บทที่ 242 ประลองฝีมือ
บทที่ 242 ประลองฝีมือ
“เหยาเหยา เธอกำลังคิดอะไรอยู่งั้นเหรอ?” หลิวฉ่วงถามพลางหยิบหัวปลาหัวที่ 9 ขึ้นมาแทะ
เสินเมิ่งเหยายกมือขึ้นมาตบหน้าผากพร้อมกับพูดออกไปว่า
“นี่เธอกำลังลดน้ำหนักอยู่จริง ๆ เหรอ?”
“ฉันไม่เป็นเพื่อนกับเธอแล้ว!” หลิวฉ่วงยื่นปากออกมาอย่างงอน ๆ
เสินเมิ่งเหยารีบขอโทษเพื่อนสาวจนหลิวฉ่วงยอมยกโทษให้ในที่สุด เมื่อได้เห็นเพื่อนสาวกลับไปแทะหัวปลาอีกครั้ง เธอจึงหันไปพูดคุยกับลู่หยาง
“เอาเป็นว่าฉันไม่ถือสาเรื่องในก่อนหน้านี้แล้ว ฉันรู้ว่าเรื่องหวังรุ่ยนายแค่หวังดีแต่เขาก็ไม่ใช่คนที่นายจะไปหาเรื่องได้ง่าย ๆ ฉันกลัวว่าเขาจะมาหาเรื่องนายทีหลัง”
“เขาจะมาหาเรื่องอะไรฉันได้” ลู่หยางกล่าว
“เขาเป็นเทควันโดสายดำเลยนะ ถึงแม้นิสัยของเขาจะแย่แต่ฝีมือของเขาเรียกว่าเก่งจริง ๆ” เสินเมิ่งเหยากล่าว
“ฉันเห็นด้วย คนธรรมดา 2-3 คนยังทำอะไรเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ” ฉู่อวี้พูดอย่างเห็นด้วย
ยิ่งได้ยินแบบนี้พวกเสินเมิ่งเหยาต่างก็แสดงสีหน้าออกมาอย่างเป็นห่วง แต่ลู่หยางกลับไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะถึงแม้เขาจะถูกรุมจากคนธรรมดา 100 คน ตราบใดก็ตามที่เขามีพื้นที่และเวลาอย่างเพียงพอ เขาก็สามารถจัดการกับคนเหล่านั้นได้อย่างสบาย ๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเทควันโดยังเป็นกีฬาที่เอาไว้สำหรับออกกำลังกายเท่านั้น แตกต่างจากวิธีการต่อสู้แบบดิบ ๆ ที่มีเป้าหมายคือการเอาชีวิตคู่ต่อสู้
“บางทีหวังรุ่ยอาจจะเป็นสุภาพบุรุษ ไม่คิดจะมาหาเรื่องฉันก็ได้” ลู่หยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
—
ตอนบ่าย
ภายใต้แสงแดดอันแรงกล้าลู่หยางกับนักศึกษาใหม่อีก 8,000 คนกำลังยืนเข้าแถวในสนามหญ้าอย่างเป็นระเบียบ โดยมีอธิบดีพูดปราศรัยอยู่บนเวที
ครูฝึกทหารแต่ละคนยืนประจำการอยู่หน้าชั้นเรียนที่ตัวเองรับผิดชอบ โดยครูฝึกที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลห้องของลู่หยางก็มีชื่อว่าหวังจิง
หวังจิงถูกฝึกฝนมาจากหน่วยรบพิเศษและในฐานะที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรบภายในป่า ถึงแม้ลู่หยางจะพยายามปกปิดตัวเองแค่ไหน แต่หวังจิงก็ยังสังเกตเห็นถึงความไม่ธรรมดาของนักศึกษาคนนี้ได้
หลังอธิบดีปราศัยจนจบหวังจิงก็พากองร้อยของลู่หยางไปฝึกยังลานหน้าหอพักนักศึกษาหญิงที่มีกองร้อยของเสินเมิ่งเหยาอยู่ใกล้ ๆ
ระหว่างพักจากการฝึก หวังจิงก็เดินมาหาลู่หยางพร้อมกับแกล้งถามขึ้นมาว่า
“นายสนใจจะมาเป็นทหารไหม?”
ลู่หยางวางขวดน้ำที่กำลังดื่มลงพร้อมกับตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า
“ทำไมครูฝึกถึงถามผมแบบนั้นล่ะครับ?”
