บทที่๑๐

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่๑๐

ระหว่างเดินออกจากโรงพยาบาลปราภพก็ชวนชัชรินทร์พูดคุย

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้บอกพี่ชัชกับพี่วัน เรื่องที่คุณแม่เข้าโรงพยาบาล คือผมเองก็ไม่ค่อยว่างด้วยครับ”

“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจนายอยู่” ชัชรินทร์ว่า

“ขอบคุณครับ” อีกฝ่ายประนมมือไหว้ขอบคุณ แต่สักพักเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นได้ “เอ้อ พี่ชัชครับ ผมได้ข่าวว่าช่วงนี้พี่ตกงานใช่ไหมครับ ไปทำงานที่บริษัทของผมสิครับ”

“โธ่! อายุปูนนี้จะไปทำตำแหน่งไหนได้ล่ะ”

“ทำได้สิครับ ผมจะให้พี่ชัชเป็นผู้ช่วยฝ่ายการตลาด เพราะบริษัทของผมกำลังจะมีการขยายการตลาด ไปเปิดสาขาไว้ที่ต่างประเทศในเร็วๆ นี้ ด้วยความคิดของท่านประธานคนใหม่คนนี้” เขาพูดพร้อมกับชี้ไปที่ลูกชาย

“หา! อะไรนะ ตาป้องน่ะเหรอกลายเป็นท่านประธานบริษัทคนใหม่ไปแล้ว” ชัชรินทร์ถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว

ปราภพพยักหน้ายิ้มๆ

“ใช่แล้วครับพี่ชัช ผมมอบตำแหน่งประธานบริษัทให้ตาป้องเองครับ แต่หุ้นส่วนบริษัทบางคนไม่เห็นด้วยครับ เพราะตาป้องเป็นคนรุ่นใหม่ พวกเขากลัวทำงานล้มเหลว แต่กว่าจะทำให้พวกเขายอมรับได้ไม่ง่ายเลยนะครับพี่ชัช แต่ตาป้องก็สามารถพิสูจน์ได้โดยใช้เวลาไม่นาน”

“ดีแล้วละ คนรุ่นใหม่นี่แหละที่จะทำให้บริษัทก้าวหน้า และสามารถหาช่องทางสร้างรายได้ให้บริษัทได้อีกหลายๆ ช่องทาง ตาป้องนี่สมกับเป็นลูกของนายจริงๆ เก่งเหมือนนายมาก”

“ขอบคุณครับพี่ชัช” ประนมมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะพูดอย่างถ่อมตัวว่า “ผมก็ไม่ได้เก่งเท่าไหร่หรอกครับพี่ชัช เรียนก็น้อย ต้องอาศัยอำนาจบารมีของคุณพ่อผมถึงได้เข้าไปในบริษัทได้ เอ้อ ว่าแต่พี่ชัชจะเข้าไปทำงานในตามคำชวนของผมไหมครับ”

“ไปทำเลยครับคุณลุงชัช เดี๋ยวผมจะให้เงินเดือนสูงๆ เลยครับ ให้โบนัสพิเศษอีกด้วยครับ” ปาณัทบอก

อีกฝ่ายโบกมือพัลวัน

“ไม่ต้องให้เงินเดือนลุงสูงๆ แล้วก็ไม่ต้องให้โบนัสพิเศษกับลุง”

“นี่หมายความว่าพี่ชัชจะไม่...”

ปราภพเกือบคอตก แต่ก็ได้ยินประโยคต่อมา

“พี่จะเข้าไปทำงานในบริษัทของนาย แต่ไม่ต้องให้เงินเดือนพี่สูงๆ ไม่ต้องให้โบนัสพิเศษกับพี่ นายให้เงินเดือนพนักงานในบริษัทของนายเท่าไหร่พี่ก็เอาเท่านั้นแหละ ความจริงพี่มีเงินมากมายมหาศาล ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด แต่พี่ก็อยากจะทำงาน เพราะพี่ชินกับการทำงาน ถ้าพี่ไม่ทำพี่อยู่ไม่ได้ เสียดายที่ต้นตระกูลพี่ไม่มีบริษัทไว้ให้ลูกหลานสืบทอด และพี่เองก็อยากจะสร้างบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่พี่ก็ยังไม่กล้าลงทุน เพราะพี่กลัวล้มเหลว”

“อย่าเอาความกลัวมาขวางกั้นสิ่งที่พี่อยากจะทำสิครับ พี่อยากจะทำอะไรก็รีบทำเลยครับ สู้ๆ นะครับ” อีกฝ่ายให้กำลังใจ

“มันคงสายไปแล้วละ”

“ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นใหม่ครับ เพียงแค่เราลงมือทำทุกอย่างก็จะสำเร็จ”

“พี่จะเข้าไปทำงานที่บริษัทของนาย ส่วนเรื่องที่พี่จะสร้างบริษัทเอาไว้ทีหลัง”

“ได้ครับ ไม่แน่นะครับ ถ้าพี่ชัชเปิดบริษัทผมอาจจะขอเป็นหุ้นส่วนก็ได้ครับ” พูดจบก็หัวเราะ

ชัชรินทร์จึงตอบว่า

“พี่จะยินดีมาก”

