ตอนที่19:ไร้เดียงสา

The Regressed Demon Lord is Kind จอมมารผู้ถ่อมตนและเมตตา

-A A +A

ตอนที่19:ไร้เดียงสา

หมวดหนังสือ: 

ภายในห้องเงาทั้งสามคนพลิ้วไหวไปตามแสงเทียน พอนึกถึงเหตุการณ์นั้นลูเบลล่าก้มหน้าซึม ส่วนมือกำปลายเสื้อไว้แน่น เธอหยุดเล่าไปพักหนึ่งและซีคก็ไม่ได้กระตุนให้พูดต่อ

“ ท่านอัศวินที่คอยปกป้องฉันล้มลงทีละคน มองทางไหนก็มีแต่พวกอันเดต แต่พวกเราไม่มีอาวุธพร้อมสู้เลย ”

แต่สมกับความเป็นอัศวินของคารุวิมาน แม้ไม่มีความพร้อมแต่พวกเขาก็ทำเต็มที่ยอมเสียสละเพื่อให้ลูเบลล่าหลบหนีจากวงล้อมศัตรู ส่วนเธอในใจห่วงพวกเขาทุกคนมาก แต่ต้องมีชีวิตรอดเพื่อเปิดเผยการกระทำเลวทรามของเจ้าเมือง ที่เธอทำได้ในตอนนั้นคือวิ่งและวิ่ง

เหตุการณ์ทุกอย่างซ้ำเติม เมืองถูกปิดกั้นทางเข้าออก สถานะเธอกลายเป็นแม่มดชั่วร้ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซ่อนตัวจากทุกคน เวลากลางวันอยู่ตามบ้านร้างหรือตรอกมืด กลางคืนต้องคอยระวังทหารยามที่ตามจับเธอ

แน่นอนที่แย่กว่าคือต้องอดอาหารแม้แต่จะหลับพักผ่อนยังทำไม่ได้เลย ลูเบลล่าเติบโตมาราวกับดอกไม้ในเรือนกระจก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ออกมาหาประสบการณ์ เธอได้แต่หนีจนท้ายที่สุดพลังศักดิ์สิทธิ์หมดลงต้องคอยพึ่งแสงจันทร์และแสงดาว   

“ เธอคงหนีมาตลอดจนพวกเรามาเจอที่ตรอกนั้นสินะ ”

ลูเบลล่าพยักหน้ายืนยันคำพูดของซีค

“ แล้วอัศวินศักดิ์สิทธิ์เวกค์ละ หรือตายแล้ว? ”

“ ไม่ค่ะ ตั้งแต่มาถึงเมืองนี้ ท่านเวกค์มีภารกิจอื่นจากทางศาสนจักร ”

“ ท่านเวกค์แยกตัวออกไปสักระยะหนึ่งแล้ว ”

‘ แน่ละเครื่องจักรสังหารคนนั้นไม่มีทางตายด้วยเรื่องนี้แน่ เหตุการณ์คงลงเอยคนละแบบ ’ 

ซีคเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของเวกค์ดี

“ แล้วเธอจะทำยังไงต่อ ”

"…ฉันยังไม่รู้ "

ศัตรูของเธอกุมอำนาจมากที่สุดในเมือง และลำพังลูเบลล่ามีแค่ตัวเปล่าๆ

“ แล้วไม่ขอความช่วยเหลือจากศาสนจักรละครับ ท่านลูเบลล่า ”

ฮานเสนอความคิดอย่างอ่อนน้อม แต่ลูเบลล่าส่วยหัว

“ ทำไม่ได้ค่ะท่านฮานตอนนี้ทั้งเมืองถูกปิด ฉันติดต่อกับวิหารหลักหรือวิหารอื่นๆไม่ได้เลย ”

“ ถึงหาทางติดต่อได้แต่คงใช้เวลาค่ะ กว่าพวกเขาจะได้รับข้อความ วิหารของเราที่นี่ไม่ได้มีอำนาจมากเท่าไหร่ตอนนี้คงถูกเฝ้าจับตามองอยู่ตลอดค่ะ ”

