Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 23

Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri]

-A A +A

Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 23

หมวดหนังสือ: 

Chapter 23: ความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

 

(มาการงบรรยาย)

 

เปิดเทิมใหม่มาได้เกือบเดือนแล้ว และเทิมนี้เป็นเทิมแรกในปีการศึกษาสุดท้ายของเด็ก ม.ต้นอย่างพวกเราค่ะ แน่นอนว่าชีวิตการเรียนก็ต้องหนักขึ้นเป็นธรรมดา ไหนจะต้องมานั่งคิดอีกว่าปีหน้าจะเรียนอะไรต่อดี

 

“นี่ พวกเธอน่ะ คิดกันไว้บ้างหรือยังว่าปีหน้าจะเรียนอะไรต่อ?” เสียงของช็อกโกล่าถามขึ้นในขณะที่เรากำลังเดินไปกินข้าวที่โรงอาหารในตอนพักกลางวัน

 

“ฉันเหรอ” ฉันพูดเบาๆ ในใจก็ครุ่นคิดถึงเป้าหมายในอนาคตที่วางแผนเอาไว้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็เผยรอยยิ้มพึงใจออกมาได้บ้าง เหลียวหลังไปมองก็เห็นซินนามอนกับช็อกโกล่ากำลังมองอยู่ก่อนแล้ว ฉันจึงรีบหุบยิ้มและกลับไปทำหน้านิ่งตามเดิม ก่อนจะพูดต่อ

 

“ฉันคิดว่า ปีหน้าคงจะเรียนศิลป์คำนวณ เพราะฉันชอบวาดรูปน่ะจ้ะ คิดว่าตอนโตเป็นผู้ใหญ่น่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อยละนะ”

 

“ก็ดีน้า มาการงวาดรูปสวยอยู่แล้ว ฉันว่าเรียนสายนี้เหมาะมากเลยจ้ะ” ซินนามอนเองก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย

 

“ก็ดีแล้วที่เธอรู้ว่าตัวเองถนัดอะไรแล้วก็อยากเรียนอะไรต่อ แต่ฉันอยากให้เธอคิดให้ดีนะ ไม่ใช่พอได้เข้าไปเรียนจริงๆ แล้วมานึกเสียใจทีหลังว่าไม่น่าเลือกสายนี้เลย” เสียงของช็อกโกล่าเตือนด้วยความหวังดี ฉันพยักหน้าเข้าใจ เพื่อนผมดำคนนี้มักจะเป็นห่วงเพื่อนคนอื่นเสมอ และฉันเองก็ไม่กังวลเกี่ยวกับการตัดสินใจเรื่องการเรียนต่อของเธอเท่าไรนัก

 

“แล้วช็อกโกล่าอยากเรียนอะไรเหรอ?” ซินนามอนถามบ้าง ฉันหันไปมองเพื่อนผมดำข้างๆ ที่จู่ๆ ก็เงียบไป เธอทำหน้าครุ่นคิดอยู่นานทีเดียว จนสุดท้ายก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังเท่าไรนัก

 

“เอ่อฉันขอคิดดูก่อนนะ”

 

จบประโยคนั้น ทั้งฉันและซินนามอนต่างมองหน้ากัน และอุทาน เอ๊ะ!’ ออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย

 

“อะไรกันเนี่ยพวกเธอ ฉันก็ต้องตัดสินใจเลือกให้ดีเหมือนกันนะ แต่พวกเธอไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันจะเรียนต่อที่นี่แหละ ไม่ได้ย้ายโรงเรียน แต่แค่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกเรียนอะไรแค่นั้นเอง” คำพูดขยายความของช็อกโกล่าทำให้พวกเราที่เหลือสบายใจไปได้เปราะหนึ่ง อย่างน้อยสิ่งที่ฉันเคยคิดเอาไว้ว่าเพื่อนคนนี้จะไม่เรียนต่อที่นี่ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอนแล้ว

 

“โล่งไปที” ซินนามอนพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ฉันสังเกตว่าใบหน้าหวานที่มักจะเรียบเฉย บัดนี้คิ้วขมวดเข้าหากันมุ่น

 

“ว่าแต่เธอเถอะซินนามอน คิดไว้หรือยังว่าปีหน้าจะเรียนอะไร?” คราวนี้เป็นช็อกโกล่าที่ถามคำถามนี้กับเพื่อนผมสีน้ำตาลฟูที่เดินไม่พูดไม่จาอยู่ข้างฉัน ซินนามอนหันกลับมาก่อนจะให้คำตอบที่ไม่แตกต่างจากช็อกโกล่าเท่าไรนัก

 

“ฉันยังตัดสินใจไม่ได้เลยจ้ะ แต่คิดว่าคงไม่เรียนวิทย์คณิตแน่ๆ”

 

“ถ้าไม่อยากเรียนสายวิทย์ เธอลองไปสายภาษาดูไหมจ๊ะ ดูท่าทางแล้วก็เก่งภาษาอังกฤษอยู่พอตัวเลยน้า” ฉันออกความเห็น ซินนามอนพยักหน้าช้าๆ ก่อนตอบ

 

“คงจะเป็นแบบนั้นแหละจ้ะ ฉันชอบเรียนภาษา แต่ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเลือกเรียนภาษาอะไรดี”

 

“ยังพอมีเวลาตัดสินใจอยู่อีกอาทิตย์หนึ่งนะ ก่อนที่เราจะต้องส่งใบตอบรับ” ช็อกโกล่าพูดบ้าง ฉันนึกถึงใบตอบรับเกี่ยวกับการเลือกเรียนต่อในระดับมัธยมปลายที่หัวหน้าห้องแจกมาเมื่อสามวันก่อน โชคดีที่ฉันเก็บใส่กระเป๋าไว้ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นก็คงจะเอาไปลืมวางไว้ที่ไหนสักที่ในห้องจนต้องมาวิ่งวุ่นหาก่อนวันส่งอีกตามเคย

 

“จริงด้วย ถ้าเธอไม่พูดฉันก็คงจะยังไม่ได้หยิบมากรอกข้อมูลหรอก”

 

“มาการงก็อย่าลืมไปกรอกด้วยล่ะ มีเป้าหมายอยู่แล้วนี่ ไม่เหมือนกับพวกเราที่ยังต้องไปคิดต่ออีก กว่าจะได้กรอกคงอีกนานพอดูเลย” ซินนามอนพูด ก่อนจะหันไปหาเพื่อนผมดำที่ยืนเงียบอยู่

 

“จะว่าไปน้า ช็อกโกล่าเองก็เก่งทั้งวิทย์แล้วก็คณิตเลย สนใจจะเข้าวิทย์คณิตหรือเปล่าล่ะจ๊ะ?