ทั้งสองเดินพูดคุยกันจนกระทั่งถึงโรงจอดรถของโรงพยาบาลก็แยกย้ายกันขึ้นรถของตัวเอง

“ผมขอตัวก่อนนะครับพี่ชัชพี่วัน” ปราภพพูดขึ้น

“อืมม์! ว่าแต่จะให้พี่เริ่มงานได้วันไหน” เขาถาม

“แล้วแต่พี่สะดวกเลยครับ พี่สะดวกเริ่มงานวันไหนก็ไปทำวันนั้นเลย เดี๋ยวผมจะให้ตาป้องแต่งตั้งให้พี่เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดครับ” อีกฝ่ายบอก

“ได้ครับคุณพ่อ” ปาณัทพยักหน้า ก่อนจะหันไปพูดกับชัชรินทร์ “ผมจะรอคุณลุงเข้าไปทำงานนะครับ”

“ได้สิ! เดี๋ยวลุงจะเข้าไปทำงานให้เร็วที่สุด ถ้างั้นลุงกลับก่อนนะ”

“สวัสดีครับคุณลุงชัช คุณป้าวัน” ชายหนุ่มประนมมือไหว้

ชัชรินทร์กับรวัลยาไหว้ตอบ ก่อนจะขึ้นรถตู้คันสีขาวของตัวเองไป

ทางครอบครัวของปราภพขึ้นรถเบนซ์ของปาณัท แล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไปจากโรงจอดรถของโรงพยาบาลทันที

 

คืนนี้ภูริชเขามาเที่ยวผับ และผับแห่งนี้เขาก็มาบ่อยครั้ง มาทีไรก็เจอแต่สาวๆ สวยๆ แต่วันนี้เขาเกิดสะดุดตาผู้หญิงคนหนึ่ง เจ้าหล่อนนั่งอยู่บนโต๊ะนั่งดริ้งคนเดียว ชายหนุ่มจำได้ว่าเจ้าหล่อนนั้นเป็นแฟนของปาณัท เพราะเคยเห็นปาณัทพาไปที่บ้านครั้งหนึ่ง

“ไอ้ป้อง วันนี้ละฉันจะแย่งผู้หญิงที่แกรักมาเป็นของฉัน คุณลิต้าเองก็สวยไม่เบา ถูกใจฉันจริงๆ ว่ะ” เขายิ้มร้าย ก่อนจะเดินเข้าไปทักชลิตา “สวัสดีครับคุณลิต้า มาคนเดียวเหรอครับ”

“อ้าว! คุณภูริช สวัสดีค่ะ” หญิงสาวหันมามองคนที่ทัก “ใช่ค่ะ ฉันมาคนเดียว ฉันเหงาๆ ก็เลยมานั่งดื่มที่นี่ แล้วคุณล่ะคะ คุณมาคนเดียวเหรอคะ”

“ครับ ผมมาคนเดียวเหมือนกันครับ เอ...ผมว่าแปลกนะครับ คุณกับนายป้องเป็นแฟนกันแท้ๆ แต่ไม่ค่อยเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันเลย”

“ป้องเขางานยุ่งน่ะค่ะ” ชลิตาบอก

แล้วภูริชก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ หญิงสาว พร้อมกับพูดคล้ายจะใส่ไฟ

“ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็ควรจะหาเวลาอยู่กับคนรักบ้างนะครับ แต่นี่อะไร มันทำเหมือนไม่เคยมีคุณอยู่ในหัวใจยังงั้นแหละ คุณลิต้าครับ...” เขาจับมือเธอลูบเบาๆ

ชลิตามองอีกฝ่ายอย่างสงสัย ก่อนจะถาม

“นี่คุณกำลังจะทำอะไรคะ คุณภูริช”

“ผมขอพูดตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมนะครับ เรามาคบกันไหมครับ ในเมื่อนายป้องไม่เคยสนใจคุณ ไม่มีเวลาให้คุณ แล้วคุณจะฝืนคบไปทำไมครับ อ้อ และถ้าคุณยอมคบกับผม ผมจะให้ทุกอย่างกับคุณ คุณอยากได้อะไรผมจะให้ทุกอย่าง ยกเว้นเดือนและดาวที่ผมให้คุณไม่ได้ ยังไม่ต้องรีบตัดสินใจก็ได้ครับ เก็บเอาไปพิจารณาดูก่อน ค่อยมาตอบผมทีหลัง ผมยังไม่รีบเอาคำตอบตอนนี้หรอกครับ อีกอย่าง ผมก็แอบชอบคุณอยู่ครับ ชอบตั้งแต่วันแรกที่นายป้องพาคุณเข้าไปที่บ้าน คุณสวยเหลือเกินครับ สวยจนผมวางตาไม่ลงจริงๆ”

“ขอบคุณค่ะที่ชมฉัน” เธอยิ้มเขินอาย

เขาเอามือออกจากหญิงสาว ก่อนจะหยิบนามบัตรออกจากกระเป๋าเสื้อและยื่นให้เธอ

“อ้อ นี่ครับนามบัตรของผม”