แม้ว่าคารุวิมานจะมีอิทธิพลมากแค่ไหน แต่ความแข็งแกร่งยังคงถูกรวมไว้ที่วิหารหลักหรือเขตปกครองบางส่วนเท่านั้น ไม่มีราชวงศ์หรือขุนนางคนไหนชอบให้ศาสนจักรมีอำนาจในดินแดนตนมากเกิน

“ โดยปกติ ถ้าต้องการกำลังสนับสนุน พวกเราสามารถติดต่อหน่วยงานที่ใกล้ที่สุด หรือ วิหารย่อยของศาสนจักรได้ค่ะ ”

" ข้อความจะถูกส่งไปยังวิหารหลักหรือวิการใกล้เครียงเพื่อส่งกำลังสนับสนุนมา ปัญหาคือที่นี่อยู่ค่อนข้างไกลจากจุดติดต่อ "

“ ถ้างั้นตอนนี้ก็ไม่มีกองกำลังไหนป้องป้องเธอได้เลยสินะ ”

ลูเบลล่าพยักหน้าให้กับคำพูดของซีค

“ ถ้างั้นตอนนี้พวกเราออกจากเมืองกันก่อน ข้าจะพาเจ้าไปวิหารที่ใกล้ที่สุด ”

ดูเหมือนทางเลือกนี้จะดีกว่าการที่เธอถูกทหารของเมืองจับตัวไป แต่ลูเบลล่าส่วยหัว

“ เรา เราทำเช่นนั้นไม่ได้ค่ะ!”

ทั้งซีคและฮานต้องงุนงง หลังจากที่เธอปฎิเสธอย่างมุ่งมั่น

“ เราไม่มีเวลาพอค่ะ ฉันต้องหยุดเจ้าเมืองคนนั้นตอนนี้! ”

“ ทำไมละครับท่านหญิง   ”

“ เขากำลังจะเริ่มพิธีกรรม! ”

“ พิธีกรรม? ”

“ หมายความว่ายังไงกันครับ พิธีกรรมอะไร? ”

ลูเบลล่าไม่ได้พูดมากพอจะทำให้ฮานเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่ทางซีคเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง

“ ไอ้เจ้าเมืองหมูตอนนั้นคงเตรียมพิธีกรรมที่มีผลกระทบเป็นวงกว้างอยู่สินะ ”

“ ค่ะ! ”

“ ขนาดพิธีกรรมใหญ่แค่ไหน? ”

“ มัน อาจจะเกี่ยวข้องกับคนทั้งเมือง! ”

ซีคเหลือบตาไปมองใบประกาศจับของลูเบลล่าที่วางอยู่บนโต๊ะ แม้กระดาษจะยับยู่ยี่ไปแล้ว แต่ตัวหนังสือบนนั้นยังอ่านออกได้ง่าย [ ความผิดที่ทำ: ตัวการหลักในการลอบสังหารท่านรองเจ้าเมือง ]

และ [ พยายามร่าย ‘คำสาปขนาดใหญ่’ในเมืองปอร์ติ ]

นี่เป็นปัญหามากกว่าที่เขาคิดตอนแรก

“ ถ้างั้นตอนนี้เธอช่วยบอกสิ่งที่เธอเห็นมาให้หมด หรือเอาที่เธอเข้าใจก็ได้ ”

" ค่ะตอนที่เขาเผยตัวออกมา ฉันจำได้แม่นว่าในมือเขาถือหนังสือเล่มหนึ่ง…มันเป็นหนังสือเวทย์จากสาวกเบลลิด ”

เบลลิดเป็นกลุ่มศรัทธาที่ตรงข้ามกับคารุวิมานอย่างสิ้นเชิง พวกนั้นนับถือบูชาเทพชั่วร้ายอย่าง ‘เบลลู’ สิ่งที่พวกมันทำมักจะเกี่ยวกับการฆ่าล้าง สร้างเหตุความวุ่นวาย เติมเต็มความอยากทำลายหรือครอบครองทุกสิ่ง