 

“เป็นตัวเลือกที่ดีนะ” ช็อกโกล่าพูดอย่างใช้ความคิด “บางที สายนี้อาจจะเหมาะกับฉันจริงๆ ก็ได้ละมั้ง”

 

“หรือถ้าคิดว่าวิทย์คณิตมันหนักไป มาเรียนศิลป์คำนวณกับฉันดีไหมล่ะ เราจะได้อยู่ห้องเดียวกันต่อไปอีก 3 ปีเลยน้า แถมยังติวสอบด้วยกันได้อีกด้วย” เมื่อคิดถึงตรงนี้ฉันก็ยิ้มหน้าบานได้อีกครั้ง แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่เพื่อนผมดำจะพูดต่อไปก็ทำให้หุบยิ้มแทบไม่ทัน

 

“เธอจะให้ฉันช่วยติวคณิตให้จนจบ ม.6เลยหรือไงหืม? อย่าลืมสิว่าพอถึงเวลาที่พวกเราอยู่ ม.ปลายจริงๆ พวกเราทั้ง 3 คนอาจจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันเลยก็ได้ เวลาเจอกันก็อาจจะไม่บ่อยเหมือนตอนนี้ แล้วอีกอย่างที่สำคัญนะ พอขึ้น ม.ปลายแล้ว พวกเราก็ต้องมีกลุ่มเพื่อนกลุ่มใหม่อีก ดีไม่ดีอาจจะสนิทกับเพื่อนกลุ่มนั้นมากกว่าเพื่อน ม.ต้นอีกก็ได้ใครจะไปรู้ล่ะ”

 

“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ พอถึงเวลานั้นพวกเราก็ค่อยสร้างกรุ๊ปแชทกันก็ได้ไม่ใช่เหรอ จะได้ไม่ลืมกัน?” ฉันยังคงหาเหตุผลมาอ้างได้อีก ความจริงเมื่อนึกได้ว่าเวลาที่พวกเราทั้ง 3 คนจะได้อยู่ด้วยกันนั้นเริ่มเหลือน้อยลงไปทุกทีก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน เมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ ฉันจะต้องทำยังไงถึงจะไม่ให้คิดถึงเพื่อนสนิททั้งสอง และพร้อมเผชิญหน้ากับเพื่อนที่ไม่รู้จักเพียงลำพังได้บ้างนะ

 

“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะจ้ะ เวลาของพวกเรายังเหลืออีกตั้งปีหนึ่ง ฉันคิดว่าใช้เวลาตรงนี้ให้คุ้มดีกว่านะจ๊ะ ส่วนเรื่องปีหน้าค่อยคิดตอนเทิมสองก็ยังไม่สาย” คำพูดของซินนามอนทำให้ฉันสงบใจได้บ้าง พวกเราจึงยุติเรื่องเรียนต่อและเรื่องเพื่อนในช่วงมัธยมปลายเอาไว้แต่เพียงเท่านี้

 

 

 

(พาเฟ่ต์บรรยาย)

 

เปิดเทิมมาได้เกือบเดือนแล้ว ฉัน ซินนามอนและโรสแมรี่ยังคงใช้ชีวิตกันตามปกติ พวกเรายังอยู่ชมรมเดียวกันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความสัมพันธ์ระหว่างโรสแมรี่กับซินนามอนที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

“ทุกคน ชมรมเรามีงานให้ทำอีกแล้วล่ะ” เสียงของหัวหน้าชมรมพูดขึ้นในวันหนึ่งขณะที่เพื่อนๆ ในชมรมทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องคีย์บอร์ดห้องเดิม

 

“คราวนี้งานอะไรอีกเหรอคะหัวหน้า?” ฉันถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะจิตใจกำลังจดจ่ออยู่กับเพื่อนอีกสองคนที่ยืนขนาบซ้ายขวา แต่ละคนทำสีหน้าแตกต่างกันไป ซินนามอนยังคงไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับคำประกาศเมื่อครู่ ส่วนโรสแมรี่ก็ยิ้มร่าเริงไปตามนิสัย

 

“สัปดาห์หน้าจะมีพิธีเปิดงานอะไรสักอย่าง พี่ยังไม่เห็นรายละเอียดชัดๆ แต่งานนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเราเท่าไหร่หรอกจ้ะ เกี่ยวอย่างเดียวคือให้เราไปร้องเพลงเปิดแค่นั้น”

 

“งานนี้โรงเรียนเราเป็นเจ้าภาพอีกแล้วเหรอคะ?” โรสแมรี่ถามบ้าง หัวหน้าชมรมพยักหน้าพร้อมขยายความ

 

“ใช่จ้ะ โรงเรียนเรารับทุกอย่างจริงๆ ไม่รู้ว่าทำไมพวกโรงเรียนอื่นถึงได้เลือกให้เราเป็นสนามแข่งหรือจัดกิจกรรมตลอดเลย” ประโยคหลังดูเหมือนจะบ่นกับตัวเองมากกว่าพูดกับเพื่อนคนอื่น รุ่นพี่บางส่วนพากันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น มีเพียงนักเรียน ม.ต้นอย่างพวกเราเท่านั้นที่ยังคงยืนฟังเฉยๆ ไม่แสดงความเห็นอะไรออกมา

 

“แล้วเพลงที่พวกเราต้องร้องล่ะ รู้รายละเอียดบ้างหรือยัง?” รุ่นพี่รองหัวหน้าถามอย่างกะตือรือร้น พี่เชอร์ผู้เป็นหัวหน้าชมรมรีบพยักหน้าอย่างเร็ว ก่อนจะเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องทันที

 

เวลาเกือบ 4 นาทีกว่าที่เพลงเล่นอยู่นั้น ฉันเพียงยืนฟังนิ่งๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับความหมายของเพลงเลยแม้แต่นิดเดียว

 

เนื้อเพลงกล่าวถึงการก้าวไปข้างหน้าในเส้นทางที่ยากลำบาก แม้ในเวลาที่เหมือนจะหลงทางหรือหกล้ม แค่เราสองคนจับมือกันไว้แล้วเดินไปด้วยกัน ก็จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปได้ ขอเพียงเชื่อใจและอยู่เคียงข้างกันไว้

 

“ฉันว่าเพลงนี้ก็น่าสนใจอยู่นะ ความหมายดีด้วย” เสียงของรุ่นพี่คนหนึ่งกล่าวขึ้นเมื่อเพลงจบ ฉันพยักหน้าเห็นด้วย แม้จะยังไม่เข้าใจความหมายของเพลงเท่าที่ควร แต่ก็รู้โดยสัญชาตญาณว่าเพลงนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งกินใจ การจะร้องออกมาให้ดีนั้นนอกจากจะต้องเข้าใจเนื้อหาของเพลง ทำนองและอารมณ์เพลง รวมถึงเรื่องราวต่างๆ ในเพลงที่ผู้แต่งพยายามจะสื่อออกมาผ่านท่วงทำนองแสนไพเราะนั้น เป็นสิ่งที่ผู้ส่งสารอย่างพวกเราต้องไปฝึกร้องและต้องพยายามตีความออกมาให้ดีที่สุดเพื่อให้เข้าถึงใจของคนฟังให้ได้

 