“ค่ะ” ชลิตารับมาดูแล้วยิ้มให้ ก่อนจะถามว่า “คุณแน่ใจนะคะว่าถ้าฉันตกลงคบกับคุณแล้วคุณจะให้ฉันทุกอย่าง ฉันอยากได้อะไรคุณให้ฉันได้หมด”

“ผมเป็นคนรักษาคำพูดอยู่แล้ว” เขาบอก

“ถ้างั้น...” หญิงสาวใช้นิ้วไล้ตามใบหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มยั่ว “ถ้าฉันต้องการที่จะขึ้นสวรรค์ คุณก็จะพาฉันขึ้นได้ใช่ไหมคะ คุณภูริช”

“แน่นอนครับ ถ้าคุณปรารถนาที่จะไปขึ้นสวรรค์ผมก็พร้อมจะพาคุณไปทุกเมื่อ”

“ฉันอยากไปขึ้นตอนนี้ค่ะ”

“ได้เลยครับ ไปสิครับ รับรองว่าผมจะพาคุณขึ้นชั้นที่สูงที่สุด”

“พูดจริงนะคะ”

“พูดจริงที่สุดครับ ไปกันเลยครับ”

“ค่ะ”

แล้วทั้งสองคนก็ลุกเดินออกไปทันที ภูริชสรรหาคำพูดต่างๆ นานามาพูดเพื่อชลิตาเชื่อใจ ด้วยความที่เขาเป็นคาสโนว่าตัวพ่อ เรื่องทำให้ผู้หญิงหลงคารมเขาถนัดนัก แต่สุดท้ายก็ทิ้งผู้หญิงเหล่านั้นไปอย่างไม่ไยดี เขาคบกับพวกเธอเพียงเพราะอยากหาความสุขชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อได้ตามความปรารถนาเขาก็ทิ้งพวกเธอไป แต่ทุกครั้งที่เขามีอะไรกับผู้หญิงเหล่านั้นเขาจะป้องกัน เขาจะไม่ยอมให้พวกเธอท้องแล้วมาเรียกร้องเอาอะไรจากเขาเด็ดขาด

 

ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ภูริชเปิดห้องพักหนึ่งห้อง เขาพาชลิตาเขาไปในห้องแล้วปิดล็อกประตู เมื่อถึงเตียงเขาก็ผลักเธอลงไปนอน จากนั้นก็เปลื้องเสื้อผ้าตัวเองออกและจัดการปลุกเร้าอารมณ์หญิงสาว ขณะนี้บนเรือนร่างของเธอไม่มีเสื้อผ้าเหลืออยู่สักชิ้น แล้วทั้งคู่ก็มีความสุขด้วยกันอย่างเร้าร้อน ร้อนแรง

หลังจากขึ้นสวรรค์เสร็จทั้งสองคนก็นอนด้วยกันบนเตียง โดยมีผ้าห่มคลุมร่างกายอันเปลือยเปล่า ภูริชเริ่มบทสนทนา

“ผมขอถามคุณหน่อยนะครับ คุณลิต้า นี่คุณไม่เคยมีอะไรกับไอ้ เอ้อ นายป้องใช่ไหมครับ”

“ไม่เคยเลยค่ะ แม้แต่จะกอดจูบฉันเขายังไม่ทำเลย อย่างมากก็ได้แค่จับมือเท่านั้นแหละค่ะ” หญิงสาวบอก

“ถึงว่าละ คุณถึงได้ฟิตเปรี๊ยะแบบนี้”

“แล้วคุณชอบไหมคะ”

“ชอบสิครับ” เขาพยักหน้ายิ้มๆ “ว่าแต่คุณล่ะครับ คุณได้ขึ้นสวรรค์กับผมแล้วคุณมีความสุขไหม”

“มีความสุขที่สุดเลยค่ะ...ตอนฉันอยู่กับป้อง ฉันปรารถนาอยากจะขึ้นสวรรค์กับเขา แต่เขาก็หาทางบ่ายเบี่ยงตลอด บางทีฉันก็แอบคิดนะคะว่าเขาเป็นเกย์หรือเปล่า”

“คงจะใช่มั้งครับ” พูดจบภูริชก็หัวเราะ

“ฉันเป็นของคุณแล้ว คุณอย่าทิ้งฉันนะคะ ฉันจะคบกับคุณค่ะ” ชลิตาซบลงตรงไหล่ของชายหนุ่ม

“จริงเหรอครับ”

“จริงสิคะ ฉันไม่พูดเล่นแน่นอน”

“ขอบคุณมากครับที่ยอมคบกับผม ผมสัญญาด้วยเกียรติของลูกผู้ชายว่าผมจะดูแลคุณให้ดีที่สุด จะมีเวลาให้คุณมากกว่านายป้อง คุณไม่ต้องกังวลนะครับ”

“คุณน่ารักที่สุดเลยค่ะ” เธอหยิกแก้มเขาเบาๆ

“ถ้างั้นคุณต้องให้รางวัลผม” ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์

“ได้สิคะ” เธอไม่รอช้า เธอเข้าไประดมจูบอีกฝ่ายทันที โดยไม่รอให้เขาเป็นฝ่ายเริ่ม

แล้วเวลาต่อจากนั้นทั้งสองคนก็มีความสุขด้วยกันอีกครั้ง

 

