บทที่ 5...1/3

ขอเพียงรักนี้นิรันดร

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่ 5...1/3

ศนิเพิ่งเข้าใจ เพราะผลึกกาล ธามิณีเลยถูกดึงมาหาเขา เหมือนที่เขาถูงดึงไปหาเธอ ผลึกกาลถูกใช้เพื่อปกป้องเขาโดยที่ธามิณีไม่รู้ตัว ทำให้ธามิณีถูกใช้พลังชีวิตไปด้วย เขาไม่เคยรู้เลยว่าผลึกกาลกำลังเชื่อมความเป็นความตายระหว่างเราสองคนไว้

ร่างสูงเดินมาหาธามิณีแล้วย่อลงก่อนจะยื่นแขนออกไปกระหวัดอุ้มร่างเพรียว แต่กลับถูกหญิงสาวยกมือมาดันอกไว้ ศนิถอนใจไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ถึงเข้าใจอะไรยากนัก

          “คุณจะทำอะไรน่ะ” ธามิณีถามด้วยความตกใจ เธออุ่นใจเมื่อใกล้เข้าก็จริง แต่เธอก็ต้องดูแลตัวเองด้วย

          “รักษาเธอ ตอนนี้ฉันเองก็ทำได้แค่ประคองตัวไว้จนกว่าจะเช้า ตอนนี้หากเธอไม่อยากแข็งตายก็กอดฉันไว้”

          ธามิณีส่ายหน้าพลางกอดอก ศนิถอนใจอีกรอบเมื่อได้รับสายตาเหมือนเขาเป็นพวกโรคจิตไปเสียแล้ว ทั้งที่ธามิณีกำลังจะหนาวตายในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ช่างเป็นมนุษย์ที่ไม่รู้ว่าวันตายของตัวเองอาจเกิดขึ้นในวันนี้ หากพูดแล้วไม่ฟัง เขาคงต้องใช้วิธีอื่น อย่างเช่นการทำโดยไม่ต้องขอ

          ธามิณีเพิ่งเข้าใจคำว่า ‘วาร์ป’ กับตัวเอง เมื่อเสี้ยววินาทีก่อนเธอนั่งอยู่บนโซฟา แต่แล้วเสี้ยววินาทีต่อมาเธอกลับมานอนอยู่บนเตียง ผ้าห่มราวกับมีชีวิต ไม่สิ มันไม่ได้มีชีวิต แต่ผู้ชายคนนี้เพียงขยับนิ้วชี้ไปที่ผ้าห่ม ผ้าห่มก็กางออกแล้วโรยตัวลงมาอยู่บนตัวเธอ แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาธามิณีก็ได้คำตอบว่าผ้าห่มไม่ได้ช่วยให้เธออุ่นได้เลย เธอมองเขาที่นอนห่างไปเพียงคืบเดียว สายตาของเขาบอกชัดแทนคำพูดว่า

...เห็นไหมล่ะว่าผ้าห่มช่วยให้เธออุ่นไม่ได้

          ศนิขยับตัวเลื่อนไปใกล้ธามิณีแล้วกอดเธอไว้เต็มอ้อมแขน ร่างของหญิงสาวแทบจะจมเข้าไปในอ้อมกอดนั้น เธอดิ้นอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของเขา แต่กลับถูกเขามองมาด้วยสายตาดุๆ ทั้งที่เธอแทบไม่หลุดออกไปจากอ้อมแขนของเขาและผ้าห่มด้วยซ้ำ ตั้งแต่เกิดมานอกจากพ่อแล้ว เธอไม่เคยยอมให้ผู้ชายคนไหนมากอดได้ง่ายๆ แล้วเขาเป็นใคร แม้แต่ชื่อยังไม่เคยจะบอกมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้

          “นอนนิ่งๆ ถ้าง่วงก็หลับเสีย ฉันแค่กอดเธอไว้ ไม่ได้ทำอะไรหรอก”

          แล้วธามจะไปหลับทั้งที่ถูกคุณกอดได้ยังไงกันล่ะ...ธามิณีอยากตอบไปแบบนี้ แต่พอเงยหน้าไปเห็นดวงตาของเขาที่กำลังมองมาพอดี หัวใจบ้าๆ ก็ดันเต้นแรง ทำได้แค่พูดเสียงเบาๆ

          “ธามคง...”