“ถึงความหมายเพลงจะดี แต่ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่คนแต่งต้องการจะสื่อออกมา ก็เท่ากับว่าเราร้องเพลงไปแบบส่งๆ ให้มันจบไปแค่นั้น แล้วในเมื่อขนาดคนร้องยังไม่เข้าใจความหมายของเพลง หรือเข้าใจแต่ตีความออกมาผิดพลาด แล้วจะทำให้คนฟังประทับใจได้ยังไงเหรอ?” คำถามของหัวหน้าชมรมก็น่าคิด ฉันพยักหน้าช้าๆ ไม่รู้สึกกังขาเลยแม้สักนิดที่คุณครูที่ปรึกษาเลือกรุ่นพี่ผมสีชมพูซอยสั้นผู้ร่าเริงคนนี้มาเป็นหัวหน้าชมรม แม้ดูภายนอกแล้วพี่เชอร์รี่ หรือที่ฉันและเพื่อนร่วมชมรมทุกคนจะเรียกเธอสั้นๆ ว่า เชอร์ผู้นี้จะดูเฟรนลี่กับทุกคน เฮฮา บ้าๆ บอๆ ไปสักหน่อย แต่เธอก็มีจิตวิญญาณความเป็นผู้นำเต็มเปี่ยม เคยช่วยแก้ปัญหายุ่งยากภายในชมรมมาก็หลายครั้ง โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นในการแสดงครั้งสุดท้ายเมื่อเทิมที่แล้ว ที่ทั้งฉัน และเพื่อนอีก 2 คนที่ยืนอยู่ข้างๆ มีส่วนเกี่ยวข้องเต็มๆ

 

และปัญหานั้นก็ยังคงยืดเยื้อมาจนกระทั่งตอนนี้

 

“ที่พี่เชอร์พูดมาก็ถูกนะคะ” ซินนามอนพูดเบาๆ “แต่ว่า

 

“เมื่อกี้หัวหน้าบอกว่าต้องแสดงจริงสัปดาห์หน้า ก็แสดงว่า เราต้องเริ่มซ้อมกันแล้ว ใช่หรือเปล่าคะ?” โรสแมรี่ที่ยืนเงียบมานานเอ่ยแหวกอากาศขึ้นมาทั้งที่เพื่อนผมฟูข้างๆ ยังพูดไม่ทันจบ ฉันเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศมาคุที่กระจายอยู่รอบตัว ตั้งแต่การแสดงอำลารุ่นพี่เมื่อคราวนั้นผ่านไป ทั้งซินนามอนและโรสแมรี่ก็มองหน้ากันไม่ติด อย่าว่าจะพูดคุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนเมื่อก่อนเลย  ทุกวันนี้ทั้งสองคนก็ทำตัวเหมือนว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เพื่อนร่วมชมรมของตนเท่านั้น นอกจากจะคุยกันแค่เรื่องการซ้อมแล้วก็ไม่มีบทสนทนาที่สนิทสนมและการหยอกล้อกันเหมือนกับเมื่อก่อนให้เห็นอีกเลย

 

แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปก็คือ ซินนามอนยังคงขึ้นมาหาฉันที่โรงยิมในช่วงพักกลางวันเช่นเคยทุกครั้งที่ยังพอมีเวลาเหลือ พวกเราเดินออกจากห้องชมรมด้วยกันจนกลายเป็นเรื่องปกติ และฉันเองก็รู้สึกว่าเริ่มสนิทกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วยสิ

 

“ใช่จ้ะ ต้องแสดงสัปดาห์หน้า แต่ยังไม่รู้นะว่าจะได้แสดงวันไหน” คำพูดของพี่เชอร์ทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ ฉันสะบัดหัวเบาๆ เพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไปและกลับมาโฟกัสกับปัจจุบันอีกครั้ง

 

“แต่ทุกคนไม่ต้องกังวลไปนะ เพราะพี่วางแผนไว้แล้วว่าจะให้ใครเป็นเซนเตอร์ของการแสดงนี้ แล้วก็เรื่องเวลาซ้อมด้วย”

 

มีเสียงซุบซิบฟังไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นจากพวกรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ตรงข้ามกับพวกเรา 3 คนที่ยังคงยืนเงียบ ในใจของฉันรู้สึกถึงสัญญาณอะไรบางอย่างที่ร้องเตือนว่าการแสดงคราวนี้คงจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอาจจะเกิดขึ้นอีกถ้าไม่รีบพยายามทำอะไรสักอย่างก่อนจะถึงวันแสดงจริง

 

“เอาละ เงียบก่อนๆ” เสียงของรุ่นพี่หัวหน้าชมรมทำให้เสียงซุบซิบเมื่อครู่เงียบลง ก่อนที่รุ่นพี่ร่างเพรียวจะพูดต่อ

 

“การแสดงนี้ต้องการเซนเตอร์ 2 คนนะจ๊ะ”

 

“หมายความว่า พวกเราต้องเลือกเซนเตอร์กันแบบครั้งที่แล้วอีกเหรอ?” เสียงของรุ่นพี่คนหนึ่งถามขึ้น รุ่นพี่ผมสีชมพูส่ายหน้าปฏิเสธ ทำให้ใบหน้าของสมาชิกในชมรมเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

 

“คราวนี้ ไม่ต้องเลือก” พี่เชอร์ยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะพูดต่อ “เพราะฉันเลือกไว้เรียบร้อยแล้ว”

 

จบคำพูดนั้น ฉันรู้สึกเหมือนมีเสียงไซเรนอะไรบางอย่างดังขึ้นมาในหัว ท่าทางผู้ที่จะได้เป็นดับเบิลเซนเตอร์ของการแสดงครั้งนี้อาจจะไม่ใช่พวกรุ่นพี่เหมือนที่คาดไว้แน่นอนแล้ว

 

“เธอเลือกใครไว้ล่ะ รีบๆ พูดมาสิยัยเชอร์”

 

รุ่นพี่หัวหน้าชมรมมองหน้าสมาชิกรายคน เมื่อมองครบแล้วก็พูดขึ้นมาว่า

 

“น้องซินนามอนกับน้องพาเฟ่ต์ ทั้งสองคนจะได้เป็นดับเบิลเซนเตอร์ของการแสดงนี้นะ”

 

คราวนี้เรื่องอะไรอีกเนี่ย!’ ฉันคิดในใจ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรดีที่จู่ๆ ก็ถูกเลือกให้เป็นเซนเตอร์กะทันหัน ทั้งที่ความจริงแล้ว ฉันไม่ชอบเป็นจุดเด่นของการแสดงเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าจะมีคนบอกว่าฉันเองก็เหมาะจะยืนอยู่แถวหน้าในตำแหน่งเด่นๆ หรือสามารถเป็นเซนเตอร์ได้สบายๆ ก็ตามที

 

