อุ่นในไอรัก บทที่ 2 หนึ่งความประทับใจ

อุ่นในไอรัก

-A A +A

อุ่นในไอรัก บทที่ 2 หนึ่งความประทับใจ

เมื่อหัวใจถูกสั่นคลอน จะทนแรงต้านทานได้หรือไร

 

ฉันเก็บสมุดหนังสือใส่กระเป๋านักเรียนขณะที่ครูเดินออกจากห้องหลังหมดคาบสุดท้ายของภาคเช้า กลุ่มของเมมี่ที่เปิดตัวเป็นศัตรูกับครูดาด้าเมื่อคาบโฮมรูมยังคงปัดแก้มเติมปากกันอย่างเอื่อยเฉื่อย ฉันลุกจากโต๊ะเพื่อจะออกจากห้องก็พอดีจินนี่เพื่อนข้างบ้านที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมจนปัจจุบันก้าวฉับๆ เข้ามาพอดี

 

“โชคดีนะที่เรียนห้องข้างแกพอดีจะได้ไม่ต้องเดินตามหากันให้วุ่น” เธอพูดพลางโบกพัดพลาสติกรูปตัวการ์ตูนไปมาเพื่อคลายความร้อน เหงื่อเกาะพราวตามใบหน้าเล็กๆ สองแก้มขาวเนียนกระจายสีกุหลาบคงเกิดจากอากาศร้อน ดวงตาสุกร์ใสเปล่งประกายเมื่อเห็นภาพร่างของฉันบนโต๊ะ

 

“เฮ้ยแกมันไม่เปียกหรือไง ฉันคิดว่าจะไม่เห็นมันแล้วนะ เอาล่ะรีบเก็บซะ และไปกินข้าวกัน นี่อย่าบอกนะว่าไอ้ที่นั่งโง่ๆ อย่างนี้แกยังหาเพื่อนไม่ได้ นึกแล้วว่าคนอย่างแกน่ะมันหาไม่ได้หรอก แกยอมแพ้ซะเถอะไอ้กระท่อมปลายนา” จินนี่ยิ้มกริ่มอย่างผู้มีชัย พร้อมกับโยกตัวไปมาอย่างอารมณ์ดี

 

เสียงหัวเราะคิกดังมาจากหนึ่งในกลุ่มของเมมี่ทำให้ฉันรู้สึกโกรธนิดๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขึงตาใส่ตัวต้นเหตุที่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างๆ ยอมรับว่าฉันยังไม่ชินที่ถูกล้อเลียนจากเพื่อนใหม่ในห้อง หลังจากที่ทำความรู้จักกับมอคค่าเพียงไม่นานทุกคนก็รู้จักชื่อยายอ้วนประจำห้องกันหมด หลายคนมองฉันอย่างขบขัน บางคนถึงกับลงทุนนั่งวิภากษ์วิจารณ์ชื่อของฉันและรูปร่างกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาทำราวกับว่าฉันเป็นเพียงอากาศธาตุ ฉันได้แต่นั่งฟังพวกเขานินทาตัวเองอย่างขมขื่น คงมีไม่กี่คนที่ไม่ร่วมวงถกเรื่องของฉัน หนึ่งในนั้นก็คือคนร่างใหญ่ที่เอาแต่นั่งเพ่งหนังสือเล่มหนา มอคค่าและนีโอ มีแค่นั้นจริงๆ ฉันเผลอถอนใจออกมาเมื่อนึกถึงบรรยากาศในชั่วโมงเรียนที่เพิ่งผ่านไป

 

“แกคิดว่าคนอย่างฉันมันมนุษยสัมพันธ์ดีนักหรือไง” ฉันพูดเสียงเศร้า แต่ให้ตายเถอะมันไม่ทำให้ยายจินนี่สงสารฉันเลย แต่กลับหัวเราะลั่น

 

“ฉันว่าแล้ว” จินนี่ตบลงบนอกดูมๆ ของเธอป้าบๆ อย่างถูกใจ

 

“เพราะฉันรู้ว่าแกน่ะเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ยอดแย่ ฉันเลยเสียสละเวลาล่าผู้ชายมาหาแกนี่ไงล่ะ” จินนี่ลอยหน้าลอยตาตอบทำให้ฉันรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ

 

“โถ่เอ๊ย ยังไงฉันก็หาได้ตั้งสองคนแล้วล่ะย่ะ” ฉันแอบไขว้นิ้วในใจพลางยัดสมุดร่างภาพใส่กระเป๋านักเรียนแล้วยกขึ้นสะพาย

 

“โอ้วโห! นี่แกหาได้ตั้งสองคนเลยเหรอเนี่ย อย่างนี้มันต้องฉลองกันหน่อยแล้ว” ไม่พูดเปล่าเจ้าหล่อนคว้าแขนลากฉันวิ่งออกจากห้องลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ฉันได้แต่วิ่งหัวสั่นหัวคลอนตามไปอย่างไม่มีทางเลือก

 

