บทที่ 369 ใบรับรองสถาบันไร้ตัวตน
บทที่ 369 ใบรับรองสถาบันไร้ตัวตน
การเคลื่อนไหวของลู่หยางทำให้มู่หยูกับฮั่นอิ่งถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในทางกลับกันฮั่นเฟย, ฮั่นอวี่และเสี่ยวเหลียงกำลังมองดูหนักเวทหนุ่มด้วยแววตาอันเป็นประกาย
“โหพี่! ท่าเมื่อกี้โคตรเท่เลย พี่ทำได้ยังไงอ่ะ สอนผมบ้าง” ฮั่นเฟยกล่าว
“รอให้พวกนายมีมีดเอสเคพเดจเจอร์ก่อนแล้วเดี๋ยวฉันจะสอนให้” ลู่หยางกล่าว
ทุกคนพยักหน้ารับ
“พี่รีบดูเร็วเข้าว่ามันเป็นใบเปลี่ยนอาชีพของอาชีพอะไร?” ฮั่นอวี่กล่าว
“นี่คือใบเปลี่ยนอาชีพที่ล้ำค่ามาก ฉันรับรองได้เลยว่ามันจะทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง” ลู่หยางกล่าว
ใบรับรองสถาบันไร้ตัวตน
คำอธิบายของไอเท็มถูกเขียนเอาไว้สั้น ๆ เพียงแค่นี้ แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้นมันก็อยู่เกินกว่าจินตนาการของทุกคนไปไกล
“มันพิเศษยังไงเหรอครับ?” ฮั่นเฟยถาม
“ใบเปลี่ยนอาชีพนี้ทำให้โจรเปลี่ยนอาชีพเป็นอินวิสซิเบิลทีฟที่สามารถล่องหนได้ตลอดเวลาและจะปรากฏตัวขึ้นมาก็ต่อเมื่อทำการโจมตีเท่านั้น” ลู่หยางตอบ
“ล่องหนตลอดเวลาเลยเหรอครับ?” ฮั่นอวี่ถามอย่างตกตะลึง
“ใช่แล้ว แต่นั่นก็ยังไม่ใช่จุดที่ดีที่สุดของอินวิสซิเบิลทีฟหรอกนะ เพราะจุดแข็งที่แท้จริงของอาชีพนี้คือพลังโจมตีที่อยู่เหนือกว่าสายอาชีพโจรด้วยกันทั้งหมด โดยทุกครั้งที่ผู้เล่นอาชีพนี้ทำการโจมตีจะมีโบนัสการโจมตีเท่ากับค่าความคล่องแคล่วโดยอัตโนมัติ”
โจรเป็นอาชีพที่มุ่งเน้นการอัปค่าสถานะไปที่ค่าความคล่องแคล่วเป็นหลักอยู่แล้ว ซึ่งนอกเหนือจากที่มันจะเพิ่มความเร็วในการโจมตี มันยังช่วยเพิ่มพลังโจมตีทางกายภาพให้กับผู้เล่นสายอาชีพโจรอีกด้วย
ขณะเดียวกันสายอาชีพนี้สามารถเพิ่มโบนัสพลังโจมตีเท่ากับค่าความคล่องแคล่วและการโจมตีด้านหลังยังเพิ่มโบนัสในการโจมตีขึ้นอีก 30% ทำให้อินวิสซิเบิลทีฟแทบจะเป็นยมทูตที่สามารถฆ่าคนได้ในพริบตาเดียว