แล้ววันที่คุณนภาลัยได้ออกจากโรงพยาบาลก็มาถึง ปราภพกับพรรณนิภา และปาณัทมารับท่าน ท่านมีสีหน้าเบิกบานมากทีเดียวเมื่อได้กลับบ้าน

และทันทีที่กลับถึงบ้านท่านก็ขอนั่งเล่นที่ห้องโถงก่อน ทั้งที่ปราภพบอกให้ท่านไปนอนพักผ่อนที่ห้องนอนของท่าน แต่ท่านยืนยันว่าขอนั่งเล่นที่ห้องโถงก่อนแล้วค่อยไปนอนพักข้างบนห้องนอน

“ใบตอง! ไปเรียกแม่ใบบัวมาหาฉันหน่อยซิ!” คุณนภาลัยบอกสาวใช้

“ได้ค่ะ คุณท่าน” ใบตองรับคำสั่ง ก่อนจะเดินออกไป

สักพักก็กลับมาพร้อมกับใบบัว ทั้งคู่นั่งพับเพียบตรงหน้าประมุขของบ้าน แล้วใบบัวก็เอ่ยถาม

“คุณท่านให้นังใบตองไปตามอิฉัน มีอะไรให้อิฉันรับใช้เหรอเจ้าคะ”

“ฉันไม่มีอะไรให้แกรับใช้หรอก ฉันแค่จะเรียกแกมาถามอะไรนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง” ท่านว่า

“คุณท่านจะถามอะไรอิฉันเหรอเจ้าคะ” คนรับใช้ของบ้านทำหน้าแปลกใจ

ประมุขของบ้านจึงถามทันที

“วันนั้นแกเป็นคนจัดยาให้ฉันใช่ไหม แกจัดยาให้ฉันผิดหรือเปล่า เห็นคุณหมอบอกว่ายาที่ฉันทานเข้าไปไม่ใช่ยาของโรคหัวใจ แต่เป็นวิตามินซี แกตอบฉันมาตามตรงเถอะ ฉันไม่ว่าอะไรแกหรอก เพราะฉันเข้าใจว่าแกคงจะหลงๆ ลืมๆ แกก็อายุเยอะแล้ว”

“หา! ยาวิตามินซีเหรอเจ้าคะ อิฉันจำได้แม่นว่าอิฉันจัดยาให้คุณท่านจริงๆ เจ้าค่ะ ไม่มีทางหยิบยาวิตามินซีใส่แน่นอนเจ้าค่ะ อิฉันสาบานได้เจ้าค่ะคุณท่าน” ใบบัวยืนยันหนักแน่น ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “อ้อ ตอนอิฉันจัดยาเสร็จ อิฉันกำลังจะเอาไปให้คุณท่าน แต่บังเอิญคุณ...”

“ทำผิดก็แค่รับผิด ไม่เห็นต้องอ้างโน่นอ้างนี่ให้เสียเวลาเลย มันยากตรงไหนเหรอแม่ใบบัว” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าห้องโถง

แล้วทุกคนก็หันไปมองทางต้นเสียง ปรากฏว่าเห็นเขมนันท์ ประภา และภูริชยืนอยู่ คนที่พูดก็คือประภานั่นเอง! แล้วเธอก็เข้ามาได้ยินใบบัวกำลังจะพูดชื่อเธอพอดี โชคดีที่เธอมาทัน ไม่เช่นนั้นเธอต้องโดนจับได้แน่ๆ ว่าเป็นคนเปลี่ยนยาให้ผู้เป็นแม่ทาน

“อ้าว! ยายภา” คุณนภาลัยมองผู้เป็นลูกสาว

แล้วประภาก็เดินเข้ามานั่งบนโซฟาพร้อมกับสามีและลูกชาย และถามผู้เป็นแม่

“คุณแม่หายดีแล้วใช่ไหมคะ”

“แกจะถามทำไม ตอนฉันเข้าโรงพยาบาลไม่เห็นแกจะไปเยี่ยมฉันเลย แกคงจะภาวนาให้ฉันตายๆ ไปสินะ” คุณนภาลัยด้วยน้ำเสียงน้อยใจ

“โธ่! คุณแม่คะ คุณแม่พูดอะไรอย่างนั้นคะ คุณแม่เป็นแม่ของหนูนะคะ แล้วหนูจะภาวนาให้คุณแม่ตาย เอ้อ ให้คุณแม่เป็นอะไรไปทำไมกันคะ”

“ก็ใครจะไปรู้แกล่ะ ไม่เห็นแกจะสนใจไยดีฉันเลย ทำเหมือนฉันไม่ใช่แม่อย่างนั้นแหละ”

“หนูขอโทษนะคะที่ไม่เคยสนใจไยดีคุณแม่ แต่หนูก็รักคุณแม่นะคะ คุณแม่เป็นผู้ให้ชีวิตหนู ให้หนูได้เกิดมาลืมตาดูโลก ชีวิตนี้หนูทดแทนบุญคุณคุณแม่ไม่หมดหรอกค่ะ” พูดเหมือนจะจริงใจ แต่ความจริงแล้วเป็นการฝืนพูดต่างหาก เธอไม่เคยสนใจใคร สนใจแต่ความรู้สึกของตัวเอง ต้องการแต่ผลประโยชน์ แล้วที่เธอพูดดีกับผู้เป็นแม่วันนี้ก็เพราะผลประโยชน์ นั่นก็คือสมบัติ

