รักเหนือฝัน มีฉันต้องมีเธอ 9 : สายใยบาง ๆ

รักเหนือฝัน มีฉันต้องมีเธอ (หนังสือชุดเจ้าจอมภพ/ ตย. 60%)

-A A +A

รักเหนือฝัน มีฉันต้องมีเธอ 9 : สายใยบาง ๆ

       ชวณัดฐ์กลับถึงคอนโดฯ ระหว่างยังไม่รู้จะทำอะไรก็เผลอนั่งเหม่อเป็นระยะ ๆ จนทิพาธรณ์ปล่อยให้เขาอยู่นิ่งไม่ได้ จึงหาเรื่องชวนคุยเรื่อย ๆ ถ้าจะเล่าอะไรให้ฟังเฉย ๆ เผลอไม่นานก็ดิ่งเข้าภวังค์ไปทุกที การชวนคุยทำให้เขาไม่ว่างเกินไป

 

       “คุณณัดฐ์ไม่เชื่อเรื่องบุญบาป แล้วทำไมถึงเลือกเป็นหมอล่ะคะ” วิญญาณสาวถามด้วยความสงสัย

 

       “นั่นสิครับ ผมรู้แค่ว่าทุกครั้งที่มือผมได้ช่วยเยียวยาชีวิตคน ผมจะรู้สึกดีทุกครั้ง” ชวณัดฐ์เล่า

 

       “ดีจังค่ะ แล้วคุณณัดฐ์มีไอดอลหรือเปล่าคะ อย่างฉันนี่เป็น....ค่ะ” เธอพยายามชวนคุยต่อ

 

       “มีครับ แพทย์หญิงท่านหนึ่งที่รักษาผมตอนเด็ก” เขาพูดถึงตรงนี้ก็สะดุด เมื่อหัวดันนึกถึงต้นเหตุที่ทำให้วันนั้นต้องไปโรงพยาบาล และได้พบกับแพทย์หญิงคนดังกล่าว ด้วยความที่ไม่ทันเอะใจกับความผิดปกติบางอย่างในตัวชายหนุ่ม วิญญาณสาวก็ถามเรื่อย

 

       “เล่าที่ไปที่มาของความประทับใจในตัวหมอหญิงคนนั้นให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันบ้าง ฉันชอบฟังเรื่องคนทำอะไรดี ๆ ค่ะ” เธอขอเขาด้วยท่าทางกระตือรือร้นที่จะฟัง ทว่าเขาไม่อยากพูดถึงมันแล้ว

 

       “เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่าครับ” ชวณัดฐ์บอก พยายามทำน้ำเสียงให้ปกติที่สุด ได้ยินอย่างนั้นทิพาธรณ์จึงเพิ่งเอะใจ และไม่เซ้าซี้ต่อ พาเปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่องอื่นแต่โดยดี

 

       “คุณณัดฐ์มีความฝันไหมคะ” คำถามนี้เป็นอีกเรื่องของชายหนุ่มที่เธอสนใจอยากจะรู้

 

       “มีครับ”

 

       “พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมคะ”

 

       “ผมอยากมีคลินิกเป็นของตัวเองสักแห่ง ที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของผมครับ”

 

       “ว้าว! น่าสนใจจังค่ะ แล้วจะเป็นคลินิกแบบไหนหรือคะ” เธอถามด้วยความตื่นเต้น

 

       “ตอนแรกผมจะเปิดเป็นคลินิกรักษาโรคทั่วไปครับ แต่ตอนนี้ถ้ากำลังถึงจะเปิดเป็นคลินิกความงามเหมือนที่ทำที่นี่” พอชายหนุ่มพูดถึงตรงนี้ความสงสัยหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของทิพาธรณ์ เธอจึงจ้องหน้าเขาอย่างพินิจ ด้วยความแปลกใจ ชวณัดฐ์จึงถาม

 

       “มองหน้าผมแบบนั้นทำไมหรือ”

 

       “หน้าคุณณัดฐ์นี่ของจริงทั้งหมดหรือเปล่าคะ?” หญิงสาวถามด้วยแววตาสงสัยจริงจัง

 

       “โธ่! ของจริงสิครับ” เขาอุทานออกมาเมื่อถูกกล่าวหาว่าหน้าหล่อ ๆ ของเขาเป็นของเทียม เห็นท่าชายหนุ่มอย่างนั้นเธอก็หัวเราะชอบใจ

 

       “คิก ๆ ๆ ก็ใครจะไปรู้ล่ะคะ”

 