          “พ่อของเธอฝากให้ฉันดูแลเธอ” ศนิจงใจพูดแทรก เขาไม่เคยช่วยให้มนุษย์คนไหนรอดชีวิตด้วยวิธีนี้มาก่อนเหมือนกัน ความรู้สึกแปลกๆ ย่อมมี เพียงแต่เขาไม่อยากไปสนใจนักเพราะที่ทำอยู่ตอนนี้ก็เพื่อทำให้ธามิณีรอดตายเท่านั้น อายุขัยของเธอไม่ได้หมดลงที่วันนี้ ความหนาวจนเหมือนร่างอยู่ในน้ำแข็งทั้งเป็น จนกระทั่งตายเป็นอย่างไร เขาเคยรู้สึกมาแล้ว เพียงแต่เขาไม่มีวันตาย ฉะนั้นธามิณีรอดชีวิตไม่ได้หรอกหากเขาไม่ช่วย

“จงเชื่อฉันว่าทำแบบนี้จะเป็นทางรอดทางเดียวของเธอ”

          ธามิณีอยากจะเถียง แต่ความอุ่นที่ผ้าห่มไม่สามารถทำได้ในเวลานี้กำลังเป็นคำตอบว่าเขาพูดถูก เขาทำให้เธออบอุ่นได้ แม้อยากจะถามว่าทำไมเธอถึงหนาวเหมือนจะตายแบบนี้ ทว่าเพียงอ้อมกอดจากแขนทั้งสองข้างจากเขากลับทำให้บังเกิดความอบอุ่นและปลอดภัยจนหมดความกลัว ความกังวล แล้วค่อยๆ ง่วงจนไม่อาจฝืนลืมตาต่อไปได้ เธอเงยหน้ามองเขาก่อนจะปิดเปลือกตาลง หากเป็นเขาที่กอดเธอไว้ อันตรายใดๆ คงไม่มีวันเข้าใกล้เธอได้ เขาเป็นใครไม่สำคัญ ตอนนี้เธอแค่ต้องเชื่อใจเขาก็เท่านั้นเอง

          แสงสีม่วงจากผลึกกาลสว่างจ้าบนเตียงนั้น มีเพียงเขากับธามิณีที่เห็นได้เพราะเขาเป็นเจ้าของพลังอันแรงกล้านี้ ส่วนเธอเป็นผู้ที่ผลึกกาลเลือก สิ่งที่เขาได้รู้ในราตรีที่เกือบสังเวยด้วยชีวิต นั่นคือในวินาทีที่เขาหลั่งเลือด ผลึกกาลในหัวใจของธามิณีจะพาเจ้าของร่างมาช่วยเขา แม้ว่าเธอจะไม่รู้ตัว

การมาถึงของเธอทำให้พลังใดก็ตามที่โจมตีเขาสะท้อนกลับเพราะผลึกกาลสร้างเกราะป้องกันคล้ายฟองอากาศรอบตัวเขากับธามิณีไว้ นี่เองเหตุผลที่เขาเห็นแสงสีม่วงผสมสีฟ้าราวกับสายรุ้งที่เป็นวงกลม ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นผู้ทำขึ้นมา ทว่าผลที่ตามมากลับทำให้ธามิณีเกือบตายเพราะผลึกกาลเสียสมดุลจากการดึงพลังชีวิตของมนุษย์ออกมาด้วยในเวลานั้น

          “เธอเกือบตายเพราะมาช่วยฉัน เพราะฉะนั้นเธอห้ามตายเด็ดขาด”

          ภายใต้ความหลับใหลครานี้ของธามิณี กลายเป็นความกังวลของศนิ หากว่าในอนาคตเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก แล้วเขาช่วยเธอไว้ไม่ทัน ผลึกกาลที่ทำให้ธามิณีมีชีวิตจะกลายเป็นทำลายเธอทันที สวรรค์คงรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ธามิณีจะตายเพราะช่วยเขาในเวลาที่ตกอยู่ในอันตราย แม้เธอจะไม่รู้ตัวก็ตาม ในขณะที่เขาฆ่าเธอไม่ได้ ไม่ใช่เพียงเพราะรับปากมาสุไว้ แต่เพราะเธอกลายเป็นผู้ช่วยชีวิต เขาควรแก้ไขสิ่งนี้อย่างไรดี ทำไมชีวิตของมนุษย์ถึงได้เปราะบางจนน่าโมโห ในขณะที่เขาต่อให้อยากหายไปจากโลกใบนี้กลับทำไม่ได้

 

          อุ่น...สบายจนทำให้มีรอยยิ้มบางๆ อยู่ที่ริมฝีปากของธามิณี การหลับสนิทกระทั่งร่างกายเพียงพอเพราะไม่สะดุ้งตื่นในตอนรุ่งสางอย่างทุกวันที่ผ่านมา ทำให้เธอลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่น เธอสูดอากาศเข้าไปจนเต็มปอด ช่างเป็นเช้าอันสดใส จนกระทั่งเธอนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องนอนของตัวเอง เช่นเดียวกับเตียงที่นอนมาตลอดทั้งคืน