“โจรเลเวล 30 ที่สวมชุดระดับทองทั้งตัวจะมีค่าความคล่องแคล่วอยู่ประมาณ 600 หน่วย หากอาชีพนี้เพิ่มโบนัสพลังโจมตีได้เท่ากับค่าความคล่องแคล่วจริง ๆ มันก็หมายความว่าเขาจะสร้างโบนัสความเสียหายได้อีกครั้งละมากกว่า 600 หน่วยเลยนะครับ” ฮั่นเฟยกล่าวหลังจากพยายามคิดคำนวณ
“นายยังคำนวณค่าสถานะผิดไปหน่อย หากโจรคนนั้นใส่อัญมณีเพิ่มความคล่องแคล่วระดับ 10 ลงในอุปกรณ์ทั้ง 18 ชิ้น ๆ ละ 3 เม็ด มันก็หมายความว่าโจรคนนั้นสามารถเพิ่มโบนัสความเสียหายได้มากกว่า 4,000 หน่วยเลยต่างหาก” ลู่หยางอธิบายเสริม
“โอ้โหโคตรแรง!” ฮั่นเฟยอุทานด้วยความตกใจ เพราะถ้าหากอินวิสซิเบิลทีฟทำการโจมตีจากด้านหลังเพียงแค่ครั้งเดียว มันก็จะสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่า 6,000 หน่วย ซึ่งมันก็หมายความว่าอาชีพตัวบาง ๆ จะถูกจบชีวิตภายใต้การโจมตีไม่เกิน 2 ครั้ง
“ถึงพลังโจมตีของอินวิสซิเบิลทีฟจะแรงมากก็จริง แต่ข้อเสียก็คือพลังชีวิตของผู้เล่นอาชีพนี้ต่ำมาก” ลู่หยางกล่าว
โดยปกติโจรที่สวมชุดระดับทองทั้งตัวเมื่อมีเลเวลถึง 30 จะมีพลังชีวิตอย่างน้อย 3,000 หน่วย แต่อินวิสซิเบิลทีฟจะมีพลังชีวิตเพียงแค่ 600 หน่วยเท่านั้น ซึ่งมันก็หมายถึงคนอื่น ๆ สามารถสังหารผู้เล่นอาชีพนี้ได้ภายใต้การโจมตีแค่ครั้งเดียวเหมือนกัน
“แล้วแบบนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะครับ?” ฮั่นเฟยถาม
“อาชีพนี้มันเป็นอาชีพที่เหมาะสำหรับโจรที่มีทักษะการเคลื่อนไหวดีมาก ๆ ยังไงล่ะ” ลู่หยางตอบ
ในชาติก่อนผู้ที่เปลี่ยนเป็นอาชีพอินวิสซิเบิลทีฟมีทั้งเทพแห่งความตายและเทพแห่งการถูกฆ่าตายซ้ำ ๆ เพราะผู้เชี่ยวชาญจะสามารถหลบหลีกการโจมตีและจู่โจมเข้าใส่ด้านหลังของศัตรูได้อย่างแม่นยำ แต่ผู้ที่ยังไม่เก่งกาจมากนักก็มักจะถูกศัตรูของเขาโจมตีสวนกลับมาจนตาย
ก่อนหน้านี้ลู่หยางยังไม่มีเป้าหมายสำหรับอินวิสซิเบิลทีฟ แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วเขาก็คิดว่าเด็ก ๆ ทั้ง 12 คนที่ฮั่นจงกำลังฝึกอยู่นั้นคือตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างแน่นอน เพราะถ้าหากฮั่นจงฝึกฝนเด็กเหล่านี้อย่างเข้มงวด ในเวลาเพียงแค่ไม่นานคนกลุ่มนี้ก็จะพัฒนาจนกลายเป็นเทพแห่งความตาย
ฟี้ส!
