STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 4 เสาะหา

STARCIN อุบัติมหาสงครามสตาร์คิน

-A A +A

STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 4 เสาะหา

21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2576

"ทำไมที่นี่ถึงมีแต่ฝุ่นเต็มไปหมดเลย ภูมิแพ้จะกำเริบไหมเนี่ย" เสียงหายใจฟึดฟัดตาแดงเพราะฝุ่นเข้าตา

"ทนไว้ก่อนเซน ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลจากแหล่งค้าขายมีประชากรอยู่น้อยแต่สิ่งสำคัญที่เรามาที่นี่ก็คือดันเจี้ยนเหมือง"

เมื่อมองผ่านทุ่งหิมะไปก็จะได้เห็นเมืองเล็ก ๆ ที่เหมือนกับหมู่บ้านเสียมากกว่า ทั้ง ๆ ที่ดูสงบร่มรื่นเต็มไปด้วยหิมะสีขาวแต่เหนือที่แห่งนั้นกลับเต็มไปด้วยฝุ่นควันไม่น่ามอง

เด็กตัวน้อยกำลังเอามือกอดร่างตัวเองแม้จะใส่เสื้อกันหนาวแล้วแต่เพราะเขายังเด็กร่างกายยังไม่ทนทานต่อสภาวะหนัก ๆ เช่นนี้ "หนาวไหมคูเปอร์? พี่ยังมีเสื้อกันหนาวอยู่อีกนะ"

"ผมสะสบายดีครับ" แม้จะเอ่ยเช่นนั้นแต่ทั้งน้ำเสียงและร่างกายกลับสั่นคลอนเงยหน้ามองและส่งยิ้มให้กับคานะ

"เหอะ ๆ ยังจะปากแข็งอีก" ยูกิโยนผ้าคลุมให้หนึ่งผืนมันทำมาจากขนสัตว์เหมาะแก่การให้ความอบอุ่นถึงแม้คูเปอร์จะดูเกร็ง ๆ แต่ก็ยอมรับไว้แต่โดยดี

"เราจะเริ่มปลอมตัวกันตรงนี้"

"อืม..."

ซึฮากิใช้เวทมนตร์ปรับเปลี่ยนรูปร่างของพวกเขาสุ่มเป็นใครก็ไม่รู้ในทุก ๆ ครั้งที่ผ่านเมือง

"ว่าแต่ร่างกายพวกนี้นายเป็นคนสร้างหรือมันเกิดขึ้นเองควบคุมไม่ได้?" ยูกิเอ่ยถามขณะที่เหลือบมองหน้าเซน

"จะควบคุมให้มันเป็นแบบที่ต้องการก็ได้แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้นมันก็จะสุ่มเปลี่ยนเป็นใครก็ไม่รู้ ทำไมถึงสงสัยล่ะ?"

"ไม่มีอะไรก็แค่สงสัยเฉย ๆ แล้วถ้าแบบบังเอิญไปเจอคนที่หน้าตาเหมือนกันเข้าล่ะ?"

"ถึงจะมีโอกาสแบบนั้นแต่ฉันก็แค่เปลี่ยนหน้าตาใหม่ก็คงไม่มีปัญหา"

ระหว่างที่คุยเล่นพวกเขาก็ได้เข้ามาถึงเมืองยองยอง สภาพที่เต็มไปด้วยหิมะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่หมกตัวอยู่แต่ในอาคารโดยเฉพาะร้านอาหารสำหรับสังสรรค์

"เอาเว้ย ! ปีนี้เราขุดแร่ได้ทันพอดีก่อนที่หน้าหนาวมาเยือน ชกแก้วแล้วมาดื่มกันให้เต็มที่ไปเลย"

"โอ้ว !"

พวกเขาเดินเข้าในร้านอาหารที่กำลังครึกครื้นลื่นร่มเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์และเสียงขับร้องผิดเพี้ยนแต่ก็ยังสนุกสุดเหวี่ยง

"สวัสดีค่ะมีอะไรให้ช่วยไหมคะ?" พนักงานที่กำลังเดินเสิร์ฟอาหารเข้ามาทักเป็นคนแรกด้วยท่าทางนอบน้อมน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง

"ขออาหารชุดสำหรับหกคนแล้วก็ห้องพักห้องใหญ่ครับ"

"รับทราบค่ะเชิญนั่งที่โต๊ะว่าง ๆ ได้เลยนะคะเราจะรีบเตรียมอาหารให้"

เซนและคานะมองตามตาไม่กะพริบทั้งหัวไหล่ แขนและหลังทุกส่วนมีความแข็งแรงผิดปกติกับเด็กเสิร์ฟทั่ว ๆ ไปราวกับเธอออกกำลังกายหนักไม่ก็ใช้แรงทุกวัน