       หาเรื่องมากมายมาชวนศัลยแพทย์หนุ่มคุยได้พักใหญ่ กระทั่งนาฬิกาบอกเวลาห้าโมงกว่าทิพาธรณ์ก็ชวนเขาไปออกกำลังกาย

 

       อยู่ด้วยกันครึ่งเดือนกว่า แปลกใจทีเดียวที่ในใจมีความรู้สึกอาทรต่อใครอีกคน คนที่รู้จักกันไม่นาน แต่กลับรู้สึกห่วงใยอย่างประหลาด

 

       ชวณัดฐ์ยอมรับว่าเธออาจไม่ใช่คนแรกในชีวิตที่รู้สึกห่วงใย แต่เธอเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยถึงน้อยที่สุดที่เขาจะรู้สึกแบบนี้ด้วย นอกจากคนเจ็บป่วยทั่วไป โดยเฉพาะคนไข้ที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขา ที่เหลือก็ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน ไหนความรู้สึกอยากดูแลเอาใจใส่อีกเล่า เป็นเพราะอะไรกัน

 

       ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธเมื่อวิญญาณสาวชวนไปเข้าวัดทำบุญ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่อยู่นอกสายตามาตลอด แต่เพราะคิดว่าการทำบุญเป็นสิ่งที่พวกวิญญาณแบบเธอต้องการมาก ราวกับอาหารที่ต้องกินทุกวันแล้ว จึงตกลงทำตามที่เธอชวน

 

       เช้าวันนี้หลังจากออกกำลังกายที่มักทำเป็นประจำแล้ว สาย ๆ หน่อยเขาก็ขับรถออกจากคอนโดฯ ไปซื้อของถวายพระตามที่วิญญาณสาวแนะนำ ได้ทั้งข้าวสาร น้ำดื่ม น้ำผลไม้ และชุดยาสามัญประจำบ้านที่เขาเลือกเอง สำหรับใช้ทำสังฆทานมาจำนวนหนึ่ง

 

       ไม่รู้ทำไมทิพาธรณ์ถึงได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็นพิเศษที่ชายหนุ่มยอมตกลงมาทำบุญตามที่เธอชวน ความเอิบอิ่มปลาบปลื้มใจเหมือนได้อะไรบางอย่างคืน ตีขึ้นอกจนน้ำตาแทบคลอเบ้า เป็นความรู้สึกที่ประหลาดนัก ดวงตาโตหันมองหนุ่มหน้าหวานหล่อ อยากรู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างเดียวกันหรือไม่ ทว่าฝ่ายนั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรผิดไปจากทุกวันแม้แต่น้อย

 

       ศาลาการเปรียญเวลานี้เต็มไปด้วยชาวบ้านมากหน้าหลายตาที่มากันเป็นครอบครัวบ้าง เป็นคู่บ้าง หรือบ้างก็มาคนเดียว ชายหนุ่มสังเกตจากสายตา เห็นคนส่วนใหญ่ที่มาทำบุญจะเป็นคนค่อนข้างมีอายุมากแล้ว ส่วนคนรุ่นใหม่ที่มาก็นับคนได้ และมักจะมากับพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่มากกว่ามากันเอง บอกให้รู้ว่าสมัยนี้ศาสนาไม่เป็นที่นิยมกับคนรุ่นหลังมากนัก

 

ด้านหน้าทุกคน ขณะนี้พระสงฆ์ไม่กี่รูปกำลังนั่งเป็นพิธีฟังพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งเทศนาธรรมให้เหล่าชาวบ้านที่มาทำบุญในวันนี้ฟัง

 

       “รู้สึกยังไงบ้างคะ” ทิพาธรณ์หันมาถามเพื่อเช็กภาวะอารมณ์ของชายหนุ่ม ซึ่งนั่งเงียบมองผู้คนที่กำลังทำกิจกรรมทางศาสนาอยู่อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านี้

 

       “ก็ดีครับ” ตอบอย่างไม่รู้จะตอบอะไรดี

 

       “เมื่อยไหมคะ” ทิพาธรณ์ถามด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าเขาจะไม่ชินที่ต้องมานั่งรอกับพื้นแบบนี้นาน ๆ

 

       “นิดหน่อยครับ” เขาตอบ

 

       “ทนหน่อยนะคะ อีกไม่นานพระท่านคงเทศนาธรรมเสร็จแล้วให้พรค่ะ จากนั้นพวกเราก็เข้าไปถวายสังฆทานได้แล้วล่ะ” ร่างบางพูดปลอบด้วยรอยยิ้มใจดีและแววตาอาทร ชวณัดฐ์เห็นอย่างนั้นก็สะดุดไปนิดหนึ่ง รู้สึกเหมือนความอุ่นซ่านในหัวใจอย่างประหลาด

