ปาฏิหาริย์ซาตาน 1 : ต้อนรับน้องใหม่ 1 (Rewrite)

ปาฏิหาริย์ซาตาน

-A A +A

ปาฏิหาริย์ซาตาน 1 : ต้อนรับน้องใหม่ 1 (Rewrite)

  “เร็วเข้า!..หนีเร็วพวกเรา มันมาแล้ว!!!” เสียงเอะอะโวยวายของคนจำนวนหนึ่งดังเซ็งแซ่มาจากด้านนอก ท่ามกลางเสียงโครมครามอลหม่านแทบจับทิศทางแน่นอนไม่ได้

  “กรี๊ดดด! ช่วยด้วยยยยย!!!” แล้วเสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังตัดความวุ่นวายขึ้นมา

            เงี่ยหูฟังดีๆ นอกจากเสียงชุลมุนรอบด้านแล้ว ฟาร์เน่ยังได้ยินเสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากวิ่งพลุกพล่านไปทั่วอีกด้วย เธอยังนอนต่อ เพราะคิดว่านี่อาจเป็นความฝันก็ได้ ทว่าหูก็มิวายได้ยินเสียงคนร้องโอดครวญโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานตามมาติดๆ อีกหลายครั้ง

            นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ...? ฟาร์เน่ถามอยู่ในใจขณะยังนอนหลับตานิ่ง หรือนี่เรากำลังฝัน...
ฝันบ้าๆน่า คนจะนอน เปลี่ยนเรื่องที่มันดีกว่านี้หน่อยเถอะ!

            ปังๆๆ!!! ปังๆๆ!!! ทันใด เสียงทุบประตูก็ดังลั่น มันดังติดต่อกันหลายต่อหลายครั้งราวคนทุบ
กำลังร้อนรนกับอะไรบางอย่าง ใครคนนั้นยังคงกระหน่ำทุบอย่างไม่ลดละ ก่อนน้ำเสียงไม่คุ้นหูจะเรียก
ชื่อเธอขึ้นมาด้วยความรีบเร่ง

  “ฟาร์เน่! เปิดประตู ฟาร์เน่! ตื่นได้แล้ว รีบไปเร็ว!!!” เสียงทุ้มเท่นั้นตะโกนเรียกด้วยความร้อนใจ

            นี่มันความฝันใช่ปะ? ฟาร์เน่เริ่มไม่แน่ใจขึ้นมา เพราะสิ่งที่ได้ยินมันชัดเจนจนไม่อาจปักใจคิดว่าเป็นเพียงความฝันได้เหมือนเดิม

  “ฟาร์เน่ได้ยินพี่ไหม! ฟาร์เน่! ไอ้ฟาร์!!!”

            ปังๆๆ!!! ปังๆๆ!!! หมัดหนักกระหน่ำทุบประตูรุนแรงแทบจะพังเข้ามาให้ได้ยังส่งเสียงเร่งเร้า
ก่อนความทรงจำหนึ่งจะแล่นเข้ามาในสมองเด็กสาว ทำให้ร่างบางสะดุ้งลุกพรวดทันที

            เมื่อเปลือกตาเปิดขึ้น ภาพที่เห็นทำให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจ ที่นี่ที่ไหน? ... สภาพห้องไม้ครึ่งอิฐโทรมๆ ห้องหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า รอบบริเวณมีข้าวของเก่าๆ น้อยชิ้น มองไปทางใด
ก็ไม่เหมือนห้องที่เคยคุ้นตาสักนิด

  “ไอ้ฟาร์ได้ยินพี่ไหม! ไอ้ฟาร์ตื่นเร็ว! เราต้องรีบหนีแล้ว!!!” เสียงนั้นเรียกสติฟาร์เน่กลับมาอีกครั้ง ถึงจะยังตกอยู่ในความงง แต่เธอก็เลือกที่จะรีบวิ่งเข้าไปปลดกลอนประตูไม้เก่าๆ ออก “ฟาร์เน่เราต้องรีบหนีเดี๋ยวนี้!” เหมือนกับคนทุบกำลังรอจังหวะอยู่แล้ว พอกลอนคลาย ประตูก็ถูกกระชากออกอย่างรวดเร็ว
            หน้าประตูพบชายหนุ่มหน้าตาเคร่งเครียดคนหนึ่งยืนอยู่