"เอ่อ...อยากจะจิบเบียร์บ้างอะกิ...ได้ไหม?" เซนเหลือบไปเห็นเครื่องดื่มที่คุ้นเคยจ้องมันไม่พักคิดแล้วคิดอีกจึงได้ถาม

"ถ้านิดหน่อยก็ไม่เป็นอะไร"

"เยส ! ไปกันเถอะคานะ" เซนจับมือลากคานะไปด้วยแต่เธอก็ยังตกใจไม่รู้จะตอบอะไรดี

"ตะแต่ฉันไม่เคยดื่มนะ"

"เอาเถอะน่าแค่แก้วเดียวก็พอ" ด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความจริงใจและรักสนุกทำให้คานะปฏิเสธไม่ลง

"จะไม่เป็นอะไรแน่นะ" หญิงสาวผู้ปกปิดใบหน้านั่งลงที่โต๊ะอาหารก่อนใคร

"ยังไงพวกเราก็เหนื่อยมาหลายวันแล้วให้ได้พักผ่อนกันบ้างก็ดี แล้วเธอล่ะมีอะไรที่อยากทำหรือเปล่า?"

"ไม่มีมั้งปกติฉันก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึก" สเตล่าถอดผ้าปิดปากหายใจออกมาทีก็เป็นควันเพราะอากาศที่หนาวเหน็บ

ยูกิแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนว่าสงสัยอยากถามจนใจจะขาด "อย่าหาว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะทำไมเธอต้องใส่อะไรเยอะแยะปิดหน้าหมดเลย"

"อืม...มันเป็นเรื่องในอดีตน่ะ-"

"เออ ๆ จะเล่าใช่ไหมงั้นก็เล่าเลยจะได้กินข้าว" ยูกิพูดแทรกเสียก่อนได้เริ่มแต่มันก็ทำให้สเตล่ายิ้มเยาะตอบรับ

"ตอนที่ฉันกำลังเร่ร่อนอยู่เคยไปหางานทำหาที่กินที่พักแต่เพราะเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ พวกเขาก็เลยไม่ค่อยจะอยากรับเท่าไหร่แต่กลับบอกให้ไปทำงานเป็นคนขายบริการแทน จริง ๆ ตอนนั้นก็เกือบจะไปทำแล้วเหมือนกันแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีวิชามีความรู้ที่ที่บ้านสอนไว้จึงได้สมัครเป็นนักผจญภัยและทำงานพวกนั้นแทน"

ขณะเดียวกันเสียงจากโต๊ะรอบข้างก็ยังดังสนั่นตะโกนโหวกเหวกโวยวายกันสนุก

"หลังจากทำงานเป็นนักผจญภัยได้สักพักก็เลยออกเดินทางไปเรื่อย ๆ เพื่อ...เอาเป็นว่าที่แต่งตัวมิดชิดให้ไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิงก็เพื่อให้เราทำงานหรือเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น"

"เคยคิดจะขายบริการด้วยสินะ ถ้าสนใจก็บอกได้ข้าน่าจะพอแนะนำอะไรได้หลาย ๆ อย่าง" รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัยพร้อมกับกระตุกคิ้วให้สเตล่าราวกับเป็นผู้ช่ำชองในด้านนี้

"อาหารมาแล้วค่ะ" หลังจากรอมาสักพักในที่สุดอาหารสำหรับหกคนก็มาเสิร์ฟถึงโต๊ะแต่เซนกับคานะยังนั่งอยู่ที่หน้าบาร์ชนแก้วกันไม่พัก

"เซน ! คานะ ! มากินข้าวเร็วเดี๋ยวก็หมดก่อนหรอก" ซึฮากิตะโกนเรียกข้ามฟากไปยังหน้าบาร์แต่มันก็ดูเป็นการเสียมารยาทที่ตะโกนข้ามหัวคนอื่นไปเช่นนั้น

"เฮ้ย ๆ ช่วยเงียบ ๆ หน่อยสิ" ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนกลับมาจากโต๊ะที่นั่งอยู่ถัดไป

"ขอโทษด้วยแล้วกันแต่ไอ้เสียงที่ตะโกนอยู่นั่นไม่คิดจะเบาหรือยังไง?" ซึฮากิตอบกลับทันทีเอนหลังนั่งเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายใจ

"หา ! เล่นลิ้นเหรอวะ" ชายหญิงจากโต๊ะข้างเคียงพากันกรูเข้ามาล้อมโต๊ะของซึฮากิไว้ทำเอาคูเปอร์สั่นเป็นเจ้าเข้า

