บทที่๒๒

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่๒๒

อีกฝ่ายอึ้งไปอีกครั้ง แต่ก็ยังแกล้งถามอย่างงงๆ ว่า

“คุณพูดเรื่องอะไรครับ”

“หลานย่า” คุณนภาลัยมองหน้าหลานชายที่ถูกพลัดพรากไปเมื่อยี่สิบเจ็ดปีที่แล้ว ท่านยิ้มดีใจ

พรรณนิภาเดินมายืนตรงหน้าลูกชายที่ถูกพลัดพรากมานาน ก่อนจะบอกว่า

“ที่ตาป้องพูดเป็นเรื่องจริง...ตาป้องกับลูกเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน โดยที่ตาป้องเป็นแฝดพี่ แล้วลูกก็เป็นแฝดน้อง แล้ว...”

“แล้วพวกคุณก็คงเป็นคนใจร้ายที่ทิ้งผมข้างถังขยะสินะครับ” เป็นเอกพูดอย่างไม่พอใจ

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ทิ้งผมข้างถังขยะ’ ทั้งสี่คนนิ่งอึ้งไป ก่อนที่คุณนภาลัยจะถามว่า

“เมื่อกี้หลานย่าว่ายังไงนะ...เมื่อยี่สิบเจ็ดปีก่อนหลานย่าถูกทิ้งข้างถังขยะงั้นเหรอ”

“จะถามซ้ำทำไมครับ ในเมื่อพวกคุณก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าทำอะไรไว้เมื่อยี่สิบเจ็ดปีที่แล้ว” เขายังคงไม่พอใจ

“พ่อกับแม่ และก็คุณย่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย” พรรณนิภาพูดพลางร้องไห้พลางอย่างเสียใจ

แต่เป็นเอกกลับไม่ฟัง

“พวกคุณโกหก”

“นายฟังคุณพ่อคุณแม่ และคุณย่าอธิบายก่อนสิ” ปาณัทบอก

อีกฝ่ายหัวเราะหึๆ ในลำคอ

“ฟังคำอธิบายหรือว่าคำแก้ตัวล่ะ”

แล้วเสียงของนางเพียรก็ดังขึ้น

“นั่นเอ็งคุยอยู่กับใครน่ะ”

“ไม่มีอะไรครับแม่” เขาโกหก ก่อนจะหันกลับมาบอกทั้งสี่คน “พวกคุณกลับไปซะ แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก ไม่ต้องมาพูดแก้ตัวอะไรทั้งนั้น”

แล้วนางเพียรก็ฝืนลุกขึ้นเดินมาดูหน้าบ้านว่าลูกชายคุยอยู่กับใคร แต่ถูกลูกชายเอ็ด

“แม่จะลุกมาทำไมครับ ทำไมไม่นอน แม่ไม่สบายอยู่นะ”

“แม่ก็แค่อยากรู้ว่าเอ็งคุยกับใคร” แล้วนางก็หันไปมองทั้งสี่คนที่อยู่นอกบ้านอย่างแปลกใจ ก่อนจะประนมมือไหว้ “สวัสดีจ้ะ...พวกคุณเป็นใครจ๊ะ” แต่เมื่อเห็นปาณัทนางก็ถึงกับอึ้งไป เพราะหน้าตาเหมือนเป็นเอกมาก ราวกับเป็นคนเดียวกัน นางจึงถาม “ทำไมคุณถึงหน้าเหมือนเป็นเอกขนาดนี้จ๊ะ อย่าบอกนะว่า...”

“ใช่ครับ...ผมเป็นพี่น้องฝาแฝดกับเป็นเอก” ปาณัทตอบ

นางจึงถามต่อ

“ถ้างั้นก็แสดงว่าพวกคุณก็คือครอบครัวที่แท้จริงของเป็นเอกใช่ไหมจ๊ะ”

“ใช่ค่ะ พวกเราคือครอบครัวที่แท้จริงของเป็นเอก” พรรณนิภาบอกยิ้มแย้ม

ผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงพูดว่า

“ถ้างั้นก็เชิญเข้ามาคุยกันในบ้านก่อนสิจ๊ะ บ้านอาจจะแคบไปหน่อยนะจ๊ะ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ พวกเราแค่จะมาหาเป็นเอก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต้อนรับพวกเรา” คุณนภาลัยเศร้า

นางเพียรจึงอธิบาย

“ตั้งแต่เขารู้ความจริงว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของฉัน และฉันบอกเขาว่าฉันไปเจอเขาถูกทิ้งข้างถังขยะหลังตลาดสด ฉันเลยเก็บเขามาเลี้ยงเป็นลูก...เขาก็คิดมาตลอดว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาเป็นคนเอาเขามาทิ้ง และฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ”

แล้วพรรณนิภาก็บอกว่า

“ฉันกับสามีไม่ได้เป็นคนเอาลูกชายฝาแฝดอีกคนมาทิ้งนะคะ แต่ลูกถูกขโมยไปค่ะ...มีคนเข้าไปขโมยที่แผนกเด็กอ่อนที่โรงพยาบาล”