ดูจากสีหน้าของเขาประกอบกับเสียงโหวกเหวกด้านนอก เด็กสาวพอรู้ว่าเหตุการณ์เวลานี้
ไม่ปกตินัก แต่กำลังจะเอ่ยถาม คนตรงหน้าก็รีบฉุดแขนวิ่งออกมาเสียก่อน เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า สถานการณ์แบบนี้ยังไม่ควรถามอะไรให้มากความ จึงปล่อยอีกฝ่ายพาวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ขัดขืน

            พ้นจากบ้านครึ่งไม้ครึ่งอิฐเก่าๆ ออกมาได้ ฟาร์เน่ก็พบกับสภาพตรอกซอกซอยที่บ้านแต่ละหลัง
พังพินาศยับเยิน ข้าวของตามทางกระจัดกระจายไปทั่ว วิ่งไปเรื่อยๆ ก็พบผู้คนหนีตายกันจ้าละหวั่น
ตามพื้นมีศพเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดนอนเกลื่อนกลาด บ้านบางหลังบางตึกไฟลุกท่วม

  “เฮ้ยหยุดนะ! พวกแกสองคนจะหนีไปไหน!!”

ขณะที่หนึ่งหญิงหนึ่งชายพยายามเร่งฝีเท้าให้พ้นจากพื้นที่อันตรายให้เร็วที่สุด เสียงร้องทักก็ดังมาจากทางหนึ่ง ทั้งคู่หันขวับมอง ก่อนพบทหารม้าสามนายยืมม้าอยู่ห่างออกไปประมาณห้าสิบเมตร
กำลังจ้องมาทางพวกเธอเป็นตาเดียว

  “หนีเร็ว!!!” ไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน มือแข็งแรงก็รีบฉุดฟาร์เน่วิ่งเลี้ยวหลบเข้าตรอกหนึ่งมาทันที

  “เฮ้ย! อย่าหนีนะ!!!” เสียงทหารม้าตะโกนไล่ตามหลัง พลางรีบควบพาหนะเข้าหา

            ทั้งสองคนวิ่งและก็วิ่งแบบไม่คิดชีวิต ทว่าเพียงสองขาจะเร็วกว่าสี่ขาเหมือนม้าได้อย่างไร

  “เอาไงกันดี หนีไม่ทันแน่” ฟาร์เน่ถามขึ้นด้วยความกังวล ขณะพยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุด

  “เอางี้ พี่จะรับมือไว้ให้ แล้วแกก็รีบหนีไปซะ” คนข้างกายหันมาบอกอย่างตัดสินใจได้

  “ไม่ได้! จะให้ฉันทิ้งคุณได้ยังไง ต่อให้รอดหรือตาย ฉันก็ไม่ยอมทิ้งคุณหรอกค่ะ!” ฟาร์เน่รีบแย้ง
ด้วยความตกใจกับความคิดของเขา

  “แกต้องไป..พี่คงช่วยแกได้เท่านี้" เขาพูดเสียงหนักแน่น พลางพยายามพาน้องสาวของตนเอง
วิ่งลัดเลาะเข้าไปในตรอกซอยต่างๆ เพื่อไม่ให้ทหารม้าด้านหลังตามได้ถนัดนัก

  “ไม่!...เราหนีมาด้วยกัน ก็ต้องไปด้วยกันสิคะ ฉันไม่ได้เห็นแก่ตัวจนคิดจะเอาตัวรอดไปคนเดียว
สักหน่อย”

            ถึงตรงนี้ชายหนุ่มพาเด็กสาวหยุดวิ่ง ก่อนหันมามองด้วยแววตายากเข้าใจความหมาย พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู

  “ขอบใจแกมาก แกเป็นคนดี ไม่ควรจะมาจบชีวิตที่นี่ พี่สัญญาว่าจะไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ แกยังมีภารกิจต้องทำไม่ใช่หรือไง แกควรรีบหนีไปก่อน ไม่ต้องห่วงคนอย่างพี่ เข้าใจไหม...”

