EP01 - รักแรก แรกรัก

ต้น-สน : ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย | BL

-A A +A

EP01 - รักแรก แรกรัก

หมวดหนังสือ: 

ใครจำความรักครั้งแรกได้บ้าง?

เชื่อว่าคงมีหลายคนยกมือตอบ แม้เป็นเพียงความทรงจำซีด ๆ จาง ๆ แต่เรามักจำครั้งแรกของเหตุการณ์สำคัญในชีวิตได้ดีเสมอ

แล้วถ้าถามต่อว่ารักครั้งแรกของใครเป็นรักสุดท้ายบ้าง?

เชื่อว่าคงแทบไม่มีใครยกมือตอบเลย ด้วยรักแรกมักเกิดขึ้นในช่วงวัยซึ่งยังมีจิตใจอ่อนบาง หวั่นไหวกับสิ่งเร้าได้ง่าย แถมชีวิตยังต้องเดินทางไปพบเจอสิ่งใหม่ตลอดช่วงเวลาสดใสแห่งวัยเยาว์ รักแรกจึงมักหลุดวงโคจรไปก่อนใคร

ต้นก็มีรักแรกของต้นเหมือนกัน ความรู้สึกแรกรักวันนั้นยังอวลอุ่นในความทรงจำไม่เคยจางหาย เมื่อใดที่นึกย้อนกลับไปช่วงนั้น เขาจะยิ้มให้กับความทรงจำแสนสุขและแสนพิเศษนั้นเสมอ เขาหวงแหนและทะนุถนอมช่วงเวลานั้นยิ่งกว่าสิ่งใด

ตั้งแต่วันแรกที่ความรักมาเยือน แทบทุกค่ำคืนก่อนจะนอนหลับฝันใต้ท้องฟ้าหลากฤดูกาล ต้นจะคอยร่ำอธิษฐานถึงปาฏิหาริย์แห่งรัก หวังเพียงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยกมือตอบคำถามข้อที่สอง ต่อให้ยากลำบากสักแค่ไหน เขาก็จะขอผูกหัวใจนี้ไว้กับรักแรก รักเดียวและรักสุดท้ายตลอดไป

... ... ...

31 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

ณ โรงเรียนมัธยมฐานบินกำแพงแสน ตำบลกระตีบ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม

เย็นวันธรรมดา ๆ วันหนึ่ง เมื่อเสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น ต้นรีบเก็บของแล้ววิ่งตัวปลิวออกไปจากห้อง เขามีการบ้านอยู่ชิ้นหนึ่งที่จะต้องทำให้เสร็จภายในวันพรุ่งนี้ จึงต้องรีบกลับบ้านเร็วกว่าปกติ มันเป็นงานประดิษฐ์ของเล่นนั่นเอง ต้นไม่ค่อยมีหัวด้านนี้เท่าไหร่ คนแรกที่จะช่วยต้นได้ก็คือ "สน" เพื่อนรักนั่นเอง

ต้นเรียนอยู่ชั้น ม. 1/3 สนเรียนอยู่ชั้น ม. 1/4 ถัดไปอีกห้อง เมื่อต้นมาถึงหน้าห้องของเพื่อนรัก ปรากฏว่าครูยังคงสอนอยู่ สงสัยวันนี้สนคงกลับบ้านช้าแน่ๆ ต้นยืนเมียงมองอยู่สักพัก สนก็หันมาเจอพอดี สงสัยเพื่อนคงสะกิดบอก เขาพยักพเยิดเป็นเชิงบอกให้ต้นกลับบ้านไปก่อน ต้นส่งสัญญาณมือตอบว่าโอเคก่อนจะวิ่งตัวปลิวออกไป

ต้นคว้าจักรยานคู่ใจได้ก็ปั่นฉิวออกไปพร้อมกับเด็กๆ อีกหลายคน เสียงคุยกันเจี๊ยวจ๊าวดังไปทั่ว โรงเรียนแห่งนี้อยู่ในเขตโรงเรียนการบินกำแพงแสน เมื่อพ้นประตูโรงเรียนออกมาหน่อย มองขวามือจะเห็นเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ไม่ใช้แล้วตั้งแสดงเรียงรายริมคลอง ด้านหลังแนวเครื่องบินจะเป็นสนามเครื่องบินเล็กบังคับวิทยุ ส่วนด้านซ้ายเป็นสวนน้ำจิตรตระการ

เมื่อพ้นจากเขตสนามบิน ต้นขี่จักรยานไปตามทางหลวงหมายเลข 3294 ไปอีกกิโลครึ่งก็จะถึงทางเข้าบ้าน หมู่บ้านของต้นมีคลองส่งน้ำยาวจากตรงนี้ไปถึงแม่น้ำท่าจีนกว่าสามสิบกิโล คลองส่งน้ำบริเวณนี้ไม่ลึกมาก แต่ก็เคยมีเด็กจมน้ำตายมาหลายคนแล้ว เวลาออกจากบ้านทีไรพ่อแม่ของเด็กๆ มักจะกำชับให้ระวังเสมอ บ้างก็ฟัง บ้างก็ไม่ฟัง จึงยังคงมีเรื่องเศร้าให้กล่าวขานกันแทบทุกปี