เราทั้งคู่เดินมายังโรงอาหาร เสียงพูดคุยของนักเรียนนับร้อยดังเซ็งแซ่ โต๊ะภายในโรงอาหารถูกจับจองจนเต็ม แถวตามร้านข้าวสั้นยาวตามความอร่อยของแม่ค้า จินนี่ชวนฉันไปต่อแถวยังร้านตามสั่งที่แถวไม่ได้ยาวเหมือนหลายร้าน แน่ล่ะว่าเราทั้งสองจะต้องรีบกินให้ทันก่อนเวลาเข้าเรียนภาคบ่าย ฉันไม่คิดมากเรื่องรสชาดอาหารอยู่แล้วจึงเดินตามเธอไปอย่างไม่เกี่ยงงอน

 

“แกไปซื้อน้ำ แล้วไปหาที่นั่งเถอะเดี๋ยวฉันจะซื้อข้าวให้แกเอง” จินนี่หันมาบอก ฉันพยักหน้ารับแล้วจึงเดินออกจากแถวตรงไปต่อแถวยังร้านน้ำที่อยู่ไม่ไกล

 

“เฮ้! ปลายนาเธอนั่งตรงไหนน่ะ” ฉันหันไปตามเสียงก็เห็นมอคค่าเดินด้วยท่าทางสบายๆ ตรงมา รอยยิ้มละมุนกระจายเต็มใบหน้าทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลาย

 

“ยังไม่มีเลย” ฉันตอบพลางส่งยิ้มให้กับเพื่อนใหม่คนแรกของฉันอย่างดีใจ เหมือนว่ามอคค่าจะชะงักไปนิด แต่เพียงเสี้ยวนาทีที่ฉันสัมผัสได้และดูเหมือนว่าเขาจะรับรู้ความผิดปกตินี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงชวนคุยต่อทำให้ฉันปัดความรู้สึกแปลกๆ ของตัวเองทิ้งไป

 

“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นไปนั่งกับเราไหมล่ะ นั่น เรานั่งโต๊ะนั้น” ฉันมองตามเรียวนิ้วขาวไปยังโต๊ะที่เขาชี้พลางลังเล เหมือนว่าเขาสังเกตฉันอยู่ก่อนแล้วจึงถามขึ้น

 

“ไม่สะดวกเหรอ”

 

“เรามากับเพื่อนอีกคนน่ะ เรากลัวว่าเธอจะไม่สะดวก” ฉันพูดอย่างเกรงใจแต่เขากลับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาสุกใสคู่นั้นเปล่งประกายจนฉันตาพร่า

 

“สะดวกซิ เพราะเรานั่งคนเดียว” ฉันหันไปทางโต๊ะที่เขาวางกระเป๋าจองไว้แล้วก็ขมวดคิ้ว ใครอีกคนที่นั่งอยู่ก่อนลุกขึ้นในมือมีจานข้าว ส่วนสูงเกินใครกอบกับสายตาเฉยเมยใต้แว่นทำให้ฉันจำเขาได้ทันที เพื่อนร่างใหญ่ที่ฉันไม่รู้จักชื่อของเขานั่นเอง ฉันสบเข้ากับดวงตาคู่คมอย่างไม่ตั้งใจจากนั้นเขาก็หมุนตัวจากไป ฉันมองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ กลืนหายไปกับผู้คน

 

“เขาอิ่มแล้ว พวกเธอไปนั่งได้ วานซื้อน้ำให้เราด้วยแล้วกันนะ เราเอาแดงมะนาวโซดา เดี๋ยวไปซื้อข้าวก่อน” ฉันหันไปทางมอคค่าก็ปะทะเข้ากับรอยยิ้มของเขา เขายิ้มใส่ตาฉันอีกแล้ว หมอนี่ช่างขยันยิ้มเสียจริงๆ เขาไม่รู้หรือไรว่ามันทำให้หัวใจฉันเต้นผิดจังหวะ ฉันพยักหน้าเร็วๆ เขาจึงหมุนตัวจากไป

 

ฉันค่อยๆ ประครองน้ำสามแก้วมาวางบนโต๊ะไม้ที่เชื่อมต่อกันกับเก้าอี้ไม้ตามโรงอาหารของโรงเรียนทั่วไป เพียงอึดใจจินนี่ก็ถือจานข้าวมาวางตรงหน้าเมื่อฉันนั่งเรียบร้อย ไม่นานมอคค่าก็ตามมา เขาเลือกที่นั่งข้างๆ ฉันทำให้จินนี่มองฉันอย่างล้อเลียน ฉันแซ่งเมินสายตาของเพื่อนแล้วแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน ไม่นานทั้งสองก็คุยกันอย่างถูกคอ

 

ด้วยพื้นฐานนิสัยของจินนี่นั้นเป็นคนร่าเริง เข้ากับคนง่าย ดังนั้นเธอจึงเป็นตัวเชื่อมระหว่างฉันกับเพื่อนๆ เสมอ กับมอคค่าก็เช่นกัน นั่นทำให้อาหารมื้อแรกของฉันกับเพื่อนใหม่นั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ดี

 