“ฉันยืนยันได้จ้ะ” คุณนภาลัยบอก “เมื่อยี่สิบเจ็ดปีที่แล้วลูกสะใภ้ของฉันคลอดลูกชายเป็นฝาแฝด ฉันก็ดีใจที่ได้หลานแฝด และฉันก็ตั้งชื่อจริงให้หลานทั้งสองคน ให้พยาบาลไปเขียนติดป้ายข้อมือ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...พอฉันกับลูกชายจะไปหาหลานที่แผนกเด็กอ่อนก็ได้ยินคุณหมอกับคุณพยาบาลพูดคุยกันว่าหลานชายฝาแฝดของฉันหายไปคนหนึ่ง คนที่ขโมยปลอมตัวเป็นบุรุษพยาบาลเข้าไปในห้อง

แล้วเป็นจังหวะที่พยาบาลที่เฝ้าแผนกเด็กอ่อนปวดท้องเข้าห้องน้ำ คนร้ายมันใช้โอกาสนั้นขโมยเด็ก แต่มันขโมยไปแค่คนเดียว...ฉันโมโหจะเอาเรื่องกับทางโรงพยาบาล แต่ลูกชายฉันห้ามไว้ และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นใคร ตาปราภพเองก็พยายามตามหาลูกชายฝาแฝดอีกคนของเขา แต่ตามหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ คนที่พบก่อนกลับเป็นตาป้อง เขาก็เลยไปบอกพ่อแม่ของเขา พ่อแม่ของเขาดีใจมาก...ตาป้องก็เลยไปขอซื้อเอกสารประวัติการรักษาตัวของเธอกับทางโรงพยาบาล จนรู้ที่อยู่ของเธอ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่คุณนภาลัยอธิบายเป็นเอกก็รู้สึกผิดที่มีอคติกับพ่อแม่แท้ๆ มากเกินไป จนได้รู้ความจริงทุกอย่างว่าพวกท่านไม่ได้เป็นคนเอาเขามาทิ้ง แถมยังตามหาเขามาตลอดอีกต่างหาก แสดงว่าพวกท่านยังคิดถึงลูกชายฝาแฝดอีกคนอยู่เสมอ

แล้วนางเพียรก็ยิ้มออก

“ที่แท้พวกคุณก็ไม่ได้เป็นคนเอาตาเอกมาทิ้ง แต่ตาเอกถูกขโมยมาทิ้ง เรื่องมันเป็นแบบนี้เอง ฉันต้องขอโทษพวกคุณด้วยนะคะ...ขอโทษพวกท่านสิตาเอก” นางหันไปบอกลูกชาย

“ไม่เป็นไรค่ะ” พรรณนิภาพูดยิ้มๆ

แล้วเป็นเอกก็ประนมมือไหว้พ่อกับแม่ และย่าที่แท้จริงอย่างอายๆ ระคนรู้สึกผิดเล็กน้อย

“ผมขอโทษนะครับที่เข้าใจพวกคุณผิด”

“ไม่เป็นไรลูก...” ปราภพเดินมาตบไหล่ลูกชายฝาแฝดอีกคน “เป็นใครก็คิดแบบลูกทั้งนั้นแหละ...แต่พ่อจะขอบอกลูกไว้อย่างหนึ่ง สมมุติว่าพ่อกับแม่ และก็คุณย่าจะไม่ได้รวยล้นฟ้า มีแค่พอกินพอใช้ ยังไงพวกเราก็จะไม่มีวันเอาลูกไปทิ้งให้ใครเลี้ยงเด็ดขาด ขอให้ลูกเข้าใจไว้เลย”

พรรณนิภาก็พูดว่า

“ลูกทั้งสองคนคือแก้วตาดวงใจของพ่อกับแม่ และพ่อกับแม่ไม่มีวันทำร้ายลูกทั้งสองคน ไม่มีวันไหนเลยที่พ่อกับแม่จะไม่คิดถึงลูก เฝ้าภาวนาทุกวันว่าวันหนึ่งพวกเราคงได้พบกัน แล้ววันนี้โชคชะตาก็ลิขิตให้พวกเรามาพบกันจนได้” พูดพลางร้องไห้พลาง

ส่วนคุณนภาลัยก็บอกว่า

“ย่าเองก็ดีใจที่รู้ว่าหลานยังมีชีวิตอยู่ ย่าคิดถึงหลานทุกวันเลย...ขอบคุณเพียรมากนะที่เลี้ยงหลานฉันมาอย่างดี”

“ไม่เป็นไรค่ะท่าน ตอนเป็นเอกยังเป็นทารก เขาเลี้ยงง่ายมากเลยค่ะ”

“จ้ะ ตาป้องก็เลี้ยงง่ายเหมือนกัน” แล้วท่านก็ถามเป็นเอก “เป็นเอก...กลับบ้านกับย่าไหม”

“ไม่ครับ...ผมจะอยู่กับแม่เพียร ที่นี่คือบ้านของผมครับ ผมเติบโตที่นี่” ชายหนุ่มบอก

ท่านจึงหันไปทางนางเพียร

“เพียร...เห็นตาป้องบอกว่าเธอเป็นโรคมะเร็งตับระยะที่สองนี่ เธอไปอยู่กับฉันไหม เดี๋ยวฉันจะรักษาเธอให้หายขาดจากมะเร็งเอง”

“ไม่เป็นไรค่ะท่าน ขอบคุณค่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ไปอยู่กับฉันเถอะ เป็นเอกจะได้ไปด้วยไง”

“เอ้อ...”

“นะ...”

