รักสองชาติ บทที่ 2

รักสองชาติ

-A A +A

รักสองชาติ บทที่ 2

ยามใกล้รุ่งของวันใหม่ ท้องฟ้าด้านนอกยังค่อนข้างมืด ภายในห้องนอนของบันทกบัดนี้อึมครึมด้วยบรรยากาศเย็นเยือก อึดอัด และคลื่นความหม่นมัวที่เกิดขึ้นอย่างไรไม่ทราบได้

ขณะนั้น เขาเริ่มรู้สึกตัวออกจากห้วงนิทรา ก่อนสัมผัสทางกายจะรู้สึกถึงความผิดปกติภายในห้อง ร่างกายเขาแข็งค้าง คล้ายถูกยึดไว้ด้วยเชือกแน่นหนา

อีกแล้วหรือ? บันทกคิดภายในใจที่ความรู้สึกหวั่นสะท้านกำลังก่อตัวขึ้น

สายตาเขาค่อยๆเหลือบมองปลายเตียงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ราวกับอะไรบางอย่างดลใจและบังคับให้มองไปที่นั่น เขาไม่อยากมอง ไม่อยากเห็นมัน แต่สุดจะต้านทานได้ในขณะนี้

เงาดำตะคุ่มน่าพิศวงหลายร่างยืนอยู่ปลายเตียง แม้ไม่เห็นหน้าตา แต่รับรู้ได้ว่าพวกมันกำลังจ้องเขม็งมาทางเขาด้วยแววตามาดร้าย ความเศร้าสร้อย เคียดแค้นจากเงาดำเหล่านั้นส่งความอึดอัดบีบคั้นชายหนุ่มให้ต้องกระสับกระส่าย ความหวาดกลัวจู่โจมจิตใจอีกครั้ง

ดิ้น! ดิ้นอย่างไรร่างกายก็ไม่สามารถหลุดจากพันธนาการไร้ที่มา พวกมันเริ่มขยับ ขนทั้งกายลุกซู่ ตาเขาเบิกค้างอย่างสะพรึง และแล้ว ร่างทะมึนเหล่านั้นก็พร้อมใจพุ่งใส่เขาอย่างไม่ปรานี

“อย่า!!” เสียงบันทกดังลั่นห้อง พร้อมกับตัวที่ผวาขึ้นจากเตียง เขาหายใจถี่กระชั้นเพราะความตกใจ เหงื่อเม็ดน้อยผุดตามใบหน้าและไรผม บ่งบอกว่าเพิ่งผ่านเหตุการณ์ขนพองสยองเกล้ามาหมาดๆ

 

สายลมเย็นยามตะวันแรกของวันลอยผ่านช่องแคบๆของหน้าต่างที่แง้มไว้เล็กน้อยเข้ามาถูกตัว คล้ายทักทาย คลื่นทะมึนหม่นมัวยังลอยอ้อยอิ่งในห้อง หากเจือจางลงบ้างกว่าก่อนหน้านี้

ชายหนุ่มค่อยๆตั้งสติได้ พยายามปลอบตนเองในใจ เมื่อรู้สึกดีขึ้นบ้าง จึงเดินไปเปิดหน้าต่างรับลมสบายด้านนอกเข้าปอด ก่อนหันกลับไปมองที่ปลายเตียงซึ่งเคยเห็นพวกเงาดำน่ากลัวนั้นอยู่

"ไม่มีอะไร" บันทกพูดกับตนเอง แล้วเดินไปกดสวิตช์เปิดไฟที่มุมห้อง หันกลับไปมองที่เดิมอีกครั้ง เมื่อแจ้งใจว่าตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วก็ค่อยใจชื้นขึ้น  ก่อนยกมือคลำบริเวณอก เมื่อพบว่าของสำคัญที่มักใส่ติดตัวไม่อยู่ก็รีบหันมองหา พบสิ่งนั้นวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงก็เดินอ้อมเตียงไปหยิบขึ้นพนมไหว้ด้วยความเคารพ แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างซึ่งมีผ้าคลุมไว้อยู่

 

ด้วยความระลึกถึง เขาก็เอื้อมไปดึงผ้าออก เผยให้เห็นกระดานวาดภาพที่ตั้งอยู่บนขาตั้งสูง กระดานภาพนั้น บัดนี้ปรากฏภาพวาดดินสอของหญิงสาวสวยคนหนึ่ง กำลังยืนคาบวัตถุลำยาวขนาดกลางไว้ที่ปากด้วยท่วงท่างามอ่อนช้อย คนวาดลงสี ระบายแสงเงาอย่างสวยที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ มันจึงวิจิตรอัศจรรย์ตายิ่งนัก

