STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 39 เรืองแสง
การมาพบกันโดยมิได้นัดหมายของพวกเขาทำให้เฟียร์ยิ่งหนักใจเหมือนตัวเองทำให้เพื่อน ๆ ต้องทิ้งงานการมา
“พวกนาย...จะมากันทำไม?” เฟียร์เอ่ยถามโดยที่ไม่มองหน้าตรง ๆ
“เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิ” เซรอนส่งยิ้มให้หวังให้เฟียร์ร่าเริงขึ้นบ้าง
ระหว่างนั้นมิร่าก็ได้นั่งลงข้าง ๆ เพื่อไม่ให้เฟียร์เกร็งนัก ส่วนบาย่าก็เดินเข้ามาตบหลังเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “แค่หยุดงานมาสองสามวันไม่มีปัญหาหรอก”
เฟียร์สูดลมหายใจรวบรวมความกล้า
“เรื่องมันเริ่มตั้งแต่สัปดาห์ก่อน พวกเรายุ่งอยู่กับการทำงานเหมือนเคยแต่จู่ ๆ โยฮันก็โผล่มาเยี่ยม เขาคุยกับพี่ลินน่าสองคนซึ่งก็เหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา”
“อืม โยฮันก็ชอบมาคุยกับผู้บริหารฝั่งฉันเหมือนกัน” เซรอนกล่าว
“ฉันก็เหมือนกัน” บาย่าพยักหน้าตาม
“ใช่ไหมล่ะ ตั้งแต่ที่เขาได้เป็นเจ้าสำนักเขาก็พยายามโน้มน้าวคนอื่นให้เข้าร่วมแผนการรวมอำนาจนั่นมาตลอด แต่ครั้งล่าสุดนี้พี่ลินน่าดูเหม่อ ๆ เหมือนกำลังหนักใจเรื่องอะไรสักอย่าง จนกระทั่งวันถัดมาหลังจากที่โยฮันมาหา มีคนมาแจ้งว่าบ้านของพี่ลินน่าไฟไหม้ทำให้พี่เขาต้องวิ่งกลับไปดู พอฉันจะตามไปดูก็ไม่เจอทั้งพี่ลินน่าและพี่โรสแล้ว”
อาเวียนนั่งครุ่นคิดวิเคราะห์ตาม “ก็น่าสงสัยจริง ๆ นั่นแหละ”
“หรือโยฮันจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง” เซรอนคิดหนักจนเม้มปาก
“ใช่เหรอ ถึงแม้โยฮันจะอยู่เบื้องหลังแต่ใครจะทำอะไรพี่ลินน่าได้ล่ะ?” บาย่านั่งไม่ติดเก้าอี้เดินคิดวนไปวนมา
แม้โยฮันจะเป็นเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันแต่เพราะพฤติกรรมพักหลังมานี้ทำให้พวกเขาสงสัยเหมือนกัน ความมุ่งมั่นแน่วแน่ในอุดมการณ์ของโยฮันมันมากเกินไปจนเพื่อน ๆ ไม่อาจเข้าใจได้ ทำไมถึงต้องการรวมอำนาจมากขนาดนั้น มากถึงกับต้องกำจัดผู้ที่ขัดขวางเลยเชียวหรือ
“ก่อนอื่นเราลองสืบข้อมูลทีละนิดไม่ให้เขารู้ตัว ฉันว่าโยฮันต้องมาหาพวกเราและโน้มน้าวเหมือนที่ทำกับคนอื่นแน่ ๆ เมื่อถึงตอนนั้นเราต้องพยายามล้วงข้อมูลมาให้มากที่สุด” อาเวียนเป็นคนเสนอแผนในครั้งนี้และคนอื่น ๆ ก็ตกลงทำตามเหมือนกัน
เมื่อเวลาผ่านไป โยฮันก็เดินทางไปเยี่ยมเยือนสำนักมนตร์ดำแต่ละสาขาเพื่อดึงคนเข้ามาเป็นพวกให้มากที่สุดแต่เขากลับไม่ทำอย่างนั้นกับเพื่อน ๆ ของตัวเองเลย
เจ้าโยฮันไม่ได้พูดอะไรนอกจากทักทายตามปกติเลย หรือเรื่องที่เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจะไม่จริง อาเวียนนั่งเอนหลังแล้วโยกเก้าอี้คิดหนัก
ก่อนหน้านี้ก็ยังมีเรื่องผู้อาวุโสเกือบทั้งหมดเกษียณพร้อมกันอีก ดูยังไงก็เป็นฝีมือของโยฮันแต่ไม่มีหลักฐานเลยสักอย่าง สุดท้ายก็ต้องเก็บความสงสัยไว้แล้วทำงานของตัวเองให้ดีเสียก่อน
คราวนี้โยฮันเดินทางไปที่สาขาอาณาจักรอาฟและยังตรงไปหาอดีตผู้บริหารเพื่อพูดคุยบางสิ่งบางอย่างเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้มิร่าไม่ปล่อยให้โยฮันทำอะไรตามใจอีก
“โยฮัน” เธอเปิดประตูเข้าไปขัดจังหวะ
“คิดไว้แล้วว่าเธอต้องเข้ามา ถ้าสงสัยอะไรก็ถามมาได้เลย” โยฮันเดินเข้ามาประชิดตัวเพื่อกดดันให้มิร่าถอยกลับไป
“นายมาทำอะไรที่นี่กันแน่ ก่อนหน้านี้ที่ฉันเป็นแค่มือขวาก็เลยไม่ได้ใส่ใจ แต่พอขึ้นเป็นผู้บริหารนายก็ยังไม่เข้ามาคุยแบบนั้นบ้างเลย”
“อ้อ ที่แท้ก็สงสัยเรื่องนี้เองสินะ ที่ฉันไม่ได้คุยกับเธอก็เพราะเธอคือเพื่อนของฉันยังไงล่ะ” โยฮันพูดมันออกมาด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นดูไร้พิษสงยิ่งทำให้มิร่าหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
“เพื่อนที่ไหนเขาปิดบังความลับกันล่ะ นายอยากรวมอำนาจไปทำไม หรือก็แค่อยากอยู่เหนือคนอื่น”
“การรวมอำนาจเป็นแค่ทางผ่านในเส้นทาง หากจะไปถึงเป้าหมายอย่างน้อยก็ต้องรวมอำนาจสำนักย่อยให้ได้เสียก่อน”
“แล้วเป้าหมายที่ว่านั่นมันคืออะไร?”
“มันคือสิ่งที่แอสต้าไม่ทำและมันคือสิ่งที่ท่านผู้ก่อตั้งต้องการจะทำ”
มิร่าขมวดคิ้วส่ายหัวเหนื่อยใจกับคำตอบนั้น “นายไปรู้อะไรพวกนั้นได้ยังไง ทั้งแอสต้าทั้งผู้ก่อตั้งล้วนเป็นคนในยุคแห่งการปฏิวัติ นายจะไปรู้เรื่องตื้นลึกหนาบางพวกนั้นได้ยังไง แล้วเพราะเรื่องที่ไม่ชัดเจนนายกลับยึดติดกับมันขนาดนี้เลยเหรอ?”
โยฮันเดินเข้ามาใกล้แล้ววางมือลงบนบ่า “ไม่ต้องกังวลน่า อีกไม่นานพวกเราก็จะก้าวไปอีกขั้นได้แล้ว” พอพูดจบโยฮันก็เดินจากไปไม่รอฟังมิร่า
ตลอดเวลาหลายเดือนหลายปีที่พวกเขาจับตาดูโยฮันทุกครั้งที่ได้พบกัน แต่ก็ไม่ได้มีอะไรผิดสังเกตจนพวกเขาเริ่มวางใจว่าเพื่อนของตนคงไม่โหดร้ายขนาดนั้นหรอก
จนกระทั่งถึงเวลาประชุมครั้งใหญ่ที่ผู้บริหารและผู้ตรวจการทั้งหมดต้องกลับมารวมตัวกันที่อาณาจักรคา
“เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว จริง ๆ พี่ลินน่าอาจจะอยากปลีกตัวออกจากงานพวกนี้เองก็ได้ ถ้าเรามามัวกังวลคงไม่ต้องเป็นอันทำอะไรแล้ว” เซรอนพูดขณะที่เพื่อน ๆ จ้องมองไปที่โยฮันที่กำลังเตรียมตัวเปิดการประชุม
“อืม เขาก็แค่เชื่อในอุดมการณ์เฉย ๆ ล่ะมั้ง ที่สำคัญคือใครจะทำอะไรพี่ลินน่าได้ล่ะ” บาย่าถอนหายใจทิ้งความสงสัยไป
เมื่อพวกเขาเริ่มประชุมกันทุกอย่างก็เป็นไปได้อย่างราบรื่น แม้โยฮันจะยังพูดเรื่องการรวมอำนาจและเชื้อเชิญสมาชิกระดับสูงของสำนักตลอดเวลาแต่ก็ไม่ได้มีการบังคับใด ๆ
“ยังตั้งใจจะรวมอำนาจอีกเหรอ? นี่มันตั้งหลายปีแล้วฉันนึกว่านายจะล้มเลิกแล้วซะอีก” เจ้าสำนักโซกล่าวขัดจังหวะที่โยฮันพยายามโน้มน้าวคนบนโต๊ะประชุม
“ทำไมต้องล้มเลิกล่ะครับ? ผมกำลังจะทำให้พวกเรามีอำนาจต่อรองกับอาณาจักรอื่นได้สบาย ๆ เลยนะครับ ลองคิดดูสิว่าวันหนึ่งลูกหลานของเราไม่ต้องกังวลเรื่องสงครามหรือการแทรกแซงจากภายนอกมันจะดีแค่ไหน”
“ให้ตายสิ นายนี่มันดื้อด้านจริง ๆ”
พวกเขายังคงประชุมกันต่อ ลากยาวไปตลอดทั้งวันและยังต้องประชุมต่ออีกหลายวันกว่าจะจัดการทุกปัญหาได้
“หมดเรื่องหมดราวสักที !” เซรอนยืนบิดตัวยืดเส้นยืดสายหลังจากออกจากห้องประชุม
“ไหน ๆ ก็มารวมตัวกันแล้ว เรามาฉลองเหมือนกับเมื่อตอนนั้นกันเถอะ” บาย่าหันมองเพื่อน ๆ รอให้ตอบตกลง
โยฮันเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาทั้ง ๆ ตัวเองต้องไปทำงาน “เอาสิ ฉันเองก็อยากกินแล้วนอนฟังเพลงสบาย ๆ เหมือนกัน”
เพื่อน ๆ ต่างก็มองหน้ากันและกันเหมือนกำลังปรึกษาผ่านสายตาว่าจะเอายังไงกับโยฮันกันแน่
“อืม เรามาจัดงานเลี้ยงกันเถอะ” อาเวียนยกแขนตีมือกับโยฮันเป็นการทักทาย
พวกเขาจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ เหมือนอย่างเคยแต่คราวนี้กลับมีเจ้าสำนักโซและครอบครัวของอาจารย์มาวินมาร่วมวงด้วย
“ไม่คิดว่าจะได้เห็นหลานไวขนาดนี้นะ อาจารย์มาวิน” โยฮันยกแก้วชนกับอาจารย์มาวินขณะที่หลานตัวน้อยมองตาปริบ ๆ
“ปีนี้เท่าไรแล้วนะอาจารย์” เซรอนเดินมาชนแก้วต่อ
“ห้าสิบหกแล้ว จริง ๆ ฉันว่าจะเกษียณตัวเองแล้วกลับไปเลี้ยงหลานเฉย ๆ ละ”
“ผมบอกพ่อแล้วว่าให้เกษียณตั้งแต่ปีที่แล้ว เรื่องงานในสำนักผมทำเองทั้งหมดได้แล้วน่า” ลีมาโซ่ลูกชายของเขากล่าวเสียงดังและหน้าก็เริ่มแดงเหมือนจะเมาเสียแล้ว
มาวินหัวเราะเยาะแล้วกล่าวต่อ “เอาเถอะน่า ฉันก็อยากดูการทำงานของแกไปก่อน ถ้ายังพัฒนาฝีมือได้มากกว่านี้ พี่โซอาจจะให้แกเป็นผู้สืบทอดก็ได้”
“ใช่ ๆ ฉันก็อยากเกษียณบ้างเหมือนกัน” เจ้าสำนักโซยกแก้วชนกับลีมาโซ่ไม่หยุดแม้เขาจะดูไม่ไหวแล้วก็ตาม
การฉลองยังคงดำเนินต่อไปและในระหว่างนั้นอาเวียนก็ได้เอ่ยคำที่ทุกคนต้องอึ้งออกมา
“จะว่าไปฉันไม่เห็นหัวหน้ากลุ่มเมื่อตอนนั้นเลย ไม่ว่าจะไปทำงานที่ไหนก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ถุงมือฉันยังอยู่ที่ไอ้เวรนั่นอยู่เลย”
ทุกคนถึงกับเอามือมาปล้องปากเหมือนพึ่งนึกได้เช่นกัน
“ถ้าไม่บอกฉันก็ลืมพวกนั้นไปแล้วนะเนี่ย พอจำได้ก็อยากเจอหน้าและซัดพวกมันสักหน่อย เอาคืนเรื่องเมื่อก่อน” บาย่ากำมือแน่นจนแก้วในมือแตกต่อหน้าต่อตา
“นั่นสินะ” มิร่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อได้เห็นเพื่อน ๆ แสดงออกเหมือนได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ทันใดนั้นหลานสาวตัวน้อยก็เดินเข้ามาทักทายพร้อมกับแม่ของตนเอง ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ลังเลว่าจะทักทายใครทำให้พวกเซรอนแย่งกันยกมือเรียกเหมือนกำลังแข่งว่าหลานจะทักทายใครก่อน
“สะ...สวัสดีค่ะ...” เธอเลือกเดินไปหาอาเวียนที่นั่งกินอยู่เฉย ๆ
“แหม คนมันน่าดึงดูดก็งี้แหละ” อาเวียนยิ้มทักทายหลานสาวทำให้เธอยิ้มกว้างดีใจที่ทักทายคนได้สำเร็จ
หลังจากนั้นเธอก็เดินทักทายลุง ๆ น้า ๆ ทุกคนจนไปถึงโยฮันที่เธอเอาแต่ยืนมองตาปริบ ๆ
“ไม่เอาน่า หน้าลุงก็ไม่ได้น่ากลัวนะเจ้าตัวเล็ก” โยฮันทำหน้ายียวนแลบลิ้นปลิ้นตาหวังให้หลานตัวน้อยไม่กลัวเกินไป แต่จู่ ๆ เธอก็ร้องไห้วิ่งหนีไปหลบหลังคุณพ่อเสียอย่างนั้น
“ไม่ต้องกลัวนะสเตล่าของพ่อ น้าโยฮันเขาเป็นเจ้าสำนักก็เลยดูน่าเกรงขามเป็นปกติอยู่แล้ว”
โยฮันหัวเราะเยาะชอบใจเหมือนได้แกล้งหลานไปในตัว “ลุงขอโทษที่ทำให้กลัวนะ ถ้าทักทายลุงได้เดี๋ยวลุงให้ค่าขนมแล้วกัน” สุดท้ายโยฮันก็ต้องใช้วิธีที่ได้ผลที่สุดก็คือเอาเงินมาล่อ
“สวัสดีค่ะ !” สเตล่าวิ่งหน้าตั้งมาทักทายทันทีที่เห็นเงิน
“เก่งมาก เอาไปเลยสิ” สเตล่ารับเงินและวิ่งไปอวดให้พ่อแม่เห็นเพราะเงินที่ได้มันมากถึงห้าเหรียญทองที่ใช้ซื้อขนมได้หลายเดือนเลย
ช่วงเวลาแห่งความสุขลากยาวจนข้ามคืนนอนเมากันไปเป็นแถว อาเวียนที่ฟื้นก่อนใครแยกตัวไปคนเดียวเพื่อกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่
“พ่อครับ แม่ครับ” อาเวียนเคาะประตูเรียกพร้อมกับของฝากในมือ
บ้านที่แสนคึกคักกลับเงียบสงัดราวกับเป็นบ้านร้างไม่มีคนอาศัยอยู่ อาเวียนรู้สึกถึงความผิดปกติจึงพังประตูเข้าไป และได้เห็นภาพอันโหดร้ายที่พ่อกับแม่ของตนเองโดนตัดคอแล้ววางไว้บนโต๊ะอาหารเหมือนรอการมาของอาเวียน
เสียงร้องดังลั่นจนชาวบ้านรอบ ๆ เข้ามามุงดู เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและโกรธแค้นดังอย่างต่อเนื่องขณะที่กำลังโอบร่างไร้วิญญาณไว้
ขณะที่กำลังโศกเศร้าเขาก็ดันเหลือบไปเห็นถุงมือที่โดนขโมยไปตั้งแต่ลานเด็กโต ถุงมือคู่นั้นถูกอาบไปด้วยเลือดที่คาดว่าจะมาจากพ่อกับแม่ของเขาเอง
“ไอ้เวรเอ๊ย !”
วันนั้นอาเวียนได้ตระเวนไปทั่วเพื่อสืบสวนหาข้อมูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านหรือการซื้อข้อมูลจากสำนักมนตร์ดำเสียเอง ส่วนเพื่อน ๆ ที่ได้รู้เรื่องราวจึงช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อหาข้อมูลและตามหาตัวคนร้ายให้ไวที่สุด
“รู้แค่ว่ามีกลุ่มคนใส่ชุดคลุมไปซื้ออาวุธ แต่เพราะมีคนเข้ามาซื้ออาวุธทุกวันอยู่แล้วเลยไม่มีใครสนใจอะไร” โยฮันที่เป็นผู้รับผิดชอบอาณาจักรคามีอำนาจในการสั่งการทุกอย่างจึงให้ความร่วมมือช่วยอย่างเต็มที่
หลังจากสืบหาข้อมูลอยู่หลายวันจนได้รู้ว่าอีกฝ่ายคือกลุ่มอมนุษย์เผ่าหมาป่า แม้จะยังตามจับกุมไม่ได้แต่ก็สามารถวาดภาพเหมือนและออกไล่ล่าได้ในเร็ว ๆ วัน
“พวกนายกลับกันก่อนเลยก็ได้ หลังจากนี้ฉันจะจัดการเรื่องทั้งหมดให้เอง”
“อืม ฝากด้วยนะ” อาเวียนตอบกลับเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะนั่งเรือกลับอาณาจักรนอด
พอทุกคนกลับไปโยฮันก็ทำงานของเจ้าสำนักต่อและมอบหมายหน้าที่สืบสวนให้กับคนในสำนักแทน
“หวังว่าพวกนายจะไม่โกรธกันนะ” โยฮันนั่งเอนหลังกระดิกนิ้วคิดจินตนาการเกี่ยวกับแผนการของตนเอง
ผ่านไปไม่กี่เดือนก็มีข่าวเศร้าอีกครั้ง ครอบครัวของผู้บริหารโดนกลุ่มอมนุษย์สังหารทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวของเจ้าสำนักโยฮัน ข่าวสุดสะเทือนใจได้แพร่กระจายไปทั่วเหมือนมีการวางแผนและระบุเป้าหมายเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับสำนักมนตร์ดำ
“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย…” เซรอนนั่งเงียบเพื่อคิดทบทวนว่าพวกไหนที่เพ่งเล็งเขาอยู่
บาย่ากัดฟันโกรธแล้วชกกระสอบทรายแตกไปหลายสิบถุงแต่ก็ยังไม่อาจลดอารมณ์นั้นลงได้
“พ่อคะ...แม่คะ...” ส่วนเฟียร์ก็นอนร้องไห้ไม่ออกไปไหนนานหลายวัน
แรงกระทบจากเหตุการณ์นั้นทำให้สำนักมนตร์ดำต้องวิ่งวุ่นตามหาตัวคนร้ายให้ได้ นอกจากจะเป็นครอบครัวของผู้บริหารก็ยังมีเรื่องความน่าเชื่อถือของการทำงานด้วย หากเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ยังทำไม่ได้ก็คงจะทำงานให้ผู้ว่าจ้างไม่ได้เช่นกัน
เนื่องจากการฆาตกรรมทั้งหมดเกิดขึ้นที่อาณาจักรคาทำให้สาขาหลักเป็นผู้รับผิดชอบในขณะที่ผู้บริหารก็ทำงานของตัวเองต่อไป โยฮันใช้เวลาถึงหนึ่งปีกว่าจะตามจับคนร้ายได้ทำให้ผู้บริหารทั้งหมดกลับมารวมตัวกันที่อาณาจักรคาอีกครั้ง
“พวกนี้เองสินะ” เซรอนและเพื่อน ๆ ยืนมองกลุ่มอมนุษย์ที่โดนจับตึงกับโซ่ไว้
“นายสอบสวนเบื้องหลังของพวกมันแล้วหรือยัง?” อาเวียนเอ่ยถามขณะที่จ้องมองอมนุษย์ตรงหน้าด้วยความโกรธแค้นจนอยากจะชกหน้าเต็มทนแล้ว
“แน่นอน ฉันสอบสวนมาหมดแล้วก็เลยรู้ว่าพวกมันรับงานมาจากพวกนักล่า”
มิร่าจ้องตาเขม็งโกรธแทนเพื่อน ๆ ที่ต้องสูญเสียครอบครัวไป “พวกนักล่าอีกแล้วสินะ ทำไมพวกมันถึงจ้องเล่นงานสำนักของเราตลอดเลย”
“พวกนั้นอาจจะเป็นคนทำงานรับจ้างเหมือนเราก็ได้ พอโดนแย่งลูกค้าก็เลยผันตัวมาเป็นปรปักษ์กับสำนักเราแทน...”
ทันใดนั้นเฟียร์ก็เดินตรงเข้าไปกระหน่ำชกด้วยมือเปล่าแต่แทนที่เพื่อนจะห้าม พวกเขากลับยืนมองเฉย ๆ ปล่อยให้เฟียร์ระบายความโกรธนั้นออกมา
“ไปตายซะ !” หลังจากชกจนหน้าเละดูไม่ได้เธอก็ดึงผ้าปิดปากออกเหมือนอยากได้ยินเสียงของศัตรูตรงหน้า
“พวกแกทำไปทำไม !” ระหว่างที่ชกเธอก็ยังถามซ้ำไปซ้ำมา พอนึกถึงหน้าครอบครัวน้ำตาเธอก็ไหลออกมาทันที
“พวกแกก็ทำเหมือนกันนี่” อมนุษย์คนนั้นตะคอกสวนกลับทำเอาเฟียร์นั่งนิ่งไปเลย
“พวกแกก็รับงานและทำงานไม่ต่างกับพวกเราเลยสักนิด ถ้าจ้างให้ฆ่าก็ฆ่า ถ้าจ้างให้ล้วงข้อมูลก็ล้วงข้อมูล คิดว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์อยู่ฝ่ายเดียวหรือยังไง?”
“ไอ้เวรนี่ ! ปากดีเหลือเกิน” บาย่าเดินมาเตะปากจนหมดสติไปในทันที แต่คำพูดของเขากลับฝังเข้าไปในหัวของทุกคนที่ได้ยิน เพราะตัวเองก็ไม่ได้ใสสะอาดอะไรและยังสังหารผู้คนมาหลายร้อยหลายพันคนเช่นกัน
“เอาเป็นว่าเราไปคุยกันที่ห้องดีกว่า ส่วนพวกนี้เดี๋ยวคนของฉันจะจัดการเอง” โยฮันปิดห้องขังแล้วพาเพื่อน ๆ ขึ้นไปสงบสติอารมณ์กันก่อน
บรรยากาศตึงเครียดกำลังครอบงำพวกเขาจนไม่มีใครเปิดปากพูดใด ๆ ทั้งสิ้น ทุกคนล้วนกำลังคิดพิจารณาชีวิตที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดูแลครอบครัวได้ดีแค่ไหน ใส่ใจคนรอบข้างมากน้อยเพียงใด แล้วชอบหรือรักในการทำงานนี้หรือไม่
เซรอนถอนหายใจลากยาวก่อนจะกล่าวต่อ “จะบ้าตาย”
“บ้าตายไปคนเดียวเลย” บาย่ากล่าวต่อทันที
“เวลานี้ยังจะมาต่อมุกได้อีกนะ”
“ขอบคุณที่ชม”
หลังจากนั้นพวกเขาก็นั่งเงียบกันต่อจนอาเวียนเดินออกจากห้องไปคนแรก
“จะไปไหนล่ะ?” โยฮันเอ่ยถามก่อนที่อาเวียนจะเดินออกไป
“ไปเดินรับลมสักหน่อย พวกนายจะจัดการอะไรยังไงก็ตามใจเลย”
อาเวียนเดินไปรอบ ๆ สำนักมองดูสถานที่ที่ตนเองเคยอยู่ ตั้งแต่ลานเด็กเล็กไปจนถึงห้องของเจ้าสำนักที่โดนเรียกไปพบอยู่บ่อย ๆ
มันผิดพลาดตั้งแต่ตอนไหน พ่อกับแม่ส่งเรามาที่สำนักเพื่อให้ได้ทำงานดี ๆ แต่พอรู้ตัวอีกทีเราก็ถลำลึกเข้ามาเกินไปแล้ว แต่เดิมเราก็แค่อยากแข็งแกร่งขึ้นจะได้ไม่โดนพวกรุ่นพี่รังแกเท่านั้น
จังหวะเดียวกันก็มีเด็กคนหนึ่งวิ่งมาชนพอดี
“ขอโทษครับลุง” พอก้มหัวขอโทษเสร็จเจ้าเด็กตัวน้อยก็วิ่งตามหลังเพื่อน ๆ ไปหาอะไรเล่นกันต่อ
เมื่อก่อนเราก็เป็นแบบนี้หรือเปล่านะ วิ่งเล่นไปทั่วโดยไม่รู้สึกอะไรแล้วก็กลับไปกินข้าวกับพ่อแม่
พอคิดเช่นนั้นเขาก็ตกผลึกบางสิ่งได้
ถ้าหากยกเลิกระบบลานเด็กเล็กกับลานเด็กโตไปแล้วรับแค่จากการสมัคร ถ้าเป็นแบบนั้นเด็ก ๆ ก็จะไม่โดนหล่อหลอมให้กลายเป็นสุนัขรับใช้ของสำนัก
พอคิดได้เช่นนั้นเขาก็มุ่งหน้ากลับไปหาโยฮันเพื่อหารือเรื่องนี้ แต่พวกเขากลับกำลังทรมานอมนุษย์กันอย่างสนุกสนานระบายอารมณ์โกรธออกมา
“ตายซะไอ้พวกอมนุษย์ !” เซรอนใช้มีดสั้นจ้วงแทงทั้งตัวเป็นรูพรุนและยังเลี่ยงจุดสำคัญไม่ให้ตายทันทีด้วย
สุดท้ายพวกเขาก็ได้ระบายอารมณ์ที่อัดอั้นไว้จนหมดแต่กว่าจะรู้สึกตัวอมนุษย์พวกนั้นก็ตายกันหมดเสียแล้ว
“เฮ้พวก !” อาเวียนตะโกนทักแต่เหมือนจะโดนเมิน
“ตามล่าพวกมันให้หมดกันดีกว่า ถ้าพวกเรารวมพลังกันคงใช้เวลาไม่ถึงเดือนหรอก” บาย่ากล่าวขณะที่กำลังจ้องมองซากศพเละ ๆ พวกนั้น
“เอาสิ” โยฮันตอบรับข้อเสนอนั้นทันที
“เดี๋ยวสิพวก” อาเวียนเดินกลับมารวมกลุ่มพยายามทำให้เพื่อน ๆ สงบสติลง
“ถ้ากำจัดไอ้พวกนักล่าหมด เราก็จะทำงานได้ง่ายขึ้นด้วย” เซรอนยื่นมือออกมาข้างหน้าเพื่อรอการตอบรับตามธรรมเนียมของพวกเขา
“อืม ฉันเอาด้วย” เฟียร์วางมือตามเป็นคนแรกทั้ง ๆ ที่ปกติจะวางเป็นคนสุดท้าย
“เราจะได้ประกาศให้โลกรู้ว่าไม่ควรมายุ่งกับสำนักมนตร์ดำ” โยฮันวางมือต่อและคนอื่น ๆ ก็วางมือตามจนเหลือแค่อาเวียน
“มัวรออะไรอยู่ล่ะเพื่อน?” โยฮันแสยะยิ้มมองหน้าอาเวียนตาไม่กะพริบ
อาเวียนค่อย ๆ วางมือลงไปแล้วพวกเขาก็ยกขึ้นร้องเฮ้ทันที หลังจากนั้นก็เริ่มวางแผนโดยใช้ข้อมูลที่ได้จากอมนุษย์ก่อนหน้านี้
“นายดูใจเย็นกว่าที่คิดนะ” มิร่านั่งลงข้าง ๆ อาเวียนขณะที่คนอื่นกำลังหมกมุ่นกับการวางแผนล้างแค้น
“อืม ถึงตอนแรกจะโกรธจนเลือดขึ้นหน้าแต่พอได้คิดทบทวนกับตัวเองก็เลยผ่อนคลายลงแล้ว”
“แล้ว...คิดยังไงกับเรื่องกลุ่มนักล่า”
อาเวียนหันมองไปรอบ ๆ แล้วถอนหายใจเหนื่อยใจ “ฉันไม่รู้”
“นายรู้”
อาเวียนไม่ตอบโต้อะไรเอาแต่นั่งนิ่งเพราะคำพูดนั้นจี้ใจดำพอดี
“ฉันเป็นคนเดียวที่ไม่มีครอบครัวอยู่แล้ว ถ้าคนที่ใกล้เคียงที่สุดก็คงเป็นคุณแม่ที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแต่เธอตายเพราะโรคประจำตัวไปก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นฉันก็เลยไม่ได้โกรธอะไรพวกนั้นแต่พอลองนึกว่าพ่อแม่ตัวเองโดนบ้างฉันก็พอเข้าใจ ฉันจะไปช่วยพวกเขาล้างแค้น” มิร่าเดินกลับไปร่วมประชุมวางแผนกับเพื่อน ๆ ทิ้งอาเวียนให้คิดทบทวนกับตนเองต่อไป
หลังจากนั้นเพียงสองสัปดาห์ พวกเขาเหล่าผู้บริหารของสำนักก็ได้ไล่ล่ากลุ่มนักล่าทั้งหมดจากทุกอาณาจักรโดยไม่สนว่าจะเกี่ยวข้องกับคดีสังหารนั้นหรือไหม
“วันนี้จะเป็นวันที่ประกาศให้โลกรู้ว่าไม่ควรมายุ่งกับสำนักมนตร์ดำ” โยฮันยืนอยู่บนเวทีที่ทำขึ้นเพื่อเป็นลานประหารกลุ่มนักล่า การป่าวประกาศของเขาเปรียบเสมือนคำขู่สำหรับศัตรูและคำปลุกใจสำหรับพันธมิตร
“ฆ่ามันให้หมดเลย ไอ้พวกอมนุษย์ !” นอกจากจะมีคนใหญ่คนโตและนายทุนก็ยังมีชาวเมืองจำนวนมากมารอดูการประหารในครั้งนี้
ประชาชนมนุษย์ที่อยู่รวมกันในอาณาเขตของสำนักแสดงความเกลียดชังเหล่าอมนุษย์ออกมาอย่างชัดเจน สิ่งนั้นทำให้ชาวเมืองที่เป็นอมนุษย์รู้สึกไม่ปลอดภัยไปด้วยเหมือนพวกเขาจะอดติและเหมารวมไปแล้ว
“เอาตัวพวกมันขึ้นมา” โยฮันยกมือให้สัญญาณ หลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ลากตัวนักโทษที่ล่ามโซ่ต่อ ๆ กันมา
นักโทษกว่าหนึ่งร้อยคนยืนเรียงกันเต็มเวทีใหญ่ ไม่นานก็มีคนขว้างก้อนหินไปโดนหัวของหนึ่งในนักโทษจนเลือดออก พอมีคนเริ่มก็เลยมีคนทำตามบ้างและในที่สุดเหล่านักโทษก็กลายเป็นเป้าให้ปาสิ่งของใส่
“ไม่ต้องกังวลไปนะครับ ไม่ว่าพวกคุณจะปาแรงแค่ไหนหรือนักโทษจะเป็นอะไรไปมันก็ไม่มีผล เพราะสุดท้ายพวกมันก็ต้องตายอยู่ดี”
ชาวเมืองส่วนใหญ่ส่งเสียงร้องเฮ้ตอบรับโยฮันเป็นอย่างดี พวกเขาเริ่มขว้างหินและของมีคมขึ้นมาบนเวทีซึ่งก็มีคนที่มีฝีมือปามีดปักเข้าหัวพอดีด้วย
หลังจากให้ชาวเมืองสนุกเต็มที่ก็ถึงเวลาประหาร เสียงสวดภาวนาของพวกนักล่าดังอยู่ตลอดเหมือนเป็นการสวดครั้งสุดท้ายหวังให้พระองค์เห็นใจ
“ขอให้นี่เป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อกล่าวจบโยฮันก็ยกมือเล็ง จากนั้นก็มีเวทมนตร์วายุพุ่งตัดคอของนักโทษทุกคนและยังสร้างพายุหมุนรวมหัวพวกนั้นไว้ด้วยกัน
“ขอให้สำนักมนตร์ดำรุ่งโรจน์ มนุษยชาติจงเจริญรุ่งเรือง” สิ้นเสียงสุดท้ายโยฮันก็ได้บีบอัดหัวของนักโทษจนเละแล้วปล่อยทิ้งลงมากองบนตัวของนักโทษเสียเอง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 78
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น