“ฉันกับตาเอกขอเวลาคิดสักสามวันนะคะท่าน แล้วฉันจะให้เป็นเอกโทรไปบอกคำตอบ”

“ได้สิ...นี่นามบัตรของฉันนะ” ท่านยื่นนามบัตรให้อีกฝ่าย

นางเพียรรับมา

“ค่ะท่าน”

“ฉันหวังว่าอีกสามวัน...ฉันจะรับคำตอบที่ดีนะ ถ้างั้นพวกฉันกลับก่อนนะ”

แล้วพรรณนิภาก็พูดขึ้น

“ก่อนจะกลับ แม่ขอกอดลูกชายของแม่ทั้งสองคนพร้อมกันหน่อยจะได้ไหม”

เป็นเอกจึงบอกว่า

“ขอเวลาผมหน่อยนะครับ ผมยังไม่ชินกับพวกคุณ”

“ให้เวลาลูกหน่อยเถอะคุณ ตอนนี้ลูกอาจจะยังสับสน” ปราภพบอกภรรยา

อีกฝ่ายจึงพยักหน้า

“ก็ได้ค่ะ” ก่อนจะหันไปบอกลูกชายฝาแฝดอีกคนกับนางเพียร “ถ้างั้นแม่กลับก่อนนะลูก...คุณเพียรคะ ฉันกลับก่อนนะคะ”

“ค่ะ” นางยิ้มให้

ปราภพเองก็บอกลูกชายฝาแฝดอีก

“พ่อกลับก่อนนะลูก”

ปาณัทเดินมาตบไหล่น้องชายฝาแฝดของเขาเบาๆ และพูดว่า

“ฉันดีใจมากเลยนะที่พวกเราเป็นพี่น้องกัน และฉันหวังว่าพวกเราคงจะได้ไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันนะ...ถ้างั้นฉันกลับก่อนนะ”

แล้วทั้งสี่คนก็เดินออกไปทันที

คล้อยหลังคณะของคุณนภาลัยนางเพียรก็ถามลูกชาย

“ลูกจะตัดสินใจยังไง”

“ผมขอเวลาก่อนนะครับแม่ ตอนนี้ผมยังไม่พร้อม ผมยังสับสนกับชีวิตตัวเอง” ชายหนุ่มทำหน้าเศร้า

ผู้เป็นแม่ได้แต่มองลูกชายอย่างเห็นใจ เป็นเอกคงไม่พร้อมที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริง เขาได้แต่ขอเวลา เพราะเขายังสับสนกับชีวิต ทุกอย่างมันดูกะทันหันไปหมด...เขาจึงต้องขอเวลา...แต่รับรองว่าไม่นาน...สามวันเท่านั้นเอง

 

เขมนันท์ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนอย่างอารมณ์เสีย ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความโมโหที่ไม่สามารถไปกำจัดฝาแฝดอีกคนได้ ทั้งที่เขาออกจากบ้านไปก่อน แต่ก็ยังช้ากว่าคณะของคุณนภาลัยอยู่ดี เมื่อไม่เป็นไปตามแผนเขาจึงมาอย่างหัวเสีย พร้อมทั้งรายงานภรรยา

“ผมว่าผมไปเร็วกว่าพวกคุณแม่นะ...แต่ทำไมผมกลับไปถึงทีหลัง และผมก็มั่นใจว่าตัวเองขับรถเร็วที่สุดแล้ว แต่ก็ยังช้ากว่าพวกเขาอยู่ดี”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณเขม ถึงวันนี้จะไม่ใช่วันของเรา แต่วันหน้ามันจะต้องเป็นวันของเรา...ต้องมีสักวัน” ประภาพูดอย่างมั่นใจ

ฝ่ายสามีจึงบอกว่า

“ใช่...ถึงวันนี้จะไม่ใช่วันของเรา...แต่มันต้องมีสักวันที่จะเป็นวันของเรา ถึงแม้วันนี้จะกำจัดมันไม่ได้...แต่วันหน้ามันต้องมีโอกาสสิ”

“ถูกต้องที่สุด...ถึงวันนี้มันจะโชคดี วันหน้ามันจะต้องโชคร้าย”

“ผมจะทำให้มันหายไปจากโลกนี้ให้ได้...แล้วจะส่งพี่ชายฝาแฝดของมันตามไปด้วย”

“ดีค่ะคุณเขม” เธอยิ้มพอใจกับคำพูดของสามี

แล้วก็ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดหน้าคฤหาสน์ ประภาจึงหันมาบอกสามี

“นั่น...พวกเขาคงจะกลับมาแล้ว...ฉันว่าเราลงไปดูสักหน่อยเถอะค่ะ ดูว่าไอ้ฝาแฝดอีกคนมันจะกลับมาด้วยไหม”

อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะลุกเดินออกไปพร้อมกับภรรยา เพื่อลงไปดูว่าฝาแฝดอีกคนกลับมาด้วยหรือเปล่า

 

ทางด้านคุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภา และปาณัทเข้ามานั่งในห้องโถง

แล้วประมุขของบ้านก็พูดขึ้น

“เป็นเอกคงจะยังสับสน...ยังทำอะไรไม่ถูก เพราะฉะนั้นพวกเราก็ต้องให้เวลาเขาหน่อย อีกสามวันแม่ก็หวังเขาจะให้คำตอบที่ดีกับพวกเรา”

“ครับ คุณแม่...ผมก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น ผมอยากให้เขากลับมาอยู่กับพวกเรา...กับครอบครัวที่แท้จริง อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน...หลังจากพลัดพรากจากกันมานานถึงยี่สิบเจ็ดปี” ปราภพพูดยิ้มๆ