"หูหนวกหรือยังไงถ้าใช่เดี๋ยวแนะนำหมอให้ไหม" น้ำเสียงอันเอื่อยเฉื่อยไม่รู้ร้อนยิ่งทำให้พวกเขาโกรธจนเส้นเลือดปูด

"อย่าคิดว่าเป็นผู้มาเยือนแล้วจะไม่กล้านะ" ชายหนุ่มคนนั้นวางมือลงบนไหล่ของซึฮากิบีบแน่นหวังจะให้เขาร้องอวดครวญแต่สิ่งที่ได้กลับเป็นการนั่งกินอาหารต่อไม่สนใจ

"โอโห ! ได้เพื่อนใหม่แล้วเหรอ?" เซนและคานะกลับมาที่โต๊ะยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตรให้กับชายหญิงเหล่านั้น

"อา..." คานะดูนิ่ง ๆ ผิดปกติตาเหม่อลอยมองตรงเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ

"นั่นเธอเมาเหรอ?" สเตล่ามองซ้ายขวาจับตัวเธอให้มั่นคงใคร ๆ เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเธอเมาจนคุมสติไม่ได้แล้ว

"โถ่...ก็แค่นิดเดียวเองไม่คิดว่าคานะจะคออ่อนขนาดนี้"

"ฮ่า ๆ ๆ คออ่อนเสียจริง ถ้าเป็นข้าละก็ได้ทั้งลังบอกเลย" ยูกิหัวเราะลั่นถึงขั้นตบหลังเซนไปด้วย

"เฮ้ย ! ทำเมินเหรอวะไอ้พวกนี้"

"พี่สังข์ ! พี่เองก็เมามากแล้วกลับไปนอนเถอะ" ขณะที่กำลังจะปะทะคารมกันก็มีเด็กเสิร์ฟสาวตัวเล็กเอาสมุดจดเคาะหัวชายหนุ่มผู้ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของพวกเขา

"ฉันจะจำหน้าแกไว้ !" พวกเขายอมกลับไปนั่งที่แต่โดยท่าทางกระฟัดกระเฟียดแค่วางแก้วยังเสียงดัง

หลังจากความวุ่นวายหายไปพวกเขาก็นั่งกินอาหารกันจนอิ่มมีเพียงคานะที่มึน ๆ ไม่มีสติจนต้องห่ออาหารกลับไปกินที่ห้อง

"คราวหลังก็อย่าพาคานะดื่มอีกล่ะ"

ห้องที่พวกเขาเข้าไปมีทั้งห้องนั่งเล่นและมีแยกห้องนอนอีกสองห้องถือว่าเป็นห้องขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินไปมากถึงคืนละสี่เหรียญทอง

"จะว่าไปนายไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะเลยล่ะเนี่ย ฉันก็ไม่เห็นนายจะไปไหนอยู่กับเราตลอดหรือเป็นงบประมาณของเอลโฟเรีย"

"จะบ้าเหรอฉันไม่เอางบประมาณมาใช้กับเรื่องพวกนี้หรอก เงินส่วนใหญ่ที่ได้มาใช้ก็เพราะฉันให้ร่างโคลนไปทำงานมาน่ะสิ"

"นั่นเป็น...เรื่องที่ฉันไม่คิดมาก่อนเลย แล้ว ๆ พวกเรามีเงินอยู่เท่าไหร่เหรอ?" เซนกระโจนเข้าใส่ซึฮากิส่งสายตาน่าฉงนจ้องมอง

"ก็ไม่มากหรอกประมาณหนึ่งร้อยเหรียญทองรวมกับเงินที่พกมาด้วย"

"แหม่ถ้าเทียบกับตอนอยู่ค่ายทหารแล้วคนละโลกเลย แต่ก็จะว่าไปทำไมทุก ๆ ที่ถึงใช้เหรียญแบบเดียวกันหมดเลยล่ะถ้าเป็นโลกเราแค่ข้ามหนึ่งประเทศก็ใช้คนละสกุลเงินแล้ว"

"นายยังไม่รู้สินะแล้วพวกเธอล่ะ?" ซึฮากิเหลือบมองสเตล่าและยูกิ

"เรื่องนั้นฉันก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลย" สเตล่าตอบด้วยท่าทางลังเลใจทำเป็นคิด

ทันใดนั้นยูกิก็ยกมือรัว ๆ ยื่นหน้าเข้าหา "ข้ารู้ ๆ"

"ว่ามาเลย"