หญิงสาวก้าวลงมาจากเตียงเพิ่งรู้ว่าใส่เสื้อไหมพรมตัวยาวไว้อีกตัว แต่...เธอใส่เสื้อตัวนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้เธอจะอยากถอดออกไป แต่อากาศที่หนาวทำให้เธอต้องใส่เสื้อตัวยาวต่อไปอีกสักหน่อย เจ้าของคงไม่ว่าอะไรกระมัง

          ภายนอกบานกระจกเต็มไปด้วยหิมะที่กำลังโปรยปราย จนทำให้หิมะที่พื้นด้านล่างขาวโพลนและกองสูงขึ้นเรื่อยๆ ความหนาวทำให้ธามิณีกระชับเสื้อแนบตัวยิ่งกว่าเดิม แต่ว่าความหนาวที่รู้สึกในตอนนี้ไม่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังจะแข็งตายอย่างเมื่อคืน เขาช่วยให้เธอรอดตายอีกแล้วสินะ ว่าแต่ที่นี่มันที่ไหนกัน ประเทศไทยต่อให้หนาวแค่ไหนคงไม่มีหิมะตกจนขาวโพลนไปสุดลูกหูลูกตาแบบนี้แน่

          “ตื่นแล้วหรือ”

ธามิณียกมือทาบอกเพราะตกใจ ศนิเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็ตรงที่เขายื่นมือไปแล้วแนบหน้าผากของธามิณีที่มองมาตาปริบๆ พอจะขยับตัวหลบ มือของเขาก็ขยับห่างออกมาแล้ว เขาจะวัดไข้แค่นั้นเอง

“ตอนนี้เราสองคนอยู่ที่ไหนคะ แล้วที่นี่บ้านของใคร” ธามิณียิ้มให้เขาที่ทำหน้าราบเรียบอย่างกับแผ่นหิน แต่น่าสบายใจขึ้นตรงที่เขาไม่หน้าซีดแบบเมื่อคืนแล้ว

          “บ้านของฉันเอง ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งของนอร์เวย์”

          “ธามมานอร์เวย์โดยที่ไม่ต้องนั่งเครื่องบิน น่าเหลือเชื่อชะมัด”

ถ้าเป็นคนอื่นพูดว่าเธออยู่นอร์เวย์ ธามิณีคงไม่มีทางเชื่อ แต่เพราะเขาซึ่งทำทุกอย่างที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เธอจึงเชื่อ ถ้าไม่ติดว่าข้างนอกเต็มไปด้วยหิมะแล้วล่ะก็ เธอคงวิ่งไปสัมผัสอากาศของประเทศนอร์เวย์ แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ

“สุดยอด ไม่น่าเชื่อ คุณทำได้ยังไง”

          “ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เธอต่างหากที่เป็นฝ่ายมาหาฉัน”

          “ธามเนี่ยนะคะ” รอยยิ้มดีใจที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองก็ทำสิ่งพิเศษได้ราวกับความสดใสในเช้าวันนี้ของธามิณี “ธามทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะคะ ถ้าต่อไปธามอยากไปประเทศอื่นๆ อย่าง ญี่ปุ่น เกาหลี ธามต้องทำยังไงหรือคะถึงจะไปได้”

สายตาของศนิมองมาที่ธามิณี เธอซึ่งเป็นปริศนาในชีวิตอันยาวนานของเขา เขาใช้พลังลบความจำของเธอไม่ได้ แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้สามารถดึงให้เขาไปหาเพราะผลึกกาลที่เป็นของเขาเอง และก็เป็นผู้หญิงคนนี้เช่นกันที่มาหาเขาโดยที่ไม่รู้ตัว แล้วปกป้องเขา โดยที่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าทำอะไรได้บ้าง ความยุ่งยากสำหรับชีวิตแสนยาวนานของเขาเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

          “กินก่อนเถอะ เรื่องนี้ถ้าฉันได้คำตอบเมื่อไหร่แล้วค่อยบอกเธอ”

ธามิณียิ้มประจบเพราะอยากรู้คำตอบพลางนั่งลงบนเก้าอี้ที่เขาปลายตามองมา แต่พอนึกขึ้นได้เธอก็รีบถอดเสื้อตัวยาวคืนเขาไป

          “ใส่ไว้เถอะ ชุดนอนของเธอมันก็ดูเรียบร้อยดี แต่มันค่อนข้างบาง” ศนิตอบไม่เงยหน้ามอง เมื่อคืนเขาไม่ทันได้สังเกตนัก แต่ตอนนี้แสงสว่างทำให้เห็นว่าเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นที่เธอใส่คงไม่ค่อยเหมาะกับสภาพอากาศที่นี่สักเท่าไหร่