“นะหนูเหรอคะ?” เสียงของซินนามอนถามอย่างไม่อยากเชื่อ ฉันหันไปสบตากับเธอ รู้สึกมึนไปหมด ไม่รู้จริงๆ ว่าหัวหน้าคิดอะไรอยู่ถึงเลือกพวกเราให้เป็นจุดเด่นของการแสดงอีกครั้ง ทั้งที่ควรจะดีใจที่ถูกเลือก แต่ครั้งนี้ฉันกลับรู้สึกทั้งสับสนและไม่เข้าใจ ฉันมีดีอะไรที่จะได้เป็นจุดเด่นของการแสดงนี้คู่กับซินนามอนที่เคยเป็นเซนเตอร์ของการแสดงครั้งที่แล้ว ซึ่งการแสดงในครั้งนั้นก็ทำให้เกิดปัญหาตามมาด้วย แต่พวกเราก็ไม่มีปากมีเสียงอะไรที่จะสามารถเอ่ยปฏิเสธคำประกาศิตของหัวหน้าได้เลย

 

“ใช่จ้ะ เท่าที่พี่ลองคิดดู ไม่มีใครที่เหมาะจะเป็นเซนเตอร์คู่ในการแสดงครั้งนี้ได้ดีเท่ากับพวกเธออีกแล้ว ดังนั้น รบกวนทั้งสองคนด้วยนะจ๊ะ”

 

“พี่คะ หนูขอไม่แสดงในกิจกรรมนี้ได้ไหมคะ?” เสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยขัด ทำเอาทั้งฉันและซินนามอนหันขวับไปมองพร้อมกัน ก็เห็นว่าคนที่พูดประโยคนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน

 

โรสแมรี่

 

“เอ๊ะ ทำไมล่ะจ๊ะ? สัปดาห์หน้าไม่ว่างเหรอ?” หัวหน้าชมรมถามด้วยความอยากรู้ ฉันหันไปส่งสายตากดดันให้อีกฝ่าย หูก็คอยฟังคำตอบไปด้วย แต่ก็ไม่มีคำตอบอะไรเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบางนั้น ทุกคนในห้องพากันหันไปจ้องหน้าโรสแมรี่เป็นตาเดียว เว้นแต่ซินนามอนที่มองนิ่งๆ สักพักก็พยักหน้า ก้มหน้าลง และพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติตามเดิม ฉันมองปฏิกิริยานั้น ในใจรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก การที่ซินนามอนทำหน้าเหมือนรู้อยู่แล้วแบบนี้ แสดงว่าที่ยัยเพื่อนผมส้มจะขอไม่ร่วมแสดงในกิจกรรมนี้ต้องมีอะไรที่เกี่ยวกับซินนามอนอยู่ด้วยแน่ๆ ว่าแต่เรื่องอะไรล่ะ?...

 

“ถ้าเหตุผลฟังไม่ขึ้น พี่ก็คงจะทำตามที่เราขอไม่ได้หรอกนะ”

 

คำพูดของหัวหน้าชมรมทำให้แม้แต่คนที่เอ่ยขออนุญาตเมื่อครู่เองก็ชะงักไป ปากที่ขยับทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างหุบฉับลง ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดหาเหตุผลดีๆ เพื่อจะมาตอบผู้เป็นรุ่นพี่ แต่ร่างเพรียวผมสีชมพูก็เอ่ยดักไว้เสียก่อน

 

“ลองกลับไปคิดดูให้ดี แล้วค่อยกลับมาบอกพี่อีกทีว่าทำไมเราถึงไม่อยากแสดง พี่คิดว่าใจจริงแล้ว เราไม่ได้ไม่อยากแสดงจริงๆ อย่างที่พูดหรอก เราแค่ไม่มั่นใจเท่านั้นเอง”

 

คำพูดของผู้เป็นหัวหน้าทำให้ฉันหันไปมองเพื่อนผมส้มข้างๆ ที่จู่ๆ ก็นิ่งไป ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย

 

ฉันคิดตามคำพูดของพี่เชอร์

 

หรือบางที ยัยบ้าโรสอาจจะกำลังกลัว หรือไม่มั่นใจจริงๆ ถึงทำให้พูดออกไปแบบนั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว ยัยนั่นมีความมั่นใจในการแสดงของตัวเองสูงมาก เคยได้เป็นเซนเตอร์ตั้งแต่การแสดงครั้งแรก และมั่นใจว่าต้องได้ตำแหน่งเซนเตอร์ในการแสดงครั้งที่แล้ว แต่ก็พลาดไปอย่างน่าเสียดาย

 

ว่าแต่ อะไรทำให้ความมั่นใจที่เคยมีจนล้นของยัยนั่นหายไปจนแทบจะเหลือศูนย์กันแน่นะ

 

ไม่ได้การ บางทีฉันคงต้องคุยกับเธอให้รู้เรื่องซะแล้วสิ

 

หลังจากนั้น พี่เชอร์ก็นัดหมายเรื่องวันและเวลาซ้อม ฉันยืนฟังแต่ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เรื่องของยัยเพื่อนผมส้มข้างๆ คอยกวนใจจนไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่รุ่นพี่พูดเลยแม้แต่น้อย ยืนอยู่ได้ไม่นานก็หมดเวลาพอดี

 

“พาเฟ่ต์ ไปหาของกินที่โรงอาหารด้วยกันไหม?” เสียงของซินนามอนเอ่ยเรียกทำให้สติของฉันที่เตลิดไปไหนไม่รู้ลอยกลับเข้าร่าง ฉันรีบพยักหน้ารัวเร็ว ภายในท้องรู้สึกปั่นป่วน ตามมาด้วยความแสบกระเพาะและเสียงโครกคราก ได้เวลาของว่างเสียที

 

“วันนี้เธอกลับกับใคร?” ฉันเอ่ยถามเพื่อนผมสีโกโก้ขณะหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายหลัง

 

“เดี๋ยวกลับกับมาการงจ้ะ แล้วพาเฟ่ต์ต้องรอวาฟเฟิลหรือเปล่า?

 

“ใช่แล้ว พี่วาฟเฟิลบอกว่าถ้าเสร็จแล้วจะมานั่งรอที่โรงอาหารน่ะ” ฉันตอบเธอ ก่อนที่พวกเราจะเดินออกจากห้องดนตรีมาด้วยกัน

 

(ซินนามอนบรรยาย)

 

พวกเราเดินลงบันไดอาคารเรียนมาด้วยกัน หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อเทิมที่แล้ว ฉันสังเกตว่าพาเฟ่ต์จะคอยอยู่ใกล้ฉันตลอด โดยเฉพาะในคาบชมรม แต่ไม่ใช่แค่นั้น ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือไม่ ฉันรู้สึกว่าเพื่อนผมเขียวแสนพูดน้อยคนนี้จะใส่ใจฉันมากขึ้นกว่าที่เคย อย่างเช่น

 

“เธอนัดกับมาการงที่ไหนล่ะ ถ้ามาช้าฉันจะได้นั่งรอเป็นเพื่อน”

 