ถึงบ้านปุ๊บต้นก็รีบเอากระเป๋าไปเก็บบนห้อง ก่อนลงมาหลังบ้านเพื่อจัดเตรียมไม้ กาว เลื่อยขนาดเล็ก แล็กเกอร์และสีทาบ้านที่เหลือ ๆ ไว้ให้สน เขาใช้เวลาหลายวันกว่าจะหามาได้ครบ ส่วนมากขอมาจากเพื่อน ๆ นั่นแหละ เขากะว่าจะทำบ้านนกหลังคาสามเหลี่ยมทรงสูง มีช่องกลมๆ ตรงหน้าบ้านให้นกเข้าออกได้ ทาสีให้สวยงามหน่อย เท่านี้ก็น่าจะพอส่งครูได้

ต้นขนอุปกรณ์ทั้งหมดมากองรวมกันไว้บนโต๊ะเก่า ๆ ตัวหนึ่ง หาเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ สำหรับนั่งมาเตรียมไว้ให้สนด้วย สักครู่ใหญ่มีเสียงรถยนต์วิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้าน พ่อกับแม่คงกลับมาจากโรงเรียนแล้ว ต้นเดินแกมวิ่งออกไปหาที่หน้าบ้าน เขายิ้มดีใจเมื่อเห็นว่าเป็นบุพการี วันนี้คงได้กินของอร่อยเพราะเป็นวันเงินเดือนออก

"โอ้โห...ปู แม่ซื้อปูมาด้วยเหรอ" ต้นตาโตเมื่อเห็นของที่แม่ถือลงมาจากรถ

"ใช่จ้ะ แม่ว่าจะนึ่งแล้วก็ทำน้ำจิ้มซีฟู้ดแซ่บๆ แบบที่ต้นชอบไง มีเป็ดย่างจากร้านโปรดของต้นด้วยนะ” แม่บอกพลางยิ้ม ร้านโปรดที่ว่าคือร้านกำแพงแสนโภชนา อยู่ใกล้กับโรงเรียนกำแพงแสนวิทยาที่พ่อกับแม่สอนอยู่นั่นเอง

“อ้อ แล้ววันนี้สนจะมาช่วยต้นทำของเล่นหรือเปล่าลูก จะได้กินข้าวเย็นด้วยกัน" แม่ของต้นถามพลางมองหาเพื่อนสนิทของลูกชาย

"กำลังมาครับ วันนี้ต้นเลิกเร็วเลยมาก่อน พ่อแต้วแม่พลอยจะมากินข้าวเย็นด้วยกันไหมครับวันนี้" ต้นถามถึงบุพการีของเพื่อนรัก

"พ่อแวะบอกเมื่อกี้แล้วลูก เดี๋ยวก็คงมา" พ่อวางมือบนไหล่ของต้นและตบเบาๆ แววตามองดูลูกชายคนเดียวอย่างเอ็นดู

"ดีจังเลยครับ ไม่ได้กินข้าวกับที่บ้านสนนานแล้ว" ต้นยิ้มดีใจ

หลังจากช่วยเอาของไปเก็บในครัวเสร็จ ต้นก็ออกมานั่งรอสนที่หลังบ้านตามเดิม ไม่ลืมตะโกนบอกพ่อกับแม่ที่กำลังง่วนกับการทำอาหารด้วย เผื่อว่าจะให้ต้นช่วยทำอะไร

"ต้น เรามาแล้ว โทษทีที่ให้รอนาน พร้อมยัง"

เสียงที่ต้นคุ้นเคยดังมาจากหน้าบ้านพร้อมกับร่างที่วิ่งตัวปลิวมาหา ต้นเงยหน้าจากการนับชิ้นไม้ เขาฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนที่เพิ่งมาถึง

"ไม่นานหรอก พร้อมแล้ว เนี่ย…เตรียมของไว้ให้หมดแล้ว" ต้นบอกพลางชี้ให้เพื่อนดูของที่เตรียมไว้ "อ้อ วันนี้กินข้าวเย็นด้วยกันนะ วันนี้มีปูทะเลนึ่ง ตัวโตๆ ทั้งนั้นเลย"

"หูย...กำลังอยากกินพอดีเลย ไม่ได้กินนานแล้ว" สนตื่นเต้นพอกัน เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ที่ต้นเตรียมไว้ให้

"เดี๋ยวเราแกะให้นายกินนะ นายช่วยเราทำบ้านนก เราก็จะช่วยแกะปูให้นายกิน แลกกัน" ต้นยิ้มเขิน ๆ

สนยิ้มอย่างรู้ทันแต่ก็พยักหน้าตกลง เขาแกะปูไม่เป็นเพราะตอนอยู่น่านไม่เคยได้กินปูทะเลเลย ตอนมาอยู่กำแพงแสนใหม่ ๆ เขาเคยลองแกะแต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายก็เลยให้ต้นช่วยแกะให้ ต้นจึงกลายเป็นคนแกะปูของเขาไปโดยปริยาย

"นายดูแบบก่อนนะ เราจะทำเป็นบ้านแบบนี้" ต้นบอกพลางส่งกระดาษที่ร่างแบบของเล่นให้เพื่อนดู ดูแป๊บเดียวสนก็บอก

"สบายมาก แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว ลงมือเลยนะ"

ต้นพยักหน้า แม้ไม่ได้เป็นคนทำเอง อย่างน้อยก็พอช่วยอำนวยความสะดวกให้เพื่อนได้บ้าง ไม่ว่าจะหยิบจับของส่งให้ หรือช่วยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ขัดไม้ด้วยกระดาษทรายหรือติดกาว