            ภารกิจที่ต้องทำงั้นหรือ? ...เขาหมายความว่ายังไงกันนะ!

  “อย่ามัวสงสัยให้มาก ไปได้แล้ว ถ้ายังอยากช่วยคนที่แกรักออกจากที่นี่ให้ได้อยู่” ชายหนุ่มอ่านแววตาเด็กสาวออกจึงเตือนสติอีกครั้ง

  “เอ๊ะ!” ฟาร์เน่อดตกใจคำพูดนั้นไม่ได้ ทั้งที่ยังไม่แน่ใจความหมายของเขามากนัก

  “เอ้า มีดนี้พี่ทำมาเผื่อ เก็บไว้ให้ดีล่ะ” เขายัดมีดยาวพอดีมือใส่มือเธอ ก่อนเร่งเร้า เมื่อหันไปเห็นว่าพวกทหารม้ากระชั้นชิดเข้ามาแล้ว

            แม้จะยังไม่แน่ใจคำพูดบางอย่างของชายหนุ่ม แต่อะไรบางอย่างก็สั่งให้ฟาร์เน่เชื่อเขา แล้วรีบผละจากมาอย่างรวดเร็ว แม้อีกใจจะเป็นห่วงคนที่ยอมเสียสละเพื่อเธอไม่น้อยก็ตาม

 

  “เฮ้ยตื่น! ตื่นกันได้แล้ว พวกแกอย่ามัวนอนขี้เกียจ ได้เวลาออกไปทำหน้าที่แล้ว! ตื่น!ตื่น!”
เสียงแหบกระด้างโหวกเหวกขึ้น ทำเอาเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังหลับสบายอยู่ดีๆ รู้สึกหัวเสียขึ้นมา
แม้กระนั้นเจ้าของร่างสมส่วนก็ยังไม่ฟังคำ เธอปิดหูแล้วหลับต่อไป

  “ตื่น! ตื่น!รีบตื่นกันได้แล้ว!ได้เวลาเดินทางแล้วโว้ย!” เสียงนั้นยังดังกวนโสทประสาทอยู่เรื่อยๆ

            แวมไพร์เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน ในใจคิดไปว่า เพื่อนสักคนที่พักในคอนโดด้วยกันคงเปิดหนัง
เสียงดังแน่

  “เฮ้ย! นังไพร์ เหลือเอ็งคนเดียวแล้วนะ อย่าคิดว่าสวยแล้วจะทำอะไรก็ได้นะโว้ย ตื่นเดี๋ยวนี้
ออกเดินทางได้แล้ว!” เจ้าของเสียงแหบห้าวมาหยุดยืนอยู่บนหัวเด็กสาว เสียงระคายแก้วหูนั้นทำลาย
ความอดกลั้นของเธอจนหมดสิ้น

  “นังแวม..” ร่างกำยำหากผมและหนวดเครายาวพะรุงพะรังสีหม่นกับผิวหนังที่เล็ดลอดเสื้อผ้า
ให้เห็นบางส่วนเหี่ยวย่น บอกให้รู้ว่าชายคนนี้มีอายุมากแล้ว กำลังจะตวาดอีก ก็ต้องหยุดทันทีเมื่อริมฝีปากได้รูปของคนตัวเล็กตรงเท้าแหวขึ้นอย่างอารมณ์เสีย

  “โอ๊ยยย เสียงดังอะไรกันนักกันหนาวะ คนจะหลับจะนอน!” แวมไพร์โวยวายลั่น ไม่สนใจจะลืมตาขึ้นมาดูโลกตอนนี้สักนิด เอามือเกาหัวและปัดเส้นผมที่บังหน้าออกอย่างหงุดหงิด