 

       ศัลยแพทย์หนุ่มสร้างความประหลาดใจให้วิญญาณสาวไม่น้อย เมื่อเห็นว่าเขาเลือกยกมือพนมรับพรได้ถูกจังหวะ นั่นคือขณะที่พระเริ่มขึ้นบทให้พรว่า สัพพีติโย ไม่ใช่ ยะถา วะรีวะหาปูรา อย่างที่คนทั่วไปมักจะเข้าใจกันว่าต้องพนมมือไหว้ตอนนั้น

 

       ระหว่างที่พระกว่าสี่รูปกำลังให้พร หัวใจสองดวงซึ่งอยู่ในตัวหนึ่งหญิงหนึ่งชายต่างภพกันก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น เนิ่นนาน เมื่อไรไม่ทราบได้ เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ดวงตาเรียวงามของร่างกำยำเหลือบมองคนข้างกายอย่างอยากรู้ว่าเธอจะรู้สึกอะไรแปลก ๆ เหมือนกันไหม ทว่าเมื่อหันมอง ใบหน้าเรียวสวยก็หันมาทางเขาพอดีเช่นกัน จังหวะนั้นราวไฟฟ้าช็อตทำสะดุ้งในใจกันทั้งคู่จนต้องรีบหลบสายตา

 

       เสร็จจากถวายสังฆทานแล้ว ชวณัดฐ์และทิพาธรณ์ก็พากันออกจากศาลา และเดินชมวัดตามที่วิญญาณสาวแนะนำ

 

       “คุณได้รับบุญที่ผมส่งให้หรือเปล่า” เขาส่งคำถามไปทางกระแสจิตขณะเดินออกจากศาลามาสวมรองเท้าที่ถอดทิ้งไว้

 

       “ได้ค่ะ ขนาดไม่ชอบเข้าวัดนะคะ ยังส่งบุญเป็นด้วย” ทิพาธรณ์เย้าพลางส่งยิ้มให้

 

       “ถ้าหลักสูตรโรงเรียนไทยไม่บังคับให้เรียนวิชาพระพุทธศาสนา สอบนักธรรม ผมก็คงไม่รู้เรื่องทางพุทธนักหรอกครับ ที่พอส่งบุญเป็นก็เคยเห็นความรู้จากสื่อต่าง ๆ มาบ้าง ก็ผ่าน ๆ ตาเหมือนกันครับ” เขาเล่าตามตรง ใส่รองเท้าเรียบร้อยก็เดินไปยังโบสถ์สวยหลังวิจิตรที่อยู่ไม่ไกลมากนัก

 

       “คุณมาวัดนี้บ่อยหรือ” ถามอย่างชวนคุย

 

       อีกฝ่ายพยักหน้ารับ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อจู่ ๆ เสียงสมาร์ทโฟนของเขาก็ส่งเสียงขัดจังหวะขึ้น มือแข็งแรงหยิบวัตถุดังกล่าวออกจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตขึ้นดูสายเรียกเข้า เมื่อเห็นเป็นใครก็ผ่อนหายใจออกเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจรับ

 

       “สวัสดีครับองุ่น” ชื่อที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมามีผลให้หัวใจของวิญญาณสาวหวั่นไหวไปนิดหนึ่ง

 

       ตั้งแต่วันแรกที่เธอพบศัลยแพทย์สาวคนนั้นจนกระทั่งวันนี้ ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะพยายามหาทางเข้ามาอยู่ในชีวิตของผู้ชายที่เธอกำลังติดตามมากเกินความจำเป็นเข้าทุกที ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่สัญชาตญาณผู้หญิงด้วยกันมันพอดูออกอยู่บ้างว่าเพื่อนสาวของศัลยแพทย์สาวอัจฉริยาคิดอย่างไรกับอดีตแฟนเพื่อนตนเอง

 

       แต่ความรู้สึกปั่นป่วนท้องและความรู้สึกบางอย่างในอกที่เกิดขึ้นกับเธอเวลาที่ผู้หญิงคนนั้นเข้าใกล้เขานี่สิคืออะไร ทั้งน้อยใจ อิจฉา และหวง เธอคงบ้าไปแล้ว

 

       “ผมอยู่ข้างนอกครับ ไม่รู้จะกลับเข้าไปเมื่อไร”

 

       วิญญาณสาวพยายามที่จะไม่แอบฟังทั้งคู่คุยกัน เพียงยืนคอยเงียบ ๆ ดูว่าเขาจะตอบปลายสายไปว่าอะไรบ้างเท่านั้น