พรรณนิภาบอกกับสามีว่า

“ถ้าเขากลับมา ฉันจะไม่ยอมเสียเขาไปอีกแล้วค่ะ ให้เราอยู่พร้อมหน้ากันสี่คน...พ่อแม่ลูก มีฉัน มีคุณ มีตาป้อง มีตาเอก ครบถ้วนสมบูรณ์แบบค่ะ”

“ผมรู้มาว่า...เป็นเอกทำงานเป็นเชฟที่ร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งครับคุณพ่อคุณแม่ คุณย่า” ปาณัทบอก

“เขาคงจะชอบในด้านนี้มั้ง” คุณนภาลัยว่า

ผู้เป็นหลานชายพยักหน้า

“ก็น่าจะใช่ครับคุณย่า”

แล้วประภากับเขมนันท์ก็เดินเขามา ฝ่ายหญิงพูดขึ้นก่อน

“อ้าว! ลูกชายฝาแฝดอีกคนไม่ได้กลับมาด้วยเหรอคะ พี่ปราภพพี่พรรณ”

“เขายังไม่พร้อมที่จะกลับมากับพวกเรา...เขาเวลาคิดสักหน่อย” ปราภพบอกน้องสาว

อีกฝ่ายแกล้งทำหน้าตกใจ

“อ้าว! ทำไมล่ะคะ”

“ก็เขายังสับสนน่ะจ้ะ” พรรณนิภาบอก “อยู่ๆ พวกเราก็จะไปพาเขากลับมาด้วย ทั้งที่ไม่ได้เลี้ยงเขามา เขาก็เกิดการสับสนและยังงงๆ อยู่ ก็เลยยังไม่พร้อมที่จะกลับมาด้วย...เขาเติบโตที่นั่น ผูกพันกับคุณเพียร คนที่เก็บเขาไปเลี้ยงมากกว่าพวกเรา ซึ่งพี่ก็เข้าใจเขา”

แล้วประภาก็ลงบนโซฟาอีกตัว ก่อนจะถามต่อ

“เอ้อ...แล้วเขาว่ายังไงบ้างคะ”

“ตอนที่คุณเพียรบอกเขาว่า...ไปเจอเขาถูกทิ้งข้างถังขยะ และเก็บเขาไปเลี้ยง เขาก็คิดว่าพ่อกับแม่แท้ๆ ของเขาเป็นคนเอาเขาไปทิ้ง...แต่โชคดีที่คุณแม่อธิบายอย่างละเอียดให้เขาเข้าใจ ว่าพี่กับคุณปราภพไม่ได้เป็นคนเอาเขาไปทิ้ง แต่ถูกคนร้ายขโมยเอาลูกไปทิ้ง พอเขารู้ความจริงเท่านั้นแหละเขาก็รีบขอโทษพวกเรา แต่ก็ยังไม่พร้อมกลับมาอยู่ดี”

“ให้เวลาเขาหน่อยก็ดีค่ะ ให้เขาได้ทำใจสักหน่อย...ตอนนี้เขาอาจจะกำลังสับสน พวกเราต้องให้เวลาเขาบ้างค่ะ...เอ้อ ว่าแต่เขาขอเวลากี่วันคะ” เธอแกล้งทำเป็นพูดดี

ปราภพจึงเป็นคนตอบ

“เขาขอเวลาสามวัน”

“ก็ไม่นานนะคะ”

“ใช่...พี่เองก็คิดว่าไม่นาน”

“ภาเองก็อยากให้หลานชายฝาแฝดอีกคนกลับมาเหมือนกันค่ะ” เธอแสร้งพูดให้ตัวเองดูดี แต่ในใจก็คิดไปอีกแบบ

‘ไอ้ฝาแฝดอีกคนมันจะไม่มีวันได้กลับมาเหยียบที่นี่ ภากับคุณเขมจะกำจัดเสี้ยนหนามอย่างมัน แล้วก็ไอ้ป้อง จะไม่มีใครได้รับทรัพย์สมบัติของตระกูล...นอกจากตาภู ลูกชายของภาคนเดียวเท่านั้น’

แล้วคุณนภาลัยก็ถามลูกสาวอย่างแปลกใจ

“แกพูดจริงๆ เหรอยายภา...แกอยากให้หลานชายฝาแฝดอีกคนกลับมาจริงๆ เหรอ”

“จริงสิคะคุณแม่” ประภาพยักหน้า ฝืนยิ้ม

ปาณัทมองดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะหันไปกับทุกคนว่า

“นี่ก็เที่ยงแล้ว...ผมขอตัวไปรับน้องรินไปทานข้าวที่ร้านก่อนนะครับ” พร้อมกับลุกขึ้น

ผู้เป็นแม่พยักหน้า

“ไปเถอะลูก”

แล้วชายหนุ่มก็เดินออกไปทันที

เขมนันท์กับประภารีบลุกขึ้น

“ภากับเขมขอตัวก่อนนะคะ” จากนั้นก็ผละไป

คล้อยหลังสองสามีภรรยาปราภพก็ถามผู้เป็นแม่

“คุณแม่เชื่อที่ยายภาบอกไหมครับ”

“แม่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง...เพราะแม่รู้จักนิสัยยายภาดี” ท่านบอก