  “หน็อย นังเด็กนี่วอนซะละ” ชายชราเห็นการกระทำของเด็กสาวก็อดโมโหบ้างไม่ได้ เขาใช้มือ
หยาบกร้านดึงผ้าห่มและผ้าปูนอนของเธอออก ก่อนสะบัดทรายใส่ด้วยความหมั่นไส้ คราวนี้แหละที่ทำให้เด็กสาววัยสิบเจ็ดลืมตาตื่นขึ้นมาได้สักที

  “เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย!” แวมไพร์โวยวายขึ้น ก่อนจะสำลักฝุ่นทรายที่เผลอสูดเข้าไป พลางรีบ
ปัดหน้าปัดตาตนเองเป็นพัลวัน ร่างสมส่วนลุกขึ้นยืนด้วยความหงุดหงิด กวาดสายตาเอาเรื่องไปรอบๆ
หาตัวการแกล้งเธอเมื่อกี้

  “ข้าเอง..หน็อยยย นี่อย่าเห็นว่าเอ็งมันหน้าตาดีแล้วข้าจะปราณีเอ็งกว่าปกตินะนังเด็กเมื่อวานซืน..ไป ไปเดินทางต่อได้แล้ว!” ชายชราเอ็ดใส่บ้าง พูดจบเขาก็เดินผละไป ทิ้งเพียงความสงสัยไว้ให้แวมไพร์
ที่เพิ่งตื่นเต็มตาได้ไม่นาน...ที่นี่ที่ไหนวะ? เด็กสาวคิด

 

  “ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?” แวมไพร์บ่นกับตัวเองไม่ดังนัก เธอกำลังฉงนกับสถานที่ที่ตนอยู่ ณ ตอนนี้ ข้างหน้าเป็นเมืองเมืองหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ส่วนทางด้านหลังคือท้องทะเลทรายที่เธอเพิ่งเดินมาเกือบ
สามสี่ชั่วโมง

            แวมไพร์ตกอยู่ในสภาพนางทาสที่กำลังจะถูกนำไปขายในเมืองขนาดกลางแห่งหนึ่ง ซึ่งมัน
เป็นสภาพที่เธอไม่คิดจะเป็นเลยสักนิด

  “เชือกนี้แกะยากจริง!” เด็กสาวบ่นด้วยความหงุดหงิดขณะพยายามใช้วิชาที่พี่ชายแท้ๆ เคยสอนให้ แกะเชือกที่มัดมือสองข้างของเธอล่ามกับอูฐผู้คุมในกองคาราวานออก

  “นี่คิดจะทำอะไรของเอ็งนังแวมไพร์” ชายแก่ผู้นำคาราวานเอ่ยขึ้นเมื่อขี่อูฐตรวจขบวนมาพบ
แวมไพร์ที่พยายามจะแกะเชือกอยู่เข้า “เอ็งคิดจะหนีงั้นเรอะ หึๆๆ ไม่มีวันเป็นอย่างนั้นไปได้หรอก เดินตามพวกข้ามาซะดีๆ อย่าคิดหนี แล้วจะดีเองถ้าเอ็งมีนายคนใหม่มาซื้อตัวไป ฮ่าๆๆๆ” เขาหัวเราะชอบใจ
ก่อนบังคับอูฐเดินกลับไปนำขบวนต่อ โดยไม่ทันได้ยินคำพูดที่เด็กสาวว่าตามหลัง

  “ดีกับผีน่ะสิ อย่าให้หลุดไปได้แล้วกัน!”