          ธามิณีรีบใส่เสื้อตัวยาวเมื่อชักจะหนาว แม้ภายในห้องนี้จะมีฮีตเตอร์ แต่เธอก็ยังหนาว ถึงแม้จะไม่ทรมานเท่าเมื่อคืนก็ตาม เธอคงแค่ไม่คุ้นเคยกับอากาศแบบนี้กระมัง

          ธามิณีหยิบขนมปังมาทาแยมกับเนย ตอนนี้เธออยากกินของหวานๆ แต่การที่เห็นเขาหยิบช้อนมาตัดซุปข้นๆ แล้วปาดลงบนขนมปัง ทำให้เธอเกิดความสงสัยจนลืมตัวมองเขาแทบไม่วางตา ศนิรู้ตัวว่าถูกมอง แต่แปลกที่เธอคนนี้ไม่หลบสายตาของเขา

          “มองฉันทำไม คิดว่าฉันไม่ต้องกิน ไม่ต้องพักผ่อนหรือไง”

          “ค่ะ ธามนึกว่าคุณ...เอ่อ ถ้าธามพูดแล้วห้ามโกรธกันนะคะ” ธามิณีพูดเพื่อกันไว้ก่อน เผื่อเขาโมโหแล้วฟาดพลังใส่หรือวาร์ปให้เธอไปอยู่ข้างนอก เธอคงได้แข็งตาย พอเขาพยักหน้า เธอก็ไม่รอช้าพูดอย่างที่คิดไปทันที “ธามคิดว่าคุณเป็นเทพหรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ผี พอเห็นว่าคุณทำทุกอย่างเหมือนมนุษย์ก็เลยยิ่งไม่เข้าใจว่าคุณเป็นอะไรกันแน่ค่ะ”

          ในเมื่อธามิณีกล้าที่จะถาม ศนิมย่อมยอมตอบมนุษย์คนแรกที่มาช่วยเขาไว้ในคืนเดือนดับ ถ้าเธอไม่มา เขาคงแค่ต้องทรมานจากบาดแผลและความเย็นเข้ากระดูกจนกว่าแสงแรกของดวงอาทิตย์จะมาถึง เขาไม่ตาย แต่ทรมานจนเหมือนตายได้

          “เป็นเทพกึ่งมนุษย์ที่เคยเป็นเทพ ฉันแค่ไม่มีวันตาย ไม่เหมือนมนุษย์ที่สักวันก็ต้องตาย”

          ธามิณีฟังแล้วทึ่งเมื่อ 4 ปีก่อนกับในตอนนี้ ใบหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยเพราะเป็นอมตะนั่นเอง เขาไปที่ไหนก็ได้บนโลก เขามีพลังสำหรับปกป้องตัวเองและปกป้องเธอ เขาช่างโชคดีจัง

          “ถ้าอย่างนั้นก็ดีน่ะสิคะ”

          สีหน้าดีใจของธามิณี ทำให้ศนินึกสงสัยว่าการที่เขาเป็นเขาในตอนนี้ควรดีใจตรงไหนกัน

          “ดียังไง”

          “คุณไม่ตายง่ายๆ คุณไปไหนมาได้แบบวาร์ปอะไรอย่างนี้ แล้วคุณก็ดูไม่น่าขัดสนอะไร คุณมีพลังที่มนุษย์ธรรมดาๆ ไม่มี การมีชีวิตที่ไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร มันไม่ดีหรอกหรือคะ” ธามิณีถามเมื่อเห็นสีหน้าของเขาดูเหมือนไม่ดีใจที่ได้สิ่งพิเศษแบบนี้สักเท่าไหร่

          “มันจะดีในตอนแรก แต่เมื่อนานไป เธอจะไม่คิดแบบนี้หรอก”

ตอนที่ศนิถูกส่งมาเป็นเทพกึ่งมนุษย์ แม้จะมีผลึกกาลครึ่งหนึ่งในร่าง แต่เขากลับใช้พลังนั้นไม่ได้ พระสูรยะเป็นผู้ทำแบบนั้นเพื่อแลกกับการที่บุตรชายต้องตามล่าวิญญาณร้ายถึงพันดวง เขาถึงจะได้ใช้พลังจากผลึกกาลดังเดิม เขาอยู่ในสภาพถูกทำร้ายเกือบตาย แต่ก็ไม่ตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขามีสิทธิ์ได้ใช้พลังจากผลึกกาลหลังจากผ่านไปเกือบ 100 ปี เหตุผลเดียวที่พระสูรยะทำแบบนั้นเพราะรู้แล้วว่าเขาจะทำหน้าที่ได้มากกว่าเดิมหากได้ใช้พลังจากผลึกกาล ไม่มีความหวังดีหรือห่วงใยใดๆ มีเพียงหน้าที่ของเขาและประโยชน์ที่พระสูรยะเห็นชอบเท่านั้น

 

ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ

อัมราน_บรรพตี

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.