“ขอนั่งด้วยได้ไหม” เสียงนุ่มตามแบบฉบับของใครคนหนึ่งดังขัดจังหวะการคุยของพวกเรา จานเปล่าทั้งสามยังวางตรงหน้าของทุกคน ฉันชะงักมือที่กำลังใช้หลอดคนน้ำแข็งในแก้วเล่น ผู้มาใหม่ถือวิสาสะนั่งข้างจินนี่ เธอหันไปมองแล้วส่งยิ้มกว้าง แต่ฉันขมวดคิ้วมุ่นอย่างแปลกใจ เสียงหัวเราะเมื่อครู่เงียบลงฉับพลัน บรรยากาศชวนอึดอัด ฉันลอบมองคนข้างตัวก็เห็นเขากำลังจ้องตากับผู้มาใหม่อย่างเอาเรื่อง ฝ่ายนั้นส่งยิ้มกวนๆ แล้วก็เบนสายตามาทางฉัน

 

“สวัสดี ฉันชื่อนีโอเธอชื่ออะไร” เขาเปิดบทสนทนาทำลายความเงียบ ดวงตากลมโตจ้องหน้าฉันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดขัดเขินอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นาทีนี้ฉันมัวแต่ประหม่าเลยไม่ได้นึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องมาถามชื่อของฉัน ทั้งๆ ที่เพื่อนเกือบทั้งห้องรู้จักชื่อฉันกันหมด แต่อย่างว่าแหละฉันมักจะหลงลืมเมื่อตัวเองได้รับความสนใจหรือกลายเป็นจุดเด่นอย่างตอนนี้

 

“ปะ-ปลายนา” ปฏิกิริยาทางร่างกายของฉันมันช่างไม่สอดคล้องกับสมองเสียจริง เมื่อหลุดปากบอกชื่อก็นึกอายขึ้นมาทันที ‘นี่เขาจะหัวเราะเยาะหรือเปล่านะ’ รอยยิ้มชวนมองของเขาทำให้ฉันเผลอจ้องอย่างเสียมารยาท

 

“ชื่อน่ารักจัง” คำชมที่หลุดออกจากปากคู่นั้นกอบกับเสียงนุ่มซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเขาทำให้ฉันถึงกับเผลออ้าปากค้างอย่างลืมตัว ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าหนุ่มฮอตประจำโรงเรียนชมว่าชื่อของฉันน่ารัก เขาเป็นคนแรกที่พูดประโยคนี้ ยกเว้นจินนี่ไว้สักคนเพราะยายนั่นรู้จักกับฉันตั้งแต่ฉันย้ายเข้าไปอยู่กับป้าแล้ว ส่วนมอคค่านั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะเขาก็ไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ที่หัวเราะตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อของฉันนั่นล่ะ ปลายเท้าถูกเหยียบไม่เบานั่นทำให้ฉันสะดุ้ง ปากที่อ้าค้างหุบฉับทันที นี่ฉันเผลอแสดงกิริยาน่าเกลียดต่อหน้าผู้ชายหน้าตาดีทั้งสองได้ยังไงกันนะ ฉันอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เมื่อสายตาสองคู่มองมาทางฉันเป็นจุดเดียว

 

“เอ่อ-เอ่อ” ฉันรู้สึกอึดอัดขัดเขินอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มือทั้งสองชื้นเหงื่อบีบกันแน่นอย่างทำอะไรไม่ถูก

 

“อะแฮ่ม เออคือ ขออนุญาตแนะนำตัวนะ เราชื่อจินนี่อยู่ห้องหนึ่ง นายเรียนห้องเดียวกับสองคนนี้เหรอ” เสียงใสๆ ของจินนี่ช่วยคลายบรรยากาศที่แสนกระอักกระอ่วนเมื่อครู่ลง

 

“ใช่” นีโอกับมอคค่าตอบพร้อมกัน แต่สายตาของทั้งคู่ไม่ได้ละจากหน้าฉันเลย มันยิ่งทำให้ฉันอึดอัด

 

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ นายชื่อนีโอใช่ไหม” จินนี่หันไปถามผู้มาใหม่ เขาพยักหน้าน้อยๆ แต่ไม่ละสายตาไปจากหน้าของฉัน ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆ และเหยียบเท้าจินนี่เพื่อขอความช่วยเหลือทันที

 

“โอ้ว! ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว เสียดายจังเลย เห็นทีพวกเราจะต้องไปแล้วล่ะ” จินนี่ยกข้อมือที่มีนาฬิกาเรือนจิ๋วขึ้นมาดู แล้วก็เลื่อนจานของเธอมาตรงหน้าของฉัน เธอเอื้อมมือมาหยิบแก้วน้ำของฉันพร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ พลางลุกขึ้น

 

“ขอตัวนะทุกคน ป๊ะยายกระ-เอ๊ยปลายนาไปกัน” พูดจบเจ้าตัวก็ไม่รอดูผลงานหมุนตัวไปโดยไม่เหลียวหลัง ฉันคว้าจานตรงหน้าวางซ้อนกันแล้วก็ลุกจากที่นั่ง ส่งยิ้มแหยๆ ให้กับทั้งคู่แล้วก็โกยอ้าวตามหลังยายจินนี่ไปติดๆ

 