            เข้ามาถึงเขตเมืองด้านหน้า ได้พักสักพักแวมไพร์ก็ถูกใช้ให้แต่งตัวอวดสัดส่วนเพื่อเรียกลูกค้า
เสื้อแขนกุดขาดเอววิ้นเก่าๆ เผยให้เห็นต้นแขนขาวจัดและเอวคอดสุดเย้ายวนกับกางเกงขาสั้นขาดปลายโทรมๆ อวดขาขาวน่ามอง

            ทาสที่ติดขบวนมาแต่ละคนแม้จะหน้าตาดีก็ดูธรรมดาไปเลยหากเทียบกับแวมไพร์ ที่สระสวยมากเสน่ห์กว่าใคร รูปหน้าเธอมีทั้งความสวยและความหล่ออยู่ในตัว จะแต่งหญิงก็โดดเด่น จะแต่งชายใครๆก็เหลียวหลัง ชายแก่คิดว่า แวมไพร์นี่แหละที่น่าจะขายได้ราคา
ดีที่สุด และสมควรจะต้องเรียกราคาแพงๆ เข้าไว้

            ทาสชายทาสสาวคนแล้วคนเล่าถูกจับขึ้นแสดงสรรพคุณ ก่อนคนมีเงินจะมาซื้อตัวไป

  “เหอะๆๆ ตาเอ็งแล้วนังแวมไพร์” ชายแก่หนวดเคราลุงลังเดินเข้ามาหา

  “แกอย่าหวังจะได้ขายคนอย่างไอ้ไพร์เลย!” แวมไพร์คำรามลอดไรฟันออกมาด้วยสายตาแข็งกร้าวไม่ยอมคน

  “เอ็งมีทางเลือกเรอะ ในเมื่อเป็นทาสของข้า ฮ่าๆๆ ที่จริงข้าก็เอ็นดูเอ็งอยู่หรอกนะ เอ..หรือข้าจะ...” ชายชรามองแวมไพร์ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ พลางทำท่าคิดอะไรบางอย่าง

  “จะทำอะไรก็รีบทำ ถ้าช้า ระวังแกจะเดือดร้อนไม่รู้ตัว!” แวมไพร์รีบขัดความคิดน่าขยะแขยง
ของอีกฝ่ายขึ้นก่อน ขืนไม่รีบทำอย่างนั้น เธอคงต้องโดนนำไปอยู่เป็นเมียตาแก่นี้แน่ อยู่กับคนอื่น
น่าจะเจริญหูเจริญตามากกว่า

  “เหอะๆๆ” ชายแก่ลูบเคราตนเองพลางยิ้มขัน ก่อนจะสั่งให้ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งพาตัวเธอไปยังจุดขาย

            ทันทีที่ร่างขาวจั๊วะของเด็กสาวเดินออกมาจากกระโจม บรรดาชายหนุ่มและแก่ที่อยู่บริเวณนั้น
ก็พากันเข้ามาร่วมประมูลทันที พวกที่เลือกประมูลทาสคนก่อนๆ ไปแล้วต่างเจ็บใจ ในเมื่อทาสสาว
ที่พวกเขาได้มานั้นไม่ได้ครึ่งของแวมไพร์เลยสักนิด

  “เฮ้ย! ทำอะไรวะ เอามือของพวกแกออกไป อย่ามาแตะตัวฉันนะโว้ยยยย!” แวมไพร์พยายาม
เบี่ยงตัวหลบมือสากๆ ทั้งหลายที่เอื้อมมาลูบไล้ร่างกายของเธออย่างหื่นกระหาย นี่หากไม่ติดว่า
ดูลาดเลาอยู่ล่ะก็ พวกนี้ต้องมีเลือดตกยางออกแน่

            เมื่อชายชราเจ้าของทาสเดินตามออกมาหน้าลานขาย ไม่ทันที่เขาจะทันได้กล่าวนำเสนอสรรพคุณของแวมไพร์เหมือนทาสก่อนหน้า เสียงประมูลราคาจากเหล่าชายมีเงินแก่หนุ่มก็แข่งกันเซ็งแซ่ขึ้นทันที
ราวกับคนเหล่านั้นอยากจะได้ตัวทาสสาวกลางลานเต็มประดา

  “สามสิบเหรียญทองคำ!”