“แกฝืนพูดหรือเปล่า” ท่านถาม

ผู้เป็นลูกสาวสั่นศีรษะ

“ไม่ใช่นะคะ หนูพูดจากความรู้สึกข้างในใจเลยค่ะคุณแม่” แล้วเธอก็ลงนั่งข้างล่างและกราบแม่ พร้อมกับแสร้งร้องไห้ “หนูกราบขอโทษคุณแม่นะคะ ถ้าหนูทำอะไรไม่ดีกับคุณแม่ไว้ คุณแม่ได้โปรดยกโทษให้หนูด้วยนะคะ ที่ผ่านมาหนูอาจจะเป็นลูกสาวที่แย่ ต่อไปนี้หนูสัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ”

คุณนภาลัยลูบหัวลูกสาว ก่อนจะจับแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายให้นั่ง ท่านเองก็ร้องไห้

“แม่ก็ต้องขอโทษแกเหมือนกัน ที่ผ่านมา ตั้งแต่เล็กจนโตแม่ไม่เคยดูแลเอาใจใส่แกเลย จนทำให้แกคิดว่าแม่ไม่รัก แต่ความจริงแล้วแม่ก็รักแกเท่ากับพี่ชายของแกนั่นแหละ แต่แกไม่เข้าใจ และคิดว่าแม่ลำเอียง แม่อยากให้แกเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่มีแม่คอยอยู่ข้างๆ แกจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”

แล้วประภาก็โผเข้ากอดผู้เป็นแม่ ตอนนี้เธอร้องไห้จริงๆ โดยไม่ต้องแสร้งแกล้งทำ เธอเพิ่งจะซาบซึ้งในความรักความห่วงใยจากแม่ แต่ก็ใช่ว่าเธอจะเข้าใจทั้งหมด มันก็แค่บางส่วนเท่านั้นเอง

“หนูรักคุณแม่มากนะคะ” เธอบอกรักแม่อีกครั้ง ก่อนจะคลายอ้อมกอดออกจากแม่ แล้วหันไปประนมมือไหว้พี่ชายกับพี่สะใภ้

“ภาต้องขอโทษกับสิ่งที่ภาทำไม่ดีกับพี่ปราภพและพี่พรรณ ให้อภัยภาด้วยนะคะ ต่อไปภาจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ”

“ถ้าแกสำนึกผิดจริงๆ พี่ก็ให้อภัย พี่เองก็รักแก ก็แกเป็นน้องสาวคนเดียวของพี่ ถ้าไม่ให้พี่รักน้องสาวแล้วจะให้พี่รักใคร จริงไหม” ปราภพถามยิ้มๆ

“ขอบคุณนะคะพี่ปราภพ ภาเองก็รักพี่ปราภพเหมือนกันค่ะ” ผู้เป็นน้องสาวประนมมือไหว้พี่ชายอีกครั้ง

แล้วพรรณนิภาก็พูดบ้าง

“พี่ไม่เคยโกรธอะไรภาเลย พี่ก็รักภาเหมือนน้องสาวคนหนึ่งของพี่ พี่เข้าใจในตัวภาแหละ เข้าใจว่าที่ภาทำไปเพราะอะไร”

“ขอบคุณนะคะพี่พรรณ ภาก็รักพี่พรรณเหมือนพี่สาวแท้ๆ คนหนึ่งค่ะ” ประภาปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนจะลุกนั่งบนโซฟาเช่นเดิม

“จ้ะ”

แต่แล้วเธอกลับพูดกับผู้เป็นแม่ว่า

“คุณแม่คะ นัง เอ้อ แม่ใบบัวเขาจัดยาให้คุณแม่ทานผิดจนคุณแม่เกือบจะเป็นอะไรไป แบบนี้เขามีความบกพร่องนะคะ คุณแม่ยังเก็บแม่ใบบัวเอาไว้รับใช้อีกเหรอคะ เกิดวันข้างหน้าเขาเผลอหยิบยาพิษให้คุณแม่ทานจะทำยังไงคะ”

“สำนึกยังไม่ถึงห้านาทีก็กลับใช้นิสัยเก่าอีกแล้ว แบบนี้ใช้ไม่ได้นะ” ผู้เป็นแม่ตำหนิลูกสาว

“เพราะหนูเป็นห่วงคุณแม่นะคะ หนูถึงได้บอกคุณแม่อย่างนั้น เราต้องตัดไฟแต่ต้นลมค่ะ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”

“แกจะให้ฉันไล่แม่ใบบัวออกงั้นเหรอ” ท่านถามอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

ประภาพยักหน้า

“ใช่ค่ะ คุณแม่”