เสียงสัญญาณเรียนคาบบ่ายดังขึ้น ฉันควงปากกาเล่นอย่างเบื่อหน่าย สายตามักจะวนเวียนตรงแถวหน้าอยู่บ่อยครั้งซึ่งเป็นที่นั่งของตัวต้นเหตุเดียวที่ทำให้ยายจินนี่ดึงดันที่จะขึ้นมารับฉันกลับบ้านหลังเลิกเรียน คำชมของนีโอยังคงวนเวียนอยู่ในหัว รอยยิ้มจริงใจของเขาทำให้ฉันที่ไม่เคยได้รับจากเพศตรงข้ามรู้สึกอุ่นอวลในอก ดวงตากลมโตที่ทอดมองฉันยังติดอยู่ในใจ คล้ายภาพฝันเมื่อร่างสูงเข้ามาในคลองสายตา ริมฝีปากหยักยกยิ้ม ฉันเผลอมองอย่างลืมตัว เสียงลากเก้าอี้ข้างตัวทำให้ฉันสะดุ้ง รีบเก็บสายตากลับมาทันที อุณหภูมิรอบตัวร้อนอย่างไม่มีสาเหตุ

 

ฉันชำเลืองมองคนที่ทรุดนั่งข้างๆ สายตาเฉยเมยใต้กรอบแว่นตวัดผ่านฉันไปอย่างไม่ใส่ใจ หนังสือเล่มหนาในมือของเขาวางลงบนโต๊ะ ปากที่จะอ้าเพื่อชวนคุยหุบฉับเมื่อสายตาคู่นั้นยังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือตรงหน้า ฉันลอบถอนใจอย่างเบื่อหน่าย มอคค่าเดินมายังโต๊ะของฉันพร้อมกับส่งยิ้มให้แล้วเอื้อมมือมาคว้าสมุดจดตารางเรียนไปอย่างหน้าตาเฉย

 

“ยืมหน่อยนะ” ฉันกำลังจะอ้าปากท้วงเขาก็หมุนตัวไปยังที่นั่งของตัวเองเสียแล้ว ฉันได้แต่ส่ายหน้าระอาใจแล้วหยิบหนังสือวิชาต่อไปขึ้นวางบนโต๊ะเมื่อครูประจำวิชาเข้าห้องมา

 

ตลอดบ่ายฉันไม่มีสมาธิในการเรียนเลย สมุดวิชาคณิตศาสตร์มีเพียงโจทย์ทั้งๆ ที่เพื่อนหลายคนเริ่มหาคำตอบกันไปหลายข้อแล้ว สายตาเจ้ากรรมของฉันมันคอยวนเวียนอยู่กับร่างสูงของนีโออยู่บ่อยครั้ง และที่น่าหงุดหงิดใจก็เห็นจะเป็นข้างที่นั่งของเขานั้นเมมี่ ได้ย้ายตัวเองมานั่งอย่างถาวร หลายครั้งที่ฉันเห็นคนทั้งคู่ยิ้มหัวเราะกันอย่างสนิทสนม นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกไม่พอใจ มันแปลกที่ทำไมฉันจะต้องรู้สึกไม่ชอบเมมี่ด้วยทั้งๆ ที่เราไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ แม้แต่หน้าของฉันยายนั่นยังไม่เคยมอง แล้วทำไมฉันจะต้องเคืองเมมี่เมื่ออยู่กับนีโอ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ฉันก็แอบสะดุ้งในใจ นี่คงไม่ใช่ฉันสนใจนายนีโออยู่หรอกนะ แล้วถ้าสนใจฉันจะทำอะไรได้กันเล่า รูปร่างของฉันมันเหมาะที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าไม่ใช่หรือไร

 

“ไม่สบายเหรอหน้าซีดๆ” หลังมือใหญ่ยกมาอังหน้าผากทำให้ฉันสะดุ้ง

 

“ปะ-เปล่า” ฉันเบนหน้าหลบ ความหงุดหงิดงุ่นง่านเมื่อครู่ค่อยมลายเมื่อมอคค่าทรุดนั่งข้างตัว เพิ่งสังเกตว่าเพื่อนในห้องเหลืออยู่ไม่กี่คน สายตาตวัดไปยังโต๊ะคู่หน้าก็พบกับความว่างเปล่า นี่ฉันมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปนานขนาดที่คนทั้งสองออกจากห้องก็ไม่รู้สึกเลยหรือไร แม้กระทั่งคนร่างใหญ่ที่นั่งข้างๆ ลุกไปตอนไหนฉันยังไม่รู้สึกเลย ฉันลอบถอนหายใจอย่างอัดอั้น

 

“เป็นไรเนี่ย” นิ้วของมอคค่ายกขึ้นคลึงหว่างคิ้วของฉัน ความอุ่นซ่านจากปลายนิ้วไหลสู่หัวใจ ความใกล้ชิดของเพื่อนใหม่ทำให้ฉันถึงกับทำอะไรไม่ถูก อาการขุ่นข้องเมื่อครู่แทนที่ด้วยความขัดเขิน

 

“ยังไม่กลับบ้านเหรอ” ฉันชวนคุยเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง พร้อมกับลากเก้าอี้ออกห่างเขาอีกนิด แต่ด้วยรูปร่างเทอะทะจึงทำให้ขยับลำบาก

 

“แล้วเธอล่ะ จะกลับตอนไหน” เขาย้อนถาม ดวงหน้าเปื้อนยิ้มโน้มเข้ามาใกล้ทำให้ฉันรู้สึกกระอักกระอ่วนพิกล

 