ท่านรู้จักนิสัยของลูกสาวคนนี้ดีกว่าใคร เพราะท่านเลี้ยงมากับมือ...ประภาเป็นคนดื้อรั้น ขี้อิจฉา เห็นใครได้ดีกว่าไม่ได้...และที่สำคัญ เธอเป็นโลภมาก ท่านรู้ดี ที่ผ่านมาท่านก็ทำได้แค่ตักเตือน ส่วนจะฟังหรือไม่ฟังก็อีกเรื่อง ท่านถือว่าท่านได้บอกกล่าวตักเตือนแล้ว

เขมนันท์กับประภามานั่งปรึกษากันที่ศาลาตรงสวนหย่อมหลังบ้าน...เรื่องกำจัดเสี้ยนหนาม

“ดีนะคะที่ไอ้ฝาแฝดอีกคนมันไม่มาด้วย ให้มันอยู่ที่นั่นน่ะดีแล้ว...ถ้าคุณจะไปฆ่ามันก็ง่ายและทางก็สะดวก และเรามีเวลาแค่สามวันในการไปฆ่ามัน เพราะฉะนั้นเราจะชักช้าไม่ได้เด็ดขาด” ประภาบอก

ผู้เป็นสามีจึงพยักหน้า

“ผมจะไปลงมือพรุ่งนี้เลย...ผมจะส่งมันลงนรกให้ได้ และหวังว่าจะไม่มีใครไปขัดขวางผมเหมือนวันนี้อีก”

“คงไม่มีแล้วล่ะ เพราะอีกสามวันโน่นแหละ...พวกคุณแม่ พี่ปราภพ พี่พรรณ และไอ้ป้องถึงจะไปรับไอ้ฝาแฝดอีกคน คุณลงมือเร็วยิ่งดี”

“พรุ่งนี้ถือว่าเร็วที่สุดแล้ว”

“ดีค่ะ...ฉันขอให้คุณส่งมันลงนรกให้ได้นะคะ”

“แน่นอน...ผมจะต้องทำได้แน่นอน แล้วผมกลับมาส่งพี่ชายฝาแฝดของมันตามไปด้วย” เขายิ้มร้าย

ขณะที่ทั้งสองคนคุยกันอยู่ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเหยียบใบไม้แห้งแถวๆ สวนหย่อม เขมนันท์กับประภาจึงหันขวับไปมองพร้อมกัน ปรากฏว่าเห็นใบตองยืนอยู่ ทั้งสองคนมองหน้าอย่างตกใจที่มีคนได้ยินที่คุยกัน ใบตองจะเดินหนีเพราะกลัวสองสามีภรรยา แต่เขมนันท์กับประภารีบวิ่งไปขวางหน้าไว้

“เดี๋ยว...แกจะรีบไปไหน” เขมนันท์ถาม

“เอ้อ...” ใบตองตกใจกลัวจนพูดไม่ออก

ประภามองหน้าสาวใช้อย่างคาดคั้น

“แกบอกพวกฉันมา ว่าเมื่อกี้แกได้ยินที่พวกฉันคุยกันไหม”

“เอ้อ...ใบตองไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ” เธอโบกมือพัลวัน

แต่กลับถูกตะคอก

“โกหก!”

เขมนันท์ใช้มือบีบปากสาวใช้และขู่ว่า

“แกอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครล่ะ ไม่อย่างนั้นแกอย่าหวังว่าแกจะมีชีวิตรอดได้”

“ไม่ค่ะ...ไม่...ใบตองจะไม่บอกใครค่ะ อย่าทำอะไรใบตองเลยนะคะ” ใบตองออกอาการกลัวๆ อีกฝ่าย

“ก็ได้” เขาพยักหน้า “แต่ถ้าวันไหนแกเกิดปากโป้งบอกคนอื่นล่ะก็...แกคงรู้ใช่ไหมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับแกบ้าง”

“ค่ะๆ”

“ไสหัวไปได้แล้ว” ผลักสาวใช้จนล้มลง

อีกฝ่ายรีบลุกขึ้นวิ่งออกไปอย่างกลัวๆ

แล้วประภาก็ถามผู้เป็นสามี

“คุณแน่ใจเหรอคะ ว่านังใบตองมันจะไม่บอกใคร”

“ถ้ามันไม่กลัวตายมันก็อาจจะบอก...แต่ผมมั่นใจว่ามันจะไม่ไปบอกใคร คุณก็เห็นท่าทางของมันเมื่อกี้ไม่ใช่เหรอ มันกลัวเราจะตาย” เขมนันท์บอก

อีกฝ่ายพยักหน้า

“ค่ะ...ท่าทางของมันเหมือนกลัวเรามาก ก็ดีเหมือนกัน...คุณขู่มันแบบนั้น มันคงจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร”

“ใช่! ถ้ามันกลัวตายมันก็คงไม่บอก”

ใบหน้าของทั้งสองคนในยามนี้เต็มไปด้วยความสะใจ เพราะคิดว่าใบตองคงจะไม่เอาเรื่องที่ได้ยินพวกเขาคุยกันไปบอกคนอื่น...เพราะเขมนันท์ขู่ไว้

‘แกอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครล่ะ ไม่อย่างนั้นแกอย่าหวังว่าแกจะมีชีวิตรอดได้’

จึงเห็นได้ว่าสาวใช้กลัวจนลนลานเลยทีเดียว จนต้องวิ่งหนีไปอย่างเร็ว

 

