บทที่ 250: ติดสินบน
“เขาแค่ไม่ชอบข้า!” เซียวถังถังพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจพร้อมกับทำหน้าบูดบึ้ง “เขากลัวว่าการที่ข้าไปที่หุบเขาหมอเทวดาจะทำให้เขาต้องขายหน้า”
“...” ชิงหานนิ่งเงียบไป
เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?
…
ขณะเดียวกัน ในตำหนักอิ๋งชุน
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่ล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็เตรียมจะล้มตัวลงนอนบนเตียง แต่จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังมาจากทางหน้าต่าง
“เจ้าส้ม? เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่?” เด็กหญิงขมวดคิ้วแปลกใจ “มันเหมือนเสียงก้อนหินกระแทกประตูหรือหน้าต่างเลย”
เจ้าส้มซึ่งผล็อยหลับไปแล้วถอนหายใจเสียงดังก่อนจะหันมามองคนถาม “ข้าไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น เจ้าหูฝาดไปเองหรือไม่ รีบนอนเร็วเข้า พรุ่งนี้เจ้าจะไปทำอาหารให้มู่เทียนฉงกับมู่จวินฝานตั้งแต่เช้าไม่ใช่หรือ?”
เนื่องจากเธอกำลังจะเดินทางออกจากวังหลวง ดังนั้นเธอจึงอยากจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้ท่านพ่อกับท่านพี่รัชทายาทเพื่อเป็นการทิ้งท้ายให้พวกเขาระลึกถึง
“จริงหรือ…” มู่ไป๋ไป่เกาหัวก่อนจะเอนตัวนอนลงที่เดิม “2 วันมานี้ข้าคงเหนื่อยเกินไปถึงได้หูฝาด…”
ทว่าทันทีที่เธอพูดจบ ของบางอย่างสีทองเป็นประกายก็ลอยมากระทบหัวเธออย่างแม่นยำ
“โอ๊ย!” คนตัวเล็กกุมหัวตัวเองพร้อมกับร้องเสียงหลง “ใครน่ะ! ใครคิดลอบทำร้ายข้า เจ้าส้ม รีบลุกไปจับคนร้ายมาให้ข้า!”
“คนร้ายที่ไหน?” แมวอ้วนไม่อยากขยับตัวจึงซุกไว้ใต้ผ้าห่มพลางกล่าวอย่างเกียจคร้าน “นั่นเซียวถังอี้ต่างหาก… เขานั่งอยู่ด้านนอกมาเกือบ 1 เค่อแล้ว”
“เซียวถังอี้?” มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงก่อนจะตีก้นเจ้าแมวจอมขี้เกียจเบา ๆ ด้วยความโกรธ “แล้วทำไมเจ้าไม่รีบบอกข้าตั้งแต่ก่อนหน้านี้! ถ้าข้าเผลอพูดอะไรไม่ดีกับเขาออกไป เขาจะไม่ได้ยินหรืออย่างไร?”
เจ้าส้มที่รู้ว่าตัวเองเหมือนจะทำอะไรผิดไปจึงไม่ได้โวยวายออกมา
ต่อมา เด็กหญิงคว้าของที่เซียวถังอี้โยนใส่หัวเธอแล้วลุกจากเตียงเดินไปที่หน้าต่าง
แน่นอนว่าเธอเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนขี้เกียจอยู่บนต้นไม้ข้างหน้าต่างทันทีที่เปิดหน้าต่างออกไป
เซียวถังอี้กำลังเอนตัวพิงลำต้นของต้นไม้พลางเล่นพัดในมือ โดยที่หน้ากากสีเงินสะท้อนแสงจันทร์ของค่ำคืนนี้
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็ปาถั่วทองกลับไปพร้อมกับถามว่า “กลางค่ำกลางคืนไม่ยอมนอน เสด็จอามาหาข้าทำไมหรือ?”
“ข้ามาติดสินบนเจ้า” เด็กหนุ่มคว้าถั่วทองแบบสบาย ๆ แล้วเลิกคิ้วมองเจ้าตัวเล็กในขณะที่พูดว่า “เซียวถังถังกำลังจะไปที่หุบเขาหมอเทวดาเช่นกัน เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?”
คนถูกถามสะดุ้งเล็กน้อย และเข้าใจทันทีว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร ทำให้มีรอยยิ้มฉายอยู่ในดวงตาของเธอ “ข้ารู้ ถังถังมาบอกข้าก่อนหน้านี้”
“อะไรกัน เสด็จอาเล็กอยากจะติดสินบนข้าไม่ให้ถังถังออกจากวังหรือ?”
