บทที่ 203: เจ้าหนูน้อยกลับมาแล้ว
ไม่นานโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าก็ถูกทำขึ้นมา 1 หม้อตามคำสั่งของมู่ไป๋ไป่ เนื้อโจ๊กสีขาวเนียนผสานด้วยไข่เยี่ยวม้าสีเหลืองทอง และตบท้ายด้วยการโรยต้นหอม
“หอมมากเลยเพคะ!” หลัวเซียวเซียวหันไปมององค์หญิงหกด้วยสีหน้าสงสัย “องค์หญิงคิดอย่างไรถึงนำไข่ที่หมักไว้มาทำโจ๊กหรือเพคะ?”
การนำไข่เยี่ยวม้ามาใส่ในโจ๊กนั้นนางเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” คนที่เป็นพ่อครัวก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน “กระหม่อมไม่คิดว่าไข่ที่หมักไว้จะมีกลิ่นหอมถึงเพียงนี้เมื่อเอามันมาใส่ในโจ๊ก”
“มันไม่ได้มีเพียงแค่กลิ่นหอมเท่านั้น” มู่ไป๋ไป่ตักโจ๊กใส่ชามและนำไปวางในถาด “มันช่วยเพิ่มรสชาติโจ๊กให้ดียิ่งขึ้น”
ในขณะนั้นเอง มู่จวินเซิ่งที่บังเอิญเดินผ่านมาได้กลิ่นหอมของอาหารก็เดินเข้ามาในห้องครัว ตอนที่เขากำลังจะเอ่ยปากถามว่ากลิ่นอะไร เขาก็เห็นร่างเล็ก ๆ เดินมาพร้อมกับถาดใส่โจ๊ก
“ไป๋ไป่?” เด็กหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาดใจ “เจ้าทำมันขึ้นมาเองหรือ?”
กลิ่นอาหารที่เขาได้กลิ่นตั้งแต่อยู่ด้านนอกนั้นมาจากชามในมือของน้องสาว
“ฮึ ทีนี้ท่านรู้แล้วหรือยังว่าข้าก็มีฝีมือ” มู่ไป๋ไป่เชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ข้าจะเอาโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าไปให้ท่านพี่รัชทายาทกินตอนร้อน ๆ พี่รองช่วยหลีกทางด้วย”
หลังจากพูดจบเธอก็เดินหนีไปโดยไม่สนใจมู่จวินเซิ่งที่กำลังยืนน้ำลายสอ
“...”
ตามหลักเหตุผลแล้ว เด็กน้อยคนนั้นควรให้เขาได้ลองชิมสักหน่อยไม่ใช่หรือ?
…
ในกระโจมขององค์รัชทายาท ปัจจุบันเจียงเหยาได้เอาเข็มเงินบนศีรษะของมู่จวินฝานออกแล้ว
นอกจากใบหน้าของเขาที่ยังดูซีดกว่าปกติเล็กน้อย เจ้าตัวก็กลับมาเป็นปกติดี
“ท่านพี่รัชทายาท ท่านรีบกินโจ๊กตอนร้อน ๆ เร็วเข้า!” มู่ไป๋ไป่พูดพร้อมกับยื่นชามโจ๊กไปให้อีกฝ่าย “ท่านพี่หมดสติไปหลายวันแล้ว ดังนั้นในเวลานี้จึงเหมาะที่จะกินโจ๊กที่สุด”
เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าน้องสาวพยายามนำเสนอโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าให้ตนเต็มที่ เขาก็ยกยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก “ไป๋ไป่ทำให้พี่โดยเฉพาะหรือไม่?”