“รอจินนี่” เสียงเพลงโดไรเอม่อนดังขัดคำพูดที่เหลือ มืออวบอูมของฉันสอดเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา หน้าจอปรากฏรูปพ่อมดหนุ่มแห่งโรงเรียนเวทมนต์ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้กำลังส่งรอยยิ้มทักทายปะทะสายตาอย่างจัง ไม่ต้องบอกฉันก็รู้ว่าใครโทรเข้ามา ฉันกรอกเสียงลงไปเมื่อกดรับสาย

 

“ว่าไงแก”

 

“ไอ้กระท่อมแกกลับบ้านไปก่อนนะ พอดีพี่รหัสของฉันชวนกินข้าวน่ะ กว่าจะกลับคงดึก ถ้าแกไม่กล้ากลับก็โทรบอกให้พี่แกมารับ หรือไม่แกก็ชวนมอคค่ากลับเป็นเพื่อน” เสียงแจ๋วๆ ของจินนี่ดังมาตามสาย

 

“เดี๋ยวฉันโทรให้พี่มารับก็ได้ แกไปเหอะไม่ต้องห่วง”

 

“แต่ถ้าแกอยากมีอิสระแกก็ต้องลองกลับบ้านเอง แกลองเปลี่ยนเพื่อนร่วมทางดูเป็นไง” เสียงจินนี่เชิญชวนมันทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้น

 

“เอาล่ะเดี๋ยวจะต้องไปแล้ว มีอะไรก็โทรเข้ามาแล้วกัน บาย” จินนี่ตัดสัญญาณไปแต่ฉันยังคงถือโทรศัพท์เครื่องจิ๋วไว้ในมือ ไออุ่นจากมอคค่าที่ขยับเข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้ทำให้ฉันไม่กล้าขยับตัว

 

“ขอดูรูปหน้าจอหน่อยซิ” เขาก้มลงมองภาพหน้าจอที่ขึ้นรูปของฉันกับน้องสาวที่ถ่ายคู่กันเมื่อหลายปีก่อนอย่างสนใจ

 

“คนนี้ใครน่ะ” ปลายนิ้วชี้ไปยังมุมหนึ่งของภาพ ด้วยหน้าจอโทรศัพท์ค่อนข้างเล็กทำให้ฉันดูไม่ออกจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อมองคนในภาพให้ชัด จังหวะนั้นแก้มฉันชนเข้ากับจมูกของเขาที่หันมาพอดี เหมือนเวลาถูกแช่แข็ง ฉันได้แต่นั่งนิ่งราวถูกสาป จิตวิญญาณของฉันเหมือนถูกดูดเข้าไปในวังวนของตาคู่นั้นที่กำลังทอดมองมาด้วยประกายหวาน ความรู้สึว่าตัวเองเป็นคนสำคัญกระแทกใจอย่างแรง รู้สึกตัวเบาทั้งที่น้ำหนักก็ไม่ใช่น้อย ร่างกายอ่อนแรงเฉียบพลันแม้กระทั่งโทรศัพท์ร่วงจากมือฉันยังไม่รู้สึกตัว

 

“ขอโทษ” เสียงสั่นพร่าของมอคค่าเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงของฉันกลับมารวมกันอีกครั้ง ฉันกระพริบตาก่อนที่จะถอยห่างจากเขาเมื่อเขาก้มลงเก็บโทรศัพท์ของฉันขึ้นจากพื้นพลางส่งให้ ฉันเอื้อมมือสั่นๆ ไปรับ แต่พอจะชักมือกลับก็ถูกมือของเขารวบจับไว้แน่น ฉันเบิกตากว้างมองเขาอย่างตกใจ สติแตกกระจายอีกครั้ง ‘นี่เขาช่างขยันทำให้ฉันสติหลุดเสียจริง’ อุณหภูมิรอบตัวไต่ระดับความร้อนขึ้น นี่คงไม่ใช่ผลของภาวะโลกร้อนหรอกกระมัง แต่ก็น่าแปลกที่ฉันกลับรู้สึกร้อนวูบวาบเฉพาะใบหน้าเท่านั้น อาการอย่างนี้วิทยาศาสตร์จะอธิบายได้ไหมนะ

 

“เวลาเธอเขินน่ามองกว่าตอนที่เธอทำหน้านิ่งอีกนะ” นั่นไง คำพูดร้ายกาจของเขาทำให้ฉันทำหน้าไม่ถูกอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี จึงตัดบทโดยการก้มหน้าลงสำรวจรองเท้าเสียเลย ตอนนี้ชักร้อนไปทั้งตัวแล้ว นี่คงไม่ใช่อาการร้อนตัวหรอกนะ ถ้าได้น้ำเย็นๆ สักขันมาราดคงทำให้จิตใจสงบลงกว่านี้

 

“จ-จะกลับบ้านแล้ว” ฉันพูดตะกุกตะกักพร้อมกับดึงมือออกจากฝ่ามืออุ่นร้อนของเขา หัวใจเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกจากโพรงอก

 