“ฉันรู้สึกว่านายเหมาะกับเป็นหน่วยรบพิเศษมาก ถ้าฉันเดาไม่ผิดนายพอจะเรียนรู้วิชาการต่อสู้มาบ้างแล้วใช่ไหม?” หวังจิงถาม
“ผมแค่เรียนรู้มานิด ๆ หน่อย ๆ เอง” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มขึ้นมาอย่างลึกลับ
ทันใดนั้นเองหวังจิงก็คว้าแขนของลู่หยางอย่างฉับพลัน ซึ่งโดยปกติแล้วหากใครไม่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พวกเขาย่อมไม่สามารถเกร็งแขนทันได้อย่างแน่นอน แต่ทันทีที่หวังจิงคว้าแขนของลู่หยาง เขากลับสัมผัสได้ราวกับว่าตัวเองกำลังคว้าท่อนเหล็ก
“นายผ่านการฝึกพิเศษมาใช่ไหม?” หวังจิงถามอย่างประหลาดใจ
ลู่หยางกำลังจะตอบคำถาม แต่หวังรุ่ยกลับพากลุ่มนักศึกษาสวมชุดเทควันโดเดินมาจากมุมของหอพัก
“สวัสดีครับครูฝึก ผมเป็นประธานชมรมเทควันโดได้รับคำสั่งจากโค้ชให้มาแสดงการสาธิตเทควันโดในแต่ละกองร้อย เพื่อดูว่ามีใครสนใจจะเข้าร่วมกับชมรมหรือเปล่า” หวังรุ่ยกล่าวพร้อมกับจงใจมองไปยังลู่หยางโดยเฉพาะ
หวังจิงไม่รู้เรื่องความขัดแย้งระหว่างลู่หยางกับหวังรุ่ย เขาจึงตอบกลับไปอย่างสบาย ๆ ว่า
“เอาสิ ตอนนี้เป็นช่วงพักการฝึกอยู่พอดี”
“ทุกคนจัดแถว!”
โม่หลงรีบเดินเข้ามาหาลู่หยางพร้อมกับกระซิบกระซาบขึ้นมาเบา ๆ
“ระวังตัวด้วย ฉันคิดว่าหวังรุ่ยกำลังพยายามจะหาเรื่องนายแน่ ๆ”
ลู่หยางพยักหน้ารับอย่างสบาย ๆ แต่เสินเมิ่งเหยาที่อยู่ห่างออกไปกลับแสดงสีหน้าออกมาอย่างกังวล
“หวังรุ่ยกำลังคิดจะทำอะไรนะ?” หลิวฉ่วงกล่าว
หลังจากทุกคนเข้าแถวเรียบร้อยแล้วหวังจิงและครูฝึกฝ่ายหญิงก็ได้สั่งให้ทุกคนนั่งลง หวังรุ่ยจึงเดินเข้ามาตรงกลางระหว่าง 2 กองร้อย ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า
“พี่น้องทุกคน วันนี้ชมรมเทควันโดของเราจะมาสาธิตการเล่นเทควันโดให้ทุกคนได้รับชม หากใครสนใจก็สามารถมาสมัครสมาชิกเข้าร่วมชมรมของเราได้เลย”
หลังพูดจบหวังรุ่ยก็โบกมือส่งสัญญาณให้ลูกน้องทั้ง 4 คนออกมาจับคู่ต่อสู้กัน ซึ่งมันก็สร้างความตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตามหวังรุ่ยไม่ได้สนใจลูกน้องของตัวเองเลย เพราะสายตาของเขายังคงจับจ้องมองไปยังลู่หยางตลอดเวลา เมื่อการสาธิตเทควันโดได้จบลง เขาจึงเริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า
“มีใครสนใจเข้าร่วมชมรมเทควันโดของเราบ้างไหม?”
นักศึกษา 3-4 คนยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าพวกเขาสนใจ หวังรุ่ยจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า
“เทควันโดไม่เพียงแต่จะช่วยทำให้ร่างกายของพวกเราแข็งแรง แต่ยังสามารถใช้ในการต่อสู้จริงได้อีกด้วย ตอนนี้ฉันอยากจะลองสาธิตให้ดู ไม่ทราบว่ามีเพื่อนคนไหนอยากจะอาสาเป็นคู่ประลองกับฉันบ้าง?”
หลังกล่าวจบหวังรุ่ยก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนที่สายตาของเขาจะไปหยุดอยู่ที่ลู่หยาง
“ว่าไงน้องชาย อยากจะลองมาเป็นคู่ซ้อมกับฉันดูไหม?”
