บรรยากาศที่ร้อนระอุเย็นลงอย่างรวดเร็ว แสงแดดสาดส่องก็ค่อยหม่นลง เอลลานีนแหงนเงยขึ้นมองบนท้องฟ้าก็ไม่เห็นเค้าลางของเมฆฝนใดๆ แต่ทำไมอากาศรอบตัวถึงหนักอึ้งเหมือนถูกพลังประหลาดกดทับลงมาที่ตัวของเธอ

    'เปรี้ยง!' จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เอลลานีนสะดุ้งโหยง หันซ้ายแลขวามองหาความผิดปกติ และยิ่งยามกลางวันแสกๆ อย่างนี้บนท้องฟ้าไม่มีเค้าลางของเมฆฝนแม้แต่นิด เด็กสาวกวาดตามองรอบๆ หวังใจจะหาที่หลบสายฟ้าที่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติเพราะจุดที่เธอยืนอยู่นี้โล่งโจ้งเหลือเกิน ขืนยืนเอ๋ออย่างนี้ต้องถูกสายฟ้าย่างตายกลายเป็นตอตะโกแน่ๆ

    'เปรี้ยง!' สายฟ้าสายที่สองผ่าลงมา คราวนี้มันดังอยู่ใกล้ๆ ตัวเธอนี่เอง แถมยังได้กลิ่นเหม็นไหม้อีกต่างหาก เอลลานีนตั้งท่าจะขยับเข้าหาจุดหมายคือใต้ตึกที่อยูไม่ไกลจากที่ยืนอยู่มากนัก ขืนเธอยืนบื้ออย่างนี้

สายฟ้าสายที่สามคงได้ผ่าลงมาย่างสดและเธอเองก็อาจจะได้ตายเป็นครั้งที่สองอย่างไม่ต้องสงสัย 

        แต่ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะขยับกลุ่มหมอกสีดำทมึนก็พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นไม่ห่างจากที่เธอยืนอยู่มากนัก เหตุการณ์เมื่อคืนวานฉายซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง ลักษณะการปรากฏตัวของตัวประหลาดไม่ได้แตกต่างกันเลย แต่สิ่งที่ผิดแผกคือขนาดตัวของมันสูงใหญ่ ดำมืด ดวงตาสีแดงแหลมคมซึ่งดูเหมือนจะเปล่งประกายจากไฟที่รุนแรงกำลังจ้องตรงมายังเด็กสาว ผิวของมันเป็นขี้เถ้าและขรุขระ คล้ายหินภูเขาไฟที่แตกร้าว เขาแหลมยาวที่โค้งออกมาจากหน้าผากอย่างน่ากลัวแต่ก็ไม่เท่ากับยามที่สายตาเลื่อนไปเห็นปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมของมัน สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับเด็กสาว เธอได้แต่ยืนแข้งขาสั่นผับๆ นึกอยากจะวิ่งย้อนกลับไปให้พวกยายแอมเบอร์หยอกเล่น มันคงน่ากลัวน้อยกว่านี้ กลุ่มควันดำหมุนวนรอบตัวทำให้มันดูไม่มีตัวตน แรงกดทับจากพลังมหาศาลที่แผ่รัศมีครอบคลุมทั่วทุกอนู มันบั่นทอนพลังใจของเด็กสาวลงทีละน้อย

        เอลลานีนได้แต่ยืนจ้องมองปีสาจตรงหน้าอย่างตลึง มือหยาบหนาเงื้อง่าขึ้นทำให้เห็นนิ้วที่ยาวเหมือนกรงเล็บ และปลายกรงเล็บที่แหลมคมกำลังเคลื่อนเข้าหาร่างของเธออย่างรวดเร็ว เด็กสาวหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง ครั้งนี้เธอคงตายจริงๆ แล้ว ได้แต่ขอโทษเจ้าของร่างที่การตายครั้งนี้อาจทำให้ศพของเด็กสาวไม่สวยแถมอาจจะมีสภาพยับเยินเลยทีเดียว

    'เปรี้ยง!'  คราวนี้ไม่ใช่เสียงฟ้าผ่า แต่เป็นเสียงของแข็งกระทบกันอย่างแรงจนแก้วหูสะเทือน เอลลานีนค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อสัมผัสไม่ได้ถึงความเจ็บปวดที่คาดว่าจะได้รับ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือผลึกสีเขียวอ่อนห่อหุ้มร่างของเธอไว้ แรงปะทะเมื่อครู่ก็น่าจะเกิดจากผลึกดังกล่าวนี้ ปีสาจรู้สึกไม่สบอารมณ์ มันจึงฟาดกรงเล็บลงบนเกราะหุ้มเหยื่อที่มันหมายตาอย่างไม่ยั้ง