เสียงกรีดร้องของตั๊กแตนกลายพันธุ์เริ่มดึงสติของลู่หยางกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงหยิบน้ำยาเอคโคออฟเมจิกขว้างลงไปและเริ่มใช้ไฟร์วอลล์เพื่อแผดเผาพวกมัน
—
ขณะที่ลู่หยางกำลังเก็บเลเวลอยู่นั้น ในอีกด้านหนึ่งเมืองซีเอ็มเพอเรอร์ก็กำลังเข้าสู่ยุคแห่งความวุ่นวาย
แม้ผิวเผินโซลออฟอีเทอนิตี้จะดูเหมือนมีกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองซีเอ็มเพอเรอร์ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันกำลังมีคลื่นใต้น้ำกำลังก่อกำเนิดขึ้นมาเป็นคลื่นลูกใหญ่
ท้ายที่สุดโซลออฟอีเทอนิตี้ก็แย่งชิงอำนาจจากกิลด์อื่น ๆ เพื่อควบคุมป้อมปราการมาถึง 3 แห่ง มันจึงทำให้เขามีศัตรูภายในเมืองอยู่เป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน
ในช่วงเวลาปกติมันไม่มีใครกล้าทำอันตรายสมาชิกของดีวายโซลอย่างแน่นอน แต่เมื่อลู่หยางประกาศตั้งรางวัลค่าหัวเหล่าบรรดากิลด์ใหญ่ ๆ ในเมืองซีเอ็มเพอเรอร์ก็พบข้ออ้างในการซุ่มโจมตีดีวายโซลในทันที
ระหว่างที่ลู่หยางกำลังพักผ่อนจากการเก็บเลเวลอยู่นั้น เขาก็ทำการเปิดเว็บไซต์เพื่อดูจำนวนค่าหัวที่ถูกประกาศออกไป โดยทางฝั่งของบลัดบราเธอร์ถูกสังหารไปแล้วมากกว่า 3,000 คน แต่ทางฝั่งดีวายโซลกับถูกสังหารไปแล้วมากกว่า 7,000 คน
“โซลออฟอีเทอนิตี้ไปสร้างศัตรูเอาไว้เยอะขนาดไหนกันนะ?” ลู่หยางพึมพำขึ้นมาเบา ๆ
อีกด้านหนึ่งโซลออฟอีเทอนิตี้ก็กำลังสับสนกับสถานการณ์ในปัจจุบันด้วยเช่นกัน เพราะเขาไม่คิดว่าแผนการที่เขาคิดขึ้นมาเองจะทำให้กิลด์ของตัวเองตกอยู่ในอันตรายแบบนี้
การตั้งค่าหัวของลู่หยางทำให้ทีมผู้เล่นระดับสูงของดีวายโซลถูกซุ่มโจมตีเป็นจำนวนมากและบางทีก็ถูกผู้เล่นปริศนาฆ่าตายกันยกทีม
“ไม่ได้การแล้วครับ พวกเราจะต้องหาทางแก้เรื่องนี้โดยด่วน” เฉ่อยู่พูดกับโซลออฟอีเทอนิตี้
“อดทนเอาไว้ก่อน ถ้าจำเป็นก็กระชับกองกำลังกันเอาไว้ พวกเราต้องห้ามพลาดเรื่องนี้เป็นอันขาด” โซลออฟอีเทอนิตี้ออกคำสั่ง
แม้ว่าจะต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะที่เขาเลือกถอยกองกำลังออกมา แต่โซลออฟอีเทอนิตี้ก็ไม่สนใจ เพราะตราบใดที่พวกเขาสามารถยึดป้อมแบล็คร็อคมาได้ เรื่องที่น่าขำทั้งหมดก็จะกลายเป็นเหตุผลให้คนอื่น ๆ มาชื่นชมเขา
“ได้ครับ ผมจะถอนกองกำลังที่ล้อมป้อมของโจวเทียนหมิงไว้ออกมา” เฉ่อยู่กล่าว
—
ป้อมบลูริเวอร์
โจวเทียนหมิงและโจวเทียนหยาน ผู้ซึ่งเป็นน้องชายกำลังมองดูศัตรูนอกป้อมปราการด้วยความกังวล
“บางทีคราวนี้พวกเราคงจะรักษาป้อมปราการเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว” โจวเทียนหมิงกล่าว