ปาณัทไปรับคุณหมอรินรดาออกมาทานข้าวเที่ยงด้วยกันที่ร้านอาหารหรูชื่อดัง และทั้งสองคนก็สั่งอาหารมาหลายอย่าง ล้วนแต่เป็นของโปรดของตัวเองทั้งนั้น แต่ก่อนจะลงมือทานหญิงสาวก็ถามปาณัทว่า

“นี่น้องชายฝาแฝดของพี่ป้องไม่ยอมกลับบ้านด้วยเหรอคะ”

“ใช่ครับ! เขากำลังสับสน เขาขอเวลาสามวัน ซึ่งพี่กับคุณย่า คุณพ่อคุณแม่ก็เข้าใจเขา ก็เลยให้เวลาเขาคิด ให้เวลาเขาทำใจ...ก็เป็นธรรมดาแหละ เขาเติบโตอยู่ที่สลัม อยู่กับสภาพแวดล้อมที่นั่นมาตั้งแต่เป็นทารก จะให้ไปอยู่ที่อื่นก็คงยาก” ปาณัทบอกยิ้มๆ

ศัลยแพทย์สาวพยักหน้า

“ค่ะ...ก็จริงนะคะ เขาเติบโตที่นั่น และเขาคงจะไม่อยากไปอยู่อื่น ถึงแม้ที่ที่จะให้เขาไปอยู่จะเป็นครอบครัวที่แท้จริงของเขาก็เถอะ...เขาผูกพันกับคนที่เลี้ยงเขามา...สิ่งเราทำได้ก็คือ...ให้เวลากับเขา ให้เขาหายสับสนก่อนค่ะ”

“พี่คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ”

“แต่ที่แน่ๆ น้องชายฝาแฝดของพี่ป้องต้องกลับมาหาครอบครัวที่แท้จริงของเขาแน่นอน”

“พี่ก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น” เขาบอกยิ้มๆ

แล้วคุณหมอรินรดาก็พูดว่า

“ทานข้าวเถอะค่ะ เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นก่อน”

“ครับ” ปาณัทพยักหน้า

แล้วทั้งสองคนก็ลงมือทานข้าวกัน ต่างคนก็ต่างตักอาหารให้กันและกัน ทานอย่างเอร็ดอร่อยตามประสาคนเป็นแฟนกัน ดูแลเอาใจใส่กัน ช่างเป็นภาพที่น่ารักเสียจริงๆ

 

นิชาภัทรรู้ความจริงแล้ว ว่าเป็นเอกไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนางเพียร แต่เป็นลูกที่ถูกเก็บมาเลี้ยง และรู้อีกว่าพ่อแม่ของเป็นเอกเป็นคนรวย แถมยังมีพี่น้องฝาแฝดอีกต่างหาก...เรื่องทั้งหมดนางเพียรเป็นคนเล่าให้เธอฟังตอนที่เธอกับแม่ของเธอไปเยี่ยมในตอนเย็น...เมื่อได้รู้ความจริงหญิงสาวก็ถึงกับอึ้งไป แต่นางต้อยไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะรู้มาก่อนแล้ว

“เป็นเอกโชคดีจังนะจ๊ะน้า มีพ่อแม่เป็นถึงคนรวย” นิชาภัทรว่า

“นี่ถ้ามันอยู่กับพ่อแม่ของมันตั้งแต่เกิด ชีวิตของมันคงจะสุขสบายมากกว่านี้ แต่มันโชคร้ายที่ถูกคนใจร้ายพรากจากอกพ่อแม่” นางทำหน้าเศร้า

นางต้อยจึงพูดว่า

“เฮ้อ! คนเรานี่นะ ไม่รู้จิตใจทำด้วยอะไร...ไปพรากลูกจากอกพ่อแม่ มันไม่คิดบ้างหรือไง ถ้าเป็นลูกของมันถูกพรากจากอกมันบ้างมันจะรู้สึกยังไง”

“ก็เจ็บปวดไงจ๊ะแม่” เธอตอบยิ้มๆ

ผู้เป็นแม่พยักหน้า

“ถูกต้อง...พ่อแม่ที่ถูกพรากลูกจากอกเขาก็ต้องเจ็บปวดที่สุดอยู่แล้ว กว่าจะคลอดออกมาได้เขาต้องทนเจ็บมากแค่ไหน คลอดลูกมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ...นิชา เอ็งจำไว้นะ ถ้าเอ็งมีผัวแล้วเอ็งท้อง เมื่อคลอดลูกแล้วห้ามเอาลูกไปทิ้งเด็ดขาด ถ้าเอ็งคิดว่าเอ็งเลี้ยงไม่ไหวก็เอามาให้ข้าเลี้ยง”

“โธ่! แม่จ๊ะ ฉันไม่อยากมีผัวหรอก ไม่รู้จะมีไปทำไม อยู่แบบนี้น่ะดีแล้วจ้ะ” เธอยิ้มให้แม่

อีกฝ่ายตีแขนลูกสาว เผียะ!