“ไม่มีทางหรอก” ประมุขของบ้านประกาศเสียงกร้าว ไม่พอใจลูกสาว “แม่ใบบัวทำงานให้ฉันมานานหลายปี ฉันรู้นิสัยใจคอแม่ใบบัวดีกว่าใคร ก็มีบ้างแหละที่เขาจะหลงๆ ลืมๆ ตามประสาคนอายุเยอะ แต่ก็ไม่ถึงกับทั้งหมดหรอก ส่วนไอ้เรื่องที่ฉันต้องเข้าโรงพยาบาลมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับทานยาผิดไปซะทีเดียวหรอก มันเกิดจากเนื้องอกที่มันอยู่ใกล้หัวใจด้วย เอะอะแกก็จะให้ไล่ออกอย่างเดียว แกคิดอะไรอยู่ยายภา”

“เปล่าค่ะ หนูไม่ได้คิด หนูก็แค่เป็นห่วงคุณแม่ก็เท่านั้นเองค่ะ”

“เป็นห่วงฉันหรือกลัวอะไรกันแน่” คุณนภาลัยจับพิรุธลูกสาว

“หนูไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรนี่คะ” เธอไม่ยอมแสดงพิรุธออกมาให้ใครเห็นง่ายๆ

แล้วปราภพก็บอกน้องสาว

“ยายภา คุณแม่เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลนะ แกอย่ามาพูดอะไรให้กระทบกระเทือนใจคุณแม่สิ”

“คุณแม่เขาก็แค่เป็นห่วงคุณยายน่ะครับคุณลุง” ภูริชนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานแต่เพิ่งจะเปิดปากพูด

เขมนันท์เองก็พูดช่วยภรรยา

“ใช่ครับพี่ปราภพ คุณภาเขาก็แค่เป็นห่วงคุณแม่ กลัวว่าวันข้างหน้าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับคุณแม่ ถ้ายังมี...”

“อย่าตีโพยตีพายไปก่อนสิ เรื่องอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้นก็อย่าเพิ่งไปคิด” ปราภพบอก

แล้วคุณนภาลัยก็บอกกับใบบัว

“พาฉันขึ้นไปบนห้องหน่อยแม่ใบบัว ขืนฉันนั่งอยู่ตรงนี้นานๆ มีหวังฉันได้กลับเข้าโรงพยาบาลอีกแน่ๆ”

“ได้เจ้าค่ะ คุณท่าน” คนรับใช้คนเก่าของบ้านรีบเข้าไปประคองให้ประมุขของบ้านลุกขึ้นและพาเดินออกไปทันที

ในห้องโถงจึงเหลือเพียงครอบครัวของปราภพกับครอบครัวของประภา

แล้วปราภพก็พูดกับลูกชาย

“เราไปที่บริษัทดีกว่านะตาป้อง” ก่อนจะพูดกับภรรยา “ผมฝากดูแลคุณแม่ด้วยนะคุณ ผมกับลูกจะเข้าบริษัท”

“ได้ค่ะคุณ ไม่ต้องเป็นห่วงคุณแม่นะคะ ฉันจะดูแลให้เองค่ะ” พรรณนิภารับปาก

“ไปเถอะลูก” ผู้เป็นพ่อลุกขึ้น

ปาณัทลุกตาม

“ครับ คุณพ่อ”

แล้วสองคนพ่อลูกก็เดินออกไป แต่เดินไปได้สองสามก้าวปราภพก็หยุดเดิน ก่อนจะหันกลับไปทางภูริช

“อ้อ ตาภู แกควรจะเข้าบริษัทบ้างนะ แกไม่เข้าทำงานมาสองวันแล้ว ระวังจะถูกตัดเงินเดือนนะ ลุงไม่ได้ขู่นะ แค่เตือนเฉยๆ”

แล้วก็หันหลังเดินออกไป โดยมีปาณัทเดินตามหลังไป

ส่วนพรรณนิภาก็ลุกขึ้น

“พี่ขอตัวขึ้นไปดูคุณแม่ก่อนนะ” พูดจบก็เดินออกไป

ในห้องจึงเหลือเพียงเขมนันท์ ประภา และภูริช

“คุณพ่อคุณแม่ครับ ถ้าคุณลุงทำกับผมอย่างนั้นผมไม่ยอมนะครับ เท่ากับคุณลุงไม่เห็นว่าผมเป็นหลาน ผมไม่ยอมจริงๆ ครับ” ภูริชโวยวายเป็นการใหญ่

ประภารีบพูดปลอบใจผู้เป็นลูกชาย

“ใจเย็นๆ นะลูก อย่าเพิ่งโวยวาย เชื่อแม่เถอะว่าคุณลุงไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่นอน เขาอาจจะแค่ขู่ แต่ไม่ทำจริงๆ”

“คุณรู้ได้ยังไง” เขมนันท์ถามภรรยา

อีกฝ่ายจึงตอบว่า

“เพราะฉันรู้จักนิสัยพี่ปราภพดี ว่าเขาชอบขู่ แต่เอาเข้าจริงเขาไม่ทำ”

“ขอให้มันจริงนะครับคุณแม่”

“แต่พ่อว่าลูกรีบไปที่บริษัทดีกว่านะ บางทีคุณลุงของแกเขาทำจริง เพราะดูจากสีหน้าเขาเมื่อกี้จริงจังมาก” ผู้เป็นพ่อบอก

ภูริชพยักหน้ารับ

“ครับ คุณพ่อ ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบชายหนุ่มก็รีบเดินออกไปทันที