"เหรียญพวกนี้ถูกคิดค้นขึ้นโดยแอสต้าและคณะปฏิวัติรวมทั้งอาชีพนักผจญภัยก็ด้วย"

"ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ฉันก็สงสัยเหมือนกันจากการอ่านบันทึกประวัติศาสตร์แต่มันก็ยังคลุมเครือก็เลยลองไปถามนากิที่อยู่ร่วมสมัยกับแอสต้าจึงได้รู้ความจริง"

"แล้วแอสต้านี่แข็งแกร่งขนาดไหนกันนะ? ได้ยินว่าเมืองหลวงของอาณาจักรเซียชื่อแอสต้าซะด้วยอยากจะมีชื่อเมืองเป็นของตัวเองบ้างจัง" เซนนั่งแกว่งขาอยู่บนโซฟาหนังสัตว์ดูแล้วราคาน่าจะแพงกว่าค่าเช่าห้องเสียอีกทั้งความสะอาดและการจัดวางเป็นระเบียบแสดงให้เห็นว่าพนักงานใส่ใจแค่ไหน

พวกเขาได้เล่าสารทุกข์สุกดิบกล่าวขานถึงเรื่องราวในตำนานบ้างเรื่องที่ตนเองประสบพบเจอบ้างช่วยให้ได้รู้จักกันมากขึ้นโดนเฉพาะกับคูเปอร์ที่เป็นสมาชิกใหม่ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอนโดยที่ซึฮากินอนอยู่ห้องนั่งเล่นกับคูเปอร์แบ่งห้องนอนให้เซนกับคานะและสเตล่ากับยูกิ

พี่คาร์เตอร์นอนหรือยังครับ?

ยัง ๆ พี่ตาตื่นเพราะได้ฟังเรื่องของพวกเขานั่นแหละ ถึงแม้ตัวพี่จะโดนขังอยู่แต่การได้เปิดหูเปิดตาบ้างมันทำให้พี่ยิ้มไม่หุบเลย

ฮ่า ๆ ๆ ผมได้ยินพี่พูดแบบนั้นผมเองก็เผลอยิ้มไปด้วยเลย...แล้วทางพี่เป็นยังไงบ้าง?

ซึฮากินอนตะแคงสลับกลับมาทางคูเปอร์เล่นเอาเขาสะดุ้งตกใจอย่างกับเจอผี

พวกเขาย้ายพี่มาที่ศูนย์บัญชาการใหญ่ที่เดียวกับจักรพรรดินีแถมเธอยังชอบแวะลงมาหาประจำเลย

ไม่ต้องห่วงนะพี่ผมจะฝึกเวทมนตร์ให้แข็งแกร่งพอที่จะช่วยพี่ออกมา

ขณะเดียวกันคูเปอร์ก็แอบย่องออกไปนอกห้องออกไปยังทางเดินที่มืดสลัวหาจุดที่ไม่มีผู้คนเพื่อฝึกฝนเวทมนตร์

"[มานาบอล]" เขาร่ายเวทมนตร์โจมตีไปที่ต้นไม้ข้างหน้าแต่มันก็อ่อนกำลังทำได้แค่รอยยุบแต่เมื่อทำซ้ำบ่อย ๆ มันก็ทำให้ต้นไม้หักได้

"ดีกว่าเมื่อวันก่อนนะ"

"กรี๊ด !" คูเปอร์ร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินเสียงของชายหนุ่มจากด้านล่างและเผลอร่ายเวทโจมตีใส่ทันที

"เงียบหน่อยสิอยากให้ชาวบ้านเขาตื่นกันหรือยังไง?" ซึฮากิเอามืออุดปากของคูเปอร์ไว้แม้ตอนแรกเขาจะขัดขืนแต่พอได้เห็นว่าเป็นซึฮากิก็ยอมสงบสติอารมณ์

"พะพี่กิมาทำอะไรครับ?"

"ก็มาดูคนฝึกร่ายเวทน่ะสิถามได้ นายเองก็รู้จักเลือกจุดอับสายตาซะด้วยเพราะบริเวณนี้มันติดกับป่าทำให้ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน...แล้วเวทมนตร์ไปถึงไหนแล้วล่ะ?"

"พี่ดูมาตั้งแต่ตอนไหน?" คูเปอร์สลัดมือของซึฮากิออกถอยห่างท่าทางลนลานและหวาดกลัว

"อืม...ก็น่าสามวันก่อนแต่ไม่ต้องห่วงพี่ไม่ได้บอกพวกคานะหรอก" ซึฮากิส่งยิ้มอ่อนพยายามจะทำตัวให้เป็นมิตรที่สุด

"ละแล้วพี่ต้องการอะไร?"