“ระรบกวนพาเฟ่ต์หรือเปล่า ถ้ารีบกลับก็ไม่ต้องรอก็ได้นะ เดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วง” ฉันตอบ รู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายไม่น้อย พาเฟ่ต์ส่ายหน้า

 

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันก็นั่งรอเป็นเพื่อนเธอมาหลายครั้งแล้ว อยู่โรงเรียนเย็นหน่อยจะเป็นไรไป” ฉันนึกทบทวนคำพูดของอีกฝ่าย ก็เห็นจริงตามนั้น บางทีมาการงต้องคุยงานกับรุ่นพี่ในชมรม หรืออาจจะมีงานอย่างอื่นเข้ามาทำให้เลิกช้า จนฉันต้องรอนาน แต่ก็ยังมีพาเฟ่ต์คนนี้ที่คอยอยู่เป็นเพื่อนทุกครั้ง นั่นจึงทำให้พวกเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ

 

“วันนี้พี่วาฟเฟิลบอกว่าเลิกช้าหน่อย ถ้าเธอไม่รีบ ไปหาอะไรกินก่อนไหมล่ะ เดี๋ยวค่อยกลับ”

 

“อะได้จ้ะ” ฉันไม่ปฏิเสธ เพราะก็รู้สึกหิวอยู่เหมือนกัน พาเฟ่ต์เดินนำออกจากอาคาร ร่างเพรียวเดินนำอยู่ด้านหน้า ใบหน้าที่มักจะเรียบเฉยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ฉันไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายจึงได้แต่เดินอยู่เงียบๆ สักพัก เพื่อนผมเขียวก็เอ่ยขึ้นว่า

 

“เธอรู้สึกยังไงที่ได้เป็นเซนเตอร์อีกครั้งเหรอ?

 

ฉันชะงักไปเล็กน้อย ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มเริ่มหม่นหมองลง ดวงตาสีคาราเมลหันไปสบกับดวงตาสีเขียวมรกตของคนข้างๆ ที่มองอยู่ก่อน ดวงตาคู่นั้นยังคงมองมาอย่างรอคำตอบ

 

ความรู้สึกที่ได้ยืนเป็นจุดเด่นต่อหน้าผู้ชมเป็นเช่นไร ฉันเข้าใจมันแล้ว

 

ความรู้สึกที่ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคนที่คอยดูการแสดง กับเสียงปรบมือกึกก้องหลังจากดนตรีหยุดลง ทำให้คนแสดงมีความสุข และหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อรู้ว่าการแสดงนั้นออกมาดีและสามารถเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ชมได้

 

แต่เมื่อรู้ว่า การแสดงที่ฉันคิดว่าดีที่สุด อาจจะไม่ได้ดีที่สุดในสายตาของคนอื่นที่ฉันคิดว่า ถ้าเขาได้มายืนอยู่ในตำแหน่งนี้ เขาอาจจะทำได้ดีกว่าฉันก็ได้

 

ความรู้สึกแบบนี้มันอะไรกัน

 

“ฉัน” ในที่สุด ฉันก็เอ่ยปากพูดออกมาจนได้หลังจากเงียบไปนาน “ฉันรู้สึกทั้งดีใจ แล้วก็ไม่มั่นใจสลับกันน่ะ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”

 

ฉันตอบพาเฟ่ต์ไปตามตรง ทำไมนะ ทั้งที่ได้โอกาสอีกครั้งแท้ๆ ทำไมฉันถึงไม่ดีใจเลยสักนิดนะ

 

ทั้งที่การเป็นเซนเตอร์ในการแสดงคือความฝันอันสูงสุดของฉันแท้ๆ แต่เอาเข้าจริง เมื่อมีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง ความรู้สึกที่ควรจะดีใจมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

 

“ที่เธอไม่มั่นใจ เพราะคิดมากเรื่องคำพูดของคนที่เคยทำร้ายเธอหรือเปล่า?

 

คำพูดของพาเฟ่ต์ทำให้ฉันนึกไปถึงใครอีกคน ใครคนนั้นที่พูดวาจาร้ายกาจที่ฉันยังจำมันได้ฝังใจ แม้ว่าเรื่องนั้นจะผ่านไปสักพักแล้วก็ตาม

 

ตำแหน่งเซนเตอร์เหมาะกับคนที่เพียบพร้อมและมีความสามารถจริงๆ ไม่ใช่คนที่ไม่มั่นใจอะไรเลย

 

“คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ สินะ” พาเฟ่ต์พูดเหมือนเดาความคิดของฉันได้ มือบางเลื่อนมาโอบไหล่ฉันไว้หลวมๆ ก่อนเสียงหวานนุ่มจะกระซิบอยู่ข้างหู

 

“เธอก็แค่พยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุด ถ้าเธอแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไรหรอก แค่รู้สึกสนุกไปกับมัน ไม่ต้องไปคิดถึงคำพูดของคนอื่น คิดถึงแค่ความฝันของตัวเอง คิดถึงความสุขที่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น แค่นี้ก็ทำให้มีความสุขแล้วไม่ใช่เหรอ”

 

จบคำพูดนั้น ฉันดึงมือที่โอบไหล่ของตัวเองออกมาช้าๆ ก่อนจะคว้ามือเรียวบางนั้นมากุมไว้อย่างรวดเร็ว พาเฟ่ต์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะกระชับมือตอบ ฉันเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า

 

“ขอบคุณนะพาเฟ่ต์ คำพูดของเธอทำให้ฉันเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วล่ะ”

 

“หืม?” เพื่อนผมเขียวเลิกคิ้วเป็นคำถามพร้อมกับครางในลำคอเบาๆ ฉันเอ่ยตอบทั้งที่ยังจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

 

“ที่พวกเราได้เป็นเซนเตอร์คู่กันคราวนี้ก็แสดงว่า พี่เขาคงจะคิดมาดีแล้วจริงๆ ฉันรู้หรอกนะว่าเธอเองก็ไม่ได้อยากเป็นจุดเด่นเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเขาเลือกพวกเราแล้ว เราก็มาพยายามด้วยกันเพื่อให้การแสดงนี้ผ่านไปได้โดยให้มีปัญหาหน่อยที่สุดเถอะนะ”

 

“นั่นสินะ บางทีพวกเราคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ” พาเฟ่ต์ยิ้มอย่างอ่อนใจ ก่อนจะพูดตัดบท “ไปโรงอาหารกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”

 

(พาเฟ่ต์บรรยาย)

 

โรงอาหารหลังเลิกเรียนเต็มไปด้วยเสียงจอแจของผู้คนที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ฉันกับซินนามอนเดินเข้ามาในตัวอาคาร กลิ่นขนมหวาน ของทอด หรือกับข้าวอย่างอื่นที่วางขายประปรายตีกันจนมั่วไปหมดจนแยกไม่ออก แต่ก็สามารถเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงานได้อย่างดี

 

“วันนี้กินอะไรดี” ฉันเอ่ยกับคนข้างๆ ที่เดินมองโน่นมองนี่ไปเรื่อย ซินนามอนเดินไปหาโต๊ะว่างก่อนจะวางกระเป๋าไว้เพื่อจองที่ ฉันมองใบหน้าของเธอ เวลาที่ท้องหิวสามารถกินอะไรก็ได้จริงๆ สินะ ดวงตาของซินนามอนยามนี้เป็นประกาย ไม่แน่ว่าในใจอาจจะกำลังคิดถึงอาหารที่อยากกินเป็นพิเศษอยู่ก็ได้

 

“ไปดูของทอดตรงนั้นกันเถอะ” ซินนามอนเอ่ยชวน ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำ ฉันมองเธอยิ้มๆ ท่าทางจะหิวจริงๆ แฮะ

 

“กินของทอดมากไปไม่ดีนะ” ฉันเอ่ยสัพยอก เธอหันมาสวนกลับแทบจะทันที

 

“กินสักหน่อยไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันหิวจะแย่อยู่แล้วเนี่ย”

 

“น่าๆ ฉันล้อเล่น” ฉันหัวเราะ ก่อนจะเดินตามเธอไปที่ร้านเป้าหมาย โชคดีที่คนไม่เยอะมากทำให้ไม่ต้องยืนรอนาน

 

พวกเรานั่งกินขนมกันไปเงียบๆ ไม่มีใครคุยอะไรกันเลยเนื่องจากกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ไม่นานขนมที่ซื้อมาก็หมดเกลี้ยง แต่เนื่องจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว จึงต้องมีอะไรเย็นๆ เพื่อล้างปากสักหน่อย

 

“ร้อนจังเลยน้า” ซินนามอนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ฉันพยักหน้าเห็นด้วย

 

“ใช่ ไปกินไอติมกันดีกว่า”

 

“เอาสิ”

 

ร้านไอศครีมเจ้าประจำคือเมนูสุดท้ายก่อนกลับบ้าน ฉันกับซินนามอนเดินไปเกาะเคาน์เตอร์หน้าร้าน ตากวาดมองเมนูตัวเบ้อเริ่มที่วางไว้ดึงดูดลูกค้า ฉันยืนมองเมนูสักพักก็ชี้ไม้ชี้มือบอกคนขาย ส่วนซินนามอนนั้นยืนเลือกสักพักจึงได้เมนูที่ต้องการ

 

“วันนี้ลองเปลี่ยนรสชาติเหรอ?” ฉันถามขณะที่กำลังตักไอศครีมเข้าปาก ซินนามอนพยักหน้ารับ วันนี้เธอไม่ได้สั่งไอศครีมคาราเมลอย่างที่เคย แต่กลับสั่งเป็นไอศครีมช็อกโกแลตที่มีคาราเมลเป็นท็อปปิ้งราดหน้าแทน

 

ถึงจะเปลี่ยนยังไงก็ยังหนีไม่พ้นคาราเมลอยู่ดีฉันคิด แต่ก็อดยิ้มกับความคลั่งไคล้ในคาราเมลของคนที่นั่งตรงข้ามไม่ได้

 

“เธอน่ะ ท่าทางจะชอบคาราเมลมากจริงๆ สินะ” ฉันลองเลียบเคียงถาม ซินนามอนยิ้มหน้าบานก่อนจะสาธยายความรู้สึกที่มีต่อคาราเมลออกมาจนฉันต้องบอกให้หยุด ซินนามอนยิ้มแหย ก่อนจะก้มลงไปมองถ้วยไอศครีมในมือและรีบตักเข้าปากก่อนที่มันจะละลายกลายเป็นน้ำ

 

ฉันมองภาพนั้นแล้วก็ยิ้มออกมา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ใบหน้าหวานกับผมฟูๆ ของซินนามอนเข้ามาคอยวนเวียนอยู่ในหัว ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยจะใส่ใจ แต่หลังจากได้แสดงด้วยกันคราวที่แล้ว และปัญหาคาราคาซังระหว่างเธอกับโรสแมรี่ก็ทำให้เพื่อนคนนี้เปลี่ยนไปจนฉันอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้

 

เธอไม่ต้องกังวลไป เรื่องระหว่างเธอกับยัยนั่น ฉันจะช่วยเอง ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ชอบยัยบ้าโรสสักแค่ไหน แต่ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า

 

ยังไงพวกเรา 3 คนก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ดี

 

ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนน่ะ มันตัดกันไม่ขาดหรอก ถึงแม้จะทะเลาะกันให้ตายไปข้าง แต่มันก็ต้องมีสักวันที่ใครคนใดคนหนึ่งจะต้องยอมลงให้อีกฝ่าย และจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่มันจะสายเกินแก้

 

แต่มันต้องทำยังไงล่ะ เพราะแต่ละคนก็ทิฐิแรงกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ

 

เห็นทีเรื่องนี้คงจะยากกว่าที่คิดจริงๆ หรือบางที ฉันคงต้องไปปรึกษากับใครสักคนที่พอจะเข้าใจและสามารถช่วยได้นะ

 

ไอศครีมผลไม้ในถ้วยของฉันหมดเกลี้ยงแล้ว ซินนามอนอาสาเอาขยะไปทิ้งให้ ไม่นานก็เดินกลับมานั่งที่เดิม ฉันหันไปมองสำรวจใบหน้าของเธออย่างพินิจ ใบหน้าหวานรับกันดีกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อน และริมฝีปากบางที่มักจะมีรอยยิ้มสดใส บัดนี้ ทำไมยิ่งมองถึงรู้สึกว่าใบหน้านั้นดูจะหม่นหมองกว่าที่เคยเห็นนะ

 

ไม่ชอบเลย ฉันไม่ชอบซินนามอนที่ดูหม่นหมอง ไม่ร่าเริงแบบนี้ ใบหน้าหวานนั้นเหมาะกับรอยยิ้มที่สุดไม่ใช่หรือไง?

 

ดวงตาที่เป็นประกายยามมองของหวาน กับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเธอมันทำให้ฉันเริ่มใจสั่นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

 

ฉันมองที่แก้มใส สักพักก็เห็นคราบอะไรบางอย่างติดอยู่ตรงนั้น มือล้วงลงไปในกระเป๋าควานหาอะไรบางอย่าง ฉันลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างหลังซินนามอนอย่างรวดเร็ว ร่างบางมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย เมื่อเห็นดังนั้นจึงใช้ทิชชูเช็ดคราบนั้นออกจากแก้มของเธออย่างเบามือ

 

“ทะทำอะไรน่ะ” เธอสะดุ้ง หึ เพิ่งรู้สึกตัวละสิ เหม่อขนาดนั้นจะไปรู้ตัวได้ยังไง

 

“ซอสคาราเมลติดแก้มน่ะ” ฉันพูดเรียบๆ “แต่ฉันเช็ดให้แล้ว กินยังไงให้เปื้อนได้เนี่ยหืม?

 

“แหะๆ” ซินนามอนหัวเราะเบาๆ แก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ

 

“แต่ยังไงก็เถอะ ตอนเธอหน้าแดงก็น่ารักดีเหมือนกันนะ”

 

คราวนี้แก้มที่เป็นสีชมพูอยู่แล้วเริ่มแดงขึ้นทีละนิดจนลามไปถึงใบหน้า ฉันอมยิ้มมองคนที่เขินจนทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่จะใช้มือยีผมฟูๆ นั้นจนยุ่ง

 

“พะพาเฟ่ต์ พูดอะไรน่ะ ยะหยุดเดี๋ยวนี้เลยน้า ผมฉันยุ่งหมดแล้ว”

 

“หึๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้ น่ารักจริงๆ เลยนะเธอเนี่ย”

 

“เงียบน่า” ซินนามอนพูดทั้งที่ยังหน้าแดง ฉันได้แต่ยืนยิ้มมองอีกฝ่าย นานแล้วที่ไม่ได้เห็นภาพน่ารักๆ แบบนี้ จนเมื่อรู้สึกตัวว่าคนเริ่มออกไปจากโรงอาหารบ้างแล้วนั่นแหละ จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรตามพี่วาฟเฟิลเพื่อจะได้กลับบ้านด้วยกันสักที

 

“เห็นทีฉันคงต้องกลับแล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” ฉันพูดหลังจากเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยของคนสองคนเดินตรงมาทางนี้ ซินนามอนหันมองตาม พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เมื่อผู้มาใหม่เดินเข้ามาก็ส่งยิ้มทักทายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

(วาฟเฟิลบรรยาย)

 

ฉันกับพาเฟ่ต์เดินออกประตูโรงเรียนมาด้วยกัน พาเฟ่ต์เงียบมาตลอดทาง ใบหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  ฉันมองแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าน้องสาวตัวเองไม่ใช่คนพูดมาก ไม่มีอะไรก็เงียบเป็นเรื่องปกติ แต่คราวนี้ ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังมีเรื่องอะไรในใจ เรื่องที่ไม่สามารถเล่าให้คนอื่นฟังได้

 

“นี่พาเฟ่ต์ เย็นนี้เราทำอะไรกินกันดีล่ะ?” ฉันเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวเงียบจนน่าอึดอัดเกินไป จึงชวนคุย พาเฟ่ต์เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนตอบ

 

“ลองไปดูวัตถุดิบในตู้เย็นก่อนว่ามีอะไรพอจะทำกินได้บ้าง ถ้าพี่คิดออกก็จัดมาเลย ฉันกินได้หมดแหละ”

 

“หึๆ เชื่อเขาเลย” ฉันยิ้มขำกับปฏิกิริยานั้น เดิมทีน้องสาวคนนี้ก็เป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายอยู่แล้ว ขอแค่อาหารถูกปากก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อย ยกเว้นแต่อาหารนั้นจะไม่อร่อยจริงๆ นั่นแหละ

 

“ก็ฝีมือพี่วาฟเฟิลอร่อยจริงๆ นี่นา”

 

“จ้าๆ ว่าแต่เราไม่ลองฝึกทำบ้างเหรอ?

 

“ฉันคงทำไม่อร่อยเท่าพี่หรอก เป็นคนกินดีกว่าตั้งเยอะ”

 

“ดูพูดเข้า ฝึกทำอะไรไว้บ้างก็ดีน้า พอหิวจะได้ทำกินเองได้”

 

“ไม่เอา ยังไงหน้าที่ทำกับข้าวมันก็เป็นของพี่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ พี่วาฟเฟิล?” น้องสาวยังคงปฏิเสธการฝึกทำอาหารอยู่เช่นเดิม ฉันได้แต่ถอนหายใจให้กับความหัวแข็งของอีกฝ่าย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าคนที่ทำกับข้าวส่วนใหญ่นอกจากจะเป็นฝีมือของคุณแม่บ้านแล้ว ก็มีแค่ฉันคนเดียวที่พอจะไปวัดไปวากับเขาได้ ส่วนพาเฟ่ต์ทำได้แค่คอยเป็นลูกมือเท่านั้น เพราะเมื่อลองให้ทำจริงๆ แล้ว ปรากฏว่ารสชาติออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ จนบางทีคนชิมอาจถึงขั้นร้องโอดครวญเลยก็ได้

 

“จ้าๆ หน้าที่พี่จ้า” ฉันตอบอย่างเสียไม่ได้ พาเฟ่ต์ยิ้มร่าหลังจบคำพูดนั้น ฉันหันไปมอง รู้สึกหมั่นเขี้ยวอยากจะหยิกแก้มแดงๆ ที่มักจะพองลมอย่างน่ารักเวลาแกล้งคนอื่นได้สำเร็จ หรือเวลาอ้อนพี่สาว ซึ่งนานๆ จะมีให้เห็นสักที ในยามปกติน่ะเหรอ? หึ อย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นพาเฟ่ต์ในมุมนี้

 

ว่าแต่ วันนี้ทำไมน้องสาวของฉันถึงดูอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษนะ

 

“เมื่อกี้เราเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นทำหน้าปั้นยากเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่” ฉันติดใจกับใบหน้าครุ่นคิดนั่น จึงถือโอกาสถามเสียเลย พาเฟ่ต์ปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว ใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่กลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า

 

“พี่ยังจำวันที่ฉันแสดงครั้งก่อนได้หรือเปล่า?

 

“วันไหน อ๋อ ใช่วันที่แสดงก่อนสอบปลายภาคเมื่อเทิมที่แล้วหรือเปล่า?” ฉันคิดตามคำพูดน้องสาวตัวเอง ก็จำได้ว่ามีแค่ครั้งเดียวที่พาเฟ่ต์ได้แสดงโดยที่ยืนอยู่แถวหน้า ในการแสดงครั้งก่อนๆ น้องสาวฉันไม่เคยได้ยืนเป็นจุดเด่นแบบนี้เลยสักครั้ง

 

“ถูกแล้ว” พาเฟ่ต์พยักหน้า “แล้วคราวนี้ ฉันได้ยืนอยู่แถวหน้าอีกแล้ว”

 

“แบบนั้นก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ เราควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ได้ยืนอยู่แถวหน้านะ” ฉันมองเธออย่างไม่เข้าใจ รู้สึกสงสัยกับความคิดที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่นของน้องสาวคนนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

 

“พี่วาฟเฟิล จะให้ฉันดีใจจริงๆ เหรอ? คราวนี้ฉันได้ยืนเป็นเซนเตอร์คู่กับซินนามอนเลยนะ”

 

ฮะ!

 

ฉันชะงักไปเล็กน้อยหลังได้ยินประโยคนั้น ให้ตายเถอะน้องสาวคนนี้ มีเรื่องน่ายินดีขนาดนี้ ทำไมถึงพูดออกมาได้โดยไม่รู้สึกดีใจบ้างเลยนะ

 

“เราได้ยืนเป็นเซนเตอร์คู่กับเพื่อน มันก็ต้องเป็นเรื่องน่าดีใจสิ? ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ?

 

“มันก็ควรจะดีใจอยู่หรอก” พาเฟ่ต์พูดอย่างระมัดระวัง “แต่มันดันมีเรื่องเกิดขึ้นซะก่อนน่ะสิ”

 

“เรื่องอะไร?” ฉันถาม พาเฟ่ต์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยืนคิดไตร่ตรองอยู่สักครู่ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องชมรมวันนี้ให้ฉันฟัง

 

หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด ฉันรู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที เริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าการแสดงครั้งนี้คงจะไม่ง่ายเหมือนกับครั้งก่อนๆ แม้จะได้แสดงทุกคน แต่ในเมื่อมีสมาชิกคนหนึ่งประกาศว่าจะไม่ร่วมแสดงในงานนี้ การแสดงนั้นจะสมบูรณ์ได้อย่างไร

 

และคนคนนั้นก็คือ เพื่อนร่วมห้องซึ่งเป็นคู่กัดของน้องสาวฉันเอง

 

“แล้วเราจะทำยังไง?” ฉันเอ่ยถามด้วยใบหน้าครุ่นคิด พาเฟ่ต์ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาเต็มที พร้อมกับตอบเสียงอ่อย

 

“ฉันไม่รู้”

 

“เอางี้ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยนะ คือเราต้องไปเกลี้ยกล่อมให้โรสกลับมาแสดงให้ได้ก่อน”

 

“พี่จะให้ฉันทำแบบนั้นจริงเหรอ! ให้ฉันไปคุยกับยัยนั่นน่ะ ฉันไม่เอาเด็ดขาด” พาเฟ่ต์รีบปฏิเสธทันที ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ให้เพื่อนที่ชอบทะเลาะกันทุกครั้งที่เจอหน้ามาคุยกันดีๆ คงจะเป็นเรื่องยากกว่าคุยกับคนที่ไม่สนิทเป็นหลายเท่านัก

 

“แล้วเราคิดว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ จะมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ?

 

คราวนี้พาเฟ่ต์เงียบไปนานมาก ใบหน้านั้นครุ่นคิดอย่างหนักเหมือนกำลังคิดหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ ฉันมองอย่างเห็นใจ การที่จะเกลี้ยกล่อมคนที่เป็นคู่ปรับของตัวเองให้กลับมาแสดงกิจกรรมชมรมโดยไม่มีการทะเลาะกันเลยไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเพื่อนสองคนที่มักจะทะเลาะกันทุกครั้งที่อีกฝ่ายพูดจาไม่เข้าหูแบบนี้ เห็นทีคนที่ต้องรับศึกหนักที่สุดคงจะหนีไม่พ้นน้องสาวของฉันจริงๆ นั่นแหละ

 

“พาเฟ่ต์ พี่ถามจริงๆ เถอะ” จู่ๆ ฉันก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถือโอกาสถามก่อนที่จะสายไป พาเฟ่ต์เลิกคิ้วสงสัย ฉันจึงเอ่ยต่อ

 

“ยังคิดว่าโรสเป็นเพื่อนเราอยู่หรือเปล่า ที่ทะเลาะกันบ่อยนี่คงไม่ได้หมายความว่าเราเกลียดเพื่อนจริงๆ หรอกนะ?

 

พาเฟ่ต์สะดุ้งน้อยๆ กับคำถามนั้น ดวงตาสีเขียวมรกตหันกลับมาสบประสานกับฉันอย่างแน่วแน่ น้ำเสียงที่พูดดูเรียบเรื่อยแต่มั่นคง

 

“ถึงฉันกับยัยบ้าโรสจะไม่ได้สนิทกัน แต่ยังไงยัยนั่นก็ยังเป็นเพื่อนร่วมชมรมแล้วก็อยู่ห้องเดียวกับฉันด้วย พวกเราทะเลาะกันแทบทุกครั้งที่ใครพูดอะไรไม่เข้าหู แต่ความจริงแล้ว ฉันก็ไม่ได้เกลียดยัยนั่นหรอกนะ ยังเห็นว่ายัยนั่นเป็นเพื่อนอยู่”

 

ฉันระบายยิ้มออกมาหลังจากได้ยินคำพูดประโยคนั้น ในเมื่อพาเฟ่ต์ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังอีกฝ่ายก็ทำให้รู้สึกวางใจไปได้หน่อย

 

“เราไม่ได้เกลียดเพื่อนก็ดีแล้ว คราวนี้คงจำเป็นต้องหันหน้าคุยกันดีๆ แล้วล่ะ เรื่องระหว่างทั้งสองคนน่ะ แล้วก็ลองเกลี้ยกล่อมให้โรสกลับมาแสดงดู จะพูดยังไงก็ได้ เพราะเราเองก็คงจะรู้จักโรสดีกว่าคนอื่นในชมรม พี่คิดว่าจะให้พวกรุ่นพี่ไปช่วยพูดคงไม่เหมาะ ส่วนซินนามอนน่ะเหรอ ตัดทิ้งไปได้เลย” เมื่อพูดถึงซินนามอนก็ทำให้รู้สึกหนักใจขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องระหว่างเพื่อนในห้องก็เยอะมากพอแล้ว โรสแมรี่คนนี้ยังไปทะเลาะกับเพื่อนคนอื่นให้ปวดหัวเพิ่มอีกทำไมกัน

 

“นั่นสินะ ฉันจะลองดู” พาเฟ่ต์พยักหน้า ก่อนพูดต่อ “ได้คุยกับพี่ก็ทำให้ฉันสบายใจขึ้นหน่อย ขอบคุณที่คอยช่วยเหลือทุกอย่างเลยนะ”

 

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพราะเราก็เป็นน้องสาวพี่ทั้งคนนี่นา มีอะไรก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว”

 

“พี่วาฟเฟิลก็ยังเป็นพี่วาฟเฟิลคนเดิมจริงๆ” พาเฟ่ต์ยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริงซึ่งนานๆ ฉันจะได้เห็นมันสักครั้ง ฉันลูบผมยาวสลวยนั้นเบาๆ ก่อนจะรู้ตัวว่าเดินมาถึงหน้าบ้านพอดี จึงไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปข้างใน ต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง

 

(ติดตามตอนต่อไป)

 

 

 

****************************************************

 

ช่วงนี้ไรเตอร์มีสอบ ขออนุญาตงดอัปนิยายไปจนถึงเดือนหน้าเลยนะคะ

 

ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่คอยติดตามเรื่องนี้มาเสมอ แม้ยอดวิวจะไม่ได้มากมายอะไร แต่นั่นคือกำลังใจที่จะทำให้เราเขียนเรื่องนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ ค่ะ

 

จนกว่าเราจะกลับมาอัปอีกครั้ง ถ้าชอบก็กดเข้าไปอ่านตอนเก่าๆ รอไปก่อนน้า

 

ไว้เจอกันใหม่...นะ

 

ไรต์

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.