    'เปรี้ยง!...เปรี้ยง!...เปรี้ยง!' ไม่นานเกราะป้องกันจากผลึกแก้วก็เริ่มมีรอยร้าว เอลลานีนมองอย่างหดหู่ นึกโกรธสวรรค์ที่พอส่งเธอให้มาอยู่ที่นี่แล้วก็ไม่แถมอาวุธหรือสกิลพิเศษให้เธอเอาตัวรอดเสียบ้างเลย โชคดีแค่ไหนที่เธอสามารถเอาตัวรอดมาได้เป็นปีๆ กัน แล้วจะมาให้เธอตายในกรงเล็บของเจ้าสัตว์ประหลาดอย่างนี้เนี่ยนะ เธอทำใจไม่ได้จริงๆ ตอนนี้สภาพเกราะป้องกันของเธอแย่เอามากๆ เด็กสาวคิดว่าอีกแค่ฝ่ามือเดียวเจ้าเกราะนี้ก็จะพังครืนลงแน่ๆ ถ้าเธอคิดได้เจ้าปีสาจเองก็คิดได้ไม่ต่างกัน ดังนั้นกรงเล็บนี้มันจึงรีดพลังทั้งหมดที่มีฟาดลงมาแบบไม่ยั้ง

    'เพร้ง!' ผลึกที่ป้องกันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เอลลานีนถูกพลังลึกลับกระแทกใส่จะลอยกระเด็นไปไกล เธอจุกเสียดไปทั้งร่าง แต่ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะนอนแช่แป้งอยู่ตรงนี้ เธอจึงตะเกียกตะกายพยุงร่างอวบอ้วนลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ยกข้อมือขึ้นมาก็เห็นว่ากำไลหยกที่บุรุษลึกลับให้มานั้นได้หายไปแล้ว ห่างออกไปก็เห็นเศษซากสีเขียวมรกตแตกกระจายเกลื่อนอยู่ เมื่อต้องหนีเอาชีวิตรอดพลังกดดันที่แผ่จากร่างของปีสาจก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตใจของเด็กสาวอีกต่อไป นาทีนี้เธอเพียงต้องการออกไปจากตรงนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่ตัวเองจะไม่มีโอกาส

        เมื่อเจ้าปีสาจสัมผัสถึงการมีอยู่ของเหยื่อ มันก็เดินเนิบนาบตรงเข้าหาเอลลานีนทันที เด็กสาวตัดสินใจที่จะเสี่ยง เพราะเธอมั่นใจว่าเจ้าปีสาจไม่ได้มีความเร็วเท่าไหร่ เท่าที่สังเกตเธอเห็นว่ามันแค่ใช้พลังจากกรงเล็บเท่านั้น ไม่ได้สำแดงพลังอภินิหารใดๆ เลย เด็กสาวจึงตัดสินใจโยนถุงขนมไปอีกทางเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ 

        'ได้ผล' เมื่อปีสาจร่างยักษ์เห็นถุงขนมสีสดใสกรงเล็บของมันจึงฟาดใส่ถุงกล่องขนมอย่างแรง ทุกอย่างถูกทำลายเพียงพริบตา เด็กสาวอาศัยจังหวะที่ปีสาจกำลังสนใจกับถุงขนมทุ่มแรงทั้งหมดวิ่งเข้าหามัน ทางเดียวที่จะพาเธอไปยังปากซอยได้นั้น จะต้องวิ่งลอดหว่างขาของมันเท่านั้น พลังมหาศาลรอบร่างของมันดูดทุกสรรพสิ่งเข้าหาตัว แม้แต่เอลลานีนก็ไม่เว้น โชคดีที่เด็กสาวมีพลังแขนพลังขาที่ใช้ยังไงก็ไม่หมดจึงต้านทานได้บ้าง อีกอย่างร่างกายของเธอก็ไม่เคยเลือดตกยางออกเลยด้วยซ้ำ นี่คงเป็นความเมตตาเดียวที่สวรรค์มอบให้เธอกระมัง

        มือที่เงื้อง่าของปีสาจร้ายตั้งท่าจะฟาดลงต้องชะงัก ร่างยักษ์หันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร กว่าจะรู้ตัวเหยื่อของมันก็วิ่งลอดหว่างขาไปด้านหลังเสียแล้ว แรงสั่นสะเทือนยามเท้ามหึมาของมันกระทืบพื้นทำให้

เอลลานีนล้มหัวขะมำ แขนขาถลอกปอกเปิกยามล้มครูดไปกับพื้น แต่กระนั้นเด็กสาวก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นและออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตต่อไป

    "กรั๊นนนน!" ปีสาจกูร้องอย่างเดือดดาล เมื่อเห็นว่าเหยื่อของมันทิ่งระยะห่างไปทุกที มันกวาดมือใหญ่ยักษ์ไปรอบตัว จนกระทั่งคว้าได้อาคารสี่ชั้นหลังหนึ่ง มันออกแรงกระชากออกมาแล้วเหวี่ยงใส่เหยื่อเต็มแรงหมายจะให้หยุด

        เสียงโครมครามด้านหลังทำให้เอลลานีนเร่งความเร็วขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ตามด้วยเสียงลมหวีดหวิวที่ดังเข้าใกล้ทุกขณะจนอดที่จะหันกลับไปมองไม่ได้ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นซากอาคารและปีสาจไล่หลังเธอมาด้วยความเร็ว

    "ชิบหายแล้ว" คราวนี้เอลลานีนทุ่งพลังสุดตัวใส่ตีนผีโกยแนบ พลางมองหาที่กำบัง อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องถูกซากอิฐหินปูนทับจนตัวแบนตายไปเสียก่อน

    'ผลัก!' เศษปูนจากซากอาคารลอยมากระทบหลังทำให้เอลลานีนเสียหลักล้มกลิ้งหลุนๆ เด็กสาวตะเกียกตะกายกลิ้งเข้าข้างทาง เพราะรู้ว่าซากอาคารอ่อนแรงลงแล้วและกำลังจะทิ้งซากกองลงกับพื้น ถ้าเธอหนีไม่ทันวิถีของมันคงไม่วายจะถูกฝังทั้งเป็นแน่ๆ

    'ครืน' ในที่สุดซากอาคารก็อ่อนแรงทิ้งตัวขวางทางเดินไปจนหมด  โชคดีที่มันไม่ได้ปิดทางเดินของเธอ แต่เด็กสาวก็ดีใจได้ไม่นานเมื่อเสียงเดินตึงๆ ของปีสาจใกล้เข้ามา

    "โอ๊ย! ทำไมเมืองนี้มันอยู่ยากจังวะ" เธอกู่ร้องอย่างเดือดดาล แล้วก็พยุงร่างสะบักสะบอมออกวิ่งต่ออย่างไม่คิดชีวิต 

    "กรั๊นนนนน!" ปีสาจกระโจนข้ามซากอิฐหินปูนทรายที่มันสร้างขึ้นลอยไปขวางหน้าเหยื่อ มันไม่สามารถที่จะให้เหยื่อหลุดออกจากอนาเขตที่กางเอาไว้ได้ ไม่งั้นเจ้านายของมันจะลงโทษ

    "กรั๊นนนน!" มันขู่ร้องเพื่อข่มขวัญ แล้วฉวยจังหวะที่เหยื่อกำลังตลึงพรึงเพริดคว้าร่างเหยื่อมาไว้ในอุ้งมืออย่างรวดเร็ว

    "กรี๊ด!" เอลลานีนกรีดร้องอย่างตระหนกเมื่อถูกมือยักษ์ของปีสาจคว้าจับตัวไว้ได้ เธอดิ้นรนแต่กรงเล็บของปีสาจแข็งแกร่งไม่ต่างจากพันธนาการชั้นดี ดวงตาปูดโปนของมันมองเธออย่างพึ่งใจก่อนจะโยนร่างของเธอขึ้นแล้วใช้ฝ่ามือรับ ทำอย่างนี้อยู่หลายครั้งจนเอลลานีนขย้อนเอาทุกอย่างที่อยู่ในกระเพาะออกมาจนหมด

    "กรั๊นนนนน!" เสียงกู่ร้องอย่างยินดีที่จัดการสิ่งที่เจ้านายมอบหมายสำเร็จ ปีสาจยักษ์ตั้งท่าจะพาเหยื่อที่นอนสลบไสลในอุ้งมือของมันไปมอบให้เจ้านาย แต่พลังสายหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาเป้าหมายคือเหยื่อยที่อยู่ในอุ้งมือของมัน ปีสาจร้ายเคลื่อนกายหลบทำให้อาคารที่อยู่ด้านหลังทลายลงในชั่วพริบตา

        บุรุษลึกลับใช้ดวงตาสีน้ำทะเลมองปีสาจชั้นต่ำตรงหน้าอย่างดูแคลน ในมือปรากฏลูกไฟขนาดเล็ก ไม่นานก็ขยายขึ้นเป็นหลายเท่าตัว ปีสาจเห็นว่าท่าไม่ดีจึงรวมพลังพายุหมุนเพื่อจะซัดใส่ศัตรูตรงหน้า แต่ก็สายไปก้าวหนึ่ง เพราะเขาปล่อยลูกไฟในมือเข้าจู่โจมมันอย่างรวดเร็ว

    'ตูม!' ลูกไฟระเบิดออก สะเก็ดไฟแตกกระจายหมุนรอบตัวเจ้าปีสาจ พายุลูกใหญ่ที่ตั้งใจจะทำร้ายศัตรูต้องเปลี่ยนมาป้องกันตัวเองแทน สะเก็ดไฟถูกพายุใหญ่ซัดแตกกระจายไปทั่วทิศทาง 

        ปากสีระเรื่อของบุรุษหนุ่มขยับพึมพำบางอย่าง สะเก็ดไฟที่แตกกระจายกลับมารวมตัวในเส้นสายสีเพลิงที่ปรากฏเหนือหัวของปีสาจอย่างรวดเร็ว ปีสาจเห็นว่าตัวเองอยู่ในจุดที่อันตรายจึงสร้างประตูมิติเพื่อจะโยนเหยื่อในมือเข้าไปในนั้น อย่างน้อยก็ถือว่ามันทำได้สำเร็จ แต่กระไอร้อนจากตาข่ายเพลิงที่ครอบลงมาอย่างรวดเร็วทำให้มันต้องกระโดดหนีเพื่อเอาชีวิตรอด

    'ตูม!' เสียงกัมปนาทดังกึกก้องขึ้นมาพร้อมกับพลังมหาศาลกระแทกเข้ากับแขนข้างที่มันจับเหยื่อจนขาดกระเด็นออกจากกัน 

        เหยื่อที่ได้มาอย่างยากลำบากลอยหลุดมือไปตกห่างจากจุดที่มันยืนอยู่ไม่ไกลนัก ปีสาจร้ายพุ่งตัวหมายจะไปคว้าเหยื่อกลับคืนมา แต่ตาข่ายเพลิงที่ไล่ตามมานั้นไม่ให้โอกาสมันหนีรอดได้อีกแล้ว กระไอร้อนครอบลงบนร่างแล้วบีบรัดร่างมหึมาของมันจนปีสาจบิดเร่าๆ อย่างทุรนทุราย

    "กรันนนนน!" ปีสาจร้ายกูร้องอย่างเจ็บปวดดวงตาปูดโปนของมันจับจ้องบุรุษตรงหน้า ภาพสุดท้ายก่อนร่างของมันจะสูญสลายไปนั้น คือแววเย็นชาจากดวงตาสีน้ำทะเลและมุมปากผุดรอยยิ้มเหี้ยม ซึ่งขัดกับรูปลักษณ์ของเขายิ่งนัก

        เพียงชายหนุ่มโบกมือไม่กี่ครั้งสภาพเละเทะตรงหน้าก็คืนสู่สภาพเดิม เหมือนว่าเมื่อครู่ไม่เคยเกิดการต่อสู้มาก่อน จากนั้นร่างสูงก็สืบเท้าเข้าหาร่างของเด็กสาวที่นอนแน่นิ่งอย่างช้าๆ จนมาหยุดยืนอยู่ไม่ห่างมากนัก

    "คงได้เวลาตื่นได้แล้วล่ะ" เสียงนุ่มลมุนชวนเคลิบเคลิ้มทำเอาเอลลานีนที่แกล้งตายอยากจะลืมตาขึ้นมามองเสียเหลือเกิน แต่เธอก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ ถ้าชายคนนี้เป็นพวกเดียวกับเจ้าปีสาจนั่นล่ะเธอจะทำอย่างไร ดังนั้นเอลลานีนจึงฝืนแกล้งตายต่อไป

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.