“นี่แน่ะ เอ็งเป็นผู้หญิงเอ็งก็ต้องมีผัวสิ...มีผัว...ให้ผัวเลี้ยงเอ็ง เอ็งจะได้สบาย”

“ไม่เห็นต้องง้อผู้ชายเลยแม่ ฉันมีสองมือสองเท้า ฉันสามารถทำงานเลี้ยงตัวเองได้จ้ะ”

“จ้า แม่ลูกสาวคนเก่ง” แล้วหันไปถามนางเพียร “เอ้อ นังเพียร แล้วพวกเขาว่ายังไงต่ออีก”

“พวกเขาจะพาตาเอกไปอยู่ด้วย แต่ตาเอกไม่ยอมไป มันบอกว่ามันเติบโตที่นี่ มันผูกพันกับฉันที่เลี้ยงมันมา ความจริงฉันก็อยากให้มันไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของมันแหละ แต่มันไม่ไป” นางเพียรว่า “แถมย่าของตาเอกจะพาฉันไปอยู่ด้วย ท่านจะช่วยรักษาฉันให้หายขาดจากโรคมะเร็ง แต่ฉันเกรงใจ ฉันก็เลยปฏิเสธไป แต่ท่านบอกว่าไม่ต้องเกรงใจ...ท่านบอกว่าถ้าฉันไปอยู่ที่นั่น ตาเอกมันก็จะยอมไปด้วย”

“ทำยังกับไอ้เอกมันเป็นเด็กๆ อย่างนั้นแหละ ที่แม่ไปไหนมันก็ต้องไปด้วย มันโตแล้วนะ”

“ที่มันไม่ยอมไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของมัน มันก็คงเป็นห่วงน้าแหละจ้ะ เพราะตอนนี้น้าก็กำลังป่วยเป็นมะเร็งอยู่...ถ้าน้าไม่อยากไป เดี๋ยวฉันจะช่วยพูดกับมันให้เองจ้ะ ฉันจะบอกมันว่าเดี๋ยวฉันจะดูแลน้าแทนมันเอง มันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” นิชาภัทรบอก

ทันใดนั้นเองเป็นเอกก็เดินเข้ามาในบ้าน เขากลับจากทำงาน มาทันได้ยินที่ผู้เป็นเพื่อนพูดกับแม่ของเขาพอดี เขาจึงบอกว่า

“ไอ้นิชา...ฉันขอบใจแกมาก ที่อาสาจะดูแลแม่แทนฉัน”

“ไม่เป็นไรเลยเพื่อน เรื่องแค่นี้เอง” เธอยิ้ม แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเขาพูดประโยคต่อมา

“แต่ไม่ต้อง...ฉันจะเป็นคนดูแลแม่ของฉันเอง”

“แต่...”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น”

จนสุดท้ายนางเพียรต้องใช้ไม้แข็ง เพราะอยากให้เป็นเอกไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริง แม้นางจะต้องเจ็บปวดเพราะเสียเขาไปนางก็ยอม ขอให้เขาอยู่อย่างสุขสบาย นางเห็นนางก็มีความสุขแล้ว

“ถ้าเอ็งไม่ไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของเอ็ง แม่จะโกรธเอ็งมากๆ แล้วแม่ก็พูดจริงด้วย” ทำหน้าตาขึงขังใส่

เป็นเอกถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยินแบบนั้น

“แม่ทำแบบนี้เพื่ออะไรครับ”

“เพื่อให้เอ็งมีชีวิตที่สุขสบาย อยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของเอ็ง ไม่ต้องทนลำบากอยู่กับแม่แบบนี้” นางพูดพลางร้องไห้พลาง

ชายหนุ่มจึงบอกว่า

“ผมอยู่แบบนี้ผมก็สุขสบายแล้วครับแม่ ไม่เห็นจะลำบากอะไรเลย...นี่แม่เลี้ยงผมมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย แล้วอยู่ๆ วันนี้แม่บอกว่าจะให้ผมไปอยู่ที่อื่นกับคนอื่น แม่ไม่เสียใจบ้างเหรอครับ”

“เสียใจสิ” อีกฝ่ายพยักหน้า

“ถ้าเสียใจ แล้วแม่จะให้ผมไปอยู่กับคนอื่นทำไม”

“คนอื่นที่ไหนกัน...พวกเขาคือครอบครัวของเอ็งนะ”

“ยังไงแม่ก็จะให้ผมไปอยู่ที่นั่นให้ได้เลยใช่ไหมครับ” น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างเสียใจ

“ถึงเอ็งจะไปอยู่ที่นั่น แต่ถ้าเอ็งอยากมาหาแม่ เอ็งก็มาได้นี่ พวกเขาคงไม่ห้ามเอ็งหรอก เพราะดูพวกเขาใจดีออก”

“ผมก็เคยบอกพวกเขาไปแล้วนี่ครับ ว่าผมขอเวลา ผมกำลังสับสน และพวกเขาก็คงเข้าใจ” น้ำเสียงเบาลง และปาดน้ำตาทิ้ง

นางเพียรปาดน้ำตาทิ้งเช่นกัน ก่อนจะบอกว่า

“อีกสามวันเอ็งจะต้องให้คำตอบพวกเขาแล้ว เอ็งต้องคิดให้ดีๆ ตัดสินใจดีๆ ...อย่าให้พวกเขาต้องเสียใจเพราะคำตอบของเอ็ง เมื่อยี่สิบเจ็ดปีที่แล้วพ่อแม่ และย่าของเอ็งเขาเสียใจเพราะสูญเสียเอ็งมากพอแล้ว อย่าให้พวกเขาต้องเสียใจเพราะเอ็งอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นเอ็งจะเป็นคนบาป”