ทำไปสักพักก็ได้ยินเสียงผู้ใหญ่คุยกันในบ้าน พ่อกับแม่ของสนคงมาถึงแล้ว แม่พลอยทำอาหารเก่งจึงมักมาช่วยแม่ของต้นทำครัวบ่อย ๆ บางทีก็สลับกันเลี้ยงอาหาร แล้วแต่บ้านไหนจะนึกครึ้ม ต้นชอบไปกินข้าวบ้านสนมาก ติดใจแกงผักกาดจอฝีมือแม่พลอยจนต้องขอให้ทำให้กินบ่อยๆ

สนทำงานอย่างขะมักเขม้น เขาเลื่อยไม้ออกเป็นรูปทรงตามที่ต้นออกแบบไว้ จากนั้นก็ส่งให้ต้นขัดจนผิวเรียบเนียน ช่วยกันคนละไม้ละมือดีอย่างนี้น่าจะเสร็จก่อนอาหารเย็น

อีกไม่กี่เดือนต้นกับสนก็จะมีอายุครบสิบสามปีแล้ว รูปร่างหน้าตาของสนเปลี่ยนไปเพราะเริ่มมีเค้าความเป็นหนุ่ม เขามีผิวขาวละเอียดแบบคนเหนือ แถมหน้าตายังมีแววว่าจะหล่อใส พอไปตัดผมทรงมาใหม่ยิ่งดูแปลกตา สอดรับกับผิวพรรณและใบหน้าดีทีเดียว พูดตรง ๆ คือหล่อขึ้นจนสาว ๆ มอหนึ่งกรี๊ดกันทั้งโรงเรียนเลย

ต้นเผลอนั่งมองหน้าเพื่อนที่กำลังขะมักเขม้นเลื่อยไม้โดยไม่รู้ตัว มองไปก็ยิ้มไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีความรู้สึกหนึ่งแอบก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ ความหล่อของสนมีเสน่ห์น่าประหลาด ทำให้ต้นรู้สึกแปลก ๆ อย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่ใช่ความรู้สึกที่ต้นเคยมีต่อเพื่อนในช่วงสามปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

เพื่อนรักของต้นย้ายจากน่านมาอยู่ที่กำแพงแสนเมื่อตอนปอห้า ช่างบังเอิญที่บ้านอยู่ติดกันพอดี เขาเป็นลูกชายคนเดียวเหมือนกับต้น เพราะแม่ของทั้งคู่มีลูกยาก จึงต่างไม่มีพี่น้องเหมือนกัน คนหัวอกเดียวกันมาเจอกันจึงสนิทกันไว ต่างก็รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง สนอยากมีน้อง ต้นอยากมีพี่ สนจึงปวารณาตัวเองเป็นพี่และเอาความรู้สึกอยากมีน้องทั้งหมดมาให้ต้น คอยดูแลห่วงใยทุกเรื่อง แม้เป็นเด็กก็รักษาสัญญาใจนั้นเป็นอย่างดี ความสัมพันธ์ของเด็กชายทั้งสองจึงต่างจากเพื่อนธรรมดา

"ยิ้มอะไร" สนถามเมื่อสังเกตเห็นว่าต้นยิ้มแปลก ๆ ให้เขาสักพัก ต้นสะดุ้งตื่นจากภวังค์ พอนึกได้ก็รีบแก้ตัว

"เปล่า...ไม่มีอะไร เราว่าทรงผมนายเท่ดีนะ เดี๋ยวเราจะไปตัดแบบนี้บ้าง"

"เอาสิ เนี่ยผมนายใกล้ยาวพอตัดได้แล้ว ไปไหม เดี๋ยวเราพาไปตัดในอำเภอ"

“ก็ดีเหมือนกัน เรากำลังอยากตัดผมพอดีเลย" ต้นยิ้มกลบเกลื่อนทว่าก็ยังดูประหม่า

"ได้เลยเพื่อน เดี๋ยวเราพานายไปเอง เดี๋ยวพาไปกินข้าวขาหมูนครปฐมด้วย"

“ไป ๆ ๆ” ต้นรีบตกลง แค่คิดว่าจะได้กินข้าวขาหมูของโปรดอีกอย่างก็ตื่นเต้นแล้ว

ถึงตอนนี้ต้นคงพอเข้าใจความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ แม้ยังเด็กแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความรู้สึกนั้น แต่ที่มันแปลกเพราะต้นกับสนเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นระหว่างต้นกับสนเลย

รักแรกของต้นเกิดขึ้นแล้ว แม้ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เขาก็รู้ว่านี่คือรักแรกที่ไม่ง่ายเลย

... ... ...

สิงหาคม 2545

รักแรกของต้นยังคงดำเนินต่อมาอย่างเงียบ ๆ ช่วงมอหนึ่งมอสองไม่มีปัญหามากนัก ปัญหาเริ่มมาสำแดงตอนขึ้นมอสามนี่เอง เพราะทั้งคู่เริ่มโตเป็นหนุ่มแล้ว จึงเริ่มสนใจเพศตรงข้าม โดยเฉพาะสนที่ยิ่งโตก็ยิ่งหล่อเหลาคมคาย ไปไหนมาไหนสาว ๆ ก็มองจนเหลียวหลัง นี่เองคือจุดเริ่มต้นของปัญหา

"ต้น นี่เฟิร์นนะ"

อยู่ ๆ สนก็พาสาวน้อยคนหนึ่งมาแนะนำให้ต้นรู้จัก วันนั้นต้นกำลังนั่งรอซีลกับป้องอยู่ที่โรงอาหาร ตอนแรกต้นไม่รู้ว่าสาวน้อยมอสองคนนั้นเป็นใคร จนกระทั่งสนเฉลย