"ก็แค่อยากพิสูจน์ข้อสงสัยสักหน่อยจนแน่ใจว่านายไม่ใช่เผ่ามนุษย์ใช่ไหม? สามารถใช้เวทมนตร์ได้โดยไม่ต้องพึ่งหินเวทและยังมีข้อสงสัยกับพลังเดอะทวินอีก ตลอดเวลาสีหน้าท่าทางของนายกำลังแสดงออกว่ากำลังสื่อสารกับใครสักคน"

พี่เขารู้ไปถึงขั้นนั้นเลยเหรอ แถมพี่คาร์เตอร์ก็คงจะหลับไปแล้วทีนี้เราจะทำยังไงเนี่ย

"ไม่ต้องกังวลไปยังไงพวกเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว อย่างน้อยนายก็ต้องเอาตัวรอดได้"

ซึฮากิชักมีดสั้นออกมายื่นออกไปข้างหน้าก่อรวมมานาเป็นก้อนกลม ๆ แต่แทนที่จะปล่อยเขากลับคงสภาพมันไว้เช่นนั้น

"ดูนี่สิคูเปอร์ มันสวยใช่ไหมล่ะ?"

คูเปอร์พยักหน้าตามน้ำไปเพราะไม่รู้ว่าซึฮากิจะสื่อถึงอะไร

"ไหนลองใช้เวทมนตร์เมื่อกี้อีกรอบสิ"

"ครับพี่" มานาค่อย ๆ ไหลจากทั่วทั้งร่างมารวมกันที่ฝ่ามือของคูเปอร์และพุ่งออกไปเหมือนกับลูกบอล

"ผมทำแล้วมันยังไงเหรอครับ?"

"แล้วเห็นอะไรที่มันแตกต่างกันไหม?" ซึฮากิแทนที่จะตอบแต่กลับถามคำถามกลับปล่อยให้คูเปอร์ได้ครุ่นคิดต่อไป

"อืม...ของพี่มันไม่พุ่งออกไปครับ"

ซึฮากิหัวเราะในลำคอก่อนจะเฉลย "นั่นก็ถูกแต่สิ่งที่ต่างก็คือการควบคุมมัน วิธีที่จะรีดประสิทธิภาพของเวทมนตร์ออกมาให้มากที่สุดไม่ใช่แค่พลังเวทแต่ต้องมีวิธีจัดการกับมัน" มานาก้อนกลมของซึฮากิได้สัมผัสกับต้นไม้อีกต้นที่อยู่ข้าง ๆ กันทั้ง ๆ ที่เขาขว้างออกไปไม่แรงแต่เมื่อมันกระทบกับต้นไม้ก็ถูกตัดขาดได้อย่างง่ายดายราวกับถูกคมดาบฟัน

"เมื่อกี้คือวิธีการหมุนเมื่อมันหมุนได้เร็วมากมาก ๆ จนมีคุณสมบัติในการตัดขาดหรือทำลายสูงกว่าก้อนมานาธรรมดา"

"โห..." คูเปอร์เดินเข้าไปดูสภาพต้นไม้ต้นนั่นที่รอยขาดของมันมีกลิ่นไหม้อยู่เล็กน้อยเพราะถูกแรงหมุนจากก้อนมานาเกิดการเสียดสี

"ผมจะทำแบบนั้นได้บ้างไหมครับ?"

"นั่นก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของนาย ก่อนอื่นก็นั่งลงและหลับตาซะ"

"นั่งหลับตาทำไมครับ?"

"เพื่อเพิ่มความเข้าใจของสมาธิ เวทมนตร์จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีสติและมันจะเป็นไปดั่งใจแล้วเมื่อใช้สมาธิเข้าควบคุม"

ตลอดเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงคูเปอร์ต้องทนทุกข์ทรมานกับการนั่งหลับตานึกถึงการก่อร่างมานาเสียก่อนจากนั้นเขาก็เริ่มสร้างมานาเฉกเช่นเดียวกับซึฮากิแต่สิ่งที่ได้ก็ยังไม่มั่นคง แม้จะปั้นมานาเป็นวงกลมได้แต่มันก็เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่จากนั้นมันก็แตกตัวกลายเป็นก้อนสี่เหลี่ยมบ้างบางครั้งก็มีรูปร่างแปลกประหลาดรูปไร้ทรง

22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2576

"อา! โอ..." เสียงงัวเงียหลังจากตื่นนอนพร้อมกับยืดตัวจนตะหลิวแทบจะกิน

"ตื่นแล้วเหรอคานะ เข้าไปอาบน้ำก่อนไปเดี๋ยวซึฮากิให้ไปประชุมต่อ"

"อืม..."