“ครับแม่ ผมจะคิดให้ดีๆ จะไม่ทำให้ใครต้องเสียใจเพราะผมครับ” เขานั่งลงตรงหน้าแม่

“ดีจ้ะ” นางยิ้มออก

แล้วเป็นเอกก็สวมกอดแม่แสดงความรักที่มีต่อแม่คนนี้ที่เลี้ยงเขามา เขารักแม่คนนี้มากที่สุด เพราะตั้งแต่โตมาเขามีแต่แม่เพียรที่คอยดูแลเขาเมื่อเขาไม่สบาย เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ และแม่เพียรคือกำลังใจให้เขาสู้กับการทำงาน...สอนให้เขาอดทน สอนให้เขาไม่ย่อท้อต่อชีวิต และสอนอีกหลายอย่าง ถ้าไม่มีแม่เพียรชีวิตของเขาก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร

 

วันถัดมา...เขมนันท์ปลอมตัวเป็นคนเร่ขายผลไม้ เข็นรถเข็นมาแถวๆ ตลาดสดแต่เช้า เพื่อดักรอเป็นเอก เขาแอบเสียบมีดในกางเกง มีแผนร้ายจะฆ่าเสี้ยนหนาม

แล้วในที่สุดเป้าหมายของเขมนันท์ก็เดินมาจากหลังตลาด เขายิ้มร้าย

“แกไม่รอดแน่”

แล้วเขาก็ทำทีเข็นรถเข็นไปเรื่อยๆ เป็นเอกเดินไปอีกทาง ซึ่งเป็นทางไปร้านอาหารที่เขาทำงาน ไม่ไกลนัก แต่ว่าทางนี้ค่อนข้างเงียบ เพราะไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่าน นานๆ ทีจะมี เขาจอดรถเข็นผลไม้ไว้ตรงตลาดสด จากนั้นก็สะกดรอยตามเป้าหมายไปโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ เดินใกล้ตัวอีกฝ่ายมากขึ้น เมื่อเป็นเอกเผลอเขาก็ควักมีดและแอบย่องไปแทงจากข้างหลัง...แทงแบบไม่ให้รู้ตัว...แทงลึกๆ ก่อนจะชักมีดกลับและวิ่งหนีเข้าป่าแถวนั้นไป ก่อนที่จะมีคนมาเห็นเข้า

เป็นเอกล้มคว่ำ นิ่วหน้าเจ็บแผล มีใครไม่รู้มาแทงเขา ทั้งที่ตอนเขาเดินมาจากตลาดสดก็ไม่เห็นมีใครเดินตามมา และแถวนี้ก็ไม่เห็นมีใครอยู่สักคน...แล้วคนร้ายเป็นใครกัน เขามั่นใจว่าตัวเองไม่มีศัตรูที่ไหนแน่นอน

“โอ๊ยยยย!” เขาร้องอย่างเจ็บปวดมาก ก่อนที่จะหมดสติอยู่กลางถนน

โชคดีที่มีรถเบนซ์หรูคันหนึ่งแล่นผ่านมา...เป็นรถเบนซ์ของปาณัทนั่นเอง ชายหนุ่มรีบจอดรถเมื่อเห็นมีคนนอนเจ็บอยู่กลางทาง เขาลงจากรถไปดู ปรากฏว่าคนที่นอนอยู่ก็คือเป็นเอกที่ถูกแทงข้างหลัง เขาตกใจมาก

“เฮ้ย! เป็นเอก นี่นายถูกแทงเหรอ...เป็นเอก...เป็นเอก” เขาพยายามเขย่าตัวอีกฝ่าย แต่เขย่าเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น เขาจึงตัดสินใจพยุงเป็นเอกให้ลุกขึ้นและประคองไปที่รถของเขา เปิดประตูทางด้านหลังและวางเป็นเอกให้นั่งเบาะหลัง ก่อนจะปิดประตู จากนั้นก็อ้อมไปขึ้นข้างคนขับและสตาร์ทรถขับออกไปทันที

 

รถเบนซ์ของปาณัทเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าตึกฉุกเฉิน และไปบอกพยาบาลที่อยู่แถวนั้น

“ช่วยด้วยครับ ในรถของผมมีคนบาดเจ็บครับ”

ไม่นานบุรุษพยาบาลก็เข็นเตียงคนไข้มารับ ปาณัทรีบเปิดประตูหลัง ประคองเป็นเอกออกมาจากรถ บุรุษพยาบาลช่วยประคองขึ้นเตียงคนไข้ ให้นอนท่าคว่ำ เพราะเป็นเอกถูกแทงข้างหลัง จึงนอนหงายไม่ได้ แล้วเป็นเอกก็ถูกเข็นไปที่ห้องฉุกเฉิน ส่วนปาณัทรออยู่หน้าห้อง เขาล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะกดโทรหาพ่อ

“ฮัลโหล คุณพ่อครับ เป็นเอกถูกทำร้ายครับ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล...ยังไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง เพิ่งถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินครับ คุณพ่อรีบพาคุณแม่กับคุณย่ามาที่โรงพยาบาลนะครับ ครับ...” แล้วก็วางสายไป

เขามองไปในห้องฉุกเฉิน แล้วพูดว่า

“ฉันขอให้นายอย่าเป็นอะไรเลยนะ...เป็นเอก...เราเพิ่งจะได้พบกันแท้ๆ ...เราต้องได้อยู่ด้วยกันสิ”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.