 

       “ไม่เป็นไรครับ ผมมาทำธุระ ว่าแต่คุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า” เขายังคุยต่อไป แล้วเงียบ ฝั่งคู่สายตอบกลับมา

 

       “ครับ” ตอบแค่นั้นแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่งอย่างไม่อยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ จนอีกฝ่ายต้องพูดต่อเองอีกครั้ง

 

       “ครับ” แล้วเขาก็ลงท้ายคำเดิม ก่อนไม่นานนักเธอจะเห็นเขาหย่อนโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋า เป็นอันว่าการสนทนากับศัลยแพทย์สาวสวยคนนั้นสิ้นสุดลงแล้ว

 

       ดวงตากลมโตมองเขาเหมือนมีอะไรจะพูด แต่ก็สะกดไว้ด้วยความไม่กล้า มองเขาถอดรองเท้าก้าวขึ้นบันไดโบสถ์ไปเฉย ๆ เสียอย่างนั้น

 

       “วันนี้คุณณัดฐ์จะซื้ออะไรเป็นมื้อเย็นคะ” ทิพาธรณ์ถามขึ้น ระหว่างชายหนุ่มที่เธอติดตามกำลังขับรถกลับจากเที่ยวเตร่ด้วยกันมาทั้งวัน และตอนนี้ก็จวนจะใกล้ถึงที่พักแล้ว

 

       “ผมคิดว่าวันนี้จะกิน...” ชวณัดฐ์บอกชื่อรายการอาหารฝรั่งที่เขาคุ้นเคยให้ทิพาธรณ์ทราบ พรางสายตายังจับที่ถนนเบื้องหน้าอย่างมีสมาธิ

 

       หลังจากขับรถเที่ยวที่นั่นที่นี่อยู่หลายชั่วโมงจนตกเย็น รู้สึกว่าอารมณ์เขาจะดีขึ้นบ้าง แต่กระนั้นความหม่นเศร้าในใจก็ยังตกค้างไม่ไปไหนเท่าไร ก็ยังดีที่ไม่ต้องจมอยู่แต่กับห้อง และมีคนชวนคุยเป็นระยะ ๆ ชวนดูอะไรหลายอย่างเพลิน ๆ ไป

 

       “โห เมนูฝรั่งอีกแล้วนะคะ ถามจริง เคยกินอาหารไทยกี่เมนูกันคะเนี่ย” วิญญาณสาวถามอย่างจะชวนคุย เธออยากรู้เรื่องชายหนุ่มเกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามในชีวิตเขา

 

       “ก็เคยทานหลายเมนูครับ”

 

       “แล้วคุณณัดฐ์ชอบเมนูไหนที่สุดคะ”

 

       “น่าจะมัสมั่นครับ”

 

       "โห อาหารโบราณขึ้นชื่อของไทยเลยนะคะนั่น ส่วนฉันนี่ชอบทุกอย่างที่อร่อยค่ะ" ท้ายประโยคเธอพูดกึ่งติดตลก ทว่ามันก็คือความจริงของเธอ

 

       “ใครก็ชอบของอร่อยทั้งนั้นแหละคุณ” ชวณัดฐ์ว่าให้ แต่ไม่ได้จริงจังอะไร

 

       “ก็อาหารไทยสำหรับฉันชอบทุกอย่างเลยนี่คะ ไม่มีอะไรที่สุด ขอแค่อร่อยและเป็นของพื้นบ้านไทย ๆ หรือทางเหนือล่ะก็ชอบหมดแหละ” เธอร่าย

 

       “แต่อาหารฝรั่งนี่ขอผ่านนะคะ เลี่ยนสุด ตาเคยพาไปเลี้ยงครั้งหนึ่ง อื้อหือ รับไม่ได้” มิวายอดบ่นออกมาตามประสาผู้หญิง

 

       “แต่ผมทำอร่อยนะ” ชวณัดฐ์นึกอวดบ้าง คนฟังถึงกับตาโตด้วยความตื่นเต้น และไม่อยากเชื่อหู

 

       “คุณณัดฐ์ทำอาหารเป็นด้วยหรือคะ” ทิพาธรณ์ถามด้วยความสนใจ

 

       “พอได้ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารฝรั่งกับอาหารไทยง่าย ๆ บางอย่าง”

 

       “มีโอกาสทำให้ชิมได้ไหมคะ อยากกิน อยากรู้ว่าจะอร่อยอย่างที่คุณณัดฐ์ว่าไหม” ร่างบางพูดด้วยความกระตือรือร้น

 