“ใช่แล้วเพคะ!” มู่ไป๋ไป่นั่งตาแป๋วอยู่ที่ขอบเตียง โดยที่ขาสั้น ๆ ของเธอห้อยอยู่เหนือพื้น
“ในเมื่อไป๋ไป่ทำโจ๊กชามนี้มาให้พี่โดยเฉพาะ เช่นนั้นพี่ก็คงต้องกินให้มากหน่อย” มู่จวินฝานยิ้มกว้างขึ้น “พี่ไม่ได้ลิ้มรสอาหารของไป๋ไป่มานานแล้ว พี่คิดถึงมันมากจริง ๆ”
โจ๊กเนื้อเนียนที่ประสานกับไข่เยี่ยวม้า พอกินเข้าไปมันก็เหมือนละลายในปากของเขาทันที
เนื่องจากองค์รัชทายาทหมดสติไปหลายวัน ร่างกายที่อ่อนล้าของเขาจึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังจากที่ได้กลืนโจ๊กอุ่น ๆ ลงไปคำโต
“องค์หญิงหกทำอาหารเป็นด้วยหรือ?” เจียงเหยาถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าน่ารักมากเลย”
“ว่าที่อาจารย์!” มู่ไป๋ไป่นึกขึ้นได้ว่ายังมีหมอสาวอยู่ด้านข้าง “ท่านอยากจะลองชิมโจ๊กฝีมือข้าด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”
เจียงเหยาอยากจะพยักหน้าตกลง แต่เมื่อนางเห็นสีหน้าเย็นชาขององค์รัชทายาท นางก็ต้องยอมถอยไปแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร เจ้าทำโจ๊กนี้ให้รัชทายาทโดยเฉพาะ”
“เอาไว้โอกาสหน้า ข้าจะลองชิมฝีมือเจ้าสักครั้ง”
“เช่นนั้นข้าขอตัวไปตรวจทหารคนอื่นที่ถูกพิษก่อน”
หญิงสาวกล่าวจบแล้วก็เดินออกไปพร้อมกับกล่องยา
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ก็ไม่ได้รั้งอยู่ในกระโจมของมู่จวินฝานเป็นเวลานาน เธอรู้ว่าเขาต้องจัดการกับอะไรหลายเรื่องหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมา ดังนั้นเธอจึงไม่อยู่รบกวนอีกฝ่าย
ทันทีที่เธอกลับมาถึงหน้ากระโจมของตัวเอง เธอก็เห็นจื่อเฟิงรีบวิ่งออกมา
“องค์หญิง! องค์หญิง!” เด็กหนุ่มตะโกนเรียกเธอด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “เจ้าหนู แฮ่ก… เจ้าหนูตัวนั้นกลับมาแล้ว!”
นอกจากตัวมันจะกลับมาแล้ว มันยังพาหนูอีกมากมายกลับมาเป็นโขยงด้วย!
จื่อเฟิงตื่นตระหนกจนเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นไม่ออก พอนึกถึงภาพที่ตนเดินเข้าไปในกระโจมเมื่อกี้นี้ เขาก็ตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่
“เจ้าหนูน้อยกลับมาแล้ว!” ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เป็นประกาย และเธอก็คิดกับตัวเองว่าวันนี้เป็นวันที่ดีจริง ๆ นอกจากท่านพี่รัชทายาทของเธอจะตื่นขึ้นมาแล้ว เจ้าหนูน้อยก็ยังกลับมาส่งข่าวอีกด้วย
“ใช่แล้ว” จื่อเฟิงมองคนตัวเล็กด้วยสายตาชื่นชม แม้ว่านางจะอายุน้อยกว่าเขามาก แต่นางก็ไม่กลัวหนูเลย
“ท่านเข้าไปดูกับข้าสิ” มู่ไป๋ไป่เปิดม่านอย่างมีความสุข แต่เมื่อเธอเห็นท่าทางตื่นกลัวของอีกฝ่าย เธอก็พูดขึ้นว่า “ช่างเถอะ ๆ ท่านมุ่งหน้าไปที่ห้องครัวแล้วเอาเนื้อมาให้ข้าแทนก็แล้วกัน”
ก่อนหน้านี้เธอได้ทำข้อตกลงกับเจ้าหนูน้อยเอาไว้แล้ว ขอเพียงมันช่วยเธอสืบหาข่าวเกี่ยวกับแม่ทัพจ้าว เธอก็จะเลี้ยงดูปูเสื่อมันอย่างดีไม่ให้มันต้องใช้ชีวิตอย่างเป็นกังวลเรื่องอาหารอีก
จื่อเฟิงที่ได้ยินคำสั่งขององค์หญิงหกรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
ถ้าเขาต้องไปอยู่ในกระโจมของฝูงหนูพวกนั้น เขาอยากจะไปทำธุระแทนนางมากกว่า
“เจ้ากลับมาทำไม?” พอเจ้าส้มได้ยินเสียงดัง มันก็หันกลับมาพลางเหยียดตัวถามอย่างเกียจคร้าน “เจ้าได้เอาของอร่อยมาให้แมวตัวนี้หรือไม่?”