“ช่างมันเถอะครับ แค่พี่เลือกปิดประตูทั้ง 3 ด้านเอาไว้มันก็ทำให้เรายื้อมาได้นานมาก ไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกเราก็คงจะสูญเสียป้อมปราการไปตั้งนานแล้ว” โจวเทียนหยานกล่าว
“เรื่องนี้มันไม่ใช่ความคิดของฉันหรอก แต่มันเป็นความคิดของลู่หยางต่างหาก” โจวเทียนหมิงกล่าว
“ถ้ามีโอกาสผมจะไปขอบคุณเขาให้ได้” โจวเทียนหยานกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ ๆ มันก็มีลูกน้องคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานด้วยความตื่นเต้น
“หัวหน้าคราวนี้ป้อมปราการของพวกเรารอดแล้วครับ”
“มีอะไรค่อย ๆ เล่ามาไม่ต้องรีบ”
ลูกน้องที่วิ่งมารายงานรีบส่งกระทู้ล่าค่าหัวไปให้ทั้งสองพี่น้องดู ก่อนที่พวกเขาจะได้เห็นว่าทางฝั่งของกิลด์ดีวายโซลถูกลอบสังหารไปแล้วมากกว่า 7,000 คน
“พวกเรารอดแล้วจริง ๆ” โจวเทียนหมิงกล่าว
หลังจากที่พวกเขาพูดคุยกันได้เพียงแค่ไม่กี่คำ สมาชิกของดีวายโซลนอกป้อมปราการก็เริ่มถอนกำลังกันออกไป
“พี่ พวกเรารักษาป้อมปราการเอาไว้ได้แล้วครับ” โจวเทียนหยานกล่าว
โจวเทียนหมิงตื่นเต้นกับเหตุการณ์ในครั้งนี้มาก เขาจึงรีบติดต่อไปหาลู่หยางด้วยความตื่นเต้น
“พี่ลู่หยางขอบคุณมากที่คราวนี้คุณให้การช่วยเหลือ ถ้าเป็นไปได้พรุ่งนี้ผมก็อยากจะพบกับคุณสักครั้ง”
“ฉันยังไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลยนี่?” ลู่หยางถามอย่างสงสัย
โจวเทียนหมิงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลู่หยางฟัง ชายหนุ่มจึงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับพูดว่า
“คุณอาจจะยังไม่รู้แต่ฉันกำลังนั่งเสียดายเงินที่จ่ายไปอยู่เลย ใครจะไปคิดว่าโซลออฟอีเทอนิตี้จะมีศัตรูอยู่เยอะขนาดนี้ เวลาเพิ่งผ่านไปวันเดียวแต่ฉันก็เสียเงินไปมากกว่า 200,000 เครดิตแล้ว”
โจวเทียนหมิงหัวเราะขึ้นมาเช่นกัน ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาว่า
“พรุ่งนี้คุณว่างไหม? ผมอยากจะพาน้องชายไปหาคุณหน่อย”
“ขอโทษด้วย แต่ตอนนี้ฉันอยู่ในแผนที่พิเศษและยังออกไปไม่ได้ชั่วคราว ถ้ามีธุระอะไรพวกเราก็ไปคุยกันในพื้นที่พิเศษก็ได้นะ” ลู่หยางกล่าว
“แบบนั้นก็ได้ครับ” โจวเทียนหมิงกล่าวก่อนเขาจะเปิดพื้นที่พิเศษและทำการเชิญลู่หยางกับโจวเทียนหยานเข้าไป
เมื่อโจวเทียนหมิงเห็นลู่หยางปรากฏตัว เขาจึงรีบเดินเข้ามาและยกมือคารวะเพื่อทำการขอบคุณ
“พี่ลู่หยางคราวนี้พวกเราต้องขอบคุณคุณมากจริง ๆ”
“ขอบคุณพี่ลู่หยางมากครับ” โจวเทียนหยานยกมือขึ้นมาคำนับด้วยเช่นกัน
พันธมิตรเก่าล่มก็หาใหม่ได้
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 142
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น