‘ ไอ้พวกเวรนั่นมามีส่วนร่วมด้วยนี่เอง ก็เดาไว้บ้างแล้วหละ ’

คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตัวตนจอมมารอย่างซีค ต้องเข้ากันได้ดีเป็นมิตรกับกลุ่มคนพวกนี้แน่ แต่ในความเป็นจริงสวนทางกันเลย ‘เบลลิด’ มีหลักการที่อยากพิชิตโลกเพื่อบูชาให้เทพของตัวเอง แต่ด้วยศักดิ์ศรีและมุมมองของจอมมารพวกเขาอย่างทำเฉพาะสิ่งที่ตัวเองอย่างทำมากกว่า

สิ่งที่เกิดขึ้นคือกลุ่มเบลลิดและพวกปีศาจเกิดการปะทะกันบ่อยครั้งแทน และแน่นอนซีคก็มีส่วนร่วมหลายเหตุการณ์

ลูเบลล่าพูดต่อ “ ตอนนั้นทันทีที่ฉันเห็นมันก็รู้สึกไม่ดีแล้วค่ะ หนังสือเล่มนั้นกำลังสะสมพลังมืด มันมีกลิ่นอายความชั่วจากเบลลูปนเปื้อนอยู่ ตอนแรกฉันคิดว่าเขาจะใช้มันเพื่อเพิ่มความสามารถตัวเอง แต่ว่ามันไม่ใช่แล้ว ”

มีห้องหนึ่งลูเบลล่าบังเอิญเห็นตอนกำลังหลบหนี มันเผยสถานะที่แท้จริงของหนังสือ

“ ในห้องนั้นมีรูปปั้นหิน มีลักษณะเลวทรามและน่าขยะแขยง มันเป็นรูปปั้นของเบลลูไม่ผิดแน่—แต่นั่นไม่สำคัญที่สุด เพราะแย่กว่าคือรูปปั่นนั้นปล่อยพลังมืดที่รู้สึกได้เหมือนกันจากหนังสือ และบนแท่นสลักถ้อยคำเอาไว้ ”

มันเขียนด้วยภาษาโบราณและเป็นที่นับถือของพวกเบลลิด แต่เพราะคารุวิมานและเบลลิดขัดแย้งกันมาตลอดพวกเขาจึงรู้เรื่องของอีกฝ่ายดี ทำให้ลูเบลล่ารู้จักภาษานี้ด้วย

“ มันสลักเอาไว้ว่า 'ข้าบูชาเมืองนี้แด่ท่านเบลลู' ”

แม้แต่ซีคก็รู้จักคำสลักนี้ เขาก็รู้ว่ามันใช้เมื่อไหร่และที่แบบไหน

“ เธอกำลังจะบอกว่าพวกนั้นวางแผนจะบูชาเมืองนี้เพื่อสังเวยให้เบลลูสินะ และหนังสือเล่มนั้นคือสื่อกลางเป็นพลังให้กับรูปปั้น ”

“ ท่านซีครู้จักมันด้วยหรือค่ะ ”

“ ใช่ ข้าพอรู้เรื่องวงเวทย์ ”

‘พิธีกรรมสังเวยเมือง’พวกเบลลิดมักจะตั้งรูปปั้นของเบลลูไว้จุดต่างๆของเมือง และจะบังคับดึงพลังชีวิตของผู้คนเข้าไปเพื่อเป็นพลังงานให้วงเวทย์ขนาดใหญ่

“ แต่ครั้งนี้พวกมันไม่เสี่ยงไปหน่อยหรอ ตามปกติจะเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆไม่เป็นที่สังเกตุเท่าไหร่ ” “ แต่พิธีกรรมครั้งนี้คือเมืองอย่างปอร์ติ ”

“ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ แต่ถ้าพวกเขาทำพิธีกรรมนี้สำเร็จ…”

“เมืองนี้จะกลายเป็นเมืองแห่งความตาย และพวกมันจะได้รับพลังที่เทียบเท่ากับขนาดของเมือง”