คานะเดินเข้าห้องน้ำไปขณะที่ตายังลืมแทบไม่ขึ้นแต่เมื่อได้สัมผัสกับน้ำอันเย็นเยือกมันก็ทำให้เธอตาตื่นทันที

"เซน...ช่วยหน่อยสิ" เซนที่ได้ยินเช่นนั้นยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางหัวเราะเยาะชอบใจ หลังจากเข้าไปเซนก็ใช้เวทไฟช่วยทำให้น้ำอุ่นก่อนจะล้างหน้าล้างตัว

"มากันครบแล้วใช่ไหม" ซึฮากิกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องนั่งเล่นได้เห็นหน้าค่าตาที่แสนจะสดชื่นหลังจากหลับเต็มอิ่ม

"แผนการขัดขวางสงครามคงต้องเลื่อนออกไปเพราะจักรพรรดินี แต่จะให้เวลาเสียเปล่าไปก็ใช่เรื่องดังนั้นเราจะมาหาข้อมูลให้ละเอียดยิ่งขึ้น เซน คานะพวกนายไปที่ภูเขาหิมะที่อยู่ติดกับเหมืองใหญ่สำรวจพื้นที่แถวนั้นให้หมด สเตล่ากับยูกิพวกเธอไปสืบเรื่องของกิลด์ คูเปอร์มากับฉันเราจะไปสำรวจเหมืองกัน"

"เยสเซอร์หัวหน้า !" เสียงตอบรับที่ปกติจะมีแค่เซนแต่ตอนนี้กลับเป็นทั้งกลุ่มทำเพราะความเคยชิน

เมืองยองยองเป็นเมืองที่มีการขุดเหมืองใหญ่ที่สุดในอาณาจักรนอด ทรัพยากรที่ใช้ในกองทัพก็มาจากที่แห่งนี้ จากคำบอกเล่าของคนจากเมืองอื่นบอกว่ากองทัพจะมาซื้อแร่ทุก ๆ หนึ่งเดือนโดยสถานที่แลกเปลี่ยนก็คือเมืองแห่งนี้ นั่นทำให้พวกนักดมกลิ่นคาดไม่ถึงว่าเราจะมาอยู่ใกล้จมูกของพวกมันเสียเอง

"จงจำไว้นะทุกคน" ซึฮากิประตูนำหน้าออกไปก่อนใคร

"อย่าตายล่ะ..."

เมืองยองยองที่เต็มไปด้วยดันเจี้ยนเหมืองทั้งใหญ่และเล็กล้วนเป็นทรัพยากรอันล้ำค่า ในขณะที่อาณาจักรนอดกำลังเตรียมกองทัพไว้ต่อกรกับอาณาจักรอื่นเทคโนโลยีทางการทหาร กลยุทธ์วิถี การวางแผนทุก ๆ อย่างล้วนต้องใช้เวลาและความเข้าใจ

"ทำไมพวกเขาถึงแตกแยกกันนะ? ทั้ง ๆ ที่แอสต้าเป็นคนรวมทั้งเจ็ดอาณาจักรเป็นหนึ่งเดียวแท้ ๆ แต่ในปัจจุบันพวกเขากลับเป็นศัตรูแก่งแย่งชิงดินแดนทำให้เกิดความสูญเสียมากมาย"

"นั่นก็เพราะอุดมการณ์ของผู้สืบทอดไม่เหมือนกัน ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่แอสต้าเป็นราชาเหนือราชาทั้งปวงเขาก็ได้แบ่งอาณาเขตการปกครองให้กับพรรคพวกผู้ก่อตั้งช่วยกันจัดการและส่งต่ออำนาจรุ่นต่อรุ่น"

คำถามที่เกิดขึ้นในหัวของนักเรียนมากมายแม้จะได้คำตอบไปก็ไม่อาจคลายความกังวลได้

"ในอดีตแอสต้าได้รวมกำลังมนุษย์ช่วยกันกอบกู้อิสรภาพแต่บัดนี้มันมนุษย์กลับฆ่ากันเอง อุดมการณ์อันแรงกล้าของแอสต้าก็ไม่อาจส่งต่อมายังรุ่นหลังได้จนเกิดการแบ่งแยกอำนาจ จะเหลือเพียงเผ่าพันธุ์อายุยืนที่ได้อยู่ร่วมสมัยกับแอสต้าแต่เพราะอาณาจักรเราไม่ต้อนรับจึงหาข้อมูลได้ยากยิ่ง แม้เราจะมีท่านผู้นั้นที่อยู่ร่วมสมัยกับแอสต้าแต่ท่านก็ไม่เคยออกมาป่าวประกาศข้อมูลอะไรเลยสักครั้งและก็ไม่มีใครกล้าถามเสียด้วย"