  “ห้าสิบเหรียญทองคำ!”

  “ข้าให้ห้าสิบห้าเหรียญทองคำ!”

            เสียงประมูลราคาทาสสาวดังต่อกันเรื่อยๆ และดูเหมือนราคาที่แต่ละคนเสนอจะถูกใจชายแก่เจ้าของทาสมากทีเดียว

  “หนึ่งร้อยเหรียญทองคำ!”

            ถึงตรงนี้เสียงประมูลเริ่มเงียบลงจนแทบจะไม่มีใครเอ่ยต่อรองราคาเพิ่มอีก

  “หนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญทองคำ!” แล้วเสียงทุ้มเท่จากชายร่างสูงคนหนึ่งก็เอ่ยแทรกขึ้น เสียงต่อรองเงียบหายไปครู่ใหญ่ จนเจ้าของทาสสาวต้องเอ่ยขึ้นเพื่อตัดราคา

  “เอาล่ะ ตอนนี้ราคาของทาสสาวคนนี้อยู่ที่หนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญทองคำ มีใครจะต่อรองกับ
พ่อหนุ่มคนนั้นอีกไหม?” ชายชราเจ้าของทาสกวาดสายตามองเหล่าชายหลากวัยที่ล้อมวงประมูลราคาอยู่

            ทางขุนนางหัวงูได้ยินก็เริ่มเดือด ในเมื่อทาสสาวสวยตรงหน้ากำลังจะตกมาเป็นของเขาอยู่แล้ว หากไม่มีไอ้หน้าอ่อนที่ไหนมาขัดเสียก่อน

  “สองร้อยเหรียญทองคำ!” ขุนนางแก่หัวงูกัดฟันบอกออกไป แล้วหันไปยิ้มเยาะให้กับชายร่างสูงด้านหลัง เพราะคิดว่าตนคงชนะขาดลอยเป็นแน่

  “งั้นข้าให้ห้าร้อยเหรียญทองคำ!” ชายหนุ่มครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด ราคาที่เขา
พูดออกมานั้น สูงที่สุดเท่าที่เคยมีการประมูลทาสมาก่อน แม้แต่ขุนนางหัวงู เมื่อได้ยินยังต้องยอมแพ้
อย่างเลี่ยงไม่ได้

  “ฮ่าๆๆๆ ยังจะมีใครให้ราคาสูงกว่านี้อีกไหม? !” ชายแก่ถามด้วยใบหน้ายิ้มร่า “ถ้าไม่มีใครจะให้ราคาสูงกว่านี้อีก ข้าจะยกทาสสาวคนนี้ให้กับพ่อหนุ่มคนนั้นเลยละกัน...สาม...สอง...หนึ่ง..ปิดการประมูล!" เสียงตัดสินราคาสิ้นสุดลง สุดท้ายแวมไพร์ตกเป็นทาสของชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่แม้เขาจะไว้เครายาวปิดหน้าไปบ้าง แต่มองก็ยังเห็นชัดถึงรัศมีความหล่อที่ฉายออกมา

            หลังจากได้ตัวเด็กสาวมาแล้ว ชายหนุ่มคนดังกล่าวก็พาเธอไปซื้อชุดใหม่ให้เปลี่ยน ก่อนพาไป
ทานข้าวเรียบร้อย จากนั้นจึงพามาที่อูฐของเขา

  “จะพาไปไหน?” แวมไพร์ถามขึ้นห้วนๆ เป็นผลให้นายหนุ่มปรายหางตามองอย่างจะดุ ทว่าเด็กสาวไม่ได้สนใจหรือนึกกลัวสักนิด

  "กลับบ้าน" เขาตอบเรียบนิ่ง แล้วเหยียบบังเหียนขึ้นควบอูฐทันที

#ผู้แต่ง ครองใจ เมตต์พิรุณ & Vampire

#ขอบคุณหัวใจ ของเธอ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.