บทที่ 79: ในศึกครั้งนี้เราจะไม่แพ้
2 วันต่อมา
“ระบบ ฉันต้องการลงชื่อเข้าใช้” หลินหยวนนอนลืมตาอยู่บนเตียง และสิ่งแรกที่เขาทำก็คือการลงชื่อเข้าใช้
ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงระบบแจ้งเตือนก็ดังตามมา
“ติ๊ง! ขอแสดงความยินดี คุณลงชื่อเข้าใช้สำเร็จเป็นเวลา 270 วัน ได้รับรางวัล: คริสตัลอัปเกรดพลัง x15!”
คริสตัลอัปเกรดพลังอีก 15 ชิ้น
ถึงรางวัลจำนวนนี้อาจจะดูเยอะมาก แต่เมื่อระดับพลังของเขาเพิ่มสูงขึ้น จำนวนคริสตัลที่เขาต้องใช้อัปเกรดพลังก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกัน
เพื่อพัฒนาพลังพิเศษของตัวเอง ปริมาณคริสตัลอัปเกรดพลังที่ต้องใช้คืออย่างน้อยหลาย 100 ชิ้น
รางวัลที่เขาได้รับในวันนี้นั้นดูน้อยนิดเมื่อเทียบกับความต้องการของเขา
เมื่อหลินหยวนได้รับรางวัลลงชื่อเข้าใช้ เขาก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “ระบบ เปิดหน้าสถานะ”
วินาทีต่อมา แผงข้อมูลส่วนตัวของเขาก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทันที
—
[โฮสต์: หลินหยวน
แรงก์: SS
ร่างกายพิเศษ: ร่างจอมมาร, ฉงถงระดับสูง
สกิลพิเศษ: ลมหายใจสายฟ้า, วิคหะเยียวยา, พิภพเยือกแข็ง, สังเวยอันเดด, หัวใจมรณะ, เนตรสัจจะ
พลังปราณ: 123,876
พลังจิต: 7,662
พลังพิเศษ: [สายฟ้า] ระดับ B
[รักษา] ระดับ B
[น้ำแข็ง] ระดับ B
[อันเดด] ระดับ B
[เทเลพอร์ต] ระดับ B]
หลังจากเด็กหนุ่มฝึกมาหลายวัน พลังปราณของเขาก็พุ่งทะลุ 1 แสนแต้มได้สักที!
ตอนที่เขาขึ้นรถหุ้มเกราะเพื่อมุ่งหน้ามาที่ป้อมปราการสงคราม พลังปราณของเขามีประมาณ 6 หมื่นกว่าแต้มเท่านั้น
ปัจจุบันเวลาผ่านมา 1 เดือน พลังปราณของเขาได้เพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง แต่มันก็แลกด้วยการที่เขาต้องกินยาเพิ่มพลังปราณระดับสูงเข้าไปทุกวัน
ขณะนี้หลินหยวนไม่ต่างจากปีศาจเขมือบทรัพย์เดินได้เลยสักนิด
สำหรับเขาแล้ว ขอเพียงแค่มันช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาได้แม้เพียงน้อยนิด เขาก็ยินดีที่จะจ่าย
ยิ่งไปกว่านั้น คงไม่มีใครมีความสามารถแบบนี้อีกแล้ว
ข้อได้เปรียบของร่างจอมมารนั้นเหมือนบัคของระบบ ทำให้หลินหยวนไม่มีขีดจำกัดในการดูดซับพลังปราณ
เมื่อพลังปราณของเขาไปถึง 150,000 แต้ม เขาก็จะเป็นผู้มีพลังพิเศษแรงก์ SS อย่างเป็นทางการ
ถึงแม้ว่าปัจจุบันเด็กหนุ่มจะยังขาดพลังปราณอยู่ราว ๆ 3 หมื่นแต้ม แต่ตอนนี้เมื่อพิจารณาจากแต้มโดยรวมแล้ว เขาก็มีพละกำลังในระดับเดียวกันกับผู้มีพลังพิเศษแรงก์ SS อยู่แล้ว
ถ้าจะพูดให้ถูก หลังจากใช้สกิลลมหายใจสายฟ้าและเข้าสู่สถานะระเบิดโลหิต พลังของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
ทว่า… อย่างไรก็ตาม หลินหยวนก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะเอาชนะไททันมหันตภัยได้หรือเปล่า เพราะไททันมหันตภัยนั้นอยู่ในระดับเดียวกับผู้มีพลังพิเศษแรงก์ SSS
ถึงเขาจะไม่เคยเห็นพลังที่แท้จริงของผู้มีพลังพิเศษแรงก์ SSS ในตอนที่ระเบิดพลังสูงสุด แต่เขาก็เคยเห็นหลี่หวงเหยียนที่เป็นผู้มีพลังพิเศษแรงก์ SSS ลงสนามด้วยตาตัวเอง
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เด็กหนุ่มได้จำลองการต่อสู้ระหว่างตนเองกับหลี่หวงเหยียนนับครั้งไม่ถ้วน
ผลที่ได้ก็คือ ไม่ว่าเขาจะจำลองอยู่กี่ครั้ง โอกาสที่เขาจะชนะอีกฝ่าย… แทบจะเป็นศูนย์!