“จินนี่ติดธุระไม่ใช่เหรอ ยังไงเดี๋ยวฉันไปสงนะ” ‘แน่ะ! นี่เขายังยื่นข้อเสนอน่าสนใจให้ฉันอีก ถ้ารีบรับมันจะน่าเกลียดไปไหมนะ’ ในขณะที่ฉันกำลังช่างใจอยู่นั้น มือของเขาก็เอื้อมไปยังกระเป๋านักเรียนของฉัน เพียงเสี้ยวนาทีในการตัดสินใจครั้งสุดท้ายฉันเอื้อมมือป้อมๆ ด้วยความเร็วสูงคว้ากระเป๋าของตัวเองก่อนที่มือของเขาจะเอื้อมถึงขึ้นสะพายแล้วก็เผ่นออกจากห้อง

 

“ไม่เป็นไรขอบคุณนะ พรุ่งนี้เจอกัน” ฉันหันมาพูดกับเขาเสียงสั่น ยอมรับว่ายังตื่นตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ คงจะดีกว่าถ้าฉันถอยมาตั้งหลัก มันคงวางตัวลำบากถ้าขืนอยู่กับเขา

 

“นี่ๆ รอก่อนซิ จำไม่ได้หรือไงว่าจินนี่แนะนำให้เธอชวนฉันกลับบ้านด้วยน่ะ” เขาตะโกนไล่หลังมา ฉันอยากจะเควี่ยงโทรศัพท์เฮ็งซวยในมือทิ้งเสียจริงๆ นึกโมโหเสียงแหลมๆ ของยายจินนี่ที่ดังลอดโทรศัพท์ออกมาจนทำให้เขาได้ยินบทสนทนาของฉันจนหมด

 

เสียงฝีเท้าของเขาดังอยู่ไม่ไกล นั่นทำให้ฉันรู้ว่าเขากำลังเดินตามฉันมาฉันจึงตัดสินใจออกวิ่ง แต่ด้วยน้ำหนักที่มากทำให้วิ่งยังไม่ถึงบันไดก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว ฉันจึงเปลี่ยนเป็นเดินเร็วๆ แทน

 

“ไม่ต้องไปส่งแล้ว เดี๋ยวกลับเอง” ฉันรีบปฏิเสธพลางเร่งจังหวะการเดินให้เร็วขึ้น

 

“ได้ไงล่ะ เธอไม่ต้องชวนเราก็ได้ เราอาสา เฮ่ยเราเต็มใจ” ประโยคหลังเขารีบเปลี่ยนเมื่อเห็นว่าฉันวิ่งลงบันไดไปโดยไม่ฟังคำของเขา

 

“อย่าวิ่งเดี๋ยวก็ล้มหรอก” เขาพูดไม่ทันขาดคำ ขาป้อมๆ ของฉันก็ก้าวผิดจังหวะส่งผลให้ฉันกลิ้งขลุกๆ ลงไปนอนกองกับพื้นอย่างหมดรูป โชคดีที่ใส่กางเกงขาสั้นไว้อีกชั้น ไม่งั้นเขาคงเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

 

“เป็นยังไง เจ็บไหม” มอคค่าถลาลงมานั่งลงข้างๆ ฉันค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง รู้สึกเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว แต่ที่เจ็บจนน้ำตาเล็ดก็เห็นจะเป็นแผลถลอกที่เข่ากับข้อเท้านั่นล่ะ

 

“เฮ้ย! เข่าเป็นแผลด้วย” สีหน้าตระหนกของมอคค่าทำให้ฉันรีบก้มลงมองเข่าข้างที่เจ็บทันที

 

“แผลถลอกนิดเดียว มะ-ไม่เป็นไร ตะ-แต่ข้อเท้าน่าจะแพลง” ฉันซูดปากด้วยความเจ็บเมื่อค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้น

 

“โชคดีนะที่ตกไม่กี่ขั้น แต่ไม่กี่ขั้นก็ทำให้เจ็บได้นะ ยิ่งอ้วนๆ อยู่ บอกแล้วว่าอย่าวิ่งก็ไม่เชื่อ งั้นไปนั่งตรงโน้นก่อนนะ” ฉันทำหน้าหยิกเมื่อได้ยินเขาว่าฉันอ้วน แต่พอวงแขนของเขาสอดเข้ารอบเอวหนาของฉันเพื่อช่วยพยุง นั่นทำให้ฉันรู้สึกขัดเขิน ร่างแข็งเกร็งขึ้นมาทันที

 

“อย่าเกร็งตัวดิ เอ้าค่อยๆ เดินนะ โอบเอวฉันไว้ด้วย เดี๋ยวก็ล้มหรอก” ไม่พูดเปล่าเขายังจับแขนของฉันไปโอบเอวเขาหน้าตาเฉย นี่ถ้าข้อเท้าไม่แพลงฉันคงวิ่งหนีเขาไปแล้ว

 

“นั่งตรงนี้ก่อนนะ” ตรงนี้ของเขาคือม้าหินอ่อนหน้าอาคารเรียนที่ร้างผู้คน ฉันชำเลืองดูนาฬิกาบนข้อมือเห็นว่าห้าโมงครึ่งแล้วจึงไม่แปลกที่โรงเรียนจะค่อนข้างเงียบ

 

ร่มไม้หน้าอาคารทอดเงาลงมาบดบังแสงแดดจนหมด เหลือเพียงความเย็นสดชื่นจากลมยามเย็นที่พัดต้องกาย มอคค่านั่งคุกเข่าบนพื้น มือแข็งแรงของเขาถอดรองเท้าขาข้างที่เจ็บของฉันอย่างเบามือแล้วยกเท้าของฉันวางบนเข่าของตัวเอง