พวกเบลลิดจะถือว่าทำพิธีกรรมสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ หนึ่ง:ทำให้ทุกคนในเมืองกลายเป็นซอมบี้กลายเป็นกองทัพขนาดใหญ่ สอง:เทพของพวกมันหรือก็คือเบลลูต้องพอใจในเครื่องสังเวย และสุดท้าย…

‘ หลังจากดึงพลังชีวิตของคนทั้งเมืองได้แล้ว พวกมันจะได้รับอำนาจและพลังปริมาณตามที่พวกมันสังเวยไป ’

ถือว่าเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่เลย สภาพแวดล้อมกลายเป็นนรก และอย่างพวกมันไม่มีทางเอาพลังนั้นไปใช้ในทางทีดี แต่- 

‘ แล้วข้าจะสนทำไม ก็ปล่อยให้เป็นปัญหาของผู้คนแถวนี้ละกัน ’

ซีคไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรกับเรื่องพวกนี้เลย จอมมารอย่างเขาความโหดร้ายที่เคยทำก็ไม่ได้น้อยกว่าพวกเบลลิดสักหน่อย

‘ แต่จะเกลียดก็ตรงที่ต่อหน้าข้า พวกมันกำลังจะได้ผลรับประโยชน์ไป แมร่งสึกไม่ชอบใจเลย ’

ในอดีตซีคในฐานะจอมมารมีเรื่องต้องปะทะกับพวกเบลลิด แม้ตอนนี้เขากำลังทำความเข้าใจกับความเป็นคนดี มันต้องมีมุมมองอย่างต้องดีใจกับคนอื่นที่กำลังได้ดี แต่คนอย่างพวกมันกับเขาบอกเลยไม่มีทาง

“ ถ้าฉันจำปริมาณพลังที่หนังสือเล่มนั้นรวมไว้ได้ไม่ผิด ”

“มันไม่นานแล้วก่อนพิธีกรรมขั้นต่อไปจะเริ่ม ถ้ารอเวลากำลังสนับสนุนมาถึงไม่ทันแน่ค่ะ! ”

" เราต้องหยุดพิธีกรรมเดี๋ยวนี้!”

แต่

“ ในสภาพของเธอตอนนี้? ”

จากคำพูดที่ไม่สนใครของซีค เหมือนน้ำเย็นสาดใส่เธอจนเสียคำพูดจะกล่าวต่อ

มองความเป็นจริงซีคไม่คิดว่าความสามารถเธอตอนนี้ พอที่จะหยุดพิธีกรรมได้แน่นอน แค่อย่างไม่กี่วันที่ผ่านมาจะกินอิ่มนอนหลับเธอยังทำไม่ได้เลย ก่อนซีคจะมาเจอเธอก็เกือบจะเป็นขอทานมาสักระยะ

“ ฉันไม่สามารถยืนมองอยู่เฉยๆได้ค่ะ! ฉันเป็นคนเดียวที่เห็นความชั่วร้ายนี้มา! ถ้าปล่อยให้พวกนั้นทำสำเร็จจะมีคนจำนวนมากต้องตาย! ”

“ แล้วตัวเธอตอนนี้จะไปแก้ไขอะไรได้ ”

" ฮึก! "

ลูเบลล่าตอนแรกกำลังมองไปที่ซีค แต่ต้องก้มพื้นโต๊ะแทน ซีคไม่ได้พูดอะไรผิด ความรู้สึกว่าตัวเองไร้พลังกำลังวนเวียนอยู่ในหัวเธอ 

“ ถ้างั้นข้าขอถามอะไรบางอย่าง ”

ลูเบลล่าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยจากคำพูดของซีค

“ การหยุดพิธีกรรมนี่ถือเป็นสิ่งที่ดีด้วยใช่ไหม”

ลูเบลล่ารู้สึกคาดไม่ถึง

“ น-นายจะช่วยฉันหยุดมันใช่มั้ย ”

“ ก็ถ้านั่นถือเป็นการทำความดี ”

ใบหน้าของลูเบลล่าสดใสขึ้นแต่ก็มืดลงอีกครั้ง

“ แต่ฉันไม่สามารถดึงให้คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องอันตรายนี้ได้…”