"ถูกต้อง นั่นคือข้อเท็จจริงที่เราไม่อาจทำอะไรได้ ถ้าไม่มีท่านผู้นั้นป่านนี้ก็ยังคงมีสงครามฆ่าล้างกันไม่หยุดแต่เพราะการดุลอำนาจของท่านจึงทำให้ทุกอาณาจักรยอมเซ็นสนธิสงบศึก" นักเรียนหลายสิบชีวิตกำลังถกกับอาจารย์หนุ่มดูเป็นกันเอง

"ในรายวิชาประวัติศาสตร์พวกเธอคงได้เรียนกันมาหมดแล้ว แต่ต่อไปนี้จะเป็นข้อมูลเชิงลึกของอาณาจักรทั่วทั้งสตาร์คิน"

ตั้งแต่ย้ายมาเขตเวทมนตร์ก็จะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนก็คืออุปกรณ์ โดยเฉพาะอุปกรณ์เวทระดับสูงแจกจ่ายให้ได้ใช้กันถ้วนหน้า ตัวอาคารออกแบบมาเพื่อรองรับแรงและภายในอาคารก็มีวัสดุพิเศษป้องกันความร้อนความหนาว

"แล้วท่านฟรานมีอะไรจะพูดไหมครับ? ในเรื่องของพลังและเลเวลท่านอยู่สูงที่สุดในบรรดานักเรียนแถมยังมากกว่าอาจารย์บางคนเสียด้วย"

ฟรานที่นั่งอยู่ด้านหลังกำลังเหม่อคิดไปเรื่อยจู่ ๆ ก็โดนเรียกพร้อมกับสายตาของพวกเขาจับจ้องมายังฟรานเต็มไปด้วยความสงสัย คาดหวัง และหวั่นเกรง

"ฟรานคิดว่าอดีตก็เหมือนเครื่องเตือนใจว่าสิ่งใดทำแล้วเกิดผลดีสิ่งใดทำแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ เมื่อตอนที่แอสต้าปกครองพื้นที่ทั้งหมดเขาก็ไม่ได้สังหารหมู่หรือจับพวกอมนุษย์เป็นทาสแต่กลับเลือกที่จะทำสัญญาอยู่ร่วมกันแทน จากข้อมูลล่าสุดทำให้รู้ว่าบางอาณาจักรก็ยังทำตามอุดมการณ์นั้น บางแห่งก็เกิดวัฒนธรรมแบ่งแยกที่แตกต่างกันออกไปอย่างเช่นอาณาจักรนอดที่จับอมนุษย์เป็นทาสแต่ถ้าเป็นอมนุษย์เพศหญิงก็มักจะได้รับการยกเว้น"

ขณะที่ทุกคนกำลังตั้งใจฟังราวกับเป็นอาจารย์อาวุโสมาสอนเองแต่ก่อนที่บรรยากาศจะตึงเครียดไปมากกว่านี้อาจารย์หนุ่มก็ได้ปรบมือสร้างจุดสนใจใหม่ "สมกับเป็นท่านฟรานจริง ๆ ครับ"

เสียงคุยกันซุบซิบหลังจากที่อาจารย์หนุ่มเงียบไปแสดงให้เห็นว่าฟรานเป็นจุดสนใจแค่ไหนไม่ว่าจะนักเรียน คณาจารย์หรือแม้แต่ชาวบ้านทั่วไป

"ในเมื่อเราพูดคุยเชื่อมสัมพันธ์กันแล้วทีนี้ก็ถึงเวลาเรียนนะครับ"

หลังจากที่เรียนต่อเนื่องนานหลายชั่วโมงจนถึงเที่ยงตรงพวกเขาจึงได้พักผ่อนกินอาหารเติมแรงให้พร้อมในการฝึกภาคปฏิบัติรอบบ่าย

เหมือนโชคเข้าข้างเลยเนอะที่พลเอกลักซ์จะมาเป็นผู้สังเกตการณ์ในการฝึกช่วงบ่าย ถ้าเป็นไปได้เราต้องหาโอกาสแตะตัวของเธอ

ขณะที่ตักอาหารเข้าปากเธอก็ยังคิดถึงแผนการล่วงหน้าตลอดเวลาจนเพื่อน ๆ ของเธอเห็นแล้วกลุ้มใจแทน

"หน้าตรง !" เสียงดังลั่นจากอาจารย์หนุ่มทำให้นักเรียนยืนเรียงแถวเป็นระเบียบอย่างกับฝึกทหาร

"หลังจากนี้จะเป็นการทดสอบสมรรถภาพร่างกายระดับสูงและต่อด้วยการประลองกับครูฝึก เริ่ม !"