เมื่ออยู่กันสองคนเขมนันท์ก็พูดขึ้นว่า

“คุณไม่น่าไปพูดกับคุณแม่อย่างนั้นเลย ตอนแรกคุณอุตส่าห์จะทำให้ท่านเชื่อใจได้อยู่แล้วเชียว”

“ก็ฉันเผลอพูดออกไปนี่คะ ฉันอดไม่ได้ แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ อ้อ ฉันว่าฉันจะไปหาเพื่อนสักหน่อย อยู่บ้านก็เครียด เบื่อ ออกไปคุยกับเพื่อนดีกว่า คุณจะไปกับฉันไหมคะ”

“ผมไม่ไปกับคุณครับ แต่ผมว่าจะไปหาเพื่อนของผมเหมือนกัน ผมเงินขอสักสามหมื่นสิครับคุณภา” แบมือขอเงินอย่างกับเด็กๆ

“แค่ไปหาเพื่อน ทำไมต้องเอาเงินไปเยอะแยะ” ผู้เป็นภรรยาถามอย่างสงสัย

“เอ้อ...” เขมนันท์ทำหน้าเลิ่กลั่กมีพิรุธ แต่สุดท้ายก็หาคำแก้ตัวได้ “ผมก็เอาติดตัวไปอย่างนั้นแหละ เผื่อเพื่อนชวนดื่มไวน์ ผมจะได้ช่วยมันออกเงิน ไวน์มันไม่ใช่ถูกเลยนะคุณ คนไฮโซๆ ก็ต้องกินของแพงๆ”

“แน่ใจนะคะว่าไม่ได้เอาไปทำอย่างอื่น อย่าให้ฉันจับได้นะว่าคุณเอาเงินไปเปย์ผู้หญิงคนอื่น ไม่งั้นฉันจะฆ่าทั้งคุณแล้วก็นังผู้หญิงคนนั้น” เธอเอานิ้วทำเป็นปืนจ่อที่ศีรษะผู้เป็นสามี แล้วทำท่าลั่นไก

อีกฝ่ายแอบกลืนน้ำลาย ก่อนจะแสร้งบอกว่า

“ผมไม่มีใครหรอก ผมรักแต่คุณคนเดียว”

“ถ้างั้นคุณก็สาบานสิคะ”

“คุณจะให้ผมสาบานทำไม ผมพูดความจริงทุกอย่าง”

“สาบานค่ะ”

“มันจะเกินไปแล้วนะคุณภา คุณมีสิทธิ์อะไรมาบังคับผม” เขาไม่พอใจ

ประภาหยิบเช็คเงินสดออกจากกระเป๋า ก่อนจะขู่ว่า

“ถ้าคุณไม่สาบาน คุณจะไม่ได้เงิน”

“ก็ได้ ผมสาบานก็ได้...ผมขอสาบานว่าผมจะมีแค่คุณประภาคนเดียว ถ้าผมผิดคำสาบานขอให้ผมมีอันเป็นไปภายในหนึ่งเดือน” เขมนันท์จำเป็นต้องสาบานเพราะอยากได้เงิน

“ดีมากค่ะ” ผู้เป็นภรรยายิ้มพอใจ “แล้วคุณก็จำไว้ด้วยนะคะ ว่าถ้าคุณไม่มีฉันคุณก็ไม่มีวันนี้หรอก” เธอยื่นเช็คให้ผู้เป็นสามีเสร็จก็เดินออกไป

เขมนันท์มองตามผู้เป็นภรรยาแล้วกำมือแน่นด้วยความแค้น

“ถ้าผมมีที่ไปเมื่อไหร่ ผมจะไม่ทนอยู่กับคุณหรอก ไม่ยอมทนให้คุณขู่” แล้วก็เดินออกไปอีกคน

 

ในห้องทำงานของท่านประธาน...ปราภพกับปาณัทกำลังคุยเรื่องธุรกิจกันอยู่ เรื่องที่จะสร้างร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยในเครือบริษัทบวรเทพ จิวเวลรี่ ทั้งที่ต่างประเทศและต่างจังหวัด รวมถึงในกรุงเทพฯ โดยทางบริษัทจะผลิตเครื่องประดับเพชรพลอยส่งให้กับร้านในเครือเป็นล็อตๆ และจะจ้างพนักงานขายประจำร้าน ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของปาณัทคนเดียว เขาหารายได้เข้าบริษัท เพราะเท่าที่เขาดูรายละเอียดรายได้ของบริษัทที่ผ่านมาย้อนหลังก็พบว่ามันลดลงอย่างน่าใจหาย เพราะฉะนั้นเขาจะต้องฟื้นฟูบริษัทให้กลับมาแข็งแกร่ง ด้วยความร่วมมือของผู้เป็นพ่อ

“ไม่เสียแรงเลยที่พ่อมอบตำแหน่งนี้ให้ ลูกทำได้ดีมาก ความคิดเป็นเลิศเลย” ปราภพยกนิ้วเยี่ยมให้ลูกชายทั้งสองข้าง

ปาณัทจึงบอกว่า

“ผมก็แค่จำจากที่ผมได้เรียนมาน่ะครับคุณพ่อ แล้วผมก็นำมาใช้บริหารบริษัท ปรับปรุงให้ดีขึ้นก็เท่านั้นเองครับ”