 

“นะ-นายจะทำอะไรน่ะ” ฉันชักเท้าหนีพลางปัดมือเขาออกพัลวัน สัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือของเขามันทำให้หัวใจของฉันเต้นผิดจังหวะอีกแล้ว

 

“จะนวดข้อเท้าให้ จะชักหนีทำไมเนี่ย ไม่งั้นกลับบ้านค่ำไม่รู้ด้วยนะ” สายตาห่วงใยของเขาที่ทอดมองฉันทำให้รู้สึกอุ่นอวลไปทั้งใจ มืออบอุ่นของเขาจับข้อเท้าของฉันมาวางบนเข่าของเขาแล้วเริ่มนวดคลึง

 

“แล้วทำไมต้องวางบนเข่าของนายด้วย” ฉันถามตะกุกตะกัก แก้มทั้งสองข้างคงแดงจัดจากอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นเป็นแน่ เขาเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าฉันแล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

 

“นี่อย่าบอกนะว่าเธอคิดว่าเราจะแต๊ะอั๋งเธอน่ะ ท่าทางเราดูน่ากลัวขนาดนั้นเล้ย แหมถ้าเป็นเธอที่คิดจะแต๊ะอั๋งเรานั่นก็ว่าไปอย่าง”

 

‘ผลัก!’ ฉันทุบกำปั้นบนไหล่ของเขาเต็มแรง จากอาการเขินเมื่อครู่กลายเป็นความโกรธขึ้นมาทันที นี่ฉันเป็นอะไรของฉันกันแน่นะ แค่วันแรกของการเรียนมันทำให้อารมณ์ของฉันแปรปรวนได้รวดเร็วขนาดนี้เลยหรือไร แค่อยู่ใกล้มอคค่า หรือเผลอสบตากับนีโอก็ทำให้หัวใจดวงน้อยปั่นป่วนได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ

 

“ไม่ต้องนวด-โอ๊ย!” ฉันสะดุ้งสุดตัวเผลอร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อข้อเท้าถูกดึงอย่างแรง

 

“เอาล่ะเดี๋ยวก็หาย” เขาเลื่อนรองเท้ามาตรงหน้าแล้วก็ลุกขึ้น รื้อกุกกักในกระเป๋าครู่ใหญ่ก็เดินตรงมานั่งคุกเข่าต่อหน้าฉันอีก ฉันรีบหดขากลับ มองเขาอย่างตื่นๆ

 

“ยื่นขาออกมาจะล้างแผลให้” เมื่อเห็นว่าฉันยังนิ่งเขาก็ถือวิสาสะคว้าเท้าของฉันวางบนเข่าจากนั้นก็เทน้ำจากขวดราดบนรอยถลอกบนเข่าของฉัน

 

“โอ๊ย!” ฉันเผลอร้องด้วยความแสบ จะชักขากลับก็ถูกมือทั้งสองของเขายึดไว้แน่น จึงได้แต่ขึงตาใส่เขาแทน

 

“อยู่นิ่งๆ “ น้ำเสียงดุของมอคค่าทำให้ฉันหยุดดิ้นทันที เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ดึงออกจากกระเป๋ากางเกงเช็ดน้ำข้างแผลและบริเวณขาที่เปียกจนแห้ง

 

“เอ้าเสร็จแล้ว” เขาพูดพร้อมกับเก็บทุกอย่างใส่กระเป๋านักเรียนของตัวเอง

 

“ขอบใจนะ” ฉันค่อยๆ สวมรองเท้า ขยับข้อเท้าก็รู้สึกเจ็บแต่ไม่มากแล้ว เสียงเพลงโดไรเอม่อนดังทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง ฉันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงนักเรียนหยิบโทรศัพท์เครื่องจิ๋วขึ้นมา ใบหน้าที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ฉันรู้สึกโล่งอก

 

“ค่ะพี่” ฉันกรอกเสียงลงไปเมื่อกดรับ จากนั้นคนปลายสายก็ถามถึงตำแหน่งที่ฉันอยู่เพื่อจะได้ขับรถมารับได้ ฉันตอบคำถามพี่ชายสองสามประโยคแล้วก็กดวาง ฉันชำเลืองมองมอคค่าที่นั่งพลิกสมุดไปมาอยู่ข้างๆ แล้วก็นึกอยากจะอธิบายให้เขาฟัง

 

“เมื่อกี๊พี่ชายโทรมา เขาจะมารับ นายจะกลับก่อนไหม”

 

“เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน” คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจ ยอมรับว่าแอบคาดหวังให้เขาอยู่ต่อเหมือนกัน เมื่อได้รับคำตอบที่พอใจฉันก็หันมาสำรวจหัวใจของตัวเองถึงความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับมอคค่าและนีโอ

 