"แฟนเราไง"

ต้นถึงบางอ้อทันที ตามด้วยอาการใจหายวาบ เขาไม่เคยลืมความรู้สึกแรกเมื่อสนพาแฟนคนแรกมาให้รู้จักเลย มันเจ็บแปลบเอาเรื่อง

"อ๋อ" ต้นยิ้มเจื่อน ๆ ให้ทั้งสองคน

"เฟิร์นเป็นเชียร์ลีดเดอร์งานกีฬาสีปีนี้ นายจำได้ไหม" สนอวดอย่างภูมิใจ

"จำได้" ต้นพยักหน้า

"เฟิร์นรู้จักต้นแล้วใช่ไหม" สนหันไปถามสาวน้อย แม้ไม่ถึงกับจับมือถือแขนแต่ต้นก็รู้สึกได้ถึงความสนิทสนม

"รู้จักแล้ว อยู่สีเดียวกัน" เฟิร์นยิ้มสดใสให้สนก่อนหันมาถามต้น "ทำไมพี่ต้นมานั่งคนเดียวล่ะ"

"รอเพื่อน ไปห้องน้ำอยู่ กินข้าวกันแล้วเหรอ" ต้นถามเหมือนกับไม่รู้จะคุยอะไรดี

"กินแล้ว ว่าจะไปซื้อไอติมกิน ไปกินไอติมด้วยกันไหมต้น" สนชวนอย่างกระตือรือร้น

"ไม่เป็นไร นายไปกินกับเฟิร์นเหอะ"

"ทำไมล่ะ ไปด้วยกันสิ" สนรบเร้า ต้นจะปฏิเสธอีกก็ลำบากใจ โชคดีว่าเพื่อนที่รออยู่เดินมาพอดี

“เอาไว้คราวหลังนะสน เรามีธุระนิดหน่อยน่ะ ไปก่อนนะ”

ต้นลุกขึ้นและรีบเดินฉับๆ ไปหาเพื่อน สนมองตามแผ่นหลังต้นไปอย่างไม่เข้าใจนัก ปกติต้นไม่เคยปฏิเสธเลยเวลาสนชวนไปไหน นี่เป็นครั้งแรก ทำเอาสนรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

... ... ...

แฟนคนแรกของสนเริ่มทำให้วิถีปกติของต้นกับสนเปลี่ยนไปจนรู้สึกได้ ซ้ำยังเป็นหนามแทงใจทุกครั้งที่ต้นเห็น มีอยู่วันหนึ่งสนวิ่งกระหืดกระหอบมาหาต้นที่ห้องหลังเลิกเรียน ตอนนั้นต้นกำลังเก็บโต๊ะเตรียมจะกลับบ้านกับสนพอดี

"ต้น"

ต้นยกเก้าอี้ค้างไว้ ก่อนหันมามองเจ้าของเสียงและยิ้มให้ "อ้าวสน เรากำลังจะไปหานายพอดีเลย"

สนหน้าเจื่อน ท่าทางดูอึกอัก แต่สุดท้ายเขาก็บอกเหตุผลที่มาหาเพื่อนตรง ๆ “คือว่า…เย็นนี้เราว่าจะไปส่งเฟิร์นน่ะ พอดีมอไซค์เขาเสีย"

เท่านี้ต้นก็รู้ว่าเขาคงต้องกลับบ้านเอง แต่ก็ยังดีที่ซีลมักไปส่งทุกครั้งที่สนไม่สะดวก

"อ๋อ...ไม่เป็นไร เรากลับกับซีลก็ได้ นายไปเหอะ" ต้นบอกเสียงอ่อย ๆ ก่อนวางเก้าอี้ลงบนโต๊ะเรียน

"ขอโทษจริง ๆ นะต้น" สนทำหน้ารู้สึกผิด ที่ผ่านมาเขาแทบไม่เคยปล่อยต้นให้กลับบ้านเองเลย เพราะพ่อกำชับเอาไว้ว่า ‘เพื่อนของสน สนต้องดูแลเอง’ เรื่องไปกลับด้วยกันจึงสำคัญมาก วันไหนต้นกลับบ้านกับเพื่อนคนอื่น สนจะโดนพ่อดุถ้าไม่มีเหตุผลที่ดีพอ

"อย่าคิดมากน่า นายไปส่งเฟิร์นเหอะ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก" ต้นเอากระเป๋านักเรียนขึ้นมาถือ ก่อนหันไปบอกเพื่อนอีกคนข้างหลัง "ซีล วันนี้กูกลับด้วยนะเว้ย"

"เออ ๆ แหม...ไอ้สน มึงนี่เห่อแฟนจนลืมเพื่อนเลยนะมึง" ซีลแกล้งแซวเล่น ไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขากระแทกใจสนอย่างจัง

ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าสนหน้าเสีย เพราะก่อนหน้านี้เขาเพิ่งเผลอไปคบเพื่อนรุ่นพี่เกเร ขลุกอยู่กับพวกนั้นจนแทบไม่เคยกลับบ้านกับต้น กว่าจะหลุดพ้นจากพวกนั้นมาได้ก็เกือบเดือน เพิ่งจะกลับมาเป็นปกติเมื่อไม่นานนี้เอง ทว่าพอมีแฟนขึ้นมา ก็มีเค้าว่าต้นคงต้องกลับบ้านกับซีลอีกแล้ว