“ในความเป็นจริง มันก็ไม่ได้ผิดอะไรที่ถังถังอยากจะไปร่ำเรียนที่หุบเขาหมอเทวดา ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอาจารย์ตกลงที่จะรับนางเข้าหุบเขาด้วยตัวเอง ทำไมท่านถึงยังคัดค้านอีกล่ะ?”
“เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อขอให้เจ้าขวางไม่ให้นางไปหรือ?” เซียวถังอี้หันหลังและกระโดดลงจากต้นไม้ นั่นทำให้เสื้อคลุมสีม่วงของเขาปลิวไปตามสายลมราวกับผีเสื้อราตรี “ถ้าข้าไม่อยากให้นางไปหุบเขาหมอเทวดาจริง ๆ ข้ามีอีกหลายวิธีที่จะห้ามนาง”
“แล้วท่านคิดจะทำอะไรล่ะ?” มู่ไป๋ไป่นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง พอเธอรู้ตัวอีกที เขาก็กระโดดมาที่หน้าต่างแล้ว เธอจึงหลบตาเขาก่อนจะหันมาจ้องหน้าเขากลับอีกครั้ง
จากนั้นคนหนึ่งตัวใหญ่คนหนึ่งตัวเล็กก็มองหน้ากันเงียบ ๆ ผ่านหน้าต่างใต้แสงจันทร์
“ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าจับตาดูนางเอาไว้” เซียวถังอี้วางมือไว้ที่ขอบหน้าต่างก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “นางซื่อบื้อไปหน่อย การที่นางอยู่ในหุบเขาหมอเทวดาจะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เจ้าช่วยข้าจับตาดูนางหน่อยก็แล้วกัน อย่าให้นางต้องทำให้ข้าอับอาย”
“...” คนที่ถูกไหว้วานนิ่งเงียบไป
เซียวถังอี้ไม่ชอบเซียวถังถังมากขนาดนี้เลยหรือ?
ก่อนหน้านี้ที่เขาปฏิเสธไม่ยอมให้น้องสาวเดินทางไปที่หุบเขาหมอเทวดา เธอคิดว่าเขาไม่อยากแยกจากน้องสาวเสียอีก
ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะคิดมากเกินไป
เจ้าสัตว์ประหลาดคนนี้ก็ยังเป็นสัตว์ประหลาดที่เข้าใจยากอยู่วันยังค่ำ
“ถังถังเป็นสหายของข้า เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ข้าสามารถช่วยได้โดยที่เสด็จอาไม่จำเป็นจะต้องมาบอก” มู่ไป๋ไป่ตบหน้าอกตัวเองเป็นการให้คำมั่น “และแม้ว่านางจะเกิดเรื่องในหุบเขาหมอเทวดา ข้าจะออกหน้าช่วยเหลือนางโดยที่ไม่เกี่ยวกับคำไหว้วานของเสด็จอาอย่างแน่นอน”
สิ่งที่มู่ไป๋ไป่ไม่รู้ก็คือ เธอถูกเซียวถังถังหลอกเพราะคำพูดกระตือรือร้นของนาง
ภายใต้หน้ากากสีเงิน ดวงตาคมดุของเซียวถังอี้หรี่ลงเล็กน้อย และมีประกายบางอย่างแล่นผ่านดวงตาของเขา “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจกับสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อกี้”
“ทำไมข้าต้องเสียใจด้วย?” มู่ไป๋ไป่ทำหน้าไม่พอใจ “ข้า มู่ไป๋ไป่ผู้นี้พูดได้ทำได้!”
“การรับปากใครบางคนนั้นทำได้ยาก” ถัดมา เด็กหนุ่มหยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อแล้วโยนให้เด็กหญิง “เจ้าควรเก็บสิ่งนี้เอาไว้ แต่มันจะเป็นการดีที่สุดที่เจ้าจะไม่เอามันออกมาใช้”
หลังจากพูดจบเขาก็หันหลังจากไป
มู่ไป๋ไป่ยกสิ่งที่เขาโยนมาให้ขึ้นดูแล้วเห็นว่ามันเป็นจี้หยกที่ถูกแกะสลักเป็นรูปกิเลน มันคือหยกเนื้อดีที่ถูกแกะสลักอย่างงดงาม
“นี่! ทำไมท่านถึงมอบจี้หยกให้ข้าล่ะ?” คนตัวเล็กตะโกนตามหลังเงาร่างที่เกือบจะหายไปในความมืดมิด “นอกจากนี้ ท่านหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ใช้มัน?”