ในช่วงเวลานี้เจ้าแมวอ้วนดูจะเรียบร้อยมากกว่าปกติ มันไม่ได้ออกไปเดินเที่ยวเล่นเหมือนเมื่อก่อน ถ้ามู่ไป๋ไป่ไม่ได้สั่งให้มันไปทำอะไร มันก็จะอยู่ในกระโจมทุกวันเพื่อรอให้เธอกลับมา
ดูท่ามันจะเชื่องมากเสียจนคนตัวเล็กสงสัยว่าอีกฝ่ายมีแผนการอะไรหรือไม่
“เจ้านี่มันรู้จักแต่กิน” มู่ไป๋ไป่เหน็บแนมแมวจอมตะกละ ก่อนจะโยนถุงขนมที่เธอขอให้พ่อครัวทำขึ้นในระหว่างที่เธอกำลังทำโจ๊กให้มู่จวินฝานในครัว
“เฮอะ คนอย่างเจ้าคงไม่เข้าใจ ตัวข้านั้นเกิดมาก็ไม่เคยขาดของกิน” เจ้าส้มคว้าขนมขึ้นมากินอย่างมีความสุข
ทางด้านหนูตัวสีเทาที่อยู่ด้านข้างได้แต่ยืนมองแมวตัวใหญ่ด้วยสายตาอิจฉา
“เจ้าหนูน้อย ข้าได้ยินมาว่าเจ้าพาสหายมาด้วย” มู่ไป๋ไป่ที่เอาขนมให้เจ้าส้มเสร็จแล้วก็หันไปมองหนูตัวจ้อยที่ยังคงรออยู่ด้านข้าง “ข้าได้สั่งให้คนไปเอาอาหารอร่อย ๆ มาให้เจ้าแล้ว เจ้าทนรอสักครู่”
“ท่านจ้าวอสูรใจกว้างยิ่งนัก” หนูน้อยรู้สึกมีความสุขมาก จากนั้นมันก็หันไปยืดอกมองสหายร่วมทางที่เป็นกังวลอยู่ด้านหลัง ก่อนจะทำความเคารพให้กับเด็กหญิง
“มันเป็นเรื่องสมควรแล้ว อย่าได้เก็บมาใส่ใจ” มู่ไป๋ไป่โบกมือด้วยรอยยิ้ม ถัดมาเธอไปยกเก้าอี้มานั่งตรงหน้าพวกมันแล้วเอ่ยถามว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาหาข้าเช่นนี้ พวกเจ้าได้ข่าวแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่!” หนูตัวสีเทาเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง “หลังจากได้รับคำสั่งจากท่านจ้าวอสูรในวันนั้น ข้าก็ได้เรียกรวมหนูทั้งหมดในเมืองชายแดนของเรามา…”
เมื่อ 3 วันก่อน เจ้าหนูน้อยและสหายของมันแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มแล้วแอบเข้าไปในค่ายทหารของแคว้นหนานซวน
คืนนั้น ค่ายทหารหนานซวนถูกสำรวจทุกตารางนิ้ว
แต่เนื่องจากพวกมันเป็นสัตว์ ทักษะการแยกแยะมนุษย์ของพวกมันจึงไม่ได้สูงนัก
ยิ่งไปกว่านั้น คนของแคว้นหนานซวนไม่ได้จับแม่ทัพจ้าวขังเดี่ยวเอาไว้ ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิมเพื่อยืนยันตัวตนของแม่ทัพจ้าว
“ชายที่ท่านจ้าวอสูรตามหายังมีชีวิตอยู่ เขาถูกขังอยู่ในกระโจมทางใต้ของค่ายทหาร” หนูตัวสีเทาพูดขึ้นอย่างจริงจัง “แต่ผู้ชายคนนั้นดูแปลกไปสักหน่อย”
มู่ไป๋ไป่รู้ว่าแม่ทัพจ้าวถูกพิษ ดังนั้นเธอจึงคาดเดาได้ว่าเจ้าหนูน้อยจะพูดอะไร แต่เธอก็ไม่ได้ขัดจังหวะคำพูดของมัน
“ในคืนที่เราพบชายคนนั้น” หนูตัวสีเทานึกถึงสถานการณ์ในวันนั้นแล้วเล่าออกมาอย่างละเอียด “เขายืนตัวตรงอยู่ในกระโจม เขาลืมตาอยู่ตลอดเวลาโดยไม่กะพริบตา”
“ตอนแรกเราคิดว่าเขาเพียงถูกสะกดจิตไป แต่ต่อมาเราพบว่าเขาไม่หายใจ…”
ในเวลานั้น เจ้าหนูน้อยคิดว่าแม่ทัพจ้าวตายแล้ว จึงคิดจะกลับไปแจ้งข่าวให้ท่านจ้าวอสูรทราบ แต่แล้วจู่ ๆ หลังจากมีเสียงที่ฟังดูแปลกประหลาดดังขึ้น แม่ทัพจ้าวก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง
“เราเห็นชายคนนั้นเดินออกจากกระโจมด้วยตาของเราเอง” หนูตัวสีเทาเหยียดอุ้งเท้าชี้ไปที่สหายของมันที่อยู่ด้านหลัง “พวกเราไม่ได้โกหกท่านอย่างแน่นอน”
เนื่องจากเหตุผลนี้ เจ้าหนูน้อยกลัวว่าสิ่งที่มันเล่านั้นจะฟังดูน่าเหลือเชื่อจนเกินไป มันจึงได้เรียกสหายมาเป็นพยานเพิ่มเติม
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 201
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น