STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 35 บางบอบ
เวลาผ่านไปหนึ่งปีหลังจากที่พวกเขาออกมาจากลานเด็กโต ภายในหนึ่งปีนั้นพวกเขาได้ทำงานจิปาถะในสำนักอย่างการตรวจตรา เป็นคนเฝ้าระวังหรือแม้แต่ทำความสะอาดเหมือนพนักงานรับจ้างชั่วคราวไม่มีผิด
“ให้ตายสิ นึกว่าพวกเราจะได้ไปทำงานอย่างที่พวกเขาทำบ้าง อย่างนี้เราจะฝึกจนเลือดตาแทบกระเด็นไปทำไมเนี่ย?” เซรอนเหวี่ยงไม้กวาดไปรอบ ๆ เสมือนเป็นดาบ
“นี่อาจจะเป็นการฝึกงาน...ล่ะมั้ง” อาเวียนกล่าว
“ถ้าฝึกงานโดยการไล่ซัดคนก็ว่าไปอย่าง เพราะไอ้ที่เราทำในลานมันไปแนว ๆ นั้นหมดเลยนี่” บาย่าก้มตัวยกก้นขึ้นแล้ววิ่งถูพื้นให้ไวที่สุด
“คิดในแง่ดีสิ ปกติเราเอาแต่ฝึกกันตลอดแต่ตอนนี้เราจะได้เรียนรู้เรื่องพื้นฐานในชีวิตกันบ้างยังไงล่ะ” มิร่ากล่าว
โยฮันเดินยิ้มกลับมาหาเพื่อน ๆ “ฉันไปคุยกับเจ้าสำนักมาแล้ว เขาบอกว่าตำแหน่งงานมันยังไม่ว่างก็เลยให้เราทำอยู่ในสำนักไปก่อน แต่ตอนนี้ตำแหน่งมีว่างแล้วล่ะ”
“โธ่...ทำไมเราไม่ได้แบบพี่ลินน่าบ้างนะ” เซรอนใช้ไม้กวาดฟันมาข้างหน้าแกล้งอาเวียนแต่เขากลับถอยหลังหลบได้ง่าย ๆ
มิร่ากระดิกเท้าหวนคิดถึงวันวาน “นั่นสิ พอพี่ลินน่าก้าวออกมาจากลานก็มีคนเข้ามาคุยเต็มเลย เหมือนจะพยายามดึงตัวไปที่สำนักของตัวเอง แถมฉันได้ยินว่ามีคนให้ตำแหน่งมือขวาของเจ้าสำนักทันทีเลยด้วย”
ระหว่างที่เพื่อน ๆ กำลังคุยกัน อาเวียนกับเซรอนกลับวิ่งไล่ฟันกันด้วยไม้กวาดและไม้ถู
บาย่านั่งคอตกถอนหายใจ “อยากเก่งแบบพี่ลินน่าบ้างจังเลย ตอนนั้นพี่เขาประลองกับเจ้าสำนักได้สูสีทั้ง ๆ ที่อายุเยอะกว่าเราไม่กี่ปีเอง”
“นั่นคงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าอัจฉริยะที่เคยอ่านเจอในหนังสือ พี่ลินน่าอาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกเหมือนคณะปฏิวัติก็ได้” มิร่าตบหลังบาย่าช่วยให้เธอหลังตรงขึ้นมาอีกครั้ง
“แบบนั้นก็เจ๋งไปเลยสิ ถ้าพี่เขาได้เป็นคนใหญ่คนโตเราก็เหมือนเป็นศิษย์ของคนใหญ่คนโตไปด้วย” เซรอนกล่าวขณะที่โดนอาเวียนล็อกขาไว้ไม่ให้วิ่งหนีอีก
โยฮันหัวเราะในลำคอ “แน่นอน และเราก็จะไปให้ไกลไม่ให้น้อยหน้าพี่ลินน่าเลยคอยดู”
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ไปรับคำสั่งจากเจ้าสำนักโดยตรง โดยตำแหน่งที่พวกเขาได้รับก็คือเจ้าหน้าที่ส่งสัมภาระที่ต้องเดินทางไปมาตลอดทุกวัน
“พวกเราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ” โยฮันที่เปรียบเสมือนหัวหน้ากลุ่มกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อมให้ดูมีมารยาทที่สุด
“ของที่ต้องขนจะมีคนเตรียมไว้ให้ พวกนายมีหน้าที่แค่รับและส่งไปให้ถึงปลายทางโดยไม่ให้ของเสียหายเท่านั้น ถ้าทำผลงานได้ดีฉันอาจจะเลื่อนขั้นให้ไปทำงานที่ระดับสูงกว่านี้ไว ๆ ก็ได้”
“ครับ พวกเราจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
ไม่ใช่แค่โยฮันแต่คนอื่น ๆ ก็อยู่ในความสงบดูโตขึ้นจริง ๆ ไม่เหมือนตอนวัยรุ่นที่จ้องแต่จะพุ่งเข้าชนตลอดเวลา หลังจากได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งเสร็จพวกเขาก็ตรงไปยังห้องทำงานทันที
“โอ้โห่ ! ที่นี่มันห้องร้างหรือเปล่าเนี่ย?” เซรอนถึงกับต้องกลั้นหายใจเพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ฝุ่น
โยฮันเอานิ้วลูบโต๊ะข้าง ๆ แสดงให้เห็นถึงฝุ่นที่เกาะอยู่จำนวนมาก “นิดหน่อยน่า ยังไงเราก็ต้องออกเดินทางบ่อย ๆ อยู่แล้ว ที่นี่คงเป็นแค่ที่เก็บเอกสารกับของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นแหละ”
ทันใดนั้นก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินตามหลังมา
“หน่วยขนส่งใหม่มาแล้วสินะ ตอนนี้มีของค้างโกดังที่ต้องไปส่งเพียบเลย หน่วยขนส่งก็ดันล้มหายตายจากกันไปไวเหลือเกิน”
“แสดงว่าที่ตำแหน่งว่างก็เพราะคนเก่าตายไปแล้วใช่ไหมครับ?” เซรอนถามกลับทันที
“ใช่ หน่วยขนส่งของสำนักเรามีอยู่ยี่สิบหน่วยแต่ปีหนึ่งต้องเปลี่ยนคนไปถึงครึ่งหนึ่งเลยนะจะบอกให้”
เฟียร์หน้าซีดเป็นไก่ต้มและแอบย่องหนีแต่โยฮันดันเห็นแล้วดึงแขนไว้ทัน
“พวกเราขอเนื้อหาการส่งในครั้งนี้ด้วยครับ” โยฮันยื่นมือรับคำสั่งโดยไม่มีท่าทีปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย
“เป็นคนมีไฟดีแฮะ ฉันหวังว่าพวกนายจะอยู่ทำงานไปด้วยกันนาน ๆ นะ”
หลังจากได้รับภารกิจพวกเขาก็ตรงไปยังโกดังเก็บของที่ข้างในมีอะไรต่อมิอะไรวางเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด
“ไหนท่านเจ้าสำนักบอกว่าแค่รับส่งไง แล้วทำไมเราต้องมานั่งคัดแยกแล้วหาของที่ต้องส่งเองด้วยเนี่ย” เซรอนยังคงบ่นตลอดเวลาเพราะต้องหาของตามรายการที่ได้รับและต้องส่งให้ถึงก่อนพระอาทิตย์ตกดินอีกต่างหาก
“สงสัยคนจะไม่ค่อยพอ ในเมื่องานมาแล้วเราก็ต้องแสดงความสามารถซะ” โยฮันเม้มปากครุ่นคิดอยู่ในหัวแต่มือก็ยังทำงานต่อไป
พวกเขาช่วยกันค้นทั้งโกดังเพื่อหาของตามรายการที่ได้รับมา มีตั้งแต่ของจิปาถะไว้ใช้ในชีวิตประจำวันไปจนถึงยาพิษและอาวุธจำนวนมาก
“เสร็จสักที !” อาเวียน เซรอนและบาย่าตะโกนออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“ไปกันเถอะ เราต้องไปส่งให้ถึงก่อนตะวันตกดินแถมทางไปที่นั่นรถม้ายังเข้าไม่ได้อีก เราจะต้องแบกของและวิ่งต่อกันเอง”
“โธ่เอ๊ย...กลับไปฝึกเหมือนเดิมดีกว่า”
พวกเขาต้องแบกของขึ้นหลังด้วยสีหน้าบูดเบี้ยวเหมือนอยากกลับเต็มทนทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ก้าวเท้าออกจากสำนักเลยด้วยซ้ำ
“เราจะไม่หลงแน่นะ” อาเวียนเอ่ยถามระหว่างที่นั่งรถม้าไป
“ถ้าหลงก็ตายอยู่ในป่านั่นแหละ” โยฮันตอบกลับทันที
พอนั่งรถม้ามาได้สองชั่วโมง พวกเขาก็ต้องเดินเท้าตามทางเล็ก ๆ ในป่าต่อ
“แค่เดินตามทางก็จะไม่หลงแล้วใช่ไหม? แล้วพวกหน่วยสำรวจมาทำอะไรในป่ากันแบบนี้เนี่ย” อาเวียนหันมองไปรอบ ๆ ทั้งตื่นเต้นและหวาดระแวงไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าจะเจอกับอะไรกันแน่
หลังจากเดินเท้ามาอีกสองชั่วโมงในที่สุดพวกเขาก็มาเจอกับค่ายเล็ก ๆ ของหน่วยสำรวจ แต่ที่นั่นกลับเงียบสงบและยังได้กลิ่นคาวเลือดลอยตามลมมาด้วย
“ทุกคนเตรียมอาวุธ” โยฮันออกคำสั่งทันที พวกเขาช่วยกันระวังหลังกันและกัน
“เจออะไรไหมเฟียร์?”
“อืม...ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตแต่มีร่องรอยของมานาอยู่”
“ดูเหมือนงานแรกก็เจอปัญหาซะแล้ว” เซรอนเสริมกำลังและเพิ่มพละกำลังพร้อมกับเพิ่มความเร็วเตรียมปะทะได้ทุกเมื่อ
พวกเขาค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ค่ายแห่งนั้นจึงได้เห็นคนของสำนักนอนตายกันเกลื่อน แม้จะเคยฝึกกันอย่างยากลำบาก เคยประลองกับคนอื่น เคยฟันแขนแทงคนมาหลายครั้ง แต่คราวนี้พวกเขาได้เห็นกองศพสภาพเละ ๆ เป็นครั้งแรกทำให้ไม่มีใครกล้าก้าวเท้าเข้าไปใกล้เลย ยังดีที่พึ่งตายไม่นานไม่อย่างนั้นกลิ่นเหม็นคงฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วแล้ว
“รีบกลับไปรายงานสำนักเถอะ พวกเราขนย้ายศพพวกนี้ไม่ไหวหรอกต้องเรียกคนมาเพิ่ม”
สุดท้ายพวกเขาก็ต้องเดินเท้ากลับไปยังรถม้าแต่คราวนี้มันกลับไม่ง่ายเสียอย่างนั้น จู่ ๆ ก็มีก้อนหินก้อนใหญ่พุ่งลงมาหากหลบไม่ทันก็คงจะโดนทับแบนไปแล้ว
“ศัตรู เราต้องเร่งฝีเท้าออกไปจากป่าให้เร็วที่สุด” โยฮันหันมองเพื่อน ๆ ส่งสัญญาณมือให้ตามหลังเขาไป
ระหว่างที่วิ่งออกจากป่าพวกเขาก็ต้องคอยหลบเวทมนตร์จากศัตรูในป่าที่มองไม่เห็น
“ถ้าไม่กลัวหลงป่าเราคงสวนพวกมันไปบ้างแล้ว” ถ้ามีกระสุนหินพุ่งมาทางขวาเซรอนจะเป็นคนปัดป้องไว้
“หน็อย ! อย่าให้เจอกันนอกป่านะเว้ย !” อาเวียนวิ่งตามหลังสุดคอยระวังการจู่โจมจากด้านหลังให้และเขายังเคลื่อนไหวตามกลุ่มได้สบาย ๆ
“รีบมาเถอะ อย่าให้คลาดกันเด็ดขาด” มิร่าเป็นคนระวังทางซ้ายส่วนเฟียร์อยู่ตรงกลางกลุ่มเพื่อใช้เวทมนตร์ตรวจจับดูสถานการณ์รอบ ๆ
“ทิ้งของไปเลยดีไหมเราจะได้สบายตัวหน่อย” บาย่ากล่าวขณะที่วิ่งนำหน้าคู่กับโยฮัน
“อืม ทิ้งของไปเลย !”
หลังจากทิ้งข้าวของไปพวกเขาก็สามารถเร่งฝีเท้าได้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก สุดท้ายพวกเขาก็ออกไปจากป่าได้สำเร็จและหันหลังกลับมาดูว่ามีศัตรูตามมากี่คนกันแน่
“ทำไมออกมาไวแท้ล่ะ” คนคุมบังเหียนเอ่ยถามแต่พอมองตามสายตาของพวกโยฮันเข้าไปในป่าจึงเห็นกลุ่มคนโผล่ออกมา
กลุ่มคนเหล่านั้นคืออมนุษย์เผ่าออร์ค พวกมันจู่โจมต่อทันทีไม่พูดไม่จาแต่คราวนี้พวกโยฮันไม่หันหลังหนีอีกแล้ว
“พวกมันเลเวลสามกันหมดเลย” โยฮันสร้างหมอกปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดไว้และเล็งเป้าโดยการให้มิร่าใช้ตรวจจับแล้วจุดไฟในตำแหน่งที่ศัตรูอยู่
“ไป !” อาเวียนตะโกนลั่นเหมือนตั้งใจเผยตำแหน่งให้ศัตรูรู้
ขณะที่พวกออร์คกรูกันเข้าไปหาอาเวียนมันเป็นจังหวะเดียวกับที่ทั้งห้าคนเตรียมเวทมนตร์ยิงใส่ไม่ยั้งไม่กลัวอาเวียนโดนลูกหลงไปด้วยเลย
“ไป !” อาเวียนหมอบต่ำหลบให้ไม่โดนลูกหลงแต่เพราะเวทมนตร์แค่นั้นยังกำจัดออร์คไม่ได้เขาจึงต้องใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อต่อไป
อาเวียนยกแขนขึ้นมาตรงหน้าใช้มันเหมือนเป็นเขาของวัวกระทิง เขาเสริมกำลังและใช้เวทมนตร์วายุผลักตัวเองพุ่งชนพวกออร์คที่ยังยืนไหวอยู่
“ล้มแล้ว !” มิร่าตะโกนลั่นจากนั้นเฟียร์ที่เตรียมมานาไว้ก็ได้สร้างลมพายุพัดเอาหมอกควันออกไปหมด
พอหมอกควันหายไปหมดพวกเขาก็ลงมือสังหารออร์คที่ไร้ทางสู้จนหมดเกลี้ยง
“พวกมันหนังไม่เหนียวเท่าที่คิดแฮะ” เซรอนตรวจดูสภาพดาบของตนเองว่ามันเสียหายหรือบิ่นไปมากน้อยแค่ไหน
“อาจจะเพราะเราขึ้นมาเลเวลสี่แล้วก็ได้ แต่ดู ๆ แล้วพวกมันต้องมีหัวหน้าหรือตัวที่แข็งแกร่งกว่านี้อยู่แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นหน่วยสำรวจคงไม่โดนเล่นงานหรอก” โยฮันเดินวนดูสภาพศพเพื่อคาดการณ์การต่อสู้ของหน่วยสำรวจ
“ไม่มีร่องรอยอื่นนอกจากของเราเลย เป็นไปได้สองอย่างก็คือหน่วยสำรวจไม่ได้เจอกับพวกนี้ ไม่ก็หน่วยสำรวจโดนลอบโจมตีแล้วไม่ได้ตอบโต้เลยสักครั้ง”
“หรือหน่วยสำรวจจะโดนพวกอื่นเล่นงานแต่บริเวณนั้นก็มีแค่เจ้าพวกนี้นะ” อาเวียนก้มดูสภาพศพของออร์คบ้าง
“รีบกลับไปรายงานสำนักเถอะ ให้พวกเขามาตรวจสอบกันเอง”
นอกจากความเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวันก็ยังต้องมาเจอกับปัญหาในการทำงานตั้งแต่วันแรกอีก หลังจากรายงานเรื่องหน่วยสำรวจก็มีฝ่ายตรวจสอบมุ่งหน้าไปดู
“อะไรกันนักหนาวะเนี่ย หรือพวกเราสบายมาทั้งปีก็เลยจัดเต็มงานหยาบให้เลย” บาย่านอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นและยังถอนหายใจอยู่บ่อยครั้ง
“คิดมากน่า อย่างน้อยพวกเราก็ได้ออกแรงกันจริง ๆ เหมือนได้ปลดปล่อยความอึดอัดตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเลย” มิร่าลงไปนอนกลิ้งเป็นเพื่อนบาย่า
วันแห่งความวุ่นวายผ่านพ้นไปด้วยความหงุดหงิด พอเช้าวันถัดมาก็มีภารกิจใหม่มาต่อทันทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สรุปเมื่อวานเป็นฝีมือของพวกออร์คใช่ไหมครับ?”
โยฮันกับเจ้าหน้าที่ยืนคุยกันอยู่พักหนึ่งก่อนจะรับภารกิจใหม่มา จังหวะนั้นเพื่อน ๆ ก็พุ่งตรงเข้าไปดูภารกิจด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ขอที่มันดี ๆ หน่อยเถอะ อย่าเข้าป่าลึกแบบเมื่อวานเลย” เพื่อน ๆ ต่างก็กุมมือภาวนาแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะภารกิจต้องไปส่งในป่าลึกอีกแล้ว
ถึงจะไม่อยากทำแค่ไหนแต่สุดท้ายงานก็คืองาน ถ้าไม่ทำก็โดนไล่ออกและที่พยายามมาตลอดก็จะไร้ความหมายไปเลย อย่างน้อยการส่งของในวันนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดีพวกเขาจึงหายใจโล่งขึ้นมาทันที
“ให้ตายสิ ถ้าแค่ไปส่งแบบวันนี้มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ขอให้ไม่เจอเรื่องแบบเมื่อวานก็พอแล้ว” ขณะที่กำลังอาบน้ำบาย่าก็บ่นให้มิร่ากับเฟียร์ฟังตลอด มันคือช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้ชะล้างสิ่งสกปรกพร้อม ๆ กับระบายความหงุดหงิดในแต่ละวัน
ส่วนทางด้านพวกโยฮันก็กำลังอาบน้ำกันอย่างสบายใจเช่นกัน
“อยากลองทำงานหน่วยสำรวจดูบ้างแฮะ ปกติพวกเขาอยู่แต่ในป่าหรือยังไง?”
“ไม่ใช่หรอกพวกเราทำงานมาแค่สองวันจะไปรู้อะไรล่ะ ใช่ไหมโยฮัน” อาเวียนหันมองหน้าโยฮันที่กำลังสระผมอยู่ พอได้โอกาสเขาจึงแอบเทแชมพูใส่หัวเพิ่มแต่โยฮันดันรู้ทันแล้วโยกหัวหลบพอดี
“มา ๆ เดี๋ยวฉันช่วย” เซรอนเข้ามาประสมโรงช่วยกันเทแชมพูใส่หัวโยฮันแต่เขาก็ยังหลับตาสระผมแล้วโยกหัวหลบไปมาเล่นกันอย่างกับเด็ก
การทำงานส่งสัมภาระยังคงดำเนินต่อไปอีกหนึ่งปีและก็ไม่เจอเรื่องสยดสยองแบบวันนั้นอีกเลย
“อืม ๆ เหมือนจะคุ้นชินกับงานส่งของแล้วสินะ ปกติพวกนายต้องรอตำแหน่งงานว่างก่อนแต่เพราะฉันเห็นศักยภาพของพวกนาย ดังนั้นฉันจะเปลี่ยนไปตำแหน่งที่เหมาะกว่านี้” เจ้าสำนักเดินวนดูรอบ ๆ เหมือนกำลังตรวจสอบสภาพร่างกายไปด้วย
“พวกนายจะได้เริ่มงานจริง ๆ ของสำนักแล้ว ปกติเราจะสุ่มกระจายคนไปอาณาจักรอื่นแต่เห็นพวกนายรักใคร่กลมเกลียวกันดีดังนั้นฉันจะไม่จับแยกก็แล้วกัน”
“งานอะไรครับ?” โยฮันถามแต่ดูจากสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่ามันคืองานอะไร
“งานรับจ้าง นั่นคืองานหลักของสำนักมนตร์ดำและสำนักย่อยทั้งหมด”
มีเพียงแค่โยฮันที่เข้าใจว่ามันคืองานอะไร ส่วนคนอื่นจ้องมองด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้รอฟังรายละเอียดอย่างใจจดใจจ่อ
“พวกนายคงเคยเห็นห้องข้อมูลใช่ไหม? ที่นั่นจะเข้าได้เมื่อทำงานรับจ้างและมีลำดับขั้นของข้อมูลอยู่ อย่างพวกนายจะได้เลขสี่หลักที่เป็นลำดับต่ำสุด จากนั้นก็เป็นหมายเลขสามหลัก สองหลักและหนึ่งหลัก ต่อด้วยลำดับมือขวาและผู้บริหาร สุดท้ายก็คือลำดับเจ้าสำนัก”
“แล้ว ๆ ทำยังไงถึงจะเลื่อนลำดับได้ล่ะครับ?” อาเวียน เซรอน บาย่าและมิร่าตื่นเต้นจนตาเป็นประกาย
“ก็แค่ไปท้าประลองลำดับที่สูงกว่าแต่พวกนายควรทำงานจากลำดับล่างก่อน การเรียนรู้งานทุกระดับจะทำให้นายเข้าใจการทำงานและประสานงานได้ดีขึ้น แต่ถ้าพูดเรื่องความสามารถพวกนายน่าจะไปหมายเลขสองหลักได้แล้ว”
“แล้ว ๆ งานที่เราต้องทำคืออะไรครับ?”
“อืม...จริง ๆ พึ่งเป็นพนักงานรับจ้างจะยังไม่มีงานหรอก แต่ฉันจะเป็นนายจ้างคนแรกให้เอง” เจ้าสำนักหยิบจดหมายบนโต๊ะมาและยื่นให้โยฮัน “เนื้อหาการจ้างวานครั้งแรกคือการเอาจดหมายไปส่งที่สำนักแอสซิน”
“สำนักแอสซิน...ถึงจะทำงานส่งของมาหนึ่งปีแต่ก็ไม่เคยเหยียบเข้าไปในสำนักอื่นเลย พวกเราจะไม่โดนจับหรืออะไรทำนองนั้นใช่ไหมครับ?”
“ไม่หรอกน่า สำนักก็เหมือนเมืองธรรมดานั่นแหละ พวกเขาก็แค่ตรวจสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่แน่นอนว่าพวกนายต้องเก็บเรื่องจดหมายเป็นความลับด้วย”
“รับทราบครับ” โยฮันยืนตัวตรงพอเป็นพิธีเพื่อรับภารกิจมาแต่โดยดี
หลังจากได้รับภารกิจพวกเขาก็ออกเดินทางทันที จุดมุ่งหมายอยู่ไม่ห่างนักซึ่งใช้เวลาเดินทางไม่เกินหนึ่งสัปดาห์
“เดินทางไกล เดินทางไกล เดินทางไกล เราจะได้ออกไปโลกภายนอกที่ไม่ใช่ป่าสักที” บาย่ากระโดดโลดเต้นดีใจ
“ถ้าเดินทางไกลก็ต้องพกของกินไปเยอะ ๆ สิ” โยฮันห่อของกินจากโรงอาหารมาเต็มกระเป๋า
“เอาไปก็เก็บไว้กินได้แค่วันสองวันเท่านั้นแหละ ต้องพกเงินไปเยอะ ๆ สิ” มิร่าโยนถุงเงินเล่นจงใจอวดให้เห็นเพราะลำบากเก็บมานาน
“อย่าลืมพกอาวุธไปเยอะ ๆ ด้วยล่ะ ถ้าไปเจอพวกสัตว์อสูรจะได้ไม่ลำบาก” เซรอนแบกกระเป๋าที่มีแต่ดาบไปด้วย
อาเวียนส่ายหัวก่อนจะกล่าวต่อ “พวกนายนี่มันไร้สาระกันจริง ๆ เดินทางไกลเราก็ต้องพกรองเท้ากับถุงมือไปสิ”
“ปกติก็ใส่อยู่แล้วไม่ใช่หรือยังไงจะพกไปให้มันเกะกะทำไม”
“ก็น่าจะเกะกะน้อยกว่าดาบนะ”
สุดท้ายทุกคนก็พกของที่ตัวเองอยากพกไปเหมือนได้ออกไปเที่ยวมากกว่าไปทำงาน การเดินทางในวันแรกเต็มไปด้วยเสียงครื้นเครงสนุกสนาน การเดินทางในวันที่สองเริ่มเหนื่อยล้าเพราะความดี๊ด๊าวันแรก และวันที่สามก็เริ่มเดินช้าค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป
“ไม่น่ากินเยอะเลย พอต้องถ่ายหนักในป่ามันต้องระแวงหลังตลอดเวลาทำเอาเหนื่อยเป็นบ้าเลย” อาเวียนเดินคอตกห่อเหี่ยวอย่างกับต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา
“สมน้ำหน้า ฉันบอกแล้วว่าต้องพกอาวุธมาเยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องระแวงนัก”
เฟียร์ยื่นยาให้เงียบ ๆ ไม่บอกไม่กล่าว
“ขอบใจแต่ฉันเชื่อว่าตัวเองจะหายเองได้...” พูดไม่ทันขาดคำอาเวียนก็ต้องวิ่งเข้าป่าไปถ่ายหนักอีกครั้ง
“งั้นเราพักกันก่อนแล้วกัน” โยฮันส่งสัญญาณมือให้ทุกคนไปสำรวจรอบ ๆ เพื่อความปลอดภัย
พอไม่พบสิ่งผิดปกติพวกเขาก็กลับมารวมตัวกันที่เดิม
เซรอนถอนหายใจนั่งลูบดาบไปพลาง ๆ “พวกงานจ้างวานต้องเดินทางไกลแบบนี้ตลอดเลยไหมเนี่ย?”
“คงต้องอย่างนั้นแหละ โชคดีแค่ไหนแล้วที่เรายังได้ทำงานด้วยกัน ปกติจะมีการสุ่มคนกระจายไปอาณาจักรอื่นเพื่อเติมตำแหน่งงานที่ขาด ซึ่ง...ฉันคิดว่าในอนาคตเราก็ต้องแยกกันไปทำงานคนละที่อยู่ดี”
“แยกกันสินะ แต่ก็แค่แยกกันทำงานเฉย ๆ วันดีคืนดีเราอาจจะกลับมารวมกันใหม่ก็ได้นะ” มิร่าก้มมองพื้นไม่กล้าสบตาเพื่อน ๆ เพราะกลัวว่าจะเห็นความโศกเศร้าในแววตาคู่นั้น
“ฉันมาแล้ว !” อาเวียนวิ่งหน้าตั้งกลับมาด้วยความร้อนรนกลัวจะทำเพื่อน ๆ ช้า
การเดินทางอันยาวนานได้เสร็จสิ้นลงในวันที่หก เบื้องหน้าของพวกเขาคือประตูเข้าเมืองของสำนักแอสซินที่เลื่องชื่อในการลอบสังหาร
“มาจากไหน? มาทำอะไรครับ?” ยามหน้าประตูเอาหอกขวางทางเดินไว้และยังมองด้วยแววตาสงสัย
“พวกเราเป็นนักผจญภัยฝึกหัดครับ ตอนนี้อยู่ในช่วงเดินทางเพื่อเก็บประสบการณ์ก็เลยไปที่ต่าง ๆ ทั่วอาณาจักรเลยครับ” โยฮันออกหน้าคุยกับยาม
“น่าสงสัยจริง ๆ” สุดท้ายก็ลงเอยที่การค้นตัวและตรวจสอบข้าวของทุกอย่างที่เอามา
“เหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกตินะ”
ทั้งหกคนค่อย ๆ เดินผ่านประตูเมืองเข้าไปแต่อาการปวดท้องของอาเวียนดันกำเริบขึ้นมาจึงต้องวิ่งไปหาห้องน้ำโดยด่วน แต่นั่นกลับทำให้ยามสงสัยว่าจะทำอะไรผิดจึงพากันไล่ล่าอาเวียนต่อ
โยฮันและเพื่อน ๆ ต่างก็ต้องกุมขมับแล้ววิ่งตามหลังไปอีกที จากที่ต้องเข้าเมืองมาอย่างสงบไม่ให้ใครรับรู้แต่ดันสร้างความวุ่นวายจนเป็นที่พูดถึงไปทั่วทั้งเมือง
“ก็แค่เข้าห้องน้ำจะรีบร้อนไปไหน?” ยามคนหนึ่งบ่นให้ฟังก่อนจะเดินกลับไปทำหน้าที่ต่อ
“ขอให้พวกลุง ๆ เป็นบ้างแล้วกัน” อาเวียนนินทาตามหลังแต่เสียงดังไปหน่อยจนยามได้ยินแล้วหันมาจ้องหน้าอีกครั้ง แต่อาเวียนก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วโบกมือลาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เมื่อความวุ่นวายจบลงพวกเขาก็เดินทางไปยังจุดนัดพบในการส่งจดหมายของสำนัก
เซรอนยิ้มเจื่อนเมื่อเห็นสถานที่นั้น “จุดส่งจดหมายคือตรงนี้แน่นะ?”
“น่าจะ เจ้าสำนักบอกว่าให้ไปที่ที่มีต้นไม้ใหญ่สองต้นกับบ่อเลี้ยงปลา”
มิร่ากับเฟียร์เอามือปิดจมูกและหลบสายตาไปทางอื่น ที่ตรงนั้นเป็นห้องน้ำเก่าที่ไร้การดูแลจนเละเทะไปหมดและยังส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์อีกต่างหาก
“ดูสิใครมา” จู่ ๆ ก็มีเสียงกระซิบของชายคนหนึ่งดังขึ้น พวกเขามองหาที่มาของเสียงแต่กลับไม่พบใครอยู่เลย
“อยู่ทางนี้” เสียงนั้นดังมาจากด้านหลังแต่พอหันหลังไปกลับไม่เห็นใคร
“ทางนี้ต่างหาก” คราวนี้เสียงมาจากด้านหน้าแต่พอหันมองก็ยังไม่เห็นใคร
“นั่นแน่ อยู่ทางนี้ต่างหาก” จู่ ๆ เขาก็มายืนอยู่ข้างหลังทำพวกโยฮันตกใจจนต้องเหวี่ยงดาบฟันไปหนึ่งครั้ง
“ใจเย็นก่อนสิ ฉันมารับจดหมายนะ” เขารับดาบไว้ด้วยมีดสั้นและยังยิ้มสดใสทักทายอย่างเป็นมิตร
“ขออภัยที่เพื่อนของผมเหวี่ยงดาบใส่แต่ก็เพราะคุณพี่เข้าหาทีเผลอนั่นแหละครับ” โยฮันยังคงเป็นผู้นำออกหน้าคุยแทนอยู่ทุกครั้ง
“ขอโทษแล้วกัน ฉันก็แค่อยากทดสอบดูสักหน่อย” เขายื่นมือให้จับเป็นการทักทายแต่พอจะจับเขากลับดึงมือกลับเสียอย่างนั้น
“ลองจับให้ได้สิ” เขากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและขยับมือหนีโดยที่ไม่ก้าวขาไปไหนทั้งนั้น
โยฮันสูดลมหายใจตั้งสมาธิแล้วไล่จับมือของชายผู้นั้นแต่หลังจากพยายามมาห้านาทีก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจไป
“ฉันขอลองบ้างสิ” เซรอนถูมือเตรียมตัวแต่ผ่านไปแค่หนึ่งนาทีก็ต้องยอมถอยออกมา
บาย่าวิ่งไปยืนรอด้วยความตื่นเต้นเพราะอยากแสดงทักษะความว่องไวของตนเองให้เห็น แต่เธอก็พยายามได้ห้านาทีแล้วต้องถอยกลับมาด้วยสีหน้าซึม ๆ
“มา ๆ ฉันขอลองบ้าง” มิร่าเป็นรายต่อไปที่ต้องมานั่งซึมเพราะพยายามเท่าไรก็ตามมือของชายผู้นั้นไม่ทัน
“ถ้าเป็นมือเปล่าก็ต้องเป็นฉันสิ” อาเวียนดัดคอเสียงดังกรอบเป็นการเตรียมตัวแต่ก็ต้องเดินคอตกกลับมาแทน
ชายผู้นั้นปรบมือให้กับความพยายามของพวกโยฮัน “ฉันชอบความตั้งใจของพวกนายจริง ๆ การที่เจ้ากินจิสนใจคงไม่แปลกใจเลย”
จู่ ๆ เฟียร์ก็เดินมาจับมือไม่ให้สุ่มไม่ให้เสียงแม้แต่พวกโยฮันก็ตกใจเหมือนกัน
“จับได้แล้วค่ะ” เธอหันมองเพื่อน ๆ ด้วยรอยยิ้มดีใจก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจของชายผู้นั้น
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันชื่อโซเป็นเจ้าสำนักแอสซิน”


แสดงความคิดเห็น