ถ้าจะพูดให้เข้าใจกันง่าย ๆ ก็คือ เขาไม่มีทางเทียบชั้นกับผู้มีพลังพิเศษแรงก์ SSS หรือแม้แต่ไททันมหันตภัยได้เลย
ความต่างของระดับนั้นสำคัญมาก ยิ่งการต่อสู้ยืดเยื้อไปนานเท่าไร ช่องว่างระหว่างพลังก็จะยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้มีพลังพิเศษแรงก์ SS 7 คนอาจจะฟังดูเหมือนมีเยอะ แต่พอไปอยู่ต่อหน้าไททันมหันตภัยแล้ว การมีจำนวนมากกว่ากลับไม่มีความหมายอะไรเลย
เมื่อหลินหยวนคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็เริ่มกัดฟันแน่น เพื่อเอาตัวรอดไปจากภัยพิบัติในครั้งนี้ เขาจะต้องคิดหาวิธีอื่น
ในไม่ช้าเด็กหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกดหมายเลขของโจวอวี้หลงทันที
เมื่ออีกฝ่ายรับสาย เขาก็ถามออกไปโดยไม่ทักทาย “หัวหน้าโจว ศพไททันทั้งหมดที่ผมขอให้คุณเตรียมไว้ให้พร้อมหรือยังครับ?”
“พร้อมแล้ว เราเก็บศพไททันที่สูงกว่าระดับ 5 ได้เกือบพันศพ” เสียงโจวอวี้หลงดังออกมาจากปลายสาย “ว่าแต่… นายคิดจะทำอะไรกับศพไททันพวกนั้น?”
“คุณอย่าเพิ่งถามเลย” หลินหยวนสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ผมอยากให้คุณเชื่อใจผม ในศึกครั้งนี้เราจะไม่แพ้แน่!”
เขาให้โจวอวี้หลงรวบรวมศพไททันให้มากที่สุดเพื่อเอาไว้ใช้สังเวยอันเดด
อย่างที่ทุกคนรู้ดีว่าความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตอันเดดที่ถูกอัญเชิญมานั้นจะสัมพันธ์กับจำนวนและคุณภาพของศพที่ใช้สังเวย
ในเมื่อเด็กหนุ่มไม่มีข้อได้เปรียบในด้านคุณภาพ เขาจึงเอาจำนวนเข้าสู้
“ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่า… จะเป็นอันเดดแบบไหนที่ถูกอัญเชิญออกมาหลังจากสังเวยศพไททันระดับ 5 ขึ้นไปมากกว่าพันศพ” หลังจากวางสายหลินหยวนก็พึมพำกับตัวเองในขณะที่ดวงตาเหม่อมองไปด้านหน้า
ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เขาพึ่งพาได้เพียงตัวเองเท่านั้น!
ในเมื่อผู้มีพลังพิเศษในเมืองไม่อาจรับมือกับศัตรูได้ เขาจึงต้องลงมือเอง!