ลู่หยางรู้ดีว่าอีกฝ่ายพยายามหาเรื่องเขาอยู่แถมยังหาข้ออ้างได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย อย่างไรก็ตามในเมื่ออีกฝ่ายพยายามแกว่งเท้าหาเสี้ยนแบบนี้ ลู่หยางก็ไม่คิดจะขัดศรัทธาเพื่อสั่งสอนหวังรุ่ยกลับไปเสียหน่อย
“ได้สิ แต่ผมไม่เคยเรียนต่อสู้มาก่อนนะ ถ้าผมบังเอิญทำให้คุณบาดเจ็บมันจะเป็นอะไรหรือเปล่า?” ลู่หยางกล่าว
คนจากชมรมเทควันโดหัวเราะลั่น ก่อนที่หวังรุ่ยจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันขบขันว่า
“ไม่ต้องกังวล เชิญนายสู้ได้ตามสบายเลย ถึงฉันจะบาดเจ็บฉันก็ไม่ว่าอะไร”
“งั้นก็ดี” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับค่อย ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ ก่อนจะเดินออกไปยังด้านหน้าของกองร้อย
ตอนแรกหวังจิงคิดจะดูเหตุการณ์อยู่เฉย ๆ แต่เมื่อเขาเห็นลู่หยางเดินออกไป เขาก็รีบเดินมาคั่นกลางระหว่างลู่หยางกับหวังรุ่ยก่อนจะพูดว่า
“เปลี่ยนคู่ซ้อมใหม่เถอะ”
หวังรุ่ยไม่คิดว่าหวังจิงจะเข้าข้างลู่หยางแบบนี้ เขาจึงขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาว่า
“ไม่เป็นไรหรอกครูฝึก ผมแค่จะสาธิตการต่อสู้เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้น้องชายคนนี้บาดเจ็บหรอก”
“ที่ฉันกลัวคือนายจะได้รับบาดเจ็บต่างหากไม่ใช่เขา” หวังจิงคิดขึ้นมาภายในใจและในขณะที่เขากำลังกังวลอยู่นั้น ลู่หยางก็เดินเข้ามาตบไหล่พร้อมกับพูดว่า
“ครูฝึก ผมก็อยากจะลองสู้กับคนฝึกเทควันโดดูเหมือนกัน”
“อือ ก็ได้” หวังจิงพูดอย่างลังเล
ตอนแรกเสินเมิ่งเหยาเกือบจะวิ่งออกไปห้ามการฝึกซ้อมในครั้งนี้แล้ว ตอนที่เธอเห็นครูฝึกเดินออกไปเธอก็คิดว่าครูฝึกจะพยายามหาทางออกแต่โดยดี อย่างไรก็ตามความเป็นจริงกลับกลายเป็นว่าครูฝึกไม่ได้คิดที่จะห้ามและแม้แต่ลู่หยางก็ยังตอบตกลงโดยไม่มีท่าทีบ่ายเบี่ยงเลยแม้แต่น้อย
ลู่หยางส่งสายตาให้เสินเมิ่งเหยาว่าเธอไม่จำเป็นจะต้องกังวลอะไร ก่อนที่เขาจะจัดแจงท่าทางและพูดว่า
“ถ้าผมบังเอิญทำให้รุ่นพี่บาดเจ็บก็อย่าถือโทษโกรธกันเลยนะ”
ตอนที่หวังรุ่ยเห็นลู่หยางเดินออกมาเขาก็กำลังคิดแผนการว่าจะจัดการอีกฝ่ายให้แนบเนียนยังไงดี เขาจึงไม่ทันได้ฟังคำพูดของลู่หยางเลยแม้แต่นิดเดียว
“เข้ามาได้ตามสบายเลย ไม่ต้องเกรงใจ”
หวังจิงอยากจะลองดูฝีมือของลู่หยางอยู่เหมือนกัน อีกอย่างคือเขาทำหน้าที่เป็นกรรมการ หากมันมีอะไรเกิดเลยขึ้นมาเขาก็ยังสามารถที่จะเข้าไปห้ามปรามได้
“เอาล่ะ เริ่มสู้กันได้แต่ลงมือกันเบา ๆ ก็พอนะ”
อย่างไรก็ตามทันทีที่หวังจิงพูดจบหวังรุ่ยก็หมุนตัวเตะใส่หัวของลู่หยางจนเกิดเสียงลมพัดบาดหู ซึ่งถ้าหากลูกเตะนี้โดนคนทั่วไปเข้าไปเต็ม ๆ คน ๆ นั้นก็คงจะหมดสติในทันที
ลู่หยางระวังการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ร่างกายของเขาจึงถอยหลังกลับไปตามสัญชาตญาณ เมื่อฝ่าเท้าของหวังรุ่ยเคลื่อนที่ผ่านหน้าไป ชายหนุ่มก็พุ่งเข้าไปด้านหน้าก่อนจะต่อยหมัดเข้าที่ท้องของหวังรุ่ยอย่างจัง
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากและก่อนที่หวังรุ่ยจะทันได้ส่งเสียงร้องอะไร ร่างกายของเขาก็ล้มลงไปหมดสติกองกับพื้น
ปี๊ดดดดดดดดดดด ชนะน็อค!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 185
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น