อย่างไรก็ตาม เซียวถังอี้ไม่ได้หันมาตอบคำถามของเธอและหายตัวไปจากตำหนักอิ๋งชุน
หลังจากมู่ไป๋ไป่ถูกเจ้าสัตว์ประหลาดขัดจังหวะการนอน ความง่วงงุนของเธอก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง เธอไม่รู้สึกง่วงนอนเลยสักนิด
ตั้งแต่นั้นเธอก็เล่นจี้หยกรูปกิเลนในมือจนถึงรุ่งสาง
แต่เธอไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือไม่ เมื่อคืนเธอรู้สึกอบอุ่นกว่าปกติมากโดยเฉพาะบริเวณมือที่กำจี้หยกเอาไว้
และแล้วเวลา 3 วันก็ผ่านไปในพริบตา ในไม่ช้าก็ถึงเวลาที่มู่ไป๋ไป่กับเซียวถังถังจะต้องเดินทางออกจากวังมุ่งหน้าไปยังหุบเขาหมอเทวดา
ในวันนี้ ทุกคนในวังหลังออกมารวมตัวกันที่ด้านหน้าประตูวังหลวงเพื่อส่งองค์หญิงหก
ปัจจุบันมู่ไป๋ไป่ได้ผลัดเปลี่ยนจากสวมเสื้อผ้าผู้สูงศักดิ์ในวังหลวงมาเป็นสวมชุดลูกศิษย์สีขาวของหุบเขาหมอเทวดา ผมของเธอก็ถูกมัดเกล้าสูงเรียบร้อยกว่าปกติ ทำให้เธอดูเหมือนลูกศิษย์ของหุบเขาหมอเทวดาขึ้นมา
ส่วนเซียวถังถัง แม้ว่านางจะแต่งตัวเหมือนกับเธอ แต่อีกฝ่ายก็มีรัศมีไร้เดียงสาล้อมรอบกายที่ทำให้รู้สึกมันเขี้ยวอยากจะหยิกแก้มนางสักที
“ท่านพ่อ ท่านย่า ท่านแม่ ท่านพี่ ขอบคุณที่พวกท่านมาส่งไป๋ไป่ที่นี่” บัดนี้ร่างเล็กไปยืนอยู่ด้านข้างม้าตัวใหญ่และโค้งคำนับให้กับทุกคนที่มาส่งตน “หากไป๋ไป่เดินทางถึงหุบเขาหมอเทวดาแล้ว ไป๋ไป่จะส่งจดหมายกลับมาบ่อย ๆ เพคะ”
“ไป๋ไป่…” ไทเฮายกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาของตัวเองเบา ๆ พระนางไม่อยากจากลาหลานสาวที่น่ารักคนนี้เลย ไม่รู้ว่าเมื่อใดทั้งคู่จะได้พบกันอีก มันจึงทำให้พระนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเสียใจ
ทางด้านซูหว่านถึงแม้ว่าจะทำใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่ดวงตาของนางกลับแสดงออกว่าไม่เต็มใจที่จะจากลากับลูกสาว เพราะถึงอย่างไรนางก็มีแก้วตาดวงใจคนนี้เพียงคนเดียว หลังจากที่ไม่มีเจ้าตัวป่วนคอยอยู่ข้างกายแล้ว นางคงจะรู้สึกเหงามาก ๆ
เมื่อเทียบกันแล้ว มู่เทียนฉงกับมู่จวินฝานยังมีความยับยั้งชั่งใจมากกว่า
“ไป๋ไป่ การเดินทางในครั้งนี้เจ้าจะต้องดูแลตัวเองให้ดี” ฮ่องเต้หนุ่มสัมผัสหัวเล็ก ๆ ของลูกสาวตัวน้อยเบา ๆ “แต่เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเราคนนี้ ลูกสาวสุดที่รัก มันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
ดูเหมือนว่ามู่เทียนฉงกำลังบอกมู่ไป๋ไป่ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากำลังเตือนคนของหุบเขาหมอเทวดา
แม้ว่าเซียวถังอี้จะเป็นคนรับรองหุบเขาหมอเทวดา แต่เขาก็ยังเป็นกังวลไม่คลาย
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาจงใจพูดประโยคนั้นต่อหน้าเจียงเหยา
หมอสาวเองก็เข้าใจได้ว่าฝ่าบาทต้องการจะสื่ออะไร และนางก็แอบบ่นอุบอิบในใจว่าเขาก็เหมือนกับเซียวถังอี้ แต่ภายนอกใบหน้าของนางกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงเป็นกังวลไปเลยเพคะ หุบเขาหมอเทวดาของเราไม่ยอมให้ลูกศิษย์คนใดต้องได้รับความคับข้องใจแม้เพียงเล็กน้อย”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 247
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น