เด็กหนุ่มเชื่อว่าอันเดดที่เขาอัญเชิญออกมาในครั้งนี้จะต้องทรงพลังอย่างที่ไม่เคยมีใครเคยพบมาก่อน
อีกอย่าง หากป้อมปราการไม่ได้อยู่ใกล้กับสนามรบแนวหน้า โจวอวี้หลงคงไม่สามารถรวบรวมศพไททันระดับสูงมาได้มากมายขนาดนี้
นอกนี้เขาจะต้องเกณฑ์คนจำนวนมากไปเก็บศพไททันมาจากในสนามรบ แล้วถึงขั้นต้องสร้างโกดังเก็บศพชั่วคราวเอาไว้ในป้อมปราการ
สาเหตุที่ชายชุดเกราะยอมทำตามคำขอของหลินหยวนโดยไม่มีเงื่อนไขนั้นเป็นเพราะเขาได้มอบข้อมูลที่ล้ำค่าให้กับอีกฝ่าย
“ศึกในครั้งนี้เราจะเอาชนะได้แน่เหรอ? ฉันหวังว่ามันจะเป็นแบบนั้นนะ…” หลังจากวางสายโจวอวี้หลงก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง
จากนั้นเขาก็ก้าวเดินไปข้างหน้าช้า ๆ แล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างสูงตั้งแต่พื้นจรดเพดานเพื่อมองออกไปยังป้อมปราการเบื้องล่าง
ในบรรดาผู้พิทักษ์ที่มีพลังพิเศษแรงก์ SS 4 คนที่เฝ้าป้อมปราการแห่งนี้ เขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นพลังของไททันมหันตภัยด้วยตาตัวเองตอนที่อยู่ในสนามรบแนวหน้า
เขาไม่มีวันลืมเสียงคำรามที่น่ากลัวจนทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนนั้นได้เลย
เพราะเหตุนี้เองโจวอวี้หลงจึงมีท่าทีวิตกกังวลยิ่งกว่าใคร
บางทีอีกไม่นานป้อมปราการที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเขาอาจจะเปลี่ยนกลายเป็นซากปรักหักพัง
ต่อมา โจวอวี้หลงยกมือแตะบนตำแหน่งหัวใจพลางกระซิบกับตัวเองอย่างแผ่วเบา
“ฉันจะสู้จนถึงวินาทีสุดท้าย ปกป้องที่นี่ด้วยชีวิต”
…
3 วันต่อมา
จอมมารทมิฬค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมาจากโกดังร้างที่มีแสงเงาสลัว ในเวลาเดียวกันอากาศโดยรอบก็อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
วันนี้เป็นอีกวันที่ท้องฟ้าสดใสแสงแดดเจิดจ้า ซึ่งแสงแดดที่พร่างพราวได้ส่องผ่านเบื้องบนลงมาทำให้คนที่ได้มองรู้สึกตาพร่า
จอมมารทมิฬยกมือขึ้นบังแสงพลางรอให้สายตาปรับตัวเข้ากับแสงที่เจิดจ้าภายนอก
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแจ่มใส แล้วเชิดหน้าขึ้นปล่อยให้แสงแดดไล้ร่างกายพร้อมกับยกยิ้มมุมปากจาง ๆ “วันนี้อากาศดีจริง ๆ”
“ถ้าอย่างนั้น เรามากำหนดว่าวันนี้เป็น ‘วันแห่งหายนะ’ กันเถอะ ในวันที่แสนพิเศษแบบนี้ ขอให้ทุกสิ่งในป้อมปราการถูกทำลาย!”
โกดังร้างแห่งนี้ตั้งอยู่มุมหนึ่งในป้อมปราการสงครามที่ค่อนข้างจะเงียบสงบ
ขณะนี้ไม่มีใครรู้ว่าคำพูดของผู้ชายคนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะของจริง!