“ เงียบซะ! นี่คือคำแนะนำจากข้า หยุดทำตัวอวดเก่งได้แล้ว ”

ดวงตาของลูเบลล่าเบิกกว้าง แม้แต่ฮานที่ฟังอยู่ข้างๆยังสะดุ้ง 

ส่วนซีคตอนนี้ยกแขนขึ้นประสานบนหลังคอ เอนหลังผิงเก้าอี้และยกยิ้มขึ้นอย่างอหังการ 

จากนั้นก็พูดต่ออย่างไม่มีความสงสาร “ ก่อนที่เธออยากจะมาแบกเรื่องนี้ไว้ คิดก่อนว่าสองสามวันมานี่เธอแทบจะกลายเป็นคนเร่ร่อนอยู่แล้ว แค่ตัวเธอคิดว่ามีความสามารถอะไรบ้างละหะ ”

หัวของลูเบลล่าก้มลงต่ำอีกครั้ง

“ ถ้าข้าไม่ไปเจอ ไม่เธอตายจากความหิวก็ถูกทหารของเมืองจับตัวได้แล้ว "

" ดีไม่ดีคงมีชาวบ้านผ่านไปเจอเธอจนได้ แล้วเธอก็ถูกประนามในฐานะแม่มดชั่วร้ายที่ร่ายคำสาปใส่เมืองนี้แทน ”

“เอ่อ ท่-ท่านซีคครับ ข้าคิดว่ามันเพียงพอแล้ว…”

เมื่อดูแล้วซีคจะดุด่าลูเบลล่ารุนแรงเกินไป ฮานจึงพยายามขอให้พออย่างระมัดระวัง แต่ซีคไม่หยุด

“ เธอบอกว่าไม่อยากดึงให้คนอื่นเข้ามาเจออันตราย ”

“ เฮอะถ้าให้เธอหยุดมันด้วยตัวคนเดียว มันจะต่างอะไรกับการหนีออกไปจากเมืองตอนนี้ละ ”

“ แค่เพราะอยากยึดหลักคุณธรรมสูงส่ง เลยจะยอมปล่อยให้เมืองทั้งเมืองเจอหายนะแทนงั้นสิ น่าตลก ”  

เมื่อก่อนซีคก็เห็นหลายคนที่เป็นแบบลูเบลล่า ไม่กลัวอันตรายที่ตัวเองต้องเจอ ยอมกระโดดเข้าสู้เพื่อความเป็นวีรบุรุษช่วยชีวิตผู้คนในช่วงเวลาความโกลาหลวุ่นวายตอนนั้น คนเหล่านี้มีความโดดเด่นกว่าคนอื่น

จริงๆแล้วซีคเป็นคนที่ความคิดเปิดกว้าง แต่เขารู้สึกไม่ชอบคนประเภทนี้เป็นพิเศษ 

ซีคคือคนที่ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการ เขาไม่ได้ตัดสินแนวทางชีวิตที่ต่างกันของผู้คนหรอก เหมือนมองว่า ‘ ข้าก็เป็นคนแบบตัวข้า คนอื่นก็คือคนอื่น ’ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเขายอมรับแนวทางของทุกคน 

ซีคยอมรับและเข้าใจในแนวทางต่างๆได้ถ้าเกิดว่าคนคนนั้นมีพลังและความสามารถแท้จริง ต่อให้ล้มเหลวก็ตาม 

แต่ที่ซีคไม่เข้าใจและไม่ชอบคือคนที่พูดถึงแต่สิ่งที่เกินตัว ทั้งที่ไม่มีพลังหรืออะไรที่เป็นกำลังให้พวกเขาทำมันได้เลย 

ไม่สิ ไม่สำคัญว่าจะมองว่ายังไง ถึงจะไม่เข้าใจคนที่กล้าจะสู้แม้รู้ว่าจะตายแน่นอน แต่เขาก็คิดว่าว่าคงเป็นบุคคลิกหรือคุณลักษณะบางอย่างของคนคนนั้น ถึงพวกเขาไม่ต้องการดึงให้คนอื่นเข้ามาเจออันตรายหรือเกี่ยวข้องกับปัญหาเพราะคำว่ามีศีลธรรมหรือความยุติธรรม แล้วตัวเองรับผลนั้นคนเดียวแค่นั้นซีคคงเข้าใจ