ภาพนี้ บันทกจงใจวาดคะนึงนิจในวันแรกที่เขาพบเธอ หากภาพหนึ่งผุดขึ้นมาทับซ้อน ทำให้เขาดัดแปลงภาพเธออยู่ในอิริยาบถยืนเป่าขลุ่ยไม้อยู่แทนที่จะเป็นฟลุ๊ต แต่งกายด้วยผ้าพื้นเมืองลายวิจิตรพิสดาร ผมยาวถูกเกล้าไว้เหนือหัวปล่อยหางผมลงมาแล้วปักปิ่นเงินไว้

บันทกมองภาพด้วยแววตาชื่นชมในหญิงสาวเหมือนเคย หากลึกลงไป ในใจหนึ่งแม้มีความยินดีที่เธอมีความสุข แต่อีกใจเขาก็รู้ดีว่ากำลังเจ็บปวดแค่ไหน

 

เปิดภาคเรียนใหม่ ตอนนี้เข้าสู่ภาคเรียนที่สองของชั้นปีที่สามสำหรับนักศึกษาหนุ่มแล้ว โครงการของชมรมเทอมนี้ บันทกก็อยากสานต่อโครงการเดิมเมื่อเทอมที่แล้ว หากอาจารย์ที่ปรึกษาเสนอว่า อยากเปลี่ยนเป็นสอนเด็กๆวาดรูประบายสีบ้าง เพื่อเด็กจะได้มีพัฒนาการและทักษะหลายด้าน

แม้เขาจะรู้ว่าครั้งนี้คะนึงนิจจะไม่ได้สอนเด็กๆทำขนมอีก แต่เขาก็ไม่ลืมสัญญาที่เคยให้ไว้แก่เธอ จึงฝากเพื่อนคนเดิมที่รู้จักหญิงสาวไปบอกข่าวให้ทราบ

แต่แล้วความที่จะได้ใกล้ชิดเธออีกครั้งก็สลาย เมื่อฝ่ายนั้นตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ด้วยช่วงนี้คุณปู่ของเธอเข้าโรงพยาบาล และเห็นเพื่อนเขาว่า คุณปู่ท่านนี้เธอรักมาก เพราะช่วยแม่นมเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็ก อีกอย่างท่านก็อายุมากแล้ว เมื่อหยุดเสาร์อาทิตย์ก็อยากไปคอยดูแลใกล้ชิด หญิงสาวจึงบอกเพียงว่า หากคุณปู่อาการดีขึ้นจะมาช่วย

ได้รู้อย่างนั้น ชายหนุ่มก็นึกเป็นห่วงเธอขึ้นมา หลังเลิกเรียน รอจนถึงเวลาที่รู้ว่าหญิงสาวจะเข้าชมรม เขาก็มาคอย แต่จนชมรมใกล้ปิด ยังไม่เห็นเธอมาจึงเข้าไปถามสมาชิกชมรมที่เหลืออยู่ ก็ได้ทราบว่า หญิงสาวแจ้งว่าจะไม่เข้าชมรมพักหนึ่ง เพราะคุณปู่ป่วย

รู้อย่างนั้นเขาก็คิดอยู่สองสามวันว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้ทราบข่าวเธอ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า น่าจะขอเบอร์ติดต่อเธอจากคนในชมรมดู

 

 

กลับมาที่หอพัก เวลาหัวค่ำ บันทกกำลังลังเลว่าควรจะโทรหาคะนึงนิจดีหรือไม่โทรดี แต่ด้วยความเป็นห่วง เขาจึงรวบรวมความกล้ากดหมายเลขสิบหลักต่อสายถึงอีกฝ่าย

[สวัสดีค่ะ] เสียงหวานกังวานของปลายสายกล่าวทักทายเนิบช้าตามแบบสตรีผู้เรียบร้อยดังเคย

บันทกหายใจเข้าลึกๆ แล้วรวบรวมความกล้าอีกครั้งพูดออกไป

“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่านี่เบอร์คะนึงนิจไหมครับ”

[ค่ะ ไม่ทราบว่ากำลังคุยสายอยู่กับใครคะ]

"ผม บันทก ครับ" เขารายงานตัว และหวังว่าเธอจะยังจำเขาได้บ้าง หลังจากไม่ได้คุยกันหลายเดือน

[บันทกเองหรือคะ มีอะไรกับนิจหรือเปล่า] หญิงสาวใช้เวลาไม่นานก็จำได้ แล้วถามกลับ

"เอ่อ..ผมรู้จากยัยอุ๋ยว่าปู่นิจเข้าโรงพยาบาลหรือครับ ไม่ทราบว่าท่านเป็นยังไงบ้าง"

[อาการยังทรงตัวค่ะ ไม่แย่ลง หรือดีขึ้น] คะนึงนิจเล่า

“เอ่อ..แล้วนิจเป็นยังไงบ้างครับ”

[สบายดีค่ะ บันทกล่ะคะ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน]

"ผมสบายดีครับ...."