“นี่ถ้าอีกคนยังอยู่ คงจะช่วยเราได้มากกว่านี้” ปราภพเผลอพูดออกไป

ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงถามผู้เป็นพ่อว่า

“ใครเหรอครับ คุณพ่อ”

“อ้อ ไม่มีอะไรหรอกลูก” เขาจำเป็นต้องโกหก

ตลอดเวลา ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมาเขาปิดบังความจริงกับปาณัทว่ามีน้องชายฝาแฝดอีกคน เพราะมีเหตุผลบางอย่าง ซึ่งบอกให้ใครไม่ได้ แต่ถ้าหากวันหนึ่งเขาให้นักสืบตามหาลูกชายฝาแฝดอีกคนเจอและพากลับมาได้ เมื่อถึงวันนั้นเขาจะอธิบายกับปาณัทด้วยตัวเอง และบางทีแม่ของเขากับภรรยาของอาจช่วยเขาอธิบายด้วยอีกแรงก็เป็นได้

พลันเสียงโทรศัพท์มือถือของปาณัทก็ดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดูชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ พอเห็นว่าเป็นเบอร์ของใครก็ยิ้มออกมา ก่อนจะกดรับสายทันที

“ฮัลโหล! ว่าไงครับลิต้า” ชลิตานั่นเองที่โทรมาหาเขา

“ป้องว่างไหมคะ ลิต้ามีธุระสำคัญจะคุยกับป้อง ออกมาหาลิต้าหน่อยได้ไหมคะ” ปลายสายถามกลับมา

ปาณัทจึงตอบกลับไปว่า

“อ้อ วันนี้ผมว่างครับ ไม่มีงาน ถ้างั้นเดี๋ยวผมออกไปหาคุณนะครับ” แล้วเขาก็วางสายไป ก่อนจะบอกกับผู้เป็นพ่อว่า “ผมขอตัวออกไปพบลิต้านะครับคุณพ่อ เธอมีธุระจะคุยกับผมครับ”

“ธุระเรื่องหัวใจสินะ” ปราภพแซวลูกชาย

อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ

“คงจะใช่ครับ คุณพ่อ”

“ถ้างั้นก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวหนูชลิตาจะรอนาน”

“ครับ คุณพ่อ ผมขอตัวก่อนนะครับ” ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะคว้าเสื้อสูทมาสวมทับและเดินออกไปทันที

ปราภพมองตามผู้เป็นลูกชายแล้วยิ้ม ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าเสื้อและกดหารายชื่อ จากนั้นโทรออก ไม่นานปลายสายก็รับสาย

“ฮัลโหล สวัสดีครับคุณทรงพล เรื่องที่ผมให้สืบมีความคืบหน้าบ้างไหมครับ”

ที่แท้เขาก็โทรหานักสืบนั่นเอง! เขาจ้างให้นักสืบตามหาลูกชายฝาแฝดอีกคน คนที่รู้เรื่องนี้ก็มีแค่เขา มารดาของเขากับภรรยาของเขาเท่านั้น

“อ้อ คุณปราภพ สวัสดีครับ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลยครับ ผมตามหาเกือบทั้งกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่พบ แต่ก็ยังคงตามหาต่อไปครับ คุณปราภพเพิ่งหมดหวังนะครับ” ปลายสายตอบกลับมา

“ผมไม่เคยหมดหวังครับ ผมหวังเสมอว่าสักวันจะพบเขา...งั้นคุณทรงพลก็ตามหาต่อไปนะครับ ถ้าตามหาในกรุงเทพฯ ไม่เจอก็น่าจะอยู่ที่ต่างจังหวัด และถ้าคุณทรงพลหาตัวเขาเจอผมจะจ่ายไม่อั้น เสียเงินเท่าไหร่ผมก็ยอมทั้งนั้น ขอแค่ให้เจอเขาก็พอ” แล้วเขาก็วางสายไป

ตอนนี้สีหน้าของเขามีความหวังมาก หวังที่จะได้เจอลูกชายฝาแฝดอีกคนที่ถูกขโมยไปเมื่อ ๒๖ ปีที่แล้ว ส่วนตัวคนร้ายเขาก็หวังว่าตำรวจจะหาตัวเจอ เขามีคำถามมากมายที่อยากจะถามคนที่ขโมยลูกเขาไป ว่าทำไปเพราะอะไร ต้องการอะไรจากครอบครัวเขา และอีกหลายคำถาม

ขณะที่ปราภพคุยโทรศัพท์ก็มีคนข้างนอกแอบได้ยิน คนคนนั้นก็คือภูริชนั่นเอง! ตอนนี้ชายหนุ่มมีสีหน้าสงสัยมาก

“คุณลุงเขาจ้างนักสืบให้ตามหาใครกันนะ ถึงขนาดบอกว่าถ้าตามหาเจอจะจ่ายเงินไม่อั้น แสดงว่าคนคนต้องเป็นคนที่สำคัญแน่ๆ เลย ฉันชักอยากจะรู้แล้วสิว่าเป็นใคร” แล้วเขาก็เดินออกไป

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.