แต่ปัญหาของสิ่งที่ลูเบลล่าเผชิญอยู่ ไม่เหมือนกัน

เธอยึดมั่นโดยที่ตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เจอหายนะคนเดียว เพราะถ้าพิธีกรรมนี้สำเร็จผู้คนมากมายคงตาย ซีคไม่มีทางเข้าใจหรือยอมรับความคิดแบบนี้ได้เลย ดูเขาจะดูถูกความคิดแบบนี้มากกว่า

“ เธอคิดและควรตัดสินใจให้ดี อย่าใช้แต่ความไร้เดียงสาตัวเอง—ตอนนี้ที่เธอต้องทำคืออะไรกันแน่ ”

ลูเบลล่ากำหมัดตัวเองแน่น นานจนมันไร้สีเลือด

' ถึงจะรู้ว่าเธอยังพึ่งออกหาประสบการณ์ แต่เวลานี้เธอไร้เดียงสาขนาดนี้เลยหรือไงนะ '

ไม่สิ ต่อให้เป็นช่วงเวลานั้นที่เธอเป็นนักบุญอาจจะเป็นคล้ายแบบนี้แหละ 

สำหรับเขามันน่าผิดหวังมาก

‘ งั้นก็ช่างเถอะ เธออยากทำอะไรก็แล้วแต่เธอ ’

ซีคกำลังจะคลายแขนที่ประสานอยู่หลังคอแต่—

ฟึบ!

ลูเบลลาเงยหน้าขึ้นอย่างแรง ดวงตาเธอจ้องไปที่ซีคอย่างเป็นประกายเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

 “ ฉันมีเรื่องจะถามนายอย่างหนึ่งค่ะ ”

 “ อะไร? ”

“ นายแข็งแกร่งไหม? แข็งแกร่งพอจะช่วยฉันหยุดเหตุการณ์เลวร้ายนี้ได้มั้ย ”

‘ ต้องอย่างนี้สิ ’

ดวงตาของซีคมีประกาย เขามองเธอด้วยความอยากรู้ ตอนแรกจะลุกขึ้นยืนแล้วเปลี่ยนมากอดอกนั่งฟังแทน

‘ เธอไม่ได้จมอยู่ในความอ่อนแอตัวเอง แต่กำลังประเมิณความเป็นไปได้จากพลังของเราอยู่ ’

ที่เธอทำเป็นการตัดสินใจที่ไม่เลว หากไม่รู้กำลังตัวเอง หรือเข้าใจภาพรวมของสถานการณ์ มุ่งมั่นไปก็ไร้ประโยชน์จะบอกว่าคำแนะนำของซีคมีผลกับเธอก็ได้

ซีคมองไปที่จานที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าลูเบลล่า ฮานที่นั่งข้างลูเบลล่าเอียงคอสงสัย

ซีคดึงช้อนที่อยู่บนจานเบา

สวบ!

โต๊ะแยกออกเป็นสองส่วน ดวงตาของลูเบลล่าและฮานกว้างขึ้นอย่างตกใจ

ปั๊งง! ปักก!

เครื่องใช้บนโต๊ะหล่นลงพื้น พร้อมโต๊ะไม้ที่ทรุดลง โชคดีที่ลูเบลล่าทานทุกอย่างบนจานไปหมดแล้วไม่งั้นตามพื้นคงเลอะเปื้อนไปแล้ว แต่ลูเบลล่าและฮานไม่ได้สนในเรื่องนี้หรอก พวกเขามัวแต่มองช้อนไม้ที่ซีคถืออยู่

“ ข้าว่าก็แกร่งพอจะช่วยได้นะ”

ลูเบลล่าพยักหน้าอย่างเหม่อๆ

 

.

.

.
 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.