บันทกถามข่าวหญิงสาวต่ออีกนิดหน่อยก็วางสาย เพราะไม่อยากรบกวนเธอนาน หัวใจเขาเบิกบานขึ้น แม้ไม่ได้เจอกัน แต่อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสคุยสายตรงด้วย จากนั้นชายหนุ่มก็กดบันทึกเบอร์เธอไว้ และโทรหาเธอในบางวันเพื่อถามไถ่

 

วันหนึ่ง บันทกมาเข้าห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัยเพื่อหาข้อมูลไปทำงานวิจัย ขณะเขากำลังมองหาหนังสืออยู่ที่ชั้น เสียงที่คุ้นหูของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น

"บันทกคะ" เสียงหวานกังวานทักทายด้วยไมตรีอย่างเคย

แล้วเขาก็รีบหันไปมองเพราะจำได้ว่าเสียงใคร ก่อนส่งยิ้มให้ด้วยความยินดีอย่างปิดแทบไม่มิด

“นิจมาได้ไงครับ” บันทกถาม

"นิจมาหาหนังสือไปทำวิจัยค่ะ บันทกล่ะ" คะนึงนิจตอบเขาด้วยรอยยิ้มสดใส

“เหมือนกันครับ แล้วนิจได้หนังสือหรือยัง”

"ยังค่ะ เพิ่งมาถึงนี่เอง ผ่านมาเจอบันทกเข้าจึงมาทักทายก่อนค่ะ" เธอบอก

“นิจทำวิจัยเรื่องอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มถามต่อ

"...." คะนึงนิจก็ตอบหัวข้อวิจัย และรายละเอียดคร่าวๆให้บันทกฟัง

"งั้นผมไปช่วยหา" บันทกอาสาด้วยความเต็มใจ

“บันทกหาหนังสือของตัวเองเจอแล้วหรือคะ” หญิงสาวถามด้วยความเกรงใจและเป็นห่วง กลัวเขาจะเสียเวลาไปกับการช่วยเธอหาหนังสือ แทนที่จะหาของตนเองก่อน

"หาได้บ้างแล้วครับ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไปช่วยคุณได้" เขาบอกด้วยรอยยิ้มใจดี

พอหาหนังสือเสร็จ หลังจากได้คุยกันเขาจึงรู้ว่าเธอจะเข้าไปหาคุณปู่ต่อ บันทกจึงขอตามไปเยี่ยมท่านด้วย ทั้งสองจึงเดินทางไปโรงพยาบาลด้วยกัน

 

ที่ห้องพักพิเศษวีไอพี ขณะนี้ภายในห้องมีชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งกำลังอยู่ปรนนิบัติชายชราอายุราวๆเก้าสิบ พอบันทกโผล่เข้าไป สายตาสามคู่ก็หันมองเขาเป็นตาเดียว ด้วยเป็นคนแปลกหน้าสำหรับครอบครัวนี้ และด้วยคะนึงนิจไม่ค่อยมีเพื่อนผู้ชายมากนัก

หลังจากหญิงสาวแนะนำเขาให้คนทั้งสามรู้จัก เขาจึงได้ทราบว่า ชายหญิงวัยกลางคนคู่นี้คือคุณพ่อคุณแม่ของหญิงสาว และท่านที่อยู่บนเตียงคนไข้ ซึ่งเขาก็เดาได้ตั้งแต่แรกว่าต้องเป็นคุณปู่ของเธอ

ทุกคนดูต้อนรับเขาดี แม้ว่าในความกันเองที่แต่ละท่านให้ เขาจะสัมผัสได้ถึงความดูเชิงของพ่อหญิงสาว และความไว้ตัวเล็กน้อยของแม่เธอก็ตาม ส่วนคุณปู่ของเธอ ดูท่าเข้มงวด หากชายหนุ่มจะรู้สึกสบายใจกับท่านผู้เฒ่ามากกว่า

แม้บันทกจะพอทราบจากเพื่อนมาบ้าง ว่าครอบครัวของคะนึงนิจร่ำรวย มีเกียรติบารมีมากเพียงใด เขายังไม่รู้สึกตนต่ำต้อยมากเท่าตอนมาอยู่ต่อหน้าครอบครัวของเธอจริงๆ เพราะการแต่งกายภูมิฐาน บุคลิกสง่าน่าเคารพของพวกท่าน คอยจะข่มเขาให้กระจอกงอกง่อยอย่างเสียไม่ได้