       “เอาไว้ผมว่างจะทำให้กินครับ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเท่าไร ส่วนใหญ่ก็จะซื้อทานเอา เร็วดีครับ” ชายหนุ่มบอก ก่อนเปิดไฟเลี้ยวหักรถเข้าเทียบหน้าร้านอาหารมีระดับร้านหนึ่งไม่ไกลจากคอนโดฯ เขานัก

 

       “งั้นวันไหนคุณณัดฐ์สะดวกฉันขอยืมร่างคุณณัดฐ์ทำอะไรให้กินบ้างนะคะ เห็นอย่างนี้ฝีมือใช้ได้เลยนะ” เธออวดตัวพร้อมยิ้มแป้น

 

       “โอเคครับ ว่าแต่ตอนนี้ผมขอลงไปซื้ออาหารก่อนนะ”

 

       ซ่า!

       เสียงคนใช้ห้องน้ำชำระร่างกายแว่วออกมาเบา ๆ ให้ได้ยินบ้าง ขณะที่เสียงโทรทัศน์จอแบนติดผนังจอใหญ่ก็ดังสู้ไม่แพ้กัน ร่างโปร่งบางนั่งดูข่าวอย่างใจจดใจจ่ออยู่ลำพังบนโซฟานิ่ม รอคนที่หายเข้าห้องน้ำไปเกือบครึ่งชั่วโมงอาบน้ำให้เรียบร้อย

 

       หน้าจอโทรทัศน์ดังกล่าวบัดนี้ฉายภาพผู้ประกาศข่าววัยกลางคนกำลังสาธยายถึงปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่จังหวัดหนองคาย ซึ่งจะมีทุกวันออกพรรษา เธอสนใจเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว พอเห็นข่าวเข้าก็หยุดทุกอย่างฟังด้วยความตั้งใจ ในหัวก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย

 

       “วันนี้วันดี ชวนเขาไปดูด้วยกันสิ” เสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้นกลางสมองโดยไม่ทันตั้งตัว ทำเอาคนได้ยินสะดุ้งเฮือกแล้วเหลียวมองไปรอบตัวอย่างจะหาอะไร วิญญาณสาวจำเสียงนั้นได้ บุคคลปริศนาที่ส่งตัวเธอมาอยู่กับศัลยแพทย์หนุ่ม

 

       “จะไปยังไงหรือคะ คงไปไม่ทันคืนนี้แน่ ๆ?” ทิพาธรณ์ถามทางกระแสจิตด้วยความสงสัย

 

       ก่อนหน้าเพิ่งคิดว่าถ้ามีโอกาสอยากไปดูบั้งไฟถึงถิ่นใกล้ ๆ บ้าง และคงดีไม่น้อยถ้าชวนเขาคนนั้นไปด้วยกัน เขาคงไม่อยากสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าเห็นว่าลูกไฟสีแดงอมชมพูนั้นโผล่ขึ้นเหนือน้ำมาอย่างไรต้องประหลาดใจแน่ ๆ

 

       “ฉันจะช่วย แค่บอกให้เขารีบเข้านอนก็พอ” เสียงทุ้มกล่าวเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงนั้นทำให้คนฟังรู้สึกว่าเขากำลังยิ้มให้ แต่เป็นยิ้มแบบไหนนั้นเธอยังไม่แน่ใจ

 

       “แค่นั้นหรือคะ แล้วหนูต้องทำอะไรไหม” เธอถามต่อ เพราะนึกไม่ออกว่าเพียงให้ชายหนุ่มรีบเข้านอนแล้วจะไปดูบั้งไฟได้อย่างไร

 

       “ให้เขาเข้านอนก่อน หลังจากนั้นฉันจะบอกอีกทีว่าเธอต้องทำอะไรบ้าง”

 

       พอชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวเสร็จทิพาธรณ์ก็บอกให้เขาเข้านอนไวกว่าปกติเล็กน้อย โดยให้เหตุผลว่าเธอมีเซอร์ไพรส์ให้ดู ท่าทางวิญญาณสาวดูตื่นเต้นจริงจัง ไม่เหมือนกับคนหลอกอำเล่น ประกอบกับความอ่อนเพลียจากการท่องเที่ยวหลายสถานที่ตลอดวันทำให้เขายอมนอนไวตามที่เธอขอ หลังจากหัวถึงหมอนไม่นานนัก สติของเขาก็ดับวูบลงราวมีใครปิดสวิตช์

สารบัญ / นำทาง

ความคิดเห็น

รูปภาพของ ittipol

ขอบคุณครับ เรื่องประนมมือรับพร เพิ่งรู้จักเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.