เริ่มด้วยการวิ่งระยะทางหนึ่งร้อยเมตร ห้าร้อยเมตรและหนึ่งกิโลเมตรโดยจะมีครูฝึกอีกหลายคนมาช่วยกันจับเวลาและจดบันทึกไว้

"สุดยอดไปเลยเนอะ" เสียงซุบซิบของเพื่อนร่วมชั้นที่ได้เห็นความสามารถของฟรานในการวิ่งที่รวดเร็วเกินคำว่านักเรียนไปไกลโข โดยระยะหนึ่งร้อยเมตรฟรานใช้เวลาเก้าวินาทีแต่หากใช้เวทมนตร์ด้วยแล้วเธออาจจะใช้เวลาน้อยกว่าเจ็ดวินาทีด้วยซ้ำ

"ต่อไปยกน้ำหนัก"

ยกน้ำหนักจากแค่ไม่กี่สิบจนไปถึงหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัมซึ่งฟรานก็ทำได้ในน้ำหนักสูงสุดแม้มองภายนอกเธอจะดูไม่ได้แข็งแรงอะไรแต่เมื่อได้ออกแรงก็จะได้เห็นกล้ามเนื้อทั่วร่างที่กำลังเต็งตรึงชัดเจน

จากนั้นก็ต่อด้วยการว่ายน้ำเป็นระยะทางหนึ่งกิโลเมตร ขว้างหอก วัดแรงหมัด สารพัดการทดสอบจนไปถึงการกระโดด

"ดีมากอาจารย์จะให้พักสักสิบห้านาทีแล้วเราจะเริ่มการประลองกับครูฝึก"

"อาจารย์คะ?" ฟรานยกมือตอบกลับเสียงดังขณะที่คนอื่นกำลังเหนื่อยหอบแต่เธอยังยืนได้สบาย ๆ

"จะว่าอะไรไหมคะถ้าฟรานอยากจะประลองเลย?" แววตาอันมุ่งมั่นของเธอจ้องเข้าในดวงตาของผู้เป็นอาจารย์วัยกลางคนเสียจนไม่อาจปฏิเสธได้

"ถ้าท่านว่าอย่างนั้นผมก็คงไม่ขัด"

"ถ้าอย่างนั้นฟรานขอคู่ประลองเป็นพลเอกลักซ์นะคะ" การที่ฟรานเอ่ยเช่นนั้นทำให้ทั้งนักเรียนและครูฝึกตกใจจนต้องเพ่งมอง

"เป็นเกียรติจริง ๆ นะคะที่ได้เป็นคู่มือให้กับท่านผู้กล้า" ลักซ์เดินตรงเข้ามาหายิ้มทักสงสัยในจุดประสงค์ของฟราน

"ฟรานไม่เกรงใจแล้วนะคะ" เธอคว้าดาบเวทที่วางเตรียมไว้พุ่งจู่โจมสายฟ้าแลบ

ถ้าเป็นพลเอกลักซ์เราก็น่าจะใช้แรงทั้งหมดได้ไม่ต้องออมมือ

"ความเร็วยอดเยี่ยม ความแม่นยำก็เช่นกันแต่ก็ยังขาดในเรื่องของการตัดสินใจ" แส้ของลักซ์กำลังรัดใบดาบของฟรานจนดึงกลับไม่ได้

"ขอบคุณที่แนะนำค่ะ" เธอใช้แรงจากแส้ของลักซ์กระโดดถีบและใช้จังหวะที่ลักซ์ป้องกันใบหน้ากระชากดาบกลับคืนมา

การประลองยังคงดำเนินไปกว่าสิบนาทีขณะที่มีครูฝึกและนักเรียนเฝ้ามองจนกระทั่งฟรานเริ่มหมดแรง

"พอหรือยังคะท่านฟราน?" ลักซ์ยื่นมือลงต่ำเพื่อช่วยดึงฟรานที่นั่งทรุดกับพื้นเป็นการให้เกียรติ

"ค่ะ..." เธอส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนุกสุขใจรับน้ำใจจากลักซ์

เสร็จล่ะ ดูเหมือนจะได้ข้อมูลเพิ่มอีกแล้วสิแต่ก็ยังไม่ชัดก็เหลือแค่นัตโตะเท่านั้น เพียงแค่ได้สัมผัสมือของลักซ์เธอก็ได้ข้อมูลที่ต้องการมาหมดแล้วช่างเป็นพลังที่ดีอะไรเช่นนี้

 

 

 

 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.