นี่ฉันเป็นอะไรไป ฉันสนใจมอคค่าด้วยเหรอ แต่คงไม่หรอกเพราะเขาเป็นเพื่อนใหม่คนแรกของฉันเลยนะ มันอาจจะเป็นความรู้สึกของเพื่อนที่มีต่อเพื่อนละมั้ง แล้วนีโอล่ะเขาก็แค่เป็นคนแรกที่บอกว่าชื่อของฉันน่ารัก แต่คงไม่แปลกที่ฉันจะรู้สึกประทับใจเขา คงคล้ายแฟนขลับชอบดาราละมั้ง

 

“ยังเจ็บอยู่ไหม” ไม่ถามเปล่าแต่มอคค่าเอื้อมมือลงมาจับที่ข้อเท้าของฉันอย่างเบามือ สัมผัสจากอุ้งมืออุ่นทำให้ความคิดที่กระเจิดกระเจิงกลับเข้าที่อย่างรวดเร็ว

 

“ดีขึ้นแล้วล่ะ” ฉันพยายามชักเท้าหนีจากมือของเขา

 

“ประคบน้ำแข็งด้วยนะ” เขาเงยหน้าบอก ดวงตาแฝงความห่วงใญของเขาทอดมองฉันอย่างอ่อนโยนมือยังคงไม่ละจากข้อเท้า

 

“รู้แล้วน่า ปล่อยได้แล้วเราไม่เป็นไรสักหน่อย” เขาหัวเราะเบาๆ พลางลุกขึ้น เมื่อเสียงรถยนต์ดังใกล้เข้ามา

 

รถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่แล่นมาจอดหน้าอาคาร ประตูข้างคนขับเปิดออก ฉันเดินกระเผลกไปหาพี่ชายที่ลงจากรถมารับ

 

“ต้องไปหาหมอไหมเนี่ย” เขาทักพลางกวาดตาขึ้นๆ ลงๆ มองสำรวจฉันทั่วทั้งตัว

 

“ไม่ต้องหรอกแค่ข้อเท้าแพลงและเข่าถลอกนิดเดียวเอง กลับกันเถอะเดี๋ยวจะค่ำนะ” ฉันรีบตัดบทเพราะเห็นเขาจ้องมอคค่าเหมือนรอให้ฉันแนะนำ

 

“งั้นก็ขึ้นรถ มาเดี๋ยวพยุง” มือแกร่งโอบเอวกึ่งผลักกึ่งลากดันให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถเมื่อเห็นว่ามอคค่าจะเข้ามาช่วยก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ

 

“ขอบใจมาก กลับบ้านไปได้แล้วล่ะ” เขาตัดบทอย่างไร้เยื่อใยจนฉันต้องพูดขึ้นเพื่อให้มอคค่าสบายใจ

 

“ขอบใจนะมอคค่า พรุ่งนี้เจอกัน” ฉันส่งยิ้มให้ แล้วรับกระเป๋านักเรียนของฉันที่เขายื่นผ่านกระจกรถที่ฉันจงใจลดลงเพื่อคุยกับเขาเข้ามา

 

“ทำการบ้านด้วย” เขาบอกพร้อมกับหันไปยกมือไหว้พี่ชายที่กระชากประตูฝั่งคนขับเปิดออกแล้วหมุนตัวเดินไปอีกทาง

 

ฉันกอดกระเป๋าตัวเองแนบอกพลางเลื่อนกระจกรถขึ้นเมื่อพี่ชายเข้ามานั่งประจำที่คนขับเรียบร้อย แต่ก็ต้องอุทานอย่างตกใจเมื่อสารถีจำเป็นกระชากรถออกอย่างแรง ศีรษะของฉันพุ่งไปข้างหน้า ฉันได้แต่หลับตาปี๋รอรับแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้น รู้ดีว่าไม่กี่อึดใจหน้าผากคงกระแทกเข้ากับกระจกหน้าเป็นแน่ แต่แรงมหาศาลที่ฉันหวาดกลัวกลับแทนที่ด้วยมือใหญ่ที่ยื่นเข้ามากั้นหน้าผากฉันกับกระจกหน้าไว้ทันท่วงที พอตั้งหลักได้ฉันก็มองเขาอย่างเคืองๆ แต่อีกฝ่ายเพียงยักไหล่น้อยๆ แล้วหันมามองฉันอย่างคาดโทษ

 

ฉันถอนใจอย่างเซ็งๆ ไม่นานคนข้างตัวคงเริ่มตั้งคำถาม แต่ฉันกลับไม่อยากตอบอะไรสักอย่าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันสั่นคลอนหัวใจฉันเหลือเกิน นี่กว่าจะถึงบ้านคงอีกนานเพราะสภาพจราจรในตัวเมืองยามนี้คลาคล่ำไปด้วยยวดยานพาหนะ ทำยังไงฉันถึงจะเลี่ยงการตอบคำถามจากเขาได้นะ หรือว่าทำเป็นนอนหลับ หนีไปเลยหรือว่าจะเปิดประตูกระโดดหนี แต่ทางเลือกที่สองนี้เป็นไปได้ยากเหลือเกินเพราะรูปร่างอ้วนกลมกอบกับอาการเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัวอย่างนี้คงหนีลำบาก ดังนั้นฉันจึงควรเลือกทางแรกดีกว่า ว่าแล้วก็เอนหลังพิงเบาะตั้งท่าจะหลับตา แต่เสียงดุๆ ขัดขึ้นเสียก่อน ‘แย่แล้ว’

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.