 

 

หลายวันผ่านไป บันทกที่ขึ้นลิฟท์จะไปเรียนต่อยังชั้นหนึ่งของตึกภาควิชา... ขณะนั้น ลิฟท์ก็จอดที่ชั้นสาม เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก เขาก็ได้พบกับคะนึงนิจที่ก้าวเข้าลิฟท์มายืนเบียดเสียดผู้คนอยู่ข้างๆ

“มีเรียนต่อชั้นไหนหรือคะ” เธอถามอย่างชวนคุย ก่อนประตูลิฟท์จะเคลื่อนปิดแล้วยกตัวขึ้น

“ชั้นเจ็ดครับ นิจล่ะ” ชายหนุ่มถามกลับบ้าง

“ชั้นห้าค่ะ มีเรียนวิชา... บันทกล่ะคะ”หญิงสาวตอบช้าชัดอย่างสำรวม

"ผมมีเรียนวิชา...ครับ" เขาตอบ แล้วทันใด จู่ๆไฟในลิฟท์ก็ดับลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตามด้วยการหยุดเคลื่อนตัวของตู้ลิฟท์อย่างกะทันหัน ผู้คนในลิฟท์เริ่มพากันแตกตื่นทันที

 

"ให้ทุกคนตั้งสติกันก่อนนะครับ อย่าเพิ่งแตกตื่น ไฟน่าจะดับ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่คงมาดู ใครมีเบอร์ หรือช่องทางติดต่อเจ้าหน้าที่ รบกวนตามให้หน่อยนะครับ" แล้วเสียงมั่นคงของนักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นเรียกสติทุกคน จบคำพูด นักศึกษาทั้งหญิงชายก็ต่างจิ้มโทรศัพท์ในมือติดต่อหาผู้รับผิดชอบการเดินลิฟท์กันทันที

คะนึงนิจอดขวัญผวาเพราะกลัวเกิดเหตุในลิฟท์ไม่ได้ มือบางเย็นเฉียบสั่นน้อยๆ พลางไขว่คว้าหาหลักยึดใจ แล้วมือก็ขยับจับมือบันทกที่อยู่ใกล้ๆบีบโดยไม่รู้ตัว

ชายหนุ่มรับรู้ถึงแรงบีบแน่นของคนข้างๆก็เหลือบมอง เห็นหน้าเธอซีดจึงกระชับมือแน่นอย่างให้กำลังใจ

รอเกือบสิบห้านาทีลิฟท์ก็กลับมาทำงานเป็นปกติ ทุกคนพากันโล่งใจทันที ลิฟท์ยกตัวจนถึงชั้นที่คะนึงนิจจะลง บันทกเห็นหญิงสาวสีหน้ายังไม่ค่อยสู้ดีจึงเอ่ย

"เดี๋ยวผมไปส่งนิจหน้าห้องเรียนนะครับ"

"ค..ค่ะ"คะนึงนิจตอบตะกุกตะกัก ก่อนเดินจับมือบันทกออกมาจากลิฟท์ตรงไปยังห้องเรียน

ระหว่างทางที่เขาและเธอเดินผ่านนักศึกษามากมาย หลายคนต่างมองมาทางทั้งคู่ ด้วยพวกเขาเดินจับมือกันมาราวคนรักที่น่าอิจฉา บันทกที่รู้ตัวตลอดเวลาก็หน้าขึ้นสีที่ถูกมองตลอดทาง หากเหมือนฝ่ายคะนึงนิจยังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งถึงห้องเรียนของเธอนั่นล่ะ

"ผมส่งนิจแค่นี้นะครับ" เขาบอก แล้วรอให้หญิงสาวปล่อยมือ ทว่าเธอก็ยังไม่รู้สึกตัว จนเขาต้องเอ่ยปากเอง

"เอ่อ ขอโทษครับนิจ ผมจะไปแล้ว มือผม..." ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่กล้าบอกเธอตรงๆ

จนคะนึงนิจมองหน้าคนตรงหน้า เห็นสายตาเขามองมาที่มือข้างหนึ่งของเธอก็มองตาม ก่อนจะเห็นว่ามือเธอจับมือเขาไว้แน่นอย่างน่าอาย หน้าเนียนใสของหญิงสาวจึงแดงระเรื่อพร้อมรีบปล่อยมือเขาทันที

"นิจขอโทษค่ะ บันทกไปเรียนเถอะ นิจจะเข้าเรียนแล้ว" เธอบอกด้วยความอาย

"ครับ งั้นผมขอตัวก่อน" บอกแค่นั้น ทั้งสองก็แยกจากกัน

#ผู้แต่ง Mr.TJaw & ครองใจ เมตต์พิรุณ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.