"เฮ้ยต้น ไม่ใช่อย่างนั้นนะ" สนพยายามจะอธิบาย ต้นรีบขัดขึ้นทันที

"ไปเหอะ เดี๋ยวเฟิร์นรอ เดี๋ยวเราบอกพ่อแต้วให้"

ถึงสนจะดูกังวล แต่ต้นก็รู้ว่าเพื่อนอยากไปกับแฟนมากกว่า เขาจึงตัดบทด้วยการเดินออกไปกับซีล ทว่าไม่นานก็ต้องมาเห็นภาพบาดตาบาดใจเข้าจนได้ เพราะบังเอิญเห็นสนกับเฟิร์นกำลังซื้อไอศกรีมรถเข็นที่หน้าโรงเรียนด้วยกันพอดี ดูกะหนุงกะหนิงจนน่าอิจฉา นี่คือสิ่งที่ต้นคงทำกับสนไม่ได้เลยในชาตินี้

หลังจากวันนั้นต้นก็พยายามเลี่ยงไม่กลับบ้านกับสน ทว่าทำได้ไม่กี่วันก็เริ่มคิดถึงเพื่อน พอทนไม่ไหวก็เลยต้องมารอที่ข้างสนามฟุตบอลเหมือนเคยในเย็นวันหนึ่ง เขานั่งดูเพื่อนรักเล่นกีฬาโปรดอย่างเงียบ ๆ คอยสังเกตดูความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนไปด้วย สนเริ่มมีกล้ามเนื้ออย่างเด็กหนุ่มแล้ว อกผาย ไหล่ผึ่ง ดูมีเสน่ห์ต่างจากตอนเด็ก ๆ มากทีเดียว

ไม่นานสนก็หันมาเห็นเพื่อน เขาส่งยิ้มและโบกมือให้ พอใกล้จบเกมต้นก็หยิบขวดน้ำขึ้นมารอไว้ ไม่นานสนก็วิ่งมาหาด้วยความดีใจ แต่ก่อนที่ต้นจะทันส่งขวดน้ำไปให้ ใครบางคนก็โผล่พรวดมาตัดหน้าเสียก่อน

"พี่สน โทษที เพื่อนเฟิร์นชวนคุยนานไปหน่อยเลยมาช้า"

ต้นจำเสียงนั้นได้ดี สาวน้อยคนนั้นมาพร้อมกับขวดน้ำเหมือนต้น เขารีบเอามือไพล่หลังซ่อนขวดน้ำไว้ ทว่าสนก็ดูอึกอัก เพราะจะรับน้ำจากเฟิร์นก็กลัวเพื่อนจะน้อยใจ

"อิจฉาโว้ย แม่งมีสาวมาส่งน้ำเย็น ๆ ให้ทุกวันเลยว่ะ” เพื่อน ๆ ของสนเดินมาแซว

เฟิร์นหันมาเจอต้นพอดี เธอคงลืมสังเกตจึงไม่เห็นว่าต้นก็มารอสนด้วย

"อ้าวพี่ต้น มาดูพี่สนเล่นบอลเหรอ ทำไมไม่เล่นกับพี่สนล่ะ"

"อ๋อ พี่ชอบเล่นบาสมากกว่า" ต้นตอบแกน ๆ

"อ้อ ใช่ ๆ เฟิร์นจำได้ กีฬาสีเดือนที่แล้วพี่ต้นก็แข่งบาสด้วย" เฟิร์นทำท่านึกได้ จากนั้นก็หันไปคะยั้นคะยอให้สนดื่มน้ำ "น้ำค่ะพี่สน"

สนรับน้ำมาจากเฟิร์นก็จริง แต่สายตากลับมองมาที่ต้นอย่างเกรงใจ ต้นคงน้อยใจอีกแน่ ๆ คงไม่ดีถ้าจะปล่อยให้เพื่อนรู้สึกแบบนี้

"เรากลับบ้านก่อนนะสน ไอ้ซีลมันรออยู่"

พูดจบต้นก็เดินฉับ ๆ ออกไปทันที ทว่าก็ไม่ได้ไปหาซีลอย่างที่บอกเพื่อนไว้ พอออกมานอกโรงเรียนเขาก็ตรงไปยังทางที่ไปศาลเจ้าพ่อเสือ อยู่ห่างจากตรงนี้ไปกิโลเศษ เดินออกมาหน่อยน้ำตาก็ไหลเพราะกลั้นไม่ไหว นี่คือน้ำตาหยดแรกที่เขาต้องเสียให้กับความรัก

สนคงไม่ชอบผู้ชายเหมือนต้นแน่นอน ซ้ำพ่อแต้วเองก็ยังหวงลูกชายคนเดียวอีก ต้นจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีกลุ่มกะเทยขี่มอเตอร์ไซค์มาแซวสนตรงหน้าบ้าน พ่อแต้วไม่พอใจมากจึงไล่ตะเพิด ด่าสาดเสียเทเสียจนต้นยังแอบสะดุ้ง ถ้าวันหนึ่งพ่อแต้วเกิดรู้ว่าเขาคิดไม่ซื่อกับสน พ่อแต้วจะด่าเขาเหมือนกะเทยพวกนั้นหรือเปล่า แค่คิดต้นก็กลัวแล้ว เขาคงยอมให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้