หลังจากจอมมารทมิฬพูดจบ รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าเขาก็จางหายไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ดึงวิทยุสื่อสารออกมาจากอกแล้วพูดกรอกลงไปว่า “ถึงเวลาทำตามแผนขั้นสุดท้ายแล้ว”
…
สลัมภายในป้อมปราการสงคราม
“โจ๊กมาแล้ว! อยากกินก็รีบไสหัวออกมาเร็วเข้า!” ชายร่างใหญ่ใช้ทัพพีเคาะถังเหล็กจนเกิดเสียงเป๊ง ๆๆ
ภายในถังเหล็กนั้นบรรจุโจ๊กสีขาวที่มีไอร้อนระอุส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว
กลุ่มคนในสลัมที่รอมานานก็กุลีกุจอมาต่อแถวยาวเหยียดอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์แจกโจ๊ก
คนส่วนใหญ่ที่นี่เป็นผู้ลี้ภัย
ในยามกลียุคเช่นนี้ นอกจากแนวหลังที่ค่อนข้างปลอดภัย พื้นที่ที่ยิ่งอยู่ใกล้แนวหน้ามากเท่าไหร่ ผู้ลี้ภัยก็จะยิ่งประสบกับความยากลำบากและรับผลกระทบจากสงครามมากขึ้นเท่านั้น
“แปลก… ทำไมวันนี้โจ๊กดูแปลกไปจากเดิมล่ะ?”
“เลิกพูดมากได้แล้วน่า! ตอนนี้มีอะไรให้กินก็บุญแค่ไหนแล้ว”
“พี่ชาย คุณเพิ่งเคยมากินโจ๊กที่นี่เป็นครั้งแรกเหรอ? ถึงแม้ว่าสีของมันจะดูเพี้ยนไปสักหน่อย แต่ก่อนหน้านี้ในโจ๊กมีทั้งกรวดทั้งทรายผสมอยู่ ตอนนั้นยังไม่เห็นมีใครบ่นอะไรเลย”
“ในยุคนี้แค่มีชีวิตอยู่ก็บุญหัวมากแล้ว อย่ามาเรื่องมากไปหน่อยเลย”
“พี่ชาย ถ้าตัวเองไม่อยากกินก็อย่ามาขวางคนอื่นเขา”
เนื่องจากที่นี่มีผู้ลี้ภัยเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเวลาผ่านไปไม่นานถังโจ๊กก็ว่างเปล่า
แม้ว่าผู้ลี้ภัยบางคนจะรู้สึกว่าวันนี้โจ๊กดูผิดปกติไปจากที่เคย แต่คำบ่นของพวกเขาก็ถูกคนอื่นปัดตกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากชายตัวใหญ่แจกโจ๊กในถังหมดแล้ว เขาก็รีบยกถังเปล่าหลบไปด้านข้าง ไม่นานเขาก็เดินเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ที่ไร้ผู้คน
“หัวหน้า ผมทำตามที่คุณสั่งแล้วครับ”
ชายตัวใหญ่เลียริมฝีปากตัวเองก่อนจะกล่าวว่า “นอกจากเงินมัดจำแล้ว…”
พอพูดจบเขาก็ยกมือใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ถูกันเบา ๆ ต่อหน้าอีกฝ่าย ในขณะที่ดวงตาแสดงถึงความละโมบ
ทันใดนั้นชายที่สวมหน้ากากในชุดคลุมสีดำก็โผล่ออกมาจากเงามืดก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า “นายรู้ไหม ของที่ฉันให้นายเทลงไปในถังคืออะไร?”
ชายร่างใหญ่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ผมไม่รู้ครับ แต่ผมจะรูดซิปปากให้สนิท ต่อให้เป็นยาพิษ แต่เรื่องนี้มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ชีวิตของไอ้พวกไร้ประโยชน์พวกนั้นปกติมันก็ไร้ค่าอยู่แล้ว”
“ฮึ ดีจริง ๆ” ชายในชุดคลุมสีดำยิ้มพูดว่า “ถ้ามนุษย์ทุกคนคิดเหมือนนายทุกคน ตอนนี้มนุษย์คงสูญพันธุ์ไปนานแล้ว”
สิ้นเสียงพูด ก่อนที่ชายร่างใหญ่จะทันได้ตั้งตัว อีกฝ่ายก็ชักมีดคมกริบออกมาแทงเข้าที่ท้องของเขาโดยตรง
สวบ!


แสดงความคิดเห็น