ราว ๆ ยี่สิบนาทีต้นก็เดินมาถึงศาลเจ้าพ่อเสือซึ่งเป็นศาลาทรงไทยเล็ก ๆ ทำด้วยไม้ มีรูปปั้นเสือหลายขนาดอยู่รายรอบที่ชาวบ้านเอามาถวายตามความเชื่อ เขาทรุดตัวลงหน้าศาลเจ้าโดยไม่สนใจคนอื่น ๆ ที่อยู่แถว ๆ นี้ วางขวดน้ำที่ถือมาด้วยไว้ข้าง ๆ จากนั้นก็พนมมือไหว้ขอพร เมื่อไม่รู้จะพึ่งใครเขาก็เหลือเพียงสิ่งนี้

‘ข้าแต่ศาลเจ้าพ่อเสือ ได้โปรดช่วยลูกด้วย ลูกไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว ช่วยทำให้ลูกคนนี้ตัดใจจาก…’

“ต้น นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ เราตามหานายทั่วเลย”

ยังไม่ทันที่ต้นจะขอพรจบ เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นจากข้างหลังเสียก่อน เขารีบลดมือลงและหันไปมองเจ้าของเสียง พยายามสุดชีวิตที่จะทำให้สีหน้ามีพิรุธน้อยที่สุด

“เราอยากมาไหว้เจ้าพ่อเสือน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

ต้นลุกขึ้นยืน ขณะที่สนมองอย่างสงสัย ทว่าไม่นานก็ยิ้มให้

“นั่นน้ำของนายที่ซื้อมาให้เราใช่ไหม” สนถือวิสาสะเดินไปหยิบขวดน้ำนั้นมาถือไว้ จากนั้นก็เปิดขวดและยกขึ้นดื่มจนหมด แถมยังหันมายิ้มชื่นใจให้ต้นด้วย

“ไป…กลับบ้านเราดีกว่า หิวข้าวแล้ว” สนพูดพลางเอามือโอบไหล่ต้น

“แล้วเฟิร์นล่ะ”

“กลับบ้านไปแล้ว”

สนพาต้นเดินตรงไปยังมอเตอร์ไซค์เวสป้าที่จอดไว้ไม่ไกลนัก เจอแบบนี้ต้นก็น้อยใจไม่ลง แต่ก็ยิ่งทำให้เขาตัดใจได้ยาก กระทั่งพรที่จะขอเมื่อกี้ก็ยังขอไม่จบเลย

… … …

หลังเลิกเรียนวันหนึ่ง พอกลับถึงบ้านต้นก็ไปนั่งเล่นตรงสะพานเหล็กตรงคลองส่งน้ำหน้าบ้านอย่างเหงา ๆ เขาแกว่งขาเตะน้ำและมองดูดวงตะวันสีส้มอมแดงด้วยแววตาเหม่อ ๆ ป่านนี้สนคงพาเฟิร์นไปเที่ยวสนุกที่ตลาดคุณาวรรณแล้ว มันเป็นที่โปรดอีกที่ของเขาเลย แต่ช่วงหลัง ๆ ไม่ค่อยได้ไปกับสนเท่าไหร่

ต่อให้ไม่ได้แอบรักสนต้นก็อาจจะรู้สึกน้อยใจเหมือนกัน เพราะเขากับสนสนิทกันมาหลายปีแล้ว ไม่เคยมีใครมาแบ่งความสนใจของสนจากต้นไปได้เลย จนกระทั่งสนเริ่มมีแฟนนี่แหละ

"นั่งด้วยคนได้ไหม"

เสียงคุ้นเคยดังขึ้น พอหันไปก็เห็นสนยืนมองอยู่ ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาใส่ชุดพละสีส้มอ่อนและกางเกงสีน้ำเงินเข้มของโรงเรียน เวลาสนใส่ชุดนี้แล้วดูเท่ไม่น้อย

"อ้าว ไม่ได้ไปกับเฟิร์นเหรอ” ต้นถามด้วยสีหน้าแปลกใจ

สนนั่งลงข้างๆ จากนั้นก็หันมาส่ายหน้า "เปล่า เขางอนเราไปแล้ว"

เพื่อนรักของต้นถอดรองเท้าและถุงเท้าออกวางข้าง ๆ ก่อนหย่อนขาลงไปเตะน้ำเล่นบ้าง

“งอนเรื่องอะไร” ต้นอยากรู้ สนยู่จมูกและยักไหล่

“เราลืมไงว่านัดเขาไว้ เราก็เลยไปเตะบอลกับเพื่อน เขาก็เลยมาตามเรา พอเห็นเราเตะบอลอยู่ก็เลยงอน กลับบ้านไปแล้ว”

“แล้วทำไมนายไม่ไปง้อเขาล่ะ” ต้นเลิกคิ้วสงสัย

“เราง้อใครเป็นที่ไหนล่ะต้น นายก็รู้นี่” สนทำหน้าเครียดเล็กน้อย

“แล้วนายจะปล่อยให้เขางอนอย่างนี้เหรอ”

สนทำหน้ายุ่งยากใจ สักพักก็ถอนหายใจแรง ๆ “เมื่อกี้เราก็ขอโทษแล้ว แต่เขาไม่หายงอน เราก็เลยไม่รู้จะทำไง”

ด้วยความที่สนเป็นคนหน้าดุและมีนิสัยจริงจัง เขาก็เลยง้อใครไม่เป็นอย่างที่อ้าง ถ้าขอโทษครั้งเดียวแล้วไม่รู้เรื่องก็จะเลิกพูด แต่นิสัยแบบนั้นคงเอามาใช้กับผู้หญิงไม่ได้หรอก

“ช่างเหอะ เดี๋ยวเขาก็หายงอนเองแหละ ว่าแต่นายเหอะ…ทำไมรีบกลับมาก่อนล่ะ” สนเปลี่ยนเรื่อง พอเห็นต้นอึกอักเขาก็ถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูห่วงใย

"น้อยใจเหรอ"

"เปล่า น้อยใจเรื่องอะไร" ต้นปฏิเสธเป็นพัลวัน

"ไม่รู้สิ เรารู้สึกว่าช่วงนี้เราไม่ค่อยได้กลับบ้านด้วยกันเลย มีอะไรหรือเปล่า”

“เรากลับกับซีลก็ได้ นายจะได้มีเวลาไปอยู่กับแฟนไง” ต้นพูดโดยไม่หันไปมองหน้าสน เพราะกลัวอีกฝ่ายจะจับสังเกตสีหน้า

“แต่เราก็อยากมีเวลาอยู่กับนายด้วยนะต้น นายเป็นเพื่อนเรานะ เราไม่ได้อยากไปกับเฟิร์นทุกวันหรอก แต่เดี๋ยวนี้นายไม่เคยไปนั่งรอเราที่สนามบอลเลย”

สนตัดพ้อบ้าง ต้นได้แต่นั่งเงียบ ๆ เพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไง เห็นอย่างนั้นสนก็เลยต้องเป็นฝ่ายพูดต่อ

“น้อยใจใช่ไหม บอกเรามาตรง ๆ เลย”

คราวนี้ต้นหันมามองหน้าเพื่อน จะบอกว่าไม่น้อยใจก็คงโกหก เพราะเขากับสนรู้จักกันแทบทุกซอกทุกมุม ยากจะปิดบังความรู้สึกกันได้

“สงสัยเรายังไม่ชินน่ะสน เราสองคนสนิทกันมากไปหน่อยมั้ง พอมีคนเข้ามาแทรก…เราก็เลย…” ต้นละไว้ในฐานที่เข้าใจ สนพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจช้า ๆ

“เราเข้าใจ แล้วเราควรจะทำยังไงล่ะต้น เราเป็นห่วงนายมากเลยนะ หรือว่า…นายอยากให้เราเลิกกับเฟิร์นไหม เราทำได้นะ”

ต้นหน้าเหวอ เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ “นายจะเลิกกับเขาทำไม นายไม่รักเขาเหรอ”

สนทำท่าครุ่นคิด ไม่นานก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา “เราแค่ชอบเขานะเราว่า แต่รักน่ะ…น่าจะยัง”

“ก็นั่นแหละ ถึงยังไงนายก็ไม่ควรเลิกกับเขานะ เฟิร์นไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย เดี๋ยวเขาเสียใจ” ต้นเตือนด้วยความเป็นห่วง

สนนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าครุ่นคิดอะไรอยู่ ทำเอาต้นชักกลัวใจของเพื่อน เขาก็เลยต้องย้ำให้สนมั่นใจ

“เราไม่เป็นไรมากหรอกสน เราแค่ยังไม่ชินน่ะ เดี๋ยวเราก็ชินแล้ว”

เมื่อเพื่อนยืนยันสนก็รู้สึกดีขึ้น ทว่าก็ยังไม่ถึงกับมั่นใจเสียทีเดียว "งั้น…พรุ่งนี้นายกลับบ้านกับเราเหมือนเดิมนะ"

ต้นพยักหน้าตกลงทันที เพราะไม่รู้จะปฏิเสธไปทำไม

"วันนี้ไปกินข้าวบ้านเราไหม เมื่อเช้าเราบอกให้แม่ทำแกงผักกาดจอของโปรดนายด้วย เราว่านายคงแอบไม่กินผักมาหลายวันแน่ ๆ เลย เดี๋ยวเป็นมะเร็งนะ ถ้านายกินผักเยอะ ๆ เย็นนี้ เราพาไปเที่ยวเอาไหม" สนเอาของชอบมาล่อเหมือนอย่างเคย ถ้าไม่ใช่กิจกรรมโปรดก็จะเป็นอาหารโปรด

ต้นยิ้มแหย ทว่าก็รีบพยักหน้าตกลง แม้ไม่ชอบกินผักหลายชนิด แต่เขากลับชอบแกงผักกาดจอมากทีเดียว นาน ๆ จะได้กินที แม่พลอยทำให้กินครั้งแรกตอนอยู่ปอห้า เขาติดใจความอร่อยมาจนถึงทุกวันนี้

"อ้อ วันนี้มานอนที่ห้องเรานะ เราจะถามคณิตฯ นายหน่อย เรื่องตรีโกณฯ นั่นแหละ ยากชิบเป๋งเลย" สนบ่นพลางโคลงหัวไปมา

"ที่แท้ก็..." ต้นหัวเราะอย่างรู้ทัน

สองหนุ่มน้อยหัวเราะด้วยกันในท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นที่แสนงดงามของกำแพงแสน ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว แต่ในรอยยิ้มของสนนั้น ต้นกลับรู้สึกหวั่นใจลึก ๆ ว่าสนจะทำเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด

... ... ...

เฮลิคอปเตอร์ลำเล็กสองลำบินว่อนฉวัดเฉวียนไปทั่วฟ้ายามเย็น ขณะเดียวกันบนพื้นดินก็มีเสียงเด็กหนุ่มคุยกันอย่างสนุกสนานไปด้วย ได้ยินไปไกลหลายร้อยเมตร แม้ฟังไม่ออกว่าคุยอะไรกันบ้าง แต่ก็พอเดาความสนิทสนมได้จากน้ำเสียง

วันนี้ต้นกับสนเอาเครื่องบินเล็กมาเล่นที่โรงเรียนการบินด้วยกัน พ่อ ๆ เพิ่งซื้อให้ใหม่เมื่อตอนมอสอง แม้ราคาแพงก็ยอมจ่าย เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าให้เด็ก ๆ เอาเวลาไปทำเรื่องไม่ดี

พอเล่นเครื่องบินเล็กจนหนำใจ สนก็ชวนต้นมานั่งคุยกันที่สวนน้ำจิตรตระการฝั่งตรงข้าม มีคนมาออกกำลังกายและพักผ่อนหย่อนใจยามเย็นประปราย ช่วยให้ไม่รู้สึกเงียบเหงาเกินไป สองหนุ่มมาหยุดยืนตรงท่าน้ำ ทอดสายตามองแสงส้มแดงบนผืนน้ำด้วยใจสงบนิ่ง ดื่มด่ำไปกับความงดงามของกำแพงแสนยามเย็น

"เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยเห็นนายไปไหนกับเฟิร์นเลย มีอะไรหรือเปล่า” ต้นถามขึ้นในช่วงหนึ่งด้วยแววตาเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรหรอก” สนตอบเสียงเรียบ ทว่าก็ดูเหมือนต้นจะยังไม่เชื่อ กระนั้นก็ไม่อยากเซ้าซี้ให้สนรำคาญใจ

“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว”

“ถ้าผู้หญิงทุกคนเป็นเหมือนนายก็ดีนะต้น” อยู่ ๆ สนก็โพล่งประโยคที่ทำให้ต้นต้องขมวดคิ้วอีกรอบ

“นายหมายความว่าไง”

“ก็เวลานายโกรธหรืองอนเราน่ะ เราง้อแป๊บเดียวก็หายแล้ว ไม่เยิ่นเย้อ มีอะไรก็พูดกันตรง ๆ แบบนี้มันสบายใจมากกว่า”

“พูดแบบนี้แสดงว่า…งอนกันเหรอ”

“ประมาณนั้น” สนพยักหน้ายอมรับและแค่นหัวเราะ

“แล้วนายคุยกับเขาหรือยัง”

“เราไม่ชอบง้อคนจริง ๆ นะต้น เราเป็นคนจริงจังนายก็รู้ อ้อ ไม่ต้องบอกให้เราไปง้อเขาแล้วนะ” สนพูดดักอย่างรู้ทัน เพราะที่ผ่านมาต้นจะคอยกำชับเรื่องนี้บ่อย ๆ

“ก็ตามใจ”

“เราว่าเรากับเฟิร์นคงไปด้วยกันไม่ได้แล้วล่ะ ถ้าเขาจะเลิกกับเรา...เราก็ไม่มีปัญหาหรอก”

ในที่สุดสนก็พูดสิ่งที่คิดออกมาจนได้ แม้ว่าต้นจะตกใจแต่เขาก็เดาไว้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ สนเป็นคนจริงจังเหมือนพ่อ เขาไม่ชอบคนพูดไม่รู้เรื่อง ถ้าพูดแล้วไม่ฟังเขาก็มักจะหงุดหงิด

“เสียดาย...ที่นายไม่ใช่ผู้หญิง ไม่งั้นเราจีบไปแล้ว ถ้าเรามีแฟนแบบนาย…เราคงมีความสุขมาก ๆ เลย”

แม้ว่าสนจะพูดเล่น แต่ก็ทำเอาต้นเจ็บแปลบไม่น้อย ช่างน่าเสียดายที่เขาเป็นผู้หญิงให้สนไม่ได้ ชาติหน้าก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นให้ได้หรือเปล่า

“เราเป็นผู้หญิงให้นายไม่ได้หรอกสน เสียใจด้วยนะ” ต้นพูดติดตลกทว่าก็เสียงสั่น

“เราพูดเล่น นายเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว" สนหัวเราะ สักพักก็พูดสืบไป "จะว่าไปไม่มีแฟนก็ดีเหมือนกันนะ เราจะได้มีเวลาให้นายเหมือนเดิม พรุ่งนี้เราไปปั่นจักรยานกันไหมต้น มาแถวนี้ก็ได้” สนชวนอย่างอารมณ์ดี ต้นพยักหน้าตกลงโดยแทบไม่ต้องคิด

เอาเถอะ ถึงยังไงสนก็รักต้นในฐานะเพื่อนที่เป็นที่หนึ่ง ถึงเจ็บบ้างก็ต้องทนเพื่อรักษามิตรภาพเอาไว้ อย่าให้สนหรือใครรู้เลยว่าต้นคิดอะไร เพราะไม่มีทางจะเป็นผลดีแน่

อดทนให้ได้ละกันนะต้น จะเจ็บไปอีกนานแค่ไหนก็ต้องทนเอาไว้ ถึงไม่ได้รักอย่างนั้นมาก็เอารักอย่างเพื่อนจากสนมาหล่อเลี้ยงหัวใจทดแทนได้ เพราะถ้าเกิดอดทนไม่ได้ขึ้นมา เขาอาจจะไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งความเป